อนุทินล่าสุด


เกษร
เขียนเมื่อ

สรุปผลการเรียนรู้แบบผสมผสาน (blended learning)

เบล็นเด็ดเลินนิ่ง หมายถึง กระบวนการเรียนรู้ ที่ผสมผสานรูปแบบการเรียนรู้ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในห้องเรียน ผสมผสานกับการเรียนรู้นอกห้องเรียนที่ผู้เรียนผู้สอนไม่เผชิญหน้ากัน หรือการใช้แหล่งเรียนรู้ที่มีอยู่หลากหลาย กระบวนการเรียนรู้และกิจกรรมเกิดขึ้นจากยุทธวิธี การเรียนการสอนที่หลากรูปแบบ เป้าหมายอยู่ที่การให้ผู้เรียนบรรลุเป้าหมายการเรียนรู้เป็นสำคัญ
         การสอนด้วยวิธีการเรียนรู้แบบผสมผสานนั้น ผู้สอน สามารถใช้วิธีการสอน สองวิธีหรือมากกว่า ในการเรียนการสอน เช่น ผู้สอนนำเสนอเนื้อหาบทเรียนผ่านเทคโนโลยีผนวกกับการสอนแบบเผชิญหน้า แต่หลังจากนั้นผู้สอนนำเนื้อหาบทความแขวนไว้บนเว็บ จากนั้นติดตามการดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้อีเลินนิ่ง ด้วยระบบแอลเอ็มเอส (Learning Management System ) ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ในห้องแล็บ หลังจากนั้นสรุปบทเรียน ด้วยการอภิปรายร่วมกับอาจารย์ผู้สอนในห้องเรียน
"Blended learning เป็นสิ่งสำคัญของการศึกษาและเทคโนโลยี ,blended learning มีการใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว,เป็นการบูรณาการระหว่างการเรียนในชั้น เรียนและการเรียนแบบออนไลน์,สามารถช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนและ การใช้เวลาในชั้นเรียนได้เหมาะสม"

         การเรียนแบบผสมผสาน (Blended learning) การเรียนแบบผสมผสาน เป็นการรวมกันหรือนำสิ่งต่างๆมาผสม โดยที่สิ่งที่ถูกผสมนั้น คือ รวม รูปแบบการเรียนการสอน รวม วิธีการเรียนการสอน รวม การเรียนแบบออนไลน์ และรูปแบบการเรียนการสอนในชั้นเรียนการเติบโตของการเรียนแบบผสมผสานตั้งแต่ อดีต ปัจจุบันและอนาคตการเรียนรู้แบบผสมผสาน โดยในอดีตนั้น การเรียนแบบผสมผสานคือส่วนที่ได้มีการรวมเข้าหากันจาก 2 รูปแบบสภาพแวดล้อมของการเรียนแบบเดิม นั้นก็คือ การเรียนแบบเผชิญหน้าในชั้นเรียนกับ การเรียนแบบออนไลน์ ซึ่งในอดีตนั้นการเรียนทั้ง 2 รูปแบบจะมีช่องว่างหรือระยะห่างระหว่างกันค่อยข้างมาก คือจะมีการจัดการเรียนการสอนเฉพาะของตัวเองมีรูปแบบ และการดำเนินการในรูปแบบที่ต่างกันเพราะว่าต่างก็ใช้สื่อและเครื่องมือที่ แตกต่างกัน และมีสถานที่ในการเรียนที่แตกต่างกันเพราะมีกลุ่มผู้เรียนที่ต่างกันด้วย แต่ในขณะเดียวกันนั้นการเรียนแบบทางไกลก็กำลังมีการเติบโตและแผ่ขยายอย่าง รวดเร็วซึ่งได้เข้ามาในรูปของเทคโนโลยีใหม่ ที่มีความเป็นไปได้อย่างสูงที่การเรียนแบบออนไลน์นั้นจะมีการแผ่ขยายเข้ามา สู่การเรียนในชั้นเรียนอย่างรวดเร็วในปัจจุบันการเรียนแบบออนไลน์นั้นได้ เข้ามามีส่วนร่วมในการติดต่อสื่อสารและมีปฏิสัมพันธ์ร่วมในการเรียนการสอนใน ชั้นเรียนเกิดเป็นการเรียนแบบผสมผสานขึ้นมาซึ่งคาดว่าในอนาคตนั้นการเรียน แบบผสมผสานจะมีการขยายตัวที่มากขึ้นตามรูปแบบการเรียนแบบออนไลน์ที่จะมีการ เติบโตขึ้นมากกว่าปัจจุบัน จึงส่งผลให้การเรียนแบบผสมผสานนั้นมีการขยายวงกว้างออกไปจากเดิมยิ่งขึ้นอีก ด้วย

ข้อดี-ข้อจำกัด
การเรียนแบบผสมผสานสรุป Blended Learning การเรียนการสอนแบบผสมผสาน ความหมายและความสำคัญ
1. การเรียนแบบผสมผสาน (blended learning) เป็นการเรียนที่ใช้กิจกรรมที่ต้องออนไลน์และการพบปะกันในห้องเรียนจริง (hybrid) โดยใช้สื่อที่มีความหลากหลายเหมาะกับบริบทและสถานการณ์ การเรียนรู้ เพื่อตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล
2. การเรียนแบบผสมผสาน เป็นการรวมกันหรือนำสิ่งต่าง ๆ มาผสม โดยที่สิ่งที่ถูกผสมนั้น การเรียนอาจจะเรียนในห้องเรียน 60% เรียนบนเว็บ 40% ไม่ได้มีกฎตายตัวว่าจะต้องผสมผสานกันเท่าใด เช่น- รวม รูปแบบการเรียนการสอน- รวม วิธีการเรียนการสอน- รวม การเรียนแบบออนไลน์ และรูปแบบการเรียนการสอนในชั้นเรียน
3. การเรียนแบบผสมผสาน (Blended learning) การเติบโตของการเรียนแบบผสมผสานตั้งแต่อดีต ปัจจุบันและอนาคตการเรียนรู้แบบผสมผสาน โดยในอดีตนั้น การเรียนแบบผสมผสานคือส่วนที่ได้มีการรวมเข้าหากัน จาก 2 รูปแบบ
    3.1 สภาพแวดล้อมของการเรียนแบบเดิม นั้นก็คือ การเรียนแบบเผชิญหน้าในชั้นเรียน
   3.2 การเรียนแบบออนไลน์ ซึ่งในอดีตนั้นการเรียนทั้ง 2 รูปแบบจะมีช่องว่างหรือระยะห่างระหว่างกันค่อยข้างมาก คือจะมีการจัดการเรียนการสอนเฉพาะของตัวเองมีรูปแบบ และการดำเนินการในรูปแบบที่ต่างกันเพราะว่าต่างก็ใช้สื่อและเครื่องมือที่ แตกต่างกัน และมีสถานที่ในการเรียนที่แตกต่างกันเพราะมีกลุ่มผู้เรียนที่ต่างกันด้วย แต่ในขณะเดียวกันนั้นการเรียนแบบทางไกลก็กำลังมีการเติบโตและแผ่ขยายอย่าง รวดเร็ว ซึ่งได้เข้ามาในรูปของเทคโนโลยีใหม่ ที่มีความเป็นไปได้อย่างสูงที่การเรียนแบบออนไลน์นั้นจะมีการแผ่ขยายเข้ามา สู่การเรียนในชั้นเรียนอย่างรวดเร็วในปัจจุบันการเรียนแบบออนไลน์นั้นได้ เข้ามามีส่วนร่วมในการติดต่อสื่อสารและมีปฏิสัมพันธ์ร่วม ในการเรียนการสอนในชั้นเรียนเกิดเป็นการเรียนแบบผสมผสานขึ้นมาซึ่งคาดว่าใน อนาคตนั้นการเรียนแบบผสมผสานจะมีการขยายตัวที่มากขึ้นตามรูปแบบการเรียน แบบออนไลน์ที่จะมีการเติบโตขึ้นมากกว่าปัจจุบัน จึงส่งผลให้การเรียนแบบผสมผสานนั้นมีการขยายวงกว้างออกไปจากเดิมยิ่งขึ้นอีก ด้วย

สรุป
1. การเรียนการสอนแบบผสมผสาน Blended Learning เป็นการเรียนรู้แบบผสมผสานหลากหลายวิธี เพื่อให้ผู้เรียนได้มีการเรียนรู้ที่หลากหลาย และเพื่อผู้เรียนได้พัฒนาเต็มศักยภาพเหมาะกับบริบทและสถานการณ์ การเรียนรู้และตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคลเกิดการเรียนรู้และเกิดทักษะ ด้านการปฏิบัติ (Practice Skill )โดยใช้เทคโนโลยี เช่น การเรียนการสอนในชั้นเรียนร่วมกับการเรียนการสอนแบบออนไลน์(a combination of face-to-face and Onine Learning) การเรียนแบบหมวก 6 ใบ, สตอรี่ไลน์ จุดมุ่งหมายสูงสุดอยู่ที่ผู้เรียน โดยอัตราส่วนการผสมผสาน จะขึ้นอยู่กับลักษณะเนื้อหา และการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน กรณี - ครูผู้สอนสั่งงานทาง e-mail หรือ chatroom หรือ webbord ถือเป็นการเรียนรู้แบบผสมผสาน- ครูสั่งให้ส่งงานเป็นรูปเล่มรายงานถือว่าเป็นการเรียนรู้แบบผสมผสานเช่นกัน เพราะต้องไปค้นคว้าสืบค้นข้อมูลและนำมาอภิปราย สรุป เนื้อหาเป็นแนวเดียวกัน ผู้เรียนทุกคนเข้าใจตรงกัน
2. การใช้งานจริง ณ ขณะนี้ สรุป การใช้ Blended Learning ในองค์กร หรือบริษัท ช่วยในการประชุม การสั่งงาน โดยมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตระบบเครือข่าย ส่วนมาก นิยมใช้ระบบ LMS เป็นระบบการบริหาร ผ่าน Sever เป็นระบบเครือข่ายผู้ใช้งานในระบบ
   2.1 กลุ่มผู้บริหาร Administrator ทำหน้าที่ดูแลระบบ
   2.2 กลุ่ม ครู อาจารย์ Instructor/ teacher ทำหน้าที่สอน
   2.3 กลุ่มผู้เรียน Student /Guest นักเรียน นักศึกษาสำหรับขั้นตอนการออกแบบการเรียนรู้แบบผสมผสานของ Beijing Normal University (BNU) ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนหลัก ดังนี้
1. ขั้นก่อนการวิเคราะห์ (Pre-Analysis) เป็นขั้นตอนแรกของการออกแบบการเรียนรู้แบบผสมผสาน ประกอบการพิจารณาข้อมูลทั่ว ๆ ไป ได้แก่
   1.1 การวิเคราะห์คุณสมบัติของผู้เรียน
   1.2 การวิเคราะห์วัตถุประสงค์ในการเรียนรู้
   1.3 การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมของการเรียนรู้แบบผสมผสานผลลัพธ์ที่ได้จากขั้นตอนแรก จะเป็นรายงานผลที่จะนำไปใช้ในขั้นต่อไป
2. ขั้นการออกแบบกิจกรรมและการออกแบบวัสดุการเรียนรู้ (Design of Activity and Resources) เป็นขั้นตอนที่สองที่นำผลลัพธ์ที่ได้จากขั้นตอนแรกมาออกแบบกิจกรรมและวัสดุ การเรียนรู้ ซึ่งจำแนกออกเป็น 3 ส่วนย่อย ๆ ได้แก่
   2.1 การออกแบบภาพรวมของการเรียนรู้แบบผสมผสาน ประกอบด้วย
กิจกรรมการเรียนรู้แต่ละหน่วยเรียน
กลยุทธ์การนำส่งบทเรียนในการเรียนรู้แบบผสมผสาน
ส่วนสนับสนุนการเรียนรู้แบบผสมผสาน
   2.2 การออกแบบกิจกรรมแต่ละหน่วยเรียนประกอบด้วย
นิยามผลการกระทำของผู้เรียน
กิจกรรมในแต่ละวัตถุประสงค์
การจัดกลุ่มของกิจกรรมทั้งหมด
การประเมินผลในแต่ละหน่วยเรียน
   2.3 การออกแบบและพัฒนาวัสดุการเรียนรู้ประกอบด้วย
การเลือกสรรเนื้อหาสาระ
การพัฒนากรณีต่าง ๆ
การนำเสนอผลการออกแบบและการพัฒนาผลที่ได้จากขั้นตอนที่สอง จะเป็นรายละเอียดของการออกแบบบทเรียนในแต่ละส่วน
3. ขั้นการประเมินผลการเรียนการสอน (Instructional Assessment) เป็นขั้นตอนสุดท้ายในการออกแบบการเรียนรู้แบบผสมผสานประกอบด้วย
   3.1 การประเมินผลขั้นตอนการเรียนรู้
   3.2 การจัดการสอบตามหลักสูตร
   3.3 การประเมินผลกิจกรรมทั้งหมดผลที่ได้จากขั้นตอนสุดท้าย จะนำไปพิจารณาตรวจปรับกระบวนการออกแบบในแต่ละขั้นที่ผ่านมาทั้งหมด เพื่อให้การเรียนรู้แบบผสมผสานมีประสิทธิภาพและเกดประสิทธิผลกับผู้เรียน อย่างแท้จริง

ขั้นตอนการออกแบบการเรียนรู้แบบผสมผสาน
การเรียนรู้แบบผสมผสานมีสิ่งต่างๆจะต้องพิจารณา ดังนี้
1. เพิ่มทางเลือกของวิธีการนำส่งการเรียนรู้ไปยังผู้เรียนให้มีความหลากหลายมากขึ้น จะเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับผู้ออกแบบ
2. เกณฑ์การตัดสินความสำเร็จในการเรียนรู้แบบผสมผสานไม่ได้มีเพียงเกณฑ์เดียว เช่น รูปแบบการเรียนรู้และวิธีการเรียนรู้ ซึ่งสามารถนำมาพิจารณาร่วมกันได้
3. การออกแบบการเรียนรู้แบบผสมผสานจะต้องพิจารณาประเด็นของความเร็วในการเรียนรู้ ขนาดของผู้เรียน และการสนับสนุนช่วยเหลือผู้เรียน
4. สภาพแวดล้อมทางการเรียนของผู้เรียน จะมีความแตกต่างกันเป็นธรรมชาติซึ่งการจัดการเรียนรู้จะต้องสนับสนุนให้ผู้ เรียนบรรลุตามวัตถุประสงค์เป็นสำคัญ
5. หน้าที่ของผู้เรียน จะต้องศึกษาและค้นพบตัวเอง เพื่อสร้างสรรค์ความรู้ตามศักยภาพของตนเอง
6. การออกแบบการเรียนรู้แบบผสมผสานต้องการทีมงานออกแบบที่มีความรู้เรื่องการปรับปรุงด้านธุรกิจด้วย เช่นกัน
การเรียนการสอนทางไกลของ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ) ถือว่าเป็นการเรียนการสอนแบบผสมผสานเช่นกัน
คอร์สการเรียนภาษาอังกฤษทางไกล ของ แอนดรูส์ บิ๊ก ที่ใช้ระบบ(Bkended Learning for Distance Learning) ซึ่งสามารถสอนนักเรียนพร้อมกันทีเดียวได้เป็นพันคน

 3. ประโยชน์ ข้อดี และข้อจำกัด
ประโยชน์ ข้อดี

1. แบ่งเวลาเรียนอย่างอิสระ
2. เลือกสถานที่เรียนอย่างอิสระ
3. เรียนด้วยระดับความเร็วของตนเอง
4. สื่อสารอย่างใกล้ชิดกับครูผู้สอน
5. การผสมผสานระหว่างการเรียนแบบดั้งเดิมและแบบอนาคต
6. เรียนกับสื่อมัลติมีเดีย
7. เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง Child center
8. ผู้เรียนสามารถมีเวลาในการค้นคว้าข้อมูลมาก สามารถวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลได้อย่างดี
9. สามารถส่งเสริมความแม่นยำ ถ่ายโอนความรู้จากผู้หนึ่งไปยังผู้หนึ่งได้ สามารถทราบผลปฏิบัติย้อนกลับได้รวดเร็ว (กาเย่)
10. สร้างแรงจูงใจในบทเรียนได้(กาเย่)
11. ให้แนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้(กาเย่)
12. สามารถทบทวนความรู้เดิม และสืบค้นความรู้ใหม่ได้ตลอดเวลา (กาเย่)
13. สามารถหลีกเลี่ยงสิ่งที่รบกวนภายในชั้นเรียนได้ ทำให้ผู้เรียนมีสมาธิในการเรียน
14. ผู้เรียนมีช่องทางในการเรียน สามารถเข้าถึงผู้สอนได้
15. เหมาะสำหรับผู้เรียนที่ค่อนข้างขาดความมั่นใจในตัวเอง
16. ใช้ในบริษัท หรือองค์กรต่างๆ สามารถลดต้นทุนในการอบรม สัมมนาได้

 ข้อจำกัด
1. ไม่สามารถแสดงความคิดเห็น หรือถ่ายทอดความคิดเห็นอย่างรวดเร็ว
2. มีความล่าช้าในการปฏิสัมพันธ์
3. การมีส่วนร่วมน้อย โดยผู้เรียนไม่สามารถมีส่วนร่วมทุกคน
4. ความไม่พร้อมด้าน ซอฟแวร์ Software บางอย่างมีราคาแพง (ของจริง)
5. ใช้งานค่อนข้างยาก สำหรับผู้ไม่มีความรู้ด้าน ซอฟแวร์ Software
6. ผู้เรียนบางคนคิดว่าไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน เพราะราคาอุปกรณ์ค่อนข้างสูง
7. ผู้เรียนต้องมีความรู้ ความเข้าใจด้านการใช้งานคอมพิวเตอร์ เพื่อเข้าถึงข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต
8. ผู้เรียนต้องมีความรับผิดชอบต่อตนเองอย่างสูง ในการเรียนการสอนแบบนี้
9. ความแตกต่างของผู้เรียนแต่ละคนเป็นอุปสรรคในการเรียนการสอนแบบผสมผสาน
10. สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสมในการใช้เครือข่าย หรือระบบอินเทอร์เน็ต เกิดปัญหาด้านสัญญาณ
11. ขาดการปฏิสัมพันธ์แบบ face to faec (เรียลไทม์)

ความเป็นไปได้ในการไปใช้งานจริงของ Blened Learning การเรียนการสอนแบบผสมผสาน
1. มีการเปลี่ยนแปลงไปสู่ยุค ICT ทำให้มีการเรียนรู้ที่หลากหลายวิธี เช่น 2 วิธี หรือมากกว่านั้นได้
2. ดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้ e-Learning
3. สามารถนำไปใช้ได้จริงในสถานศึกษา เช่น โรงเรียน หรือมหาวิทยาลัย รวมไปถึง บริษัท องค์กร ต่าง ๆ เพื่อประหยัดงบประมาณและต้นทุน
4. เป็นไปได้หรือไม่ในการนำไปใช้งานได้จริงขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ความเหมาะสมขององค์ประกอบในการจัดการเรียนการสอน อุปกรณ์ ผู้เรียน และผู้สอน



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

เกษร
เขียนเมื่อ

E1/E2 Model for Developmental Testing of Media and Multi-Media Instructional Packages Part I 0001 สรุปการนำไปใช้อ้างอิง E1 =Efficiency of Process (ประสิทธิภาพของกระบวนการ) และพฤติกรรมสุดท้าย (ผลลัพธ์) กำหนดค่าประสิทธิภาพเป็น (Do the thing right=Efficiency) (Do the right thing=Effectiveness) E2 =Efficiency of Product (ประสิทธิภาพของผลลัพธ์) การกำหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพ 1. ประเมินพฤติกรรมต่อเนื่อง (Transitional Behavior) คือประเมินผลต่อเนื่อง ซึ่งประกอบด้วยพฤติกรรมย่อยของผู้เรียน เรียกว่า “กระบวนการ” (Process) ที่เกิดจากการประกอบกิจกรรมกลุ่ม ได้แก่ การทำโครงการ หรือทำรายงานเป็นกลุ่ม และรายงานบุคคล ได้แก่ งานที่มอบหมาย และกิจกรรมอื่นใดที่ผู้สอนกำหนดไว้ 2. ประเมินพฤติกรรมสุดท้าย (Terminal Behavior) คือประเมินผลลัพธ์ (Product) ของผู้เรียน โดยพิจารณาจากการสอบหลังเรียนและการสอบไล่ ประสิทธิภาพ ของสื่อหรือชุดการสอนจะกำหนดเป็นเกณฑ์ ที่ผู้สอนคาดหมายว่าผู้เรียนจะเปลี่ยน พฤติกรรมเป็นที่พึงพอใจ โดยกำหนดให้ผลเฉลี่ยของคะแนนการทำงานและ การประกอบกิจกรรมของผู้เรียนทั้งหมด ต่อ ร้อยละของผลการประเมินหลังเรียนทั้งหมด E1/E2 = ประสิทธิภาพของกระบวนการ/ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ 80/80 หมายความว่าเมื่อเรียนจากสื่อหรือชุดการสอนแล้ว ผู้เรียนจะสามารถทำแบบฝึกปฏิบัติ หรืองานได้ผลเฉลี่ย 80% และประเมินหลังเรียนและงานสุดท้ายได้ผลเฉลี่ย 80% การที่จะกำหนดเกณฑ์ E1/E2 ให้มีค่าเท่าใดนั้น ให้ผู้สอนเป็นผู้พิจารณาตามความพอใจโดยพิจารณาพิสัยการเรียนที่จำแนกเป็น วิทยพิสัย (Cognitive Domain) จิตพิสัย (Affective Domain) และ ทักษพิสัย (Skill Domain) ข้อควรคำนึงในการทดลอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอน 1) การเลือกผู้เรียนเข้าร่วมการทดลอบประสิทธิภาพ ควรเลือกนักเรียนที่เป็นตัวแทนของนักเรียนที่ใช้สื่อหรือชุดการสอน ตามแนวทางการสุ่มตัวอย่างที่ถูกต้อง 2) การเลือกเวลาและสถานที่ทดลอบประสิทธิภาพ ควร หาสถานที่และเวลาที่ปราศจากเสียงรบกวน ไม่ร้อนอบอ้าว และควรทดลอบประสิทธิภาพในเวลาที่นักเรียนไม่หิวกระหาย ไม่รีบร้อนกลับบ้าน หรือไม่ต้องพะวักพะวนไปเข้าเรียนในชั้นอื่น 3) การชี้แจงวัตถุประสงค์และวิธีการ ต้อง ชี้แจงให้นักเรียนทราบถึงวัตถุประสงค์ของการทดลอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการ สอนและการจัดห้องเรียนแบบศูนย์การเรียน หากนักเรียนไม่คุ้นเคยกับวิธีการใช้สื่อหรือชุดการสอน 4) การรักษาสถานการณ์ตามความเป็นจริง สำหรับ การทดลอบประสิทธิภาพสอนภาคสนามในชั้นเรียนจริง ต้องรักษาสภาพการณ์ให้เหมือนที่เป็นอยู่ในห้องเรียนทั่วไป เช่น ต้องใช้ครูเพียงคนเดียว ห้ามคนอื่นเข้าไปช่วย ผู้ สังเกตการณ์ต้องอยู่ห่างๆ ไม่เข้าไปช่วยเหลือเด็ก ต้องปล่อยให้ครูผู้ทดลอบประสิทธิภาพสอนแก้ปัญหาด้วยเอง หากจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือก็ให้ครูผู้สอนเป็นผู้บอกให้เข้า ไปช่วย มิฉะนั้นการทดลอบประสิทธิภาพสอนก็ไม่สะท้อนสถานการณ์จริงที่มีคนสอนเพียงคน เดียว การดำเนินการสอนตามขั้นตอน ดำเนิน การสอนตามขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการทดลงแบบเดี่ยว แบบกลุ่ม และภาคสนาม หลังจากชี้แจงให้นักเรียนทราบเกี่ยวกับสื่อ ชุดการสอน และวิธีการสอน แล้ว ครูจะต้องดำเนินการสอนตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในแต่ละระบบการสอน สำหรับการสอนแบบศูนย์การเรียน ดำเนินตามขั้นตอน 5 ขั้น คือ 1) ทดสอบก่อนเรียน (2) นำเข้าสู่บทเรียน (3) ให้นักเรียนทำกิจกรรม กลุ่ม (4) สรุปบทเรียน (ครูสรุปเองหรือให้นักเรียนช่วยกันสรุปก็ได้ ทั้งนี้ต้องดูตามที่กำหนดไว้ในแผนการสอน) และ (5) สอบหลังเรียน – สำหรับการสอนแบบอิงประสบการณ์ มี 7 ขั้นตอน คือ (1) ประเมินก่อนผชิญประสบการณ์ (2) ปฐมนิเทศ (3) เผชิญประสบการณ์หลัก ประสบการณ์รอง ตามภารกิจ และงานที่กำหนด (4) รายงานความก้าวหน้าของการเผชิญประสบการณ์หลักและรอง (5) รายงานผลสุดท้าย (6) สรุปการเผชิญประสบการณ์ และ (7) ประเมินหลังเผชิญประสบการณ์ การสอนทางอิเล็กทรอนิกส์ อาจดำเนินตามขั้นตอน 7 ขั้น คือ(1) สอบก่อนเรียน (2) ศึกษาประมวลการสอน แผนกิจกรรมและเส้นทางการเรียน (Course Syllabus, Course Bulletin and Learning Route) (3) ศึกษาเนื้อหาสาระทีกำหนดให้แบบออนไลน์บนเว้ปหรือออฟไลน์ ในซีดีหรือตำรา คือจากแหล่งความรู้ที่กำหนดให้ (4) ให้นักเรียนทำกิจกรรมเดี่ยว (Individual Assignment) และกิจกลุ่มร่วมมือ (Collaborative Group) (5) ส่งงานที่มอบหมาย (Submission of Assignment) (6) สรุปบทเรียน (ครูสรุปเอง หรือให้นักเรียนช่วยกันสรุปก็ได้ ทั้งนี้ต้องดูตามที่กำหนดไว้ในแผนการสอน) และ (7) สอบหลังเรียน บทบาทของครูขณะทดลอบประสิทธิภาพ 1) ต้องคอยสังเกตและบันทึกพฤติกรรมของนักเรียนอย่างใกล้ชิด เพื่อดูว่านักเรียนทำหน้าฉงนเงียบหรือสงสัยประการใด 2) 2) สังเกตและปฏิสัมพันธ์ (Interactive Analysis) ของนักเรียน โดยใช้แบบสังเกตปฏิบัติสัมพันธ์ที่มีผู้พัฒนาขึ้นแล้ว เช่น Flanders Interactive Analysis (FIA), Brown Interactive Analysis (BIA), Chaiyong Interactive Analysis (CIA) พยายามรักษาสุขภาพจิต ไม่คาดหวังหรือเครียดกับความเหน็ดเหนื่อยที่ทุ่มเทในการผลิตชุดการสอน หรือเครียดกับการเกรงว่า ผล การทดสอบประสิทธิภาพจะไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ เกรงว่า จะไม่ได้รับความร่วมมือจากนักเรียน 4) สร้างบรรยากาศอบอุ่นและเป็นกันเอง ครูต้องเป็นกันเองกับนักเรียน เวลาสอบก่อนเรียน ยิ้มแย้มแจ่มใส สร้างบรรยากาศที่นักเรียนจะแสดงออกเสรี ไม่ทำหน้าเคร่งขรึมจนนักเรียนกลัว ต้องชี้แจงว่าการสอบครั้งนี้ไม่มีผลต่อการสอบไล่ปกติของนักเรียนแต่ประการใด 6) ปล่อยให้นักเรียนศึกษาและประกอบกิจกรรมจากสื่อหรือชุดการสอนตามธรรมชาติ โดยทำทีว่า ครูไม่ได้สนใจจับผิดนักเรียน ด้วยการทำทีทำงานหรืออ่านหนังสือ 7) หากสังเกตว่านักเรียนคนใดมีปัญหาระหว่างการทดสอบ อย่าให้ความสนใจเป็นพิเศษ แต่ให้บันทึกพฤติกรรมไว้เพื่อจำมาซักถามและพูดคุยกับนักเรียนในภายหลัง บทบาทของครูภาคสนามกับนักเรียนทั้งชั้น 1) ปฏิบัติตามข้อเสนอแนะ ที่นำเสนอทั้ง 7 ข้อที่กล่าวมาแล้ว 2) ครูต้องพยายามอธิบายประเด็นต่างๆ ที่ต้องการจะบอกนักเรียนอย่างชัดเจน 3) เมื่อบอกให้นักเรียนลงมือประกอบกิจกรรมแล้ว ครูต้องหยุดพูดเสียงดัง หากประสงค์จะประกาศอะไรต้องรอจนเปลี่ยนกลุ่ม หรือไปพูดกับนักเรียนคนนั้นหรือกลุ่มนั้น ด้วยเสียงที่พอได้ยินเฉพาะครู กับนักเรียนครูต้องไม่พูดมากโดยไม่จำเป็น ขณะที่นัก เรียนประกอบกิจกรรม ครูจะต้องเดินไปตามกลุ่มต่างๆ เพื่อสังเกตพัฒนาการของนักเรียนดูการทำงานของสมาชิกในกลุ่ม ความเป็นผู้นำผู้ตามและอาจให้ความช่วยเหลือนักเรียนกลุ่มใดหรือคนใดที่มี ปัญหา แต่ไม่ควรไปนั่งเฝ้ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ เพราะจะทำให้นักเรียนอึดอัด เครียด หรือบางคนอาจแสดงพฤติกรรมเขื่องเพื่ออวดครู เมื่อ จะให้นักเรียนเปลี่ยนกลุ่ม ครูควรชี้แจงให้นักเรียนเดินช้าๆ ไม่ต้องรีบเร่ง และให้หัวหน้าเก็บสื่อการสอนใส่ซองไว้ให้เรียบร้อยก่อนเปลี่ยนไปกลุ่มอื่นๆ ห้ามหยิบชินส่วนใดติดมือไป ยกเว้น “แบบฝึกปฏิบัติ” หรือ “กระดาษคำตอบ” ประจำตัวของนักเรียนเอง 6) การเปลี่ยนกลุ่มกระทำได้ 3 วิธี คือ (1) เปลี่ยนพร้อมกันทุกกลุ่มหากทำกิจกรรมเสร็จพร้อมกัน (2) กลุ่มใดเสร็จก่อน ให้ไปทำงานในกลุ่มสำรอง (3) หากมี 2 กลุ่มทำเสร็จพร้อมกันก็ให้เปลี่ยนกันทันที หลังจาก การทดสอบประสิทธิภาพสิ้นสุดลง ขอให้แสดงความชื่นชมที่นักเรียนให้ความร่วมมือ และประสบความสำเร็จในการเรียนจาก สื่อหรือชุดการสอน 8) หากทำได้ ให้แจ้งผลการทดสอบหลังเรียนให้นักเรียนทราบเพื่อให้ประสบการณ์ที่เป็นความสำเร็จ ปัญหาจากการทดสอบประสิทธิภาพ การประเมินประสิทธิภาพตามระบบการสอน “แผน จุฬา” ที่ยึดแนวทางประเมินแบบสามมิติ คือ (1) การหาพัฒนาการทางการเรียนคือผู้เรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (2) การหาประสิทธิภาพทวิผลคือ กระบวนการควบคู่ผลลัพธ์โดยกำหนดค่าประสิทธิภาพเป็น E1/E2 (Efficiency of Process/Efficiency of Products) เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างผลการเรียนที่เป็นกระบวนการและผลการเรียนที่เป็น ผลลัพธ์ และ (3) การหาความพึงพอใจของผู้เรียน โดยการประเมินคุณภาพของสื่อหรือชุดการสอนที่มีผลต่อความพึงพอใจของผู้สอนและ ผู้เรียน หลังจากเวลาผ่านไปมากกว่า 30 ปี ได้พบปัญหาที่พอสรุปได้ ประการ นักวิชาการรุ่นหลังนำแนวคิดทดสอบประสิทธิภาพที่พัฒนาโดยศาสตราจารย์ ดร.ชัยยงค์ พรหมวงศ์ เมื่อพ.ศ. 2516 และได้เผยแพร่อย่างต่อมาตั้งแต่ พ.ศ. 2520 มาเป็นของตนเอง โดยเขียนเป็นบทความหรือตำราแล้วไม่มีการอ้างอิง มีจำนวนมากกว่าร้อยรายการ ทำให้นิสิตนักศึกษารุ่นหลังไม่ทราบที่มาของการทดสอบประสิทธิภาพ จึงทำให้มีผู้ที่อ้างว่าเป็นเจ้าของทฤษฎี E1/E2 เป็นจำนวนมาก บางสำนักพิมพ์ได้นำความรู้เรื่องการสอนแบบศูนย์การเรียน ของ ศาสตราจารย์ ดร.ชัยยงค์ พรหมวงศ์ ไปพิมพ์เผยแพร่ ตั้งแต่ พ.ศ. 2539 และมีรายได้มหาศาล นักวิชาการนำ E1/E2 ไปเป็นของฝรั่ง เช่น ระบุว่า การหาประสิทธิภาพ E1/E2 เกิดจากแนวคิด Mastery Learning ของ Bloom นักวิชาการไม่เข้าใจหลักการของการตั้งเกณฑ์ประสิทธิภาพ เช่น เสนอแนะให้ตั้งเกณฑ์ไว้ต่ำ (เช่น E1/E2 =70/70) หลังจากตั้งเกณฑ์ไว้ต่ำแล้ว เมื่อหาค่า E1/E2 ได้ สูงกว่า ก็ประกาศด้วยความภาคภูมิใจว่า สื่อหรือชุดการสอนของตนมีประสิทธิภาพมากกว่าเกณฑ์ ซึ่งที่จริงเป็นเพราะตนเองตั้งเกณฑ์ไว้ต่ำไปแทนที่จะ ปรับเกณฑ์ให้สูงขึ้นอันเป็นผลจากคุณภาพของสื่อหรือชุดการสอน ไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของ E1 และ E2 ทั้งสองค่าควรได้ใกล้เคียงกัน กล่าวคือ แปรปรวนหรือแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญที่ระดับ .05 (แตกต่างกันได้ไม่เกิน ±2.5 ของค่า E1 และ E2 ซึ่งจะมีผลทำให้ค่ากระบวนการ E1ไม่สูงกว่าค่าผลลัพธ์E2 เกินร้อยละ 5 นักวิชาการบางคนเขียนเผยแพร่ในเว้ปว่า ค่า E1 ควรมากกว่า E2 เพราะการทำแบบฝึกหัดหรือกิจกรรมปรกติจะง่ายกว่าการสอบ ถือเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง หากค่า E1 สูง แสดงว่า กิจกรรมที่ให้นักเรียนทำง่ายไป หากค่า E2 สูงก็แสดงว่า ข้อสอบอาจจะง่ายเพราะเป็นการวัดความรู้ความจำมากกว่า ดังนั้น ครูต้องปรับกิจกรรมให้ตรงตามระดับพฤติกรรมที่ตั้งไว้ รองศาสตราจารย์ ดร.เปรื่อง กุมุท อธิบาย 90/90 Standard ว่า “...90 แรกหมายถึง เป็นคะแนนเฉลี่ยของทั้งกลุ่ม ซึ่งหมายถึงนักเรียนทุกคน เมื่อสอนครั้งหลังเสร็จให้คะแนนเสร็จ นำคะแนนมาหาค่าร้อยละเฉลี่ยของกลุ่มจะต้องเป็น 90 หรือสูงกว่า ….90 ตัวที่สองแทนคุณสมบัติที่ว่า ร้อยละของนักเรียนทั้งหมด ได้รับผลสัมฤทธิ์ตามความมุ่งหมายแต่ละข้อ และทุกข้อของบทเรียนโปรแกรมส่วน E1/E2 เน้นการเปรียบเทียบผลการเรียนจากพฤติกรรมต่อเนื่องคือกระบวนการ กับพฤติกรรมสุดท้ายคือ ผลลัพธ์ ดังนั้น แนวคิดของ E1/E จึงมีจุดเน้นต่างกับกัน 90/90 Standard หรือ มาตรฐาน 90/90 ที่เน้นความสัมพันธ์ของพฤติกรรมสุดท้ายของนักเรียน กับ การบรรลุวัตถุประสงค์แต่ละข้อและทุกข้อของบทเรียน แม้จะใช้ 90/90 80/80 หากไม่เน้นกระบวนการกับผลลัพธ์ ก็จะนำไปแทนค่า E1/E2 ไม่ได้



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

เกษร
เขียนเมื่อ

การพัฒนาแผนการเรียนรู้ เรื่องการแปลงทางเรขาคณิต ........................................................................................................... การพัฒนาแผนการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องการแปลงทาง เรขาคณิต ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้แผนผังความคิด (Mind Mapping) โดย นางสุขี วรรณกุล

ปริญญา กศ.ม สาขาวิชา หลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัย มหาวิทยามหาสารคาม ปีที่พิมพ์ 2551

การแปลงทางเรขาคณิตเป็นเนื้อหาใหม่ที่เพิ่มเข้ามาตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ครูผู้สอนต้องจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่จะทำให้ผลการเรียนดีขึ้น และแผนผังความคิด (Mind Mapping) เป็นเทคนิควิธีการสอนหนึ่งที่นำมาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนรู้ การศึกษาค้นคว้าอิสระครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อพัฒนาแผนการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องการแปลงทางเรขาคณิต ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้แผนผังความคิด (Mind Mapping) ที่มีประสิทธิภาพ ตามเกณฑ์ 75/75 เพื่อหาค่าดัชนีประสิทธิผลทางการเรียนรู้ และเพื่อศึกษาความคงทนในการเรียนรู้ของผู้เรียน กลุ่มตัวอย่างในครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านนายูง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุดรธานีเขต 2 ปีการศึกษา 2550 จำนวน 35 คน จาก 1 ห้องเรียน ซึ่งได้มาโดย การเลือกแบบเจาะจง(Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า จำนวน 2 ชนิด ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการแปลงทางเรขาคณิต โดยใช้แผนผังความคิด(Mind Mapping) จำนวน 12 แผน ทำการสอนแผนละ 1 ชั่วโมง และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องการแปลงทางเรขาคณิต ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือกจำนวน 30 ข้อ ซึ่งมีค่าอำนาจจำแนกรายข้อ ตั้งแต่ 0.24 - 0.72 ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.85 สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานโดยใช้ t-test (Dependent Samples) ผลการศึกษาค้นคว้าปรากฏ ดังนี้ 1. แผนการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องการแปลงทางเรขาคณิต ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้แผนผังความคิด (Mind Mapping) มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 86.01/83.80 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 2. ดัชนีประสิทธิผลทางการเรียนรู้คณิตศาสตร์ของนักเรียนหลังการเรียนด้วยแผนการ เรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องการแปลงทางเรขาคณิต ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้แผนผังความคิด (Mind Mapping) เท่ากับ 0.7481 3. นักเรียนที่เรียนด้วยแผนการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องการแปลง ทางเรขาคณิต ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้แผนผังความคิด (Mind Mapping) มีคะแนนเฉลี่ยของการสอนหลังเรียนกับคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน 14 วัน แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยคะแนนหลังเรียนไปแล้ว 14 วัน สูงกว่าคะแนนหลังเรียนโดยสรุป แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องการแปลงทางเรขาคณิต โดยใช้แผนผังความคิด(Mind Mapping) มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเหมาะสม สามารถนำแผนการจัดการเรียนรู้นี้ไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์เพื่อให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวังได้



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

เกษร
เขียนเมื่อ

การประเมิน การนำเสนองานวิจัย ของเพื่อนๆ

1. ชื่อผู้นำเสนอ

2. ชื่อเรื่อง

3. ข้อดี

4. ข้อปรับปรุง

5. ข้อเสนอแนะ

6. สรุปผลการประเมิน ระดับน้อย(1) ปานกลาง(2) มาก(3) เกณฑ์จากการทำ powerpoint

6.1 ขนาดตัวอักษรเหมาะสม

6.2 สีตัวอักษร

6.3 การออกแบบพื้นหลัง

6.4 ภาพประกอบ

6.5 เสียงประกอบ

6.6 เทคนิคการเคลื่อนไหวระหว่างประโยค

6.7 วิธีการนำเสนอ

6.8 เทคนิคพิเศษ

 



ความเห็น (34)

1. ชื่อผู้นำเสนอ

นางสุภาภรณ์ น้อยทรง

2. ชื่อเรื่อง

การวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมด้านความมีระเบียบวินัยของนักเรียนช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนบ้านโพนสวรรค์

3. ข้อดี

เป็นเรื่องที่น่าสนใจ

4. ข้อปรับปรุง

สีตัวอักษร ของหัวข้อกับเนื้อหาให้แตกต่างกัน

5. ข้อเสนอแนะ

6. สรุปผลการประเมิน ระดับน้อย(1) ปานกลาง(2) มาก(3) เกณฑ์จากการทำ powerpoint

6.1 ขนาดตัวอักษรเหมาะสม

2

6.2 สีตัวอักษร

3

6.3 การออกแบบพื้นหลัง

2

6.4 ภาพประกอบ

1

6.5 เสียงประกอบ

2

6.6 เทคนิคการเคลื่อนไหวระหว่างประโยค

2

6.7 วิธีการนำเสนอ

2

6.8 เทคนิคพิเศษ

1. ชื่อผู้นำเสนอ

นางสาวปราณี

2. ชื่อเรื่อง

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์

3. ข้อดี เปฺ็นวิจัยเชิงปฏิบัติการ รูปแบบการนำเสนอสมบูรณ์

4. ข้อปรับปรุง -

5. ข้อเสนอแนะ -

6. สรุปผลการประเมิน ระดับน้อย(1) ปานกลาง(2) มาก(3) เกณฑ์จากการทำ powerpoint

6.1 ขนาดตัวอักษรเหมาะสม 3

6.2 สีตัวอักษร 3

6.3 การออกแบบพื้นหลัง 3

6.4 ภาพประกอบ 2

6.5 เสียงประกอบ 2

6.6 เทคนิคการเคลื่อนไหวระหว่างประโยค 2

6.7 วิธีการนำเสนอ 2

6.8 เทคนิคพิเศษ

1. ชื่อผู้นำเสนอ

นางอรัญญา ช่วยวัฒนะ

2. ชื่อเรื่อง

การพัฒนาการอ่านและการเขียนแจกลูกสะกดคำ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย

3. ข้อดี เป็นแนวทางการแก้ปัญหานักเรียนอ่านและเขียน

4. ข้อปรับปรุง สีตัวอักษรหัวข้อและเนื้อหาควรแตกต่างกัน

5. ข้อเสนอแนะ -

6. สรุปผลการประเมิน ระดับน้อย(1) ปานกลาง(2) มาก(3) เกณฑ์จากการทำ powerpoint

6.1 ขนาดตัวอักษรเหมาะสม 2

6.2 สีตัวอักษร 2

6.3 การออกแบบพื้นหลัง 3

6.4 ภาพประกอบ 2

6.5 เสียงประกอบ 2

6.6 เทคนิคการเคลื่อนไหวระหว่างประโยค 2

6.7 วิธีการนำเสนอ 2

6.8 เทคนิคพิเศษ 2

1. ชื่อผู้นำเสนอ นางกุลกนก เสียงล้ำ

2. ชื่อเรื่อง การพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงานวิทยาศาสตร์ โดยประยุกต์ทฤษฎีพหุปัญญา

3. ข้อดี รูปแบบ powerpoint น่าสนใจ

4. ข้อปรับปรุง-

5. ข้อเสนอแนะ ควรนำเสนอเนื้อหาส่วนที่สำคัญของบทที่ 3

6. สรุปผลการประเมิน ระดับน้อย(1) ปานกลาง(2) มาก(3) เกณฑ์จากการทำ powerpoint

6.1 ขนาดตัวอักษรเหมาะสม 2

6.2 สีตัวอักษร 3

6.3 การออกแบบพื้นหลัง 3

6.4 ภาพประกอบ 2

6.5 เสียงประกอบ 2

6.6 เทคนิคการเคลื่อนไหวระหว่างประโยค 2

6.7 วิธีการนำเสนอ 2

6.8 เทคนิคพิเศษ 2

1. ชื่อผู้นำเสนอ นางดุษฎี เหลาแหลม

2. ชื่อเรื่อง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม โดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ

3. ข้อดี น่าสนใจ

4. ข้อปรับปรุง เนื้อหาบางเฟรมล้นกรอบ

5. ข้อเสนอแนะ -

6. สรุปผลการประเมิน ระดับน้อย(1) ปานกลาง(2) มาก(3) เกณฑ์จากการทำ powerpoint

6.1 ขนาดตัวอักษรเหมาะสม 3

6.2 สีตัวอักษร 3

6.3 การออกแบบพื้นหลัง 2

6.4 ภาพประกอบ 2

6.5 เสียงประกอบ 3

6.6 เทคนิคการเคลื่อนไหวระหว่างประโยค 2

6.7 วิธีการนำเสนอ 2

6.8 เทคนิคพิเศษ 2

1. ชื่อผู้นำเสนอ นางสาวศิราณี กลางประพันธ์

2. ชื่อเรื่อง การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน การฝึกปฏิบัติ ชุดจัดการเรียนรู้ เพื่อฝึกปฏิบัติการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์โดยใช้อัลกอลิทึม

3. ข้อดี เป็นเรื่องที่แปลกใหม่ น่าสนใจ

4. ข้อปรับปรุง เนื้อไม่ควรให้มีเงา เพราะทำให้ผู้ชมมองไม่ชัด

5. ข้อเสนอแนะ -

6. สรุปผลการประเมิน ระดับน้อย(1) ปานกลาง(2) มาก(3) เกณฑ์จากการทำ powerpoint

6.1 ขนาดตัวอักษรเหมาะสม 3

6.2 สีตัวอักษร 3

6.3 การออกแบบพื้นหลัง 3

6.4 ภาพประกอบ 2

6.5 เสียงประกอบ 2

6.6 เทคนิคการเคลื่อนไหวระหว่างประโยค 2

6.7 วิธีการนำเสนอ 3

6.8 เทคนิคพิเศษ 3

1. ชื่อผู้นำเสนอ นางวิลัยพร วรรณวิจิตร

2. ชื่อเรื่อง การฝึกบริหารจิตตามวิธีขอโยคะที่มีผลต่อการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ในการวาดรูประบายสี ของนักเรียน ป.4

3. ข้อดี น่าสนใจ

4. ข้อปรับปรุง ตัวเลขกับตัวหนังสือไม่เท่ากัน

5. ข้อเสนอแนะ ตัวอักษรหัวข้อกับเนื้อหาควรแตกต่างกัน

6. สรุปผลการประเมิน ระดับน้อย(1) ปานกลาง(2) มาก(3) เกณฑ์จากการทำ powerpoint

6.1 ขนาดตัวอักษรเหมาะสม 2

6.2 สีตัวอักษร 2

6.3 การออกแบบพื้นหลัง 2

6.4 ภาพประกอบ 2

6.5 เสียงประกอบ 2

6.6 เทคนิคการเคลื่อนไหวระหว่างประโยค 2

6.7 วิธีการนำเสนอ 2

6.8 เทคนิคพิเศษ 2

1. ชื่อผู้นำเสนอ นางสาวพรพรรณ ศรีประสงค์

2. ชื่อเรื่อง การพัฒนาผลการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง ตรรกศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ TAI

3. ข้อดี น่าสนใจ

4. ข้อปรับปรุง สีสันเกินไป

5. ข้อเสนอแนะ -

6. สรุปผลการประเมิน ระดับน้อย(1) ปานกลาง(2) มาก(3) เกณฑ์จากการทำ powerpoint

6.1 ขนาดตัวอักษรเหมาะสม 2

6.2 สีตัวอักษร 2

6.3 การออกแบบพื้นหลัง 2

6.4 ภาพประกอบ 2

6.5 เสียงประกอบ 2

6.6 เทคนิคการเคลื่อนไหวระหว่างประโยค 2

6.7 วิธีการนำเสนอ 2

6.8 เทคนิคพิเศษ 2

ชื่อผู้นำเสนอ รังรอง วะภัคเพชร เลขที่ 04

ชื่อเรื่องที่นำเสนอ การพัฒนาชุดฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4

ข้อดี เวลาเหมาะสม

ข้อปรับปรุง เนื้อหาข้อมูลมากเกินไป

ข้อเสนอแนะ ควรปรับปรุง สีอักษร ภาพพื้นหลัง ให้ต่างกัน

สรุปผลการประเมิน ระดับ น้อย (1) ปานกลาง (2) มาก (3)

สรุป 2

ชื่อผู้นำเสนอ ดาระณี ภูนิคม

ชื่อเรื่องที่นำเสนอ การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์

ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6

ข้อดี มีความเข้าใจในเนื้อหาข้อมูลของงานวิจัยที่นำมาเสนอ

ข้อปรับปรุง -

ข้อเสนอแนะ ควรปรับปรุง สีอักษร ภาพพื้นหลัง ให้ต่างกัน

สรุปผลการประเมิน ระดับ น้อย (1) ปานกลาง (2) มาก (3)

สรุป 3

ชื่อผู้นำเสนอ นายสว่าง พิมพิชัย เลขที่ 07

ชื่อเรื่องที่นำเสนอ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มร่วมมือการเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5

ข้อดี มีความเข้าใจในเนื้อหาข้อมูลของงานวิจัยที่นำมาเสนอ วาทะการนำเสนอดี

ข้อปรับปรุง -

ข้อเสนอแนะ ควรปรับปรุง สีอักษร ภาพพื้นหลัง ให้ต่างกัน

สรุปผลการประเมิน ระดับ น้อย (1) ปานกลาง (2) มาก (3)

สรุป 3

ชื่อผู้นำเสนอ นางสาวพรทิพย์ อาจวีชัย เลขที่ 34

ชื่อเรื่องที่นำเสนอ การเปรียบเทียบสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และความสามารถด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ประกอบการเขียนผังมโนมิติกับการสอนปกติ

ข้อดี มีความเข้าใจในเนื้อหาข้อมูลของงานวิจัยที่นำมาเสนอ

ข้อปรับปรุง -

ข้อเสนอแนะ ควรปรับปรุง สีอักษร ภาพพื้นหลัง ให้ต่างกัน

สรุปผลการประเมิน ระดับ น้อย (1) ปานกลาง (2) มาก (3)

สรุป 2.5

นางดวงฤดี แก้วเสถียร

ชื่อเรื่อง ผลของการใช้เทคนิคผังกราฟฟิกในการเรียนการสอนในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ที่มีการนำเสนอข้อความรู้ด้วยผีงกราฟฟิกของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น

ข้อดี มีความเข้าใจในเนื้อหาข้อมูลของงานวิจัยที่นำมาเสนอ

ข้อปรับปรุง -การเปลี่ยนแปลงตัวอักษร ภาพพื้นหลัง ขนาดอักษร

ข้อเสนอแนะ ควรปรับปรุง สีอักษร ภาพพื้นหลัง ให้ต่างกัน

สรุปผลการประเมิน ระดับ น้อย (1) ปานกลาง (2) มาก (3)

สรุป 2.5

ชื่อ นางวราภรณ์ วุฒิสาร

ชื่อเรื่อง การเปรียบเทียบความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษแบบมุ่งประสบการณ์ภาษาฯ

ข้อดี มีความเข้าใจในเนื้อหาข้อมูลของงานวิจัยที่นำมาเสนอ การใช้เสียงเหมาะสม

ข้อปรับปรุง ตัวอักษรเล็กเกินไป ควรให้หัวข้อและเนื้อหาแตกต่างกัน

ข้อเสนอแนะ -

สรุปผลการประเมิน 2.5

ชื่อ นางทิวากร วงศ์วิชิต

ชื่อเรื่อง การพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูงและผมสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาฟิสิกส์ ของนักเรียนชั้น ม.5 ฯ

ข้อดี มีความเข้าใจในเนื้อหาข้อมูลของงานวิจัยที่นำมาเสนอ มีความน่าสนใจ

ข้อปรับปรุง ตัวอักษรที่เป็นเนื้อหาบางเฟรมไม่ชัดเจน

ข้อเสนอแนะ -

สรุปผลการประเมิน 2.5

ชื่อ นางสาวอมรพรรณ บุญมาวงษา

ชื่อเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและจิตวิทยาศาสาสตร์ที่เรียนโดยชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์บูรณาการ

ข้อดี มีความเข้าใจในเนื้อหาข้อมูลของงานวิจัยที่นำมาเสนอ มีความน่าสนใจ มีสีสัน

ข้อปรับปรุง ตัวเลขและตัวอักษรไทย-อังกฤษ ควรใช้ประเภทเดียวกัน

ข้อเสนอแนะ -

สรุปผลการประเมิน 2.5

ชื่อ นางสุธิดา ศรีลาดเลา

ชื่อเรื่อง ผลการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขั้น ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ฯ

ข้อดี มีความเข้าใจในเนื้อหาข้อมูลของงานวิจัยที่นำมาเสนอ มีสีสัน น่าสนใจ

ข้อปรับปรุง

ข้อเสนอแนะ -

สรุปผลการประเมิน 3

ชื่อ นายชูชีพ เหลือผล

ชื่อเรื่อง การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ชาวยสอนบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ด้วยการเรียนรู้ร่วมกันโดยใช้เทคนิคการใช้ปัญาหาเป็นฐานฯ

ข้อดี มีความเข้าใจในเนื้อหาข้อมูลของงานวิจัยที่นำมาเสนอ มีสีสัน รูปแบบน่าสนใจ

ข้อปรับปรุง ตัวอักษรภาษาอังกฤษใหญ่เกินไป

ข้อเสนอแนะ -

สรุปผลการประเมิน 3

ชื่อ นางสาวธัญญรัตน์ แสนคำ

ชื่อเรื่อง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้น ม.2 ระหว่างการเรียนจากวิดีทัศน์แบบปฏิสัมพันธ์กับการสอนปกติ

ข้อดี มีความเข้าใจในเนื้อหาข้อมูลของงานวิจัยที่นำมาเสนอ รูปแบบน่าสนใจ

ข้อปรับปรุง -

ข้อเสนอแนะ -

สรุปผลการประเมิน 3

ชื่อ นางสาวภัทรนันท์ บุญมาก

ชื่อเรื่อง การใช้นิทานอิงธรรมประกอบคำถามปลายเปิด เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดเชิงเหตุผลของเด็กอนุบาลฯ

ข้อดี มีความเข้าใจในเนื้อหาข้อมูลของงานวิจัยที่นำมาเสนอ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ

ข้อปรับปรุง -

ข้อเสนอแนะ -

สรุปผลการประเมิน 2.5

ชื่อ นางสาวอนุธิดา สารทอง

ชื่อเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และความสามารถในการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้ปัญหาเป็นฐานและการเรียนรู้แบบสืบเสาะฯ

ข้อดี มีความเข้าใจในเนื้อหาข้อมูลของงานวิจัยที่นำมาเสนอ น้ำเสียงเหมาะสม

ข้อปรับปรุง บางเฟรมใช้สีพื้นเข้ม มีลวดลายทำให้มองเห็นตัวหนังสือำไม่ชัดเจน

ข้อเสนอแนะ สัญลักษณ์หัวข้อและตัวเลขหัวข้อไม่ควรใส่ซ้อนกัน

สรุปผลการประเมิน 2.5

ชื่อ นางสาวเกศินี คำเกษ

ชื่อเรื่อง การเปรียบเทียบความเข้าใจในการอ่านและเจตคติต่อวิชาภาษาไทยของนักเรียนระหว่างกลุ่มที่ได้รับการเรียนรู้แบบ 4 MAT กับการเรียนแบบปกติ

ข้อดี มีความเข้าใจในเนื้อหาข้อมูลของงานวิจัยที่นำมาเสนอ น้ำเสียงเหมาะสม

ข้อปรับปรุง ตัวอักษรเล็กเกินไป

ข้อเสนอแนะ

สรุปผลการประเมิน 3

ชื่อ นางอัจฉรา เหลือผล

ชื่อเรื่อง การพัฒนาชุดการเรียนคณิตศาสตร์ที่เน้นทักษะกระบวนการแก้ปัยหาทางคณิตศาสตร์ โดยการสอนแบบค้นพบ เรื่องสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว

ข้อดี มีความเข้าใจในเนื้อหาข้อมูลของงานวิจัยที่นำมาเสนอ รูปแบบน่าสนใจ

ข้อปรับปรุง ไม่ควรมีตัวเชื่อมโยง

ข้อเสนอแนะ

สรุปผลการประเมิน 3

ชื่อ นางสุรีพร ประภาหาร

ชื่อเรื่อง การพัฒนาการจัดกิจกรรมเล่านิทานส่งเสริมพฤติกรรมจริยธรรมด้านการช่วยเหลือและการแบ่งปันผู้อื่นของเด็กปฐมวัย

ข้อดี มีความเข้าใจในเนื้อหาข้อมูลของงานวิจัยที่นำมาเสนอ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ

ข้อปรับปรุง บางเฟรมตัวหนังสือเล็กเกินไป

ข้อเสนอแนะ

สรุปผลการประเมิน 2

ชื่อ นางนิตยา นวลมณี

ชื่อเรื่อง การพัฒนาแบบฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานประกอบการเรียนรู้แบบสืบเสาะ

ข้อดี มีความเข้าใจในเนื้อหาข้อมูลของงานวิจัยที่นำมาเสนอ

ข้อปรับปรุง สีหัวข้อไม่ชัดเจน บางเฟรมตัวหนังสือเล็กเกินไป ชื่อเรื่องกลมกลืนกับสีพื้น

ข้อเสนอแนะ -

สรุปผลการประเมิน 2.5

ชื่อ นางชินตา สุภาชาติ

ชื่อเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการแก้ปัญหาทางฟิสิกส์ของนนักเรียน ด้วยวิธีการสอนแบบสืบเสาะ โดยเสริมเทคนิคการแก้ปัญหาตามเทคนิคของโพลยา

ข้อดี มีความเข้าใจในเนื้อหาข้อมูลของงานวิจัยที่นำมาเสนอ

ข้อปรับปรุง เนื้อหามากเกินไป

ข้อเสนอแนะ -

สรุปผลการประเมิน 2

ชื่อ นางสาวยุพิน ปัญญาประชุม

ชื่อเรื่อง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสุขศึกษาฯ

ข้อดี มีความเข้าใจในเนื้อหาข้อมูลของงานวิจัยที่นำมาเสนอ

ข้อปรับปรุง ควรเน้นเรื่องน้ำเสียง

ข้อเสนอแนะ -

สรุปผลการประเมิน 2

ชื่อ นางสาวเกศกนก

ชื่อเรื่อง การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศฯ

ข้อดี มีความเข้าใจในเนื้อหาข้อมูลของงานวิจัยที่นำมาเสนอ

ข้อปรับปรุง คำว่า ตัวแปร เขียนผิด (ตัวแปล) ตัวอักษรชิดขอบเกินไป

ข้อเสนอแนะ -

สรุปผลการประเมิน 2

ชื่อ นายเชาวฤทธิ์ เลขที่ 31

ชื่อเรื่อง การพัฒนาการอ่านและการเขียนแจกรูปสะกดคำฯ

ข้อดี มีความเข้าใจในเนื้อหาข้อมูลของงานวิจัยที่นำมาเสนอ

ข้อปรับปรุง

ข้อเสนอแนะ -

สรุปผลการประเมิน 2

ชื่อ นางฉวีวรรณ กุดหอม

ชื่อเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการทำงานกลุ่มวิชาดนตรีไทย โดยการเรียนรู้แบบร่วมมือฯ

ข้อดี มีความเข้าใจในเนื้อหาข้อมูลของงานวิจัยที่นำมาเสนอ รูปแบบน่าสนใจ

ข้อปรับปรุง -

ข้อเสนอแนะ -

สรุปผลการประเมิน 2.5

ชื่อ นางรัชฎาภรณ์ ปัญญาวงค์

ชื่อเรื่อง การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาโดยใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น เรื่อง ผลิตภัณฑ์สมุนไพรฯ

ข้อดี มีความเข้าใจในเนื้อหาข้อมูลของงานวิจัยที่นำมาเสนอ

ข้อปรับปรุง ตัวหนังสือเล็กเกินไป บางเฟรมพื้นหลังมีลวดลายทำให้ตัวหนังสือไม่ชัดเจน

ข้อเสนอแนะ -

สรุปผลการประเมิน 2

ชื่อ นางสาวสุพัสษา บุพศิริ

ชื่อเรื่อง การเปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ทางรูปภาพของเด็กปฐมวัยด้วยการเล่านิทานประกอบหุ่นกับการเล่านิทานประกอบรูปภาพ

ข้อดี มีความเข้าใจในเนื้อหาข้อมูลของงานวิจัยที่นำมาเสนอ

ข้อปรับปรุง บางเฟรมเนื้อหากับสีพื้นกลมกลืนกันเกินไป

ข้อเสนอแนะ -

สรุปผลการประเมิน 2

ชื่อ นางอิงอ้อย ชัยลา

ชื่อเรื่อง การสร้างโปรแกรมมัลติมีเดีย เรื่อง การผลิตบทเรียนช่วยสอน สำหรับครูประถมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการประถมศึกษาแห่งชาติ

ข้อดี มีความเข้าใจในเนื้อหาข้อมูลของงานวิจัยที่นำมาเสนอ น้ำเสียงในการนำเสนอเหมาะสม

ข้อปรับปรุง บางเฟรมใช้สีพื้นที่ส่งผลต่อสายตา

ข้อเสนอแนะ -

สรุปผลการประเมิน 2

ชื่อ นายไพทูรย์ เขียวรัตน์

ชื่อเรื่อง การพัฒนาโปรแกรมการฝึกการอบรมตามแนวทางไตรสิกขา เพื่อเสริมสร้างความมีวินัยในตนเอง ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5

ข้อดี มีความเข้าใจในเนื้อหาข้อมูลของงานวิจัยที่นำมาเสนอ มีความน่าสนใจ

ข้อปรับปรุง -

ข้อเสนอแนะ -

สรุปผลการประเมิน 3

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท