อนุทินล่าสุด


ศศิมา อรัญดร
เขียนเมื่อ

มือบอกสุขภาพ

        อาการนิ้วชา คุณรู้สึกว่ามือเย็นและชาๆ บ่อยไหม แม้ว่าอากาศจะไม่ได้หนาวก็ตาม ถ้ามีปัญหานี้อาจแสดงว่าคุณกำลังเผชิญกับโรคเรย์นอยด์ (Raynauds Disease) ซึ่งเป็นสาเหตุให้เส้นเลือดบริเวณมือตีบ ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ไม่ดี ทำให้เกิดอาการชา นิ้วมือซีดขาวแล้วเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ ในทางการแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของโรคนี้ แต่น่าจะเชื่อมโยงกับการเป็นรูมาตอยด์ และมีแนวโน้มว่ายิ่งอายุมากขึ้นอาการของโรคจะยิ่งเลวร้ายตามไปด้วย คุณจะทำอะไรได้บ้าง การปรับระบบการไหลเวียนโลหิตคือกุญแจสำคัญ ขิงสามารถช่วยปรับการไหลเวียนให้ดีขึ้นได้ ลองดื่มน้ำขิงร้อนๆ วันจะแก้ว ส่วนใบแปะก๊วยก็ช่วยการไหลเวียนเลือดได้ดีเช่นเดียวกัน หรือรับประทานผลไม้จำพวกผลเบอร์รี่ ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินซีที่ช่วยขยายหลอดเลือด เหงื่อออกที่ฝ่ามือ

        สำหรับบางคนอาการที่เกิดขึ้นในวัยหมดประจำเดือนทำให้เหงื่อออกที่มือได้ เนื่องจากการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนทำให้อุณหภูมิภายในร่างกายเปลี่ยนแปลง อาจปรับตัวไม่ทัน มีเหงื่อออกมาเพื่อระบายหรือปรับความร้อนในร่างกายให้เย็นลง หรืออาจเกิดขึ้นเมื่อคุณมีความเครียดด้วยก็ได้ คุณจะทำอะไรได้บ้าง สมุนไพรบางอย่างสามารถช่วยลดอาการเหงื่อออกในวัยหมดประจำเดือนได้ ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มร้อนๆ และอาหารรสจัด ซึ่งจะไปเพิ่มความร้อนในร่างกาย หากรู้สึกเครียด ให้หยดน้ำมันหอมกลิ่นลาเวนเดอร์สัก 2-3 หยดลงบนกระดาษทิชชู เอาไว้สูดดมเมื่อรู้สึกเครียด จุดสีน้ำตาล และริ้วรอยเหี่ยวย่น รอยจุดสีน้ำตาลที่ปรากฏบนมือ เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสี เนื่องจากโดนแสงแดดเป็นเวลานาน มักจะเกิดขึ้นกับคนในวัย 40 ขึ้นไป หากเกิดขึ้นกับผิวของคุณ แสดงว่าถึงเวลาแล้วที่คุณต้องหันมาใส่ใจกับการทาครีมกันแดดให้มากขึ้น ส่วนริ้วรอยเหี่ยวๆ ย่นๆ บนมือก็บ่งชี้ว่าผิวพรรณกำลังขาดความชุ่มชื้นอย่างหนัก คุณจะทำอะไรได้บ้าง จุดเหล่านี้สามารถจางลงได้ง่ายๆ ด้วยการใช้น้ำมะนาวมานวดถูมือเป็นประจำ และอย่าลืมทาครีมสำหรับทามือที่มีส่วนผสมของสารกันแดด แม้ว่าจะเป็นหน้าฝนก็ตาม การเลือกรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างผัก ผลไม้สดก็เป็นสิ่งจำเป็น เพราะสามารถช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ผิวโดนแผดเผาทำลายจากแสงแดดได้วิธีหนึ่ง หรือถ้าต้องการป้องกันอย่างล้ำลึกก็อาจทานอาหารเสริมร่วมด้วยก็ได้ คุณสามารถวัดอายุผิวด้วยวิธีง่ๆ โดยการดึงผิวหนังบริเวณหลังมือแล้วปล่อย หากผิวไม่กลับคืนเหมือนเดิมในทันที แสดงว่ากำลังขาดความชุ่มชื้นอย่างหนัก ควรดื่มน้ำให้มากขึ้นให้ได้อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร เพื่อคืนความเปล่งปลั่งชุ่มชื้นให้ผิวเหมือนสมัยสาวๆ ปวดมือ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นประจำ และเริ่มรู้สึกปวดหรือเมื่อยล้าบริเวณมือและข้อ นั่นเป็นเพราะคุณพิมพ์ดีดเป็นเวลานานเกิน ทำให้เส้นเอ็นถูกใช้งานมากเกินไป จนรู้สึกร้อนผ่าวบริเวณมือ คุณจะทำอะไรได้บ้าง ควรพักจากการใช้คอมพิวเตอร์ไปทำอย่างอื่นเสียบ้าง เปลี่ยนอิริยาบถ ลุกขึ้นบิดขี้เกียจคลายความเมื่อยล้า หรือเดินบ้าง อาจลุกไปชงกาแฟ หรือจะนั่งออกกำลังให้มือด้วยวิธีง่ายๆ ก็ได้ เริ่มโดยกำมือให้แน่นประมาณ 10 วินาที จากนั้นคลายมือออกโดยพยายามกางนิ้วมือให้ยืดออกมากที่สุดเท่าที่จะยืดได้ แล้วปล่อยมือตามปกติ ก่อนจะทำซ้ำตั้งแต่เริ่มอีก 5-10 ครั้ง ผื่นแดง ผื่นแดง และอาการแสบร้อนที่มักเกิดบริเวณหลังมือ ส่วนใหญ่เป็นผลจากการแพ้สารเคมี อย่าง ผงซักฟอก หรือพวกน้ำยาทำความสะอาดต่างๆ และบางครั้งอาจจะเกิดจากการใช้ถุงมือยางเป็นเวลานาน จนทำให้ผิวอ่อนบาง แพ้ง่าย โดนอะไรนิดหน่อยก็คันและเป็นผื่นง่าย คุณจะทำอะไรได้บ้าง ทาครีมสำหรับลดผื่นคัน หากต้องการป้องกันไม่ให้เกิดอาการผื่นแดงขึ้นอีก สามารถเสริมสร้างความแข็งแรงให้ผิวด้วยการนวดด้วยน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันจากเมล็ดอัลมอนด์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น และพยายามหลีกเลี่ยงสารเคมีที่แพ้ ไปใช้พวกผลิตภัณฑ์สำหรับผิวแพ้ง่ายที่ไม่มีส่วนผสมของสารเคมีนั้นๆ แทน ล หัตถศาสตร์ : ศาสตร์แห่งการดูลายมือ นักอ่านลายมือเชื่อว่าเส้นสำคัญที่เชื่อมโยงกับสุขภาพของคนเราคือเส้นชีวิต ลองมองดูที่มือข้างซ้ายสิ จะเห็นจุดเริ่มต้นของเส้นชีวิตจะอยู่ระหว่างนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้โค้งยาวลงไปถึงฐานของมือ เส้นนี้แสดงถึงระดับพลังอันเข้มแข็ง ขณะที่เส้นเล็กๆ ที่แยกออกไปจากเส้นนี้บ่งชี้ว่าเจ้าของฝ่ามือกำลังเผชิญกับความเครียด เส้นสมอง ถัดขึ้นไปจากเส้นชีวิต เชื่อมโยงกับเรื่องของอารมณ์ สุขภาพจิต หากมีเส้นตัดจนเกิดเป็นแท่งเล็กๆ แสดงว่าคุณกำลังอยู่ในภาวะซึมเศร้าหรือกังวลเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยู่ เส้นหัวใจ เป็นเส้นที่อยู่บนเส้นสมอง เส้นนี้จะบอกเกี่ยวกับชีวิตรักและสุขภาพของหัวใจ ถ้ามีจุดๆ เกาะกลุ่มกันเหมือนเกาะเล็กๆ แสดงว่าคุณมีแนวโน้ม่จะมีปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือด ส่วนเส้นสุขภาพ คือเส้นระหว่างนิ้วก้อยและนิ้วนางที่โค้งลงไปถึงฐานของนิ้วหัวแม่มือ เป็นเส้นที่บ่งชี้ถึงสุขภาพกาย ถ้าเห็นไม่ชัดหรือไม่มีเส้นนี้ แสดงว่าสุขภาพของคุณยังแข็งแรงดีอยู่ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง นวดกดจุด นักนวดกดจุดเชื่อว่าจุดต่างๆ บนฝ่ามือนั้นเชื่อมโยงกับอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกาย การนวดกดจุดเหล่านี้สามารถช่วยวิเคราะห์และรักษาอาการผิดปกติต่างๆ ของอวัยวะเหล่านั้นได้ อย่างอวัยวะที่เป็นคู่ เช่น ปอด จะเชื่อมโยงกับจุดบนมือทั้งสองข้าง ขณะที่อวัยวะใดที่อยู่ด้านซ้ายของร่างกายก็จะเชื่อมโยงกับจุดบนมือซ้าย เช่นเดียวกับอวัยวะด้านขวาก็จะปรากฏตำแหน่งของมันอยู่ที่มือขวา นักบำบัดจะรู้เมื่อกดลงไปเจอจุดบอบบางหรือก้อนเล็กๆ ว่ามันกำลังบ่งชี้ถึง พลังอันอ่อนล้า ของอวัยวะส่วนใด คุณสามารถนวดกดจุดฝ่ามือได้ด้วยตัวเอง โดย - ลดอาการคั่งของเลือด : นวดปลายนิ้วโดยเริ่มจากนิ้วก้อยแล้วไล่ไปเรื่อยๆ จนถึงนิ้วหัวแม่มือ จะช่วยลดอาการของไซนัสได้ - ลดความเครียด : บริเวณที่ติดกับฐานของนิ้วหัวแม่มือเชื่อมโยงกับต่อมควบคุมเกลือและน้ำของร่างกายซึ่งจะทำงานหนักเมื่อคุณเครียด ลองนวดเบาๆ สิ จะช่วยลดความตึงเครียดในวันอันแสนยุ่งเหยิงของคุณได้ดีทีเดียว การอ่านลายมือแบบจีน ทางตำราแพทย์จีน รูปทรงของมือสามารถบ่งบอกถึงบุคลิกของคุณได้นะ มาดูสิว่าคุณเป็นคนแบบไหนบ้าง - ฝ่ามือทรงสี่เหลี่ยม-นิ้วสั้น : เป็นคนใฝ่รู้ ชอบฝึกฝนทดลองและขยัน - ฝ่ามือยาว-นิ้วสั้น : เป็นคนที่มีลางสังหรณ์ และบางครั้งก็หุนหัน ใจเร็ว - ฝ่ามือยาว-นิ้วเรียวยาว : เป็นคนอ่อนไหวและมีความเป็นศิลปินอยู่ในตัว - ฝ่ามือเป็นสี่เหลี่ยม-นิ้วยาว : เป็นคนฉลาด ไหวพริบปฏิภาณดี



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ศศิมา อรัญดร
เขียนเมื่อ

ชาชนิดที่เหมาะกับคนดื่ม

  1. คนทำงานแบบใช้สมอง ซีเรียสเครียดทั้งวัน หรือนักเรียน นักศึกษาที่ตรากตรำอ่านตำรับตำราจนดึกดื่น ควรดื่มชามะลิ
  2. ผู้รักการออกกำลังกาย หรือทำงานใช้แรงเสียเหงื่อมาก เหมาะกับ ชาอูหลง
  3. ผู้ต้องผจญสูดดมอากาศเป็นพิษอยู่เสมอ อาทิ ผู้ขับขี่หรือไปมาด้วยรถจักรยานยนต์เป็นประจำ เหมาะกับ ชาเขียว
  4. ผู้ที่ในแต่ละวันนั่งตัวติดกับเก้าอี้ ไม่ค่อยขยับเขยื้อนกายไปไหน ทั้งไม่ชอบออกกำลังกายด้วย ต้องชาเขียว หรือ ชาดอกไม้
  5. ผู้ที่ชอบดื่มสุรา เครื่องดื่มมึนเมา ควรดื่ม ชาเขียว ผู้นิยมกินเนื้อสัตว์เป็นชีวิตจิตใจ เหมาะกับ ชาอูหลง
  6. คนท้องผูก ปลดทุกข์แต่ละครั้งช่างทุกข์ทรมานเหลือเกินเหมาะกับ ชาผสมน้ำผึ้ง
  7. คนมีระดับคอเลสเตอรอลสูง ไขมันในเลือดสูง ต้องดื่ม ชาอูหลง หรือ ชาเขียว

       มนุษย์ยุคไฮเทคนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวันทั้งคืน ได้ดื่มชาอะไรก็ได้ เป็นประจำจะดีมากๆ เรียกว่าว่างเมื่อไรคว้าแก้วน้ำชาข้างมือยกมาดื่มสักอึกสองอึกแก้กระหาย จะช่วยป้องกันรังสีที่แผ่ออกมาจากเครื่อง อีกทั้งช่วยคลายเส้นคลายกระดูก ลดความอาการอ่อนเพลียได้อย่างชะงัดนัก



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ศศิมา อรัญดร
เขียนเมื่อ

10 กิจกรรมใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า

1. อาบน้ำ

        การอาบน้ำด้วยฝักบัวจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำน้อยที่สุด ถ้ารูฝักบัวยิ่งเล็กก็จะยิ่งช่วยประหยัดน้ำได้มากขึ้นที่สำคัญ ไม่ควรเปิดน้ำทิ้งไว้ในขณะถูสบู่ ส่วนการอาบน้ำด้วยอ่างอาบน้ำจะใช้น้ำถึงครั้งละ 110 ลิตร แต่ถ้าอาบด้วยฝักบัวจะใช้น้ำเพียงไม่เกิน20 ลิตรเท่านั้น

2. แปรงฟัน

        การแปรงฟันและล้างแปรงแต่ละครั้ง ควรใช้แก้วหรือขันรองน้ำ ซึ่งใช้น้ำแค่

1 - 2 แก้วก็เพียงพอ และไม่ควรเปิดก๊อกทิ้งไว้ขณะแปรงฟัน หรือล้างแปรงจากก๊อกโดยตรง เพราะจะทำให้ต้องสูญเสียน้ำถึง 9 ลิตรต่อนาที

3. โกนหนวด

        เมื่อโกนหนวดเสร็จแล้ว ให้ใช้กระดาษชำระเช็ดฟองครีมออกครั้งหนึ่งก่อน จากนั้นใช้แก้วรองน้ำจากก๊อกมาชำระล้างให้สะอาดอีกครั้ง และล้างมีดโกนโดยการจุ่มน้ำล้างในแก้วหรือขัน จะช่วยให้สิ้นเปลืองน้ำน้อยกว่าการล้างจากก๊อกโดยตรง

4. ห้องสุขา

        ถ้าเป็นห้องน้ำชายอย่างเดียวหรือห้องน้ำรวมชาย-หญิง ควรติดตั้งโถปัสสาวะชายไว้ด้วย โดยแยกต่างหากจากโถอุจจาระ เพราะการชำระล้างโถปัสสาวะจะใช้น้ำน้อยกว่าโถอุจจาระมาก และโถส้วมแบบตักน้ำราดจะสิ้นเปลืองน้ำน้อยกว่าแบบชักโครกหลายเท่าทีเดียว ดังนั้น หากมีความจำเป็นต้องใช้ชักโครก ก็ควรติดตั้งโถปัสสาวะและโถอุจจาระแยกจากกัน

               

5. ล้างอาหาร ผัก ผลไม้

        ควรรองน้ำใส่ภาชนะเท่าที่จำเป็นในการล้างแต่ละครั้ง แทนการเปิดก๊อกล้าง โดยตรงซึ่งแทนที่จะล้างได้สะอาดแต่กลับจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมากกว่า และถ้าเป็นภาชนะ ที่ยกย้ายได้ ก็อาจจะนำน้ำที่ใช้แล้วไปรดน้ำต้นไม้ได้อีกด้วย

6. ล้างจานชามและภาชนะต่างๆ

        ควรรวบรวมให้มีปริมาณมากพอแล้วใช้กระดาษชำระเช็ดเอาคราบสกปรกออกครั้งหนึ่งก่อน จากนั้นค่อยล้างพร้อมกันในอ่าง จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำน้อยและยังใช้เวลาล้างน้อยลงด้วย การล้างจากก๊อกโดยตรงจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมากกว่า ซึ่งจะสิ้นเปลืองน้ำประมาณ 9 ลิตรต่อนาที

7. เช็ดถูพื้น

        ควรใช้ภาชนะรองน้ำและซักล้างอุปกรณ์ในภาชนะก่อนที่จะนำไปเช็ดถูพื้น เพราะจะช่วยให้สิ้นเปลืองน้ำน้อยกว่าการใช้สายยางฉีดทำความสะอาดพื้นโดยตรง

8. ซักผ้า

        ถ้าซักด้วยมือ ควรแช่ผ้าไว้กับน้ำผงซักฟอกระยะหนึ่งก่อนทำการซัก จะช่วยให้คราบสกปรกหลุดออกง่ายขึ้น ขณะซักก็ไม่ควรปล่อยให้น้ำไหลล้นภาชนะตลอดเวลา เพราะจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมากถึง 9 ลิตรต่อนาที น้ำสุดท้ายของการซักยังสามารถนำไปใช้เช็ดถูบ้านหรือจะนำไปใช้รดน้ำต้นไม้ใหญ่ก็ได้

 

9. รดน้ำต้นไม้

        ทางที่ดีควรใช้กระป๋องฝักบัวรดน้ำ การใช้สายยางต่อจากก๊อกโดยตรงจะทำให้ สิ้นเปลืองน้ำมากเกินความจำเป็น เพราะตามธรรมชาติต้นไม้ ส่วนใหญ่ต้องการน้ำแต่เพียงพอดี ๆ เท่านั้น และควรรดน้ำต้นไม้ในช่วงเช้าและเย็นก็เพียงพอแล้ว

10. ล้างรถ

        ควรใช้ไม้ขนไก่ปัดฝุ่นออกครั้งหนึ่งก่อนจากนั้นรองน้ำใส่ถังแล้วนำมาเช็ดล้าง

อีกครั้ง ไม่ควรใช้สายยางฉีดล้างโดยตรงเพราะจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำในปริมาณมาก และ ทำให้รถผุเร็วขึ้นด้วย



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ศศิมา อรัญดร
เขียนเมื่อ

13 อาการสัญญาณก่อมะเร็ง

 ร่างกายเป็นเรื่องละเอียดอ่อน หากไม่หมั่นสังเกต คุณอาจไม่รู้ว่าร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงแข็งแรงขึ้น หรือย่ำแย่ลงสัญญาณเตือนต่อไปนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นให้คุณหันมาทบทวน และปรับปรุงตัวเองก่อนที่ปัญหาเล็กๆ จะลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่ 13 อาการสัญญาณก่อhttp://men.sanook.com/383/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A1-%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89/">โรคมะเร็งควรรีไปพบแพทย์ทันทีหากมีอาการดังนี้

1. หายใจมีเสียงหวีดหรือหายใจไม่ทัน หนึ่งในอาการแรกของโรคมะเร็งปอดที่ผู้ป่วยนึกออกเมื่อมองย้อนกลับไปดูก็คืออาการหายใจไม่ทัน

2. ไอเรื้อรังหรือเจ็บหน้าอก 
มะเร็งหลายชนิด รวมถึงมะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งปอดอาจทำให้มีอาการคล้ายกับไอเรื้อรังหรือหลอดลมอักเสบได้ แต่การไอของโรคมะเร็งจะมีความแตกต่างคือเป็นเรื้อรังหรือเป็นๆ หายๆ นอกจากนี้ผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดบางรายยังมีอาการปวดหน้าอกที่ลามไปยังไหล่หรือแขนอีกด้วย

3. มีไข้หรือติดเชื้อบ่อย อาการนี้อาจเป็นอาการของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งทำให้ไขกระดูกผลิตเม็ดเลือดขาวที่ผิดปกติและจะไปเบียดเบียนเซลล์เม็ดเลือดขาวปกติ ทำให้ร่างกายขาดความสามารถในการต่อสู้กับเชื้อโรค แพทย์มักตรวจพบมะเร็งเม็ดเลือดขาวในผู้ใหญ่ที่ป่วยและมาพบแพทย์ซ้ำๆ ด้วยอาการไข้ ปวดเมื่อยตัว และอาการคล้ายไข้หวัดเป็นเวลานาน

4. กลืนลำบาก แม้อาการนี้จะสัมพันธ์กับมะเร็งในหลอดอาหารหรือลำคอที่สุด แต่บางครั้งอาการกลืนอาหารลำบากก็เป็นสัญญาณแรกของมะเร็งปอดได้เช่นกัน

5. ต่อมน้ำเหลืองโตหรือก้อนที่คอ รักแร้ หรือขาหนีบ ภาวะต่อมน้ำเหลืองโตบ่งบอกถึงความเปลี่ยนแปลงในระบบน้ำเหลืองซึ่งอาจจะเป็นอาการของโรคมะเร็ง เป็นต้นว่า ก้อนหรือต่อมน้ำเหลืองโตที่ใต้รักแร้อาจเป็นอาการของโรคมะเร็งเต้านม ขณะที่ก้อนที่ลำคอ รักแร้ หรือขาหนีบที่ไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บอาจเป็นอาการเริ่มต้นของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว

6. รอยฟกช้ำหรือเลือดออกไม่หยุด อาการนี้มักชี้ถึงความผิดปกติของเกล็ดเลือดและเม็ดเลือดแดงซึ่งอาจเป็นอาการของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวบางรายพบรอยช้ำที่บริเวณแปลกๆ เช่น ตามนิ้วและมือ ทั้งยังมีรอยแดงที่ใบหน้า ลำคอ และหน้าอก หรือมีอาการเลือดออกที่เหงือก เนื่องจากเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวเพิ่มมากขึ้นจนไปเบียดเบียนเซลล์เม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือด ทำให้ความสามารถในการนำส่งออกซิเจนและแข็งตัวของเลือดลดลง

7. ปวดท้องน้อยหรือปวดท้อง อาการปวดท้องน้อยเพียงอย่างเดียวอาจหมายถึงได้ทั้งภาวะพังผืดในมดลูก ซีสต์ในรังไข่ และความผิดปกติในระบบสืบพันธุ์อื่นๆ แพทย์จึงมักไม่สงสัยเรื่องโรคมะเร็ง ดังนั้นคุณจึงควรขอให้แพทย์ตรวจร่างกายโดยละเอียด เนื่องจากอาการปวดและตะคริวที่ท้องน้อยหรือช่องท้องอาจเกิดร่วมกับอาการท้องอืดซึ่งเป็นอาการของโรคมะเร็งรังไข่ได้ นอกจากนี้การขยายตัวของม้ามในผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวก็อาจก่อให้เกิดอาการปวดท้องเช่นกัน

8. อาการเลือดออกที่ทวารหนักหรือถ่ายปนเลือด หลายคนอาจคิดว่าอาการถ่ายปนเลือดเป็นแค่ริดสีดวงเป็นอาการโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

9 . อาหารไม่ย่อยหรือปวดกระเพาะ อาจฟังดูเป็นเรื่องธรรมดาแต่ก็ช่วยให้แพทย์สั่งตรวจอัลตราซาวนด์และสามารถพบมะเร็งตับได้แต่เนิ่นๆ อีกทั้งอาการปวดเกร็งช่องท้องหรืออาหารไม่ย่อยเป็นประจำอาจแสดงถึงโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

10. เต้านมบวม แดง หรือเจ็บ อาจบ่งชี้ถึงโรคมะเร็งเต้านมชนิดอักเสบ (inflammatory breast cancer) ซึ่งมีอาการบวม ร้อนที่เต้านม สีที่เปลี่ยนไปเป็นแดงหรือม่วงก็ถือเป็นอีกหนึ่งอาการที่ควรระวังไม่ต่างจากพบรอยบุ๋มคล้ายผิวส้มที่ผิวเต้านม นอกจากนี้โรคมะเร็งเต้านมชนิดอักเสบยังอาจก่อให้เกิดอาการอื่นๆ ที่หัวนม เช่น อาการคัน ผิวลอกเป็นแผ่น หรือแตกเป็นสะเก็ดได้อีกด้วย

11. ประจำเดือนมามากหรือปวดประจำเดือนผิดปกติ หรือมีเลือดออกกะปริบกะปรอย นี่คือสัญญาณของโรคมะเร็งที่เยื่อบุโพรงมดลูกหรือมดลูก หากคุณสงสัยว่าอาการประจำเดือนออกมากของคุณมีสาเหตุแอบแฝง ก็ลองขอให้แพทย์ทำอัลตราซาวนด์ผ่านช่องคลอดดูได้ค่ะ

12. อาการบวมที่ใบหน้า ผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดบางรายมีอาการบวมหรือแดงที่ใบหน้า ซึ่งเป็นเพราะมะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็ก (small cell lung cancer) มักจะไปกดเส้นเลือดแดงในหน้าอก ทำให้เลือดไหลเวียนจากศีรษะและใบหน้าไม่สะดวก

13. ความผิดปกติที่เล็บ จุดหรือเส้นสีดำใต้เล็บบ่งถึงอาการของโรคมะเร็งผิวหนัง ขณะที่อาการ "นิ้วปุ้ม" ซึ่งปลายนิ้วมือพองนูนและปลายเล็บงุ้มลงเข้าหานิ้ว อาจเป็นอาการของโรคปอด เล็บที่มีสีซีดหรือเปลี่ยนเป็นสีขาวอาจมีสาเหตุมาจากการทำงานของตับที่ลดลง ซึ่งอาจหมายถึงโรคมะเร็งตับได้

 

 



ความเห็น (1)

ขอบคุณจะได้ตรวจสอบตัวเอง และแนะนำคนข้างเคียงด้วย แนะนำเพื่อนอีกด้วย เป็นวิทยาธรรมจริงๆเลย

ศศิมา อรัญดร
เขียนเมื่อ

เครื่องเทศในอาหารที่มีสรรพคุณทางยา

 

          เครื่องเทศ มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของทวีปเอเชีย เป็นสิ่งที่นิยมนำมาใช้ประโยชน์กันมาแต่โบราณ มีการค้าขายเป็นสินค้าแลกเปลี่ยนกันระหว่างประเทศทางตะวันออกและตะวันตก โดยมุ่งใช้ในด้านการปรุงแต่งรสอาหารและการถนอมอาหารเป็นสำคัญ เครื่องเทศบางชนิดที่เราใช้กันเป็นประจำ แม้มีชื่อเป็นภาษาไทย แต่ก็ไม่ได้มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย ได้มีการนำเข้ามาจากต่างประเทศ จึงได้เรียกกันว่า เครื่องเทศ ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน 2525 ได้กล่าวถึงเครื่องเทศไว้ว่า เป็นของหอมฉุนและเผ็ดร้อน ซึ่งได้มาจากต้นไม้ สำหรับใช้ทำยาไทยและปรุงอาหารโดยมาจากต่างประเทศ

          เครื่องเทศไม่จัดว่าเป็นอาหาร เพราะใช้ในปริมาณน้อยมาก มีคุณค่าทางโภชนาการน้อย คุณค่าของเครื่องเทศอยู่ที่กลิ่น น้ำมันหอมระเหย และสารสำคัญคือ สารที่มีการศึกษาแล้วว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่มีอยู่ในเครื่องเทศนั้น ๆ พืชประเภทเครื่องเทศมักจะมีน้ำมันหอมระเหยเป็นองค์ประกอบ เครื่องเทศแห้ง เช่น ลูกผักชี ยี่หร่า จะยิ่งมีกลิ่นหอมมากขึ้นเมื่อถูกความร้อนซึ่งจะไปกระตุ้นให้กลิ่นหอมออกมามาก จึงนิยมนำมาคั่วก่อนใช้ในการปรุงอาหาร น้ำมันหอมระเหยได้จากหลายส่วนของพืชเครื่องเทศ ได้แก่ น้ำมันหอมระเหยจากส่วนเปลือกและลำต้น เช่น อบเชย จากส่วนใบ เช่น กระวาน มะกรูด จากส่วนดอก เช่น กานพลู จากผล เช่น ผักชี พริกไทย กระวาน และโป๊ยกั๊ก

 

ประโยชน์ในด้านกลิ่นของเครื่องเทศ มีทั้งช่วยดับกลิ่นไม่พึงประสงค์ของวัตถุดิบที่นำมาใช้ในการประกอบอาหาร เช่น กลิ่นสาบของอาหารประเภทเนื้อและกลิ่นคาวของปลา ช่วยแต่งกลิ่นของอาหารแต่ละจานให้มีกลิ่นหอมชวนรับประทาน รวมทั้งทำให้เกิดกลิ่นเฉพาะของอาหาร เช่น พะโล้ น้ำก๋วยเตี๋ยว แกงเขียวหวาน และต้มข่า เป็นต้น

 

เครื่องเทศที่นำมาใช้ในการประกอบอาหารมีทั้ง ประเภทสด เช่น ตะไคร้ ใบมะกรูด ขิง ข่า และประเภทแห้ง เช่น ลูกผักชี ยี่หร่า พริกไทย กระวาน และกานพลู เป็นต้น ในเครื่องเทศเหล่านั้นมีสารสำคัญที่มีสรรพคุณทางยาหลายชนิด การได้รับประทานอาหารที่ใช้เครื่องเทศปรุง แต่ง สี กลิ่น รส เป็นประจำจะทำให้ได้ประโยชน์จากสารต่าง ๆ เป็นผลดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะโรคทางเดินอาหารและทางเดินหายใจ



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ศศิมา อรัญดร
เขียนเมื่อ

6 สิ่งที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพผิว

 

ปลาแซลมอน

ปลาแซลม่อน ถือว่ามีคุณสมบัติหลายๆ อย่าง ซึ่งเท่าที่เคยได้ยินกันนั้น ถือเป็นแหล่งรวมของโอเมก้า 3 ได้มากที่สุดในโลก และถือเป็นอาหารสำหรับพวกที่ต้องการคุมน้ำหนัก อีกทั้งยังมีส่วนช่วยในการบำรุงสมอง นอกจากนั้นยังมีคุณสมบัติในการเก็บความชุ่มชื้นอีกด้วย และจากผลการศึกษาแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ที่ทาน โอเมก้า 3 และ โอเมก้า 6 หลังจากนั้น 2 สัปดาห์พบว่า ร้อยละ 20 ของกลุ่มโอเมก้า จากการสัมผัสกับแสงอัลตราไวโอเลต แสดงอัตราการฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ซึ่งการทานปลาแซลม่อน จะช่วยคุณจากผิวแห้งและการต่อสู้กับแสงแดดได้ด้วย

แครอท

แครอท ถือว่าเต็มไปด้วยเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของวิตามินหลากหลายชนิด และยังช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง บำรุงสายตา และ ผิวพรรณ อีกทั้งช่วยลดระดับคอเรสตอรอล เพราะมีวิตามินเอที่สูง อีกทั้งในการวิจัยยังพบว่า สามารถช่วยป้องกันริ้วรอยก่อนวัยจากแสงแดด แต่ถ้ากินมากเกินไปก็ไม่ดีเพราะจะทำให้ตัวเปลี่ยนเป็นสีส้ม หรือเรียกว่าสภาพ (carotenosis)

อะโวคาโด

หนึ่งในผลการศึกษาที่เผยแพร่โดยวารสารโภชนาการ American College พบว่าผู้ที่มีการบริโภคที่น้ำมันมะกอกจะมีริ้วรอยน้อยกว่า คนที่มีบริโภคเนย เพราะเนยจะเต็มไปด้วยไขมันอิ่มตัวในขณะที่น้ำมันมะกอกอุดมไปด้วย ไขมันไม่อิ่มตัวชนิด (Monounsaturated) ซึ่งในอะโวคาโดมีไขมันจำเป็นมากกว่า 50% ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมควรกิน อะโวคาโด มากกว่าน้ำมันมะกอก อย่างไรก็ตามการรับประทานทั้งสองสิ่งถือว่าดี แต่การกินอะโวคาโด จะได้คุณค่าเพิ่มในเรื่องของวิตามินบีซึ่งช่วยให้ผิวของคุณสดใส

ถั่ว

พืชตระกูลถั่วไม่ว่าจะเป็นจำพวก ถั่วเหลือง หรือถั่วลิสง และถั่วฝักยาวจะช่วยปกป้องผิวหน้าของคุณ ด้วยการปรับหน้าให้เรียบแบบไร้ริ้วรวย นักวิจัยชาวออสเตรเลียให้ผู้สูงอายุมากกว่า 400 คนทั้งหญิงและชาย บริโภคถั่ว พบว่าการบริโภคของพืชตระกูลถั่วร่วมกับผัก และ ไขมันสุขภาพ ผลปรากฏว่ามันส่งผลให้ริ้วรอยลดลง 20% เมื่อเวลาผ่านไป เพราะสารในถั่วนั้นมีสารที่ต้านอนุมูลอิสระที่มีศักยภาพสูงนั่นเอง

องุ่น

นอกจากป้องกันจากการเกิดของหัวใจและหลอดเลือด, สารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่าโพลีฟีนที่พบในองุ่นยังสามารถช่วยรักษาผิวในวัยกลางคนไม่ให้หย่อนคล้อย นั่นเป็นเพราะโพลีฟีนปรับปรุงความยืดหยุ่นของผิวโดยการเสริมสร้างคอลลาเจน, โปรตีนหลักชั้นในสุดของผิว

น้ำ                                                                                     

น้ำถือเป็นสิ่งที่สร้างเสริมความแข็งแกร่งให้กับผิวของคุณให้มีชีวิตชีวา เพราะน้ำจะช่วยล็อคความชื้นในผิวของคุณ เพราะน้ำจะเข้าไปทำให้ทุกส่วนของร่างการมีชีวิตชีวา ดังนั้นหากคุณไม่ได้จิบตลอดทั้งวันแล้วคุณก็น่าจะมีการเผาผลาญอาหารช้าลงและดูไม่สดชื่น จากการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ครึ่งลิตรของน้ำจะสร้างให้ในเส้นเลือดฝอยไหลเวียนของเลือดเพื่อไปยังชั้นนอกร่างกายของ และหากคุณทำแบบนี้ได้เป็นประจำ คุณจะดูสดใสอยู่เสมอ

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ศศิมา อรัญดร
เขียนเมื่อ

 อาหาร 10 ชนิดพิชิตโรค

   มีประโยชน์ต่อร่างกายจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของระบบภูมิคุ้มกัน บำรุงผิวพรรณ และช่วยให้จิตใจเบิกบาน อาหารวิเศษที่สร้างเสริมสุขภาพให้แข็งแรง มิได้มีราคาแพง และมักเป็นพืชผักจากธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ ถ้าเลือกกินให้เหมาะสมก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งยา หรือวิตามินเสริมเลย...

 

๑. ซอสมะเขือเทศ ชาวอิตาเลียนมีอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจน้อยกว่าชนชาติอื่นหลายเท่า เชื่อกันว่า เพราะใช้ซอสมะเขือเทศเป็นเครื่องปรุงหลักในอาหาร ซึ่งในมะเขือเทศจะอุดมไปด้วยสารไลโคพีนที่มีสรรพคุณป้องกันโรคหัวใจ และชะลอการเสื่อมของเซลล์ ยิ่งเมื่อนำไปผ่านกระบวนการเป็นซอสมะเขือเทศ สารนี้จะเข้มข้นถึง ๕ เท่า...

๒. กระเทียม มีสารที่ทรงคุณค่า ๒ ชนิด คือ อัลลิซิน และไดอะลิส ทำหน้าที่ลดโคเลสเตอรอล ความดันเลือด และป้องกันเลือดจับตัวเป็นก้อน กินกระเทียมสดวันละ ๒ กลีบ เพื่อสุขภาพที่ดี

๓. มันเทศ อุดมไปด้วยวิตามินเอ พอๆ กับแครอต ช่วยให้ผิวพรรณสดใส และยังมีวิตามินซีและวิตามินอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบอีกด้วย

๔. หอมหัวใหญ่ มีสารเคอร์เซทีน ช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ เพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย

๕. จมูกข้าวสาลี มีธาตุสังกะสีมาก ช่วยขจัดสิวได้ หากเติมลงในโยเกิร์ตหรือธัญพืชอบกรอบในมื้อเช้า จะช่วยให้ผิวหน้าผ่องใสขึ้น

๖. ถั่วดำ มีงานวิจัยระบุว่ามีสารต้านโรคโลหิตจาง และยังมีวิตามินบีและโปรตีนอีกหลายชนิด

๗. บลอกโคลี ดอกตูมจะมีสารป้องกันมะเร็งมากกว่าต้นแก่ถึง ๓๐-๕๐ เท่า

๘. สตรอเบอร์รี เป็นผลไม้ที่ดีที่สุดในการกำจัดสารอนุมูลอิสระซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคมะเร็ง และยังให้พลังงานต่ำ แถมมีวิตามินซีสูงอีกด้วย

๙. โยเกิร์ต มีการศึกษาพบว่า แล็กโทบาซิลลัสในโยเกิร์ตจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างสารต้านการติดเชื้อในช่องคลอดในผู้หญิงที่กินโยเกิร์ตวันละ ๑ ถ้วย ได้ถึงร้อยละ ๕๐ การกินโยเกิร์ตยังช่วยลดอาการอ่อนเพลีย และทำให้อารมณ์ดีด้วย

๑๐. ถั่วเหลือง นอกจากมีสารต้านมะเร็งเต้านมแล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งมดลูกด้วย จึงน่าจะกินอาหารที่มีส่วนผสมของเต้าหู้กันตั้งแต่วันนี้...



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ศศิมา อรัญดร
เขียนเมื่อ

    นมสดลดน้ำหนักได้     

    ข้อมูลนี้มาจากการทดลองที่เชื่อถือได้ในสหรัฐอเมริกา โดยการทดลองใน 24 สัปดาห์ พบว่า ผู้ที่บริโภคนมพาสเจอร์ไรซ์ไขมันต่ำในปริมาณ 3-4 ขวด หรือจะให้นับง่ายๆ ก็เท่ากับการดื่ม นมสดเมจิพาสเจอร์ไรซ์ชนิดพร่องมันเนยขนาด 180 มิลลิลิตรจำนวน 3-4 ขวด ต่อวัน จะสามารถลดน้ำหนักได้มากกว่าคนที่ไม่ได้ดื่มนม สูตรนี้จะช่วยพิชิตพุงน้อยๆ ของเรา เพราะนมจะช่วยในการช่วยเผาผลาญไขมันบริเวณหน้าท้องได้เป็นอย่างดี 
        ในการดื่มนมเพื่อลดความอ้วนนี้ ควรเลือกนมชนิดที่มีแคลเซียมและโปรตีนสูง แต่ให้พลังงานต่ำ อย่างเช่น นมสดเมจิพาสเจอร์ไรซ์พร่องมันเนย นมสดเมจิพาสเจอร์ไรซส์สูตรแคลเซียมสูง หรือโยเกิร์ตพร้อมดื่มพร่องมันเนย โดยต้องเป็นรสธรรมชาติหรือรสจืด เพราะปราศจากน้ำตาล

           

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท