อนุทินล่าสุด


เปมิกา แสงทอง
เขียนเมื่อ

One Fine Day::หนึ่งวันสบายๆคลายร้อนกับ”ใบเฟิร์นขี้วีน”

‘หนึ่งคนเหงา ในมุมเหงา’

              หากพูดถึงวันสบายๆของใครหลายคน อาจจะหมายถึงวันหยุดพักผ่อนสุดสัปดาห์ หยุดงานหรือหยุดเรียน มีเวลาว่าทั้งวันที่จะทำกิจกรรมหรืองานอดิเรกต่างๆที่ช่วยให้ผ่อนคลายจากการเหนื่อยล้ามาตลอดทั้งสัปดาห์ ไม่ว่าจะเป็นการดูหนัง ฟังเพลง การไปกินข้าวนอกบ้าน ไปปิกนิก หรือ ทำอาหารรับประทานเองที่บ้าน แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน   แต่วันสบายของฉันมันเป็นเพียงเวลาสั้นๆที่ฉันได้ผ่อนคลายหลังเวลาเลิกงานเป็นส่วนมาก  เพราะวันจันทร์ถึงวันศุกร์ฉันต้องทำงานทุกวัน ตั้งแต่เวลา 14.00-23.00 น. ส่วนวันเสาร์และวันอาทิตย์ฉันก็ต้องไปเรียนหนังสือทั้งวัน ฉันจึงไม่ค่อยได้มีเวลาว่างไปพักผ่อนหรือเที่ยวเลยเพราะฉะนั้นเวลาที่สบายๆของฉันจึงเป็นเวลาหลังเลิกงาน ซึ่งเป็นเวลาในตอนกลางคืน วันไหนที่ล้าจากการทำงานมากฉันก็จะอยู่ห้องละพักผ่อน แต่ถ้าวันไหนฉันอยากผ่อนคลายฉันก็จะไปที่ประจำมุมประจำและร้านอาหารร้านประจำของฉัน มันเป็นมุมโปรดที่เข้ากับคนขี้เหงาอย่างฉันได้ดีเลยทีเดียว

              “เขารัง”เขาที่ตั้งอยู่กลางเมืองภูเก็ตเป็นจุดชมวิว เป็นทั้งสวนสุขภาพและสวนสาธารณะใช้พักผ่อนหย่อยใจและออกกำลังกายของประชาชนทั่วไปและเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์พระยารัษฎานุประดิษฐมหิศร-ภักดี http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B5%E0%B9%89_%E0%B8%93_%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%87">คอซิมบี้ ณ ระนองด้วย

 

                                  กลางวันจะมีคนขึ้นไปชมวิวมากมาย ตอนเย็นๆก็จะมีคนจำนวนมากขึ้นไปออกกำลังกาย เขารังตอนกลางวันจึงเป็นที่คนพลุกพล่าน แต่กลับกันในยามราตรีเขารังนับเป็นที่ที่เงียบสงบมากและวิวในตอนกลางคืนก็แตกต่างไปในอีกมุมมอง เขารังเป็นสถานที่หนึ่งที่ฉันชอบไปนั่งกินลมชมวิวอยู่เสมอหลังเวลาฉันเลิกงาน หากเราขึ้นไปอยู่ตรงจุดชมวิวเวลาเรามองลงไปข้างล่างซึ่งเป็นทิวทัศน์โดยรอบของเมืองภูเก็ต ยามค่ำคืนแสงไฟน้อยใหญ่จำนวนมากจากบ้านเรือน แสงไฟจากถนน เป็นระยิบระยับอยู่จำนวนมาก เหมือนเรากำลังมองหิงห้อยหลากสีเลยทีเดียว มีทั้งสีส้ม สีขาว หรือสีเหลือง แสงลิบหลี่เต็มไปหมดเลย ซึ่งมันก็เป็นภาพที่สวยงามมากในตอนกลางคืน เวลาฉันขึ้นไปบนเขารังบ้างก็ไปกับเพื่อนบางอารมณ์เหงาๆก็อยากไปคนเดียว ทางขึ้นเขารังในตอนกลางคืนหลายคนคิดว่ามันเปลี่ยวและน่ากลัวและมันคงอันตรายหากเราขับรถขึ้นไปคนเดียว แต่ฉันก็ไม่ได้มีความกลัวตรงนี้เลย ฉันต้องการแค่มุมสงบๆ ที่หลบห่างออกมากจากในเมืองที่มีทั้งมลพิษและความวุ่นวายของผู้คน ทุกครั้งที่ฉันได้ขึ้นมานั่งที่มุมโปรดมุมเดิม ฉันรู้สึกผ่อนคลายกับทุกสิ่ง มันทำให้ฉันคิดอะไรได้หลายๆอย่าง สำหรับคนเหงาอย่างฉันจุดชมวิวเขารังถือเป็นมุมแสนเหงาที่พิเศษสุดๆไปเลย แต่สำหรับคนมีคู่จุดชมวิวเขารังก็ถือเป็นที่ที่มีบรรยากาศสุดโรแมนติกอีกที่หนึ่งเลยทีเดียว

 

            นอกจากมุมโปรดบนจุดชมวิวเขารังแล้ว ก็ยังมีร้านอาหารร้านไปจำที่ฉันต้องไปทุกครั้งเมื่อฉันขึ้นไปบนเขารัง นั่นก็คือร้าน “Kho Rang Breeze”

 

                     “Kho Rang Breeze”เป็นร้านอาหารที่ตั้งอยู่ใกล้จุดชมวิวเขารังเลย บรรยากาศของร้านสามารถมองเห็นทัศนียภาพของภูเก็ตได้โดยรอบกันเลย ภายในร้านจะตกแต่งแบบสไตล์โมเดินสมัยใหม่  มีที่ให้เลือกนั่งแบบรับแอร์เย็น หรือจะนั่งตรงระเบียงข้างนอกที่เปิดรับลมเย็นพร้อมมองวิว ซึ่งเป็นอะไรที่โรแมนติกที่สุดเลย

 ิ      

                       และจุดเด่นในส่วนตัวร้านคงจะข้ามไปไม่พูดไม่ได้ คือห้องสุขาของร้านที่ตกแต่งด้วยกระจกใสรับวิวได้เลย ซึ่งเป็นอะไรที่เยี่ยมยอดมากเลยในการตกแต่งห้องสุขา พูดไปเพื่อนคงไม่ได้รับรู้ถึงบรรยากาศ เพื่อนๆคงต้องลองมาพิสูทธ์กันดูนะค่ะ 

 

                    นอกจากการตกแต่งร้านที่ทันสมัยแล้วที่เขารังบรีซก็มีอาหารรสเลิศพร้อมเสริฟแบบสดใหม่ที่รับรองว่าถูกปากใครหลายๆคนแน่ๆค่ะ มีทั้งอาหารซีฟู๊ด อาหารไทย และอาหารยุโรป เมนูที่ทางร้านได้แนะนำมามีทั้งหมด 5 อย่างด้วยกันที่เป็นจุดเด่นของร้านเลย คือ ปลากะพงอบใบเตย กุ้งลุยสวน ปลากะพงย่างซอสดอปเปอร์ Ram chop และ T-bone Stek ฉันคงต้องหาเวลาว่างไปลิ้มลองห้าเมนูเด่นนี้แล้วแหละ แต่เมนูที่จะนำมาเล่าให้ฟังในวันนี้คืออาหารจานโปรดที่ฉันชอบทานมากๆ คือ ราวท้องแซลม่อนย่างน้ำจิ้มแจ่ว ราวท้องแซลม่อนย่างหมักด้วยสูตรลับเฉพาะของทางร้านเนื้อกรอบนอกนุ่มในเสริฟพร้อมน้ำจิ้มแจ่วสูตรเด็ด บอกได้เลยว่าแซ่บมากๆๆจ้า และอีกหนึ่งเมนูของคาวอาหารเรียกน้ำย่อยที่อยากนำเสนอนั่นก็คือ สลัดไก่ฮาวาย ที่มีส่วนผสมของสับปะรด พริกหยวก หอมใหญ่ มะม่วงกินมะพาน ไข่และไก่ คลุกเคล้าด้วยน้ำสลัดสูตรเด็ดของร้านเลย การันตรีความอร่อยของเมนูนี้เลยค่ะ  มีอาหารคาวแล้วขาดไม่ได้เลยเมนูของหวานตบท้ายด้วย กล้วยหอมทอด กล้วยหอมชุบแป้งทอดกรอบเสริฟพร้อมน้ำผึ้งรวงแสนหวานพูดได้เลยว่าฟินมาก ทั้งอาหารรสเลิศพร้อมบรรยากาศสุดโรแมนติกใต้แสงเทียนยามราตรี มันเป็นช่วงเวลาอะไรที่พิเศษมากๆในวันสบายๆของฉันเลยค่ะ

    

             นี่แหละค่ะช่วงเวลาสั้นๆในวันสบายๆของฉันกับจุดชมวิวในตัวเมืองภูเก็ต จุดชมวิวเขารังและร้านอาหารเขารังบรีซ  วันสบายๆของฉันที่มันเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆหลังเลิกงาน แต่มันก็ถือเป็นการผ่อนคลายของฉันที่เหนื่อยจากการทำงานมาตลอดสัปดาห์ได้มากๆเลยนะค่ะเพื่อนๆ

 

 

 

กิน - เที่ยว ใน ม.

                  หากพูดถึงมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต คือ มหาวิทยาลัยของรัฐบาลประจำจังหวัดภูเก็ต เป็นมหาลัยหนึ่งที่มีเนื้อที่กว้างขวางพอสมควร ถ้าให้พูดถึงที่เที่ยวในมหาลัยคงยากหน่อย ให้พูดว่าเป็นมุมพักผ่อนหย่อนใจในยามว่างของนักศึกษาคงจะเข้าท่ากว่า ส่วนร้านอาหารภายในมหาลัยก็จะมีสองที่ด้วยกัน คือ โรงอาหารซึ่งตั้งอยู่ใต้อาคาร 9 ของมหาลัย และอีกที่คือศูนย์รวมร้านขายอาหารซึ่งจะเป็นที่รู้กันในชื่อแปดเหลี่ยม ทั้งสองที่จะมีร้านอาหารปลีกย่อยไปอีกหลายๆร้าน แต่ร้านอาหารทั้งสองที่ได้กล่าวมามีรสชาติไม่ค่อยถูกปากฉันเท่าไหร่ ฉันเลยเลือกที่จะหาร้านบริเวณใกล้ ๆ มหาลัยกินมากกว่า

                   

                   อาหารจานโปรดและร้านโปรดที่ฉันชอบไปกินบ่อย ๆ ก็จะมีอยู่สองสามที่ด้วยกัน แล้วแต่ว่าวันนั้นจะอยากกินอะไร ร้านเจ้าประจำร้านแรกที่ฉันชอบไปกินบ่อยสุด คือ ร้านข้าวยำนรา ไม่ได้เปิดเป็นหน้าร้านให้นั่ง แต่จะเป็นรถพ่วงสามล้อมาจอดขาย ตรงหน้ามหาลัยเลย สามล้อร้านข้าวยำจะจอกตรงข้ามกับเซเว่นพอดี เหตุผลที่ชอบกินร้านนี้ เพราะ ข้าวยำน้ำบูดูในภูเก็ตหากินยากมาก บางร้านน้ำบูดูมันเหม็น รสชาติกร่อย ๆ แปลก ๆ แต่สำหรับร้านข้าวยำของเจ้านี้น้ำบูดูจะหอมชวนรับประทานเลยรวมทั้งมีรสชาติที่กลมกล่อมด้วย รวมกับข้าวผสมปลาป่นและผักต่าง ๆ ถือว่ารสชาติเยี่ยมเลยทีเดียว แต่ที่ยอดเยี่ยมไปกว่านั้น คือ ข้าวมีราคาแค่ห่อละยี่สิบบาทเท่านั้น ถือว่าถูกมากๆและคงจะไปหากินที่ไหนไม่ได้แล้ว นอกจากข้างยำน้ำบูดู ร้านนี้ก็มีข้าวหมกไก่ขายด้วย น้ำจิ้มก็รสเด็ด และ ราคาแค่ห่อละยี่สิบบาทเหมือนกัน สุดคุ้มจริง ๆ กับราคาที่แสนถูกแต่อร่อยอิ่มท้อง เป็นอะไรที่สุดยอดเลยทีเดียว

                        

                ส่วนอีกร้านที่ฉันจะแนะนำเป็นร้านก๊วยเตี๋ยวซึ่งอยู่ห่างมหาลัยไปประมาณ 1 กิโลเมตร ร้านจะตั้งอยู่ข้างเซเว่นข้างโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต ชื่อ ร้านก๊วยเตี๋ยวใข่ยางมะตูม ซึ่งมีหลายเมนูให้เลือกกิน แต่เมนูที่ฉันโปรด คือ ต้มยำหมูใข่ยางมะตูม  รสชาติน้ำซุบต้มยำเข้มข้นได้ที่ กินกับใข่ยางมะตูม อร่อยอย่าบอกใครเลย

 

               เวลาว่างหลังเลิกเรียน หรือ ไม่มีเรียนบางวิชา ดิฉันกับเพื่อน ๆ จะไม่ชอบขี่รถออกไปข้างนอก เพราะ ด้วยอากาศที่ร้อนอบอ้าว เลยทำให้พวกเราเลือกที่จะเลือกหามุมสงบ นั่งพูด นั่งเมาส์ตามประสาผู้หญิงกันเรื่อยเปื่อย เช่น โต๊ะม้าหินอ่อนใต้ต้นไม้บริเวณอาคาร 5 เพราะมันร่มรื่นและสงบดี ถ้าเบื่อ ๆ เราก็จะพากันไปนั่งในห้องสมุด หาหนังสืออ่านกัน นั่งเล่นตากแอร์เย็น ๆ เพื่อฆ่าเวลาไป ในห้องสมุดก็จะมีหมวดหนังสือเยอะแยะมากมายให้เราได้เลือกอ่านตามใจชอบ มีมุมสงบๆหลายมุมให้เราได้นั่งอ่านกัน แต่หากเป็นช่วงเวลาเย็น หรือแดดหลบแล้ว พวกเราก็จะชอบขี่รถเล่นและหาที่นั่งกินลมชมวิวกันใหล้ขุมน้ำบริเวณหอประชุม เพราะตงนั้นลมโกรกเย็นสบายมาก ๆ และตอนเย็น ๆ ก็จะมีคนมีวิ่งออกกำลังกายกันบริเวณนี้ด้วย

               ที่กินในมหาลัยก็พอจะมีให้เราเลือกกินอยู่บ้าง อยู่ที่ว่าอาหารร้านนั้นจะถูกปากเพื่อน ๆ หรือเปล่า แต่สำหรับฉันไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่ แต่ฉันมีร้านโปรดของฉันอยู่ใกล้ ๆ มหาลัยที่ไปกินเป็นประจำ ส่วนที่เที่ยวคงจะไม่ถึงกับว่าเป็นที่เที่ยว แต่มันเป็นที่ให้เราได้พักผ่อนหย่อนใจกันมากกว่า พื้นที่ของมหาลัยก็มีมากพอสมควร มุมให้เรานั่งพัก หรือ มุมพักผ่อนก็พอมีอยู่บ้าง อยู่ที่เราจะชอบแบบไหน มุมไหน

                     



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
เปมิกา แสงทอง
เขียนเมื่อ

   “รัก..ไม่รุ้กี่เศร้า..แต่!!!รู้ว่าเราสามคน”

                

                         

                        หากพูดถึงความรักคงยากที่จะอธิบายความหมายหมด เพราะรักไม่มีขอบเขต รักมีหลากหลายรูปแบบ หลายความรู้สึก หลายอารมณ์รัก และมีคนให้นิยามมากมายไม่รู้จบ แล้วแต่ใครจะนิยามความหมายของมันให้เป็นยังไง ทั้งรักที่สมหวัง รักที่ผิดหวัง รักเขาข้างเดียว แอบรัก รักที่ต้องพลัดพราก และ ความรักอื่นๆอีกมากมาย รวมถึงรักสามเศร้า หลายๆ คนอาจจะเข้าใจความรู้สึกถึงความรักที่มีมือที่สามมาแทรกระหว่างกลาง หรือ เราเองอาจจะเคยโดยแฟนนอกใจไปมีคนอื่น ซึ่งเราเองก็ได้รับความรู้สึกที่เจ็บปวดและเศร้าเสียใจที่โดนคนรักหักหลัง แต่เรายังไม่เคยได้รู้ถึงความรู้สึกของบุคลที่สามที่เป็นต้นเหตุให้หลาย ๆ คู่ต้องทะเลาะผิดใจกันหรืออาจจะถึงขั้นเลิกรากันไปเพราะมือที่สาม เราไม่เคยรู้เลยว่าทำไม เพราะอะไร มือที่สามต้องมี เขารู้ เขาเจตตานาหรือไม่ หรือเขาคิดอะไรในใจอยู่ ครั้งนี้ดิฉันได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์มือที่สามบุคลหนึ่ง เราจะได้รู้ไปพร้อมๆกันกับความรู้สึกใน “ความรักของมือที่สาม”

                       นักศึกษาสาว วัย 20 ปี เธอชื่อว่า ฟา (นามสมมุติ) ปัจจุบันเธอศึกษาอยู่ระดับปริญญาตรี คณะวิทยาการจัดการ สาขาการท่องเที่ยว มหาลัยราชภัฏภูเก็ต นิสัยฟาจะเป็นคนที่ขี้เล่น เข้ากับคนอื่นได้ง่าย บางครั้งก็เป็นคนใจร้อน แต่เธอจะเป็นคนที่แคร์ความรู้สึกของคนอื่นมากๆ หากถามถึงนิยามความรักในความหมายของเธอ เธอบอกว่า “ความรักคือสิ่งสวยงาม การที่เราได้รู้จักรักใครถือเป็นเรื่องที่ดี แม้ว่าเราอาจจะไม่ได้ความรักนั้นคืนกลับมาทุกครั้งไป แต่อย่างน้อยเราก็ได้มอบสิ่งที่สวยงามและบริสุทธิ์ให้เขา” และเธอยังบอกอีกว่า “การที่จะทำให้ความรักยืนยาวนั้นสิ่งที่เป็นส่วนประกอบสำคัญเลยคือ การเชื่อใจกัน ไว้ใจกัน ซื่อสัตย์ต่อกัน ให้อภัยซึ่งกัน จงเชื่อมั่นในคนรักและมั่นคงต่อความรัก” และตอนนี้เธอเองกำลังศึกษาดูใจอยู่กับหนุ่มใหญ่นักธุรกิจภูเก็ต นามว่า มาร์ค(นามสมมุติ) อายุ 34ปี ลักษณะ ผิวขาว จมูกโด่ง บุคลิกดี ดูภูมิฐานมากๆ มีธุกิจส่วนตัวหลายอย่าง ถือว่าเป็นคนมีฐานะคนหนึ่งเลย นิสัยส่วนตัวพี่มาร์คจะเป็นคนที่อารมณ์ดี ขี้เล่น ดูเฟรนลี่มากๆ

                          จุดเริ่มต้นในรักครั้งนี้ของฟาเกิดขึ้นได้ เพราะ ฟาเคยได้ทำงานที่หนึ่ง ซึ่งพี่มาร์คก็เป็นหุ้นส่วนอยู่ที่นั่น เริ่มแรกที่เจอกันคือวันที่เธอไปสมัครงาน ฟาบอกว่า “เจอพี่เขาครั้งแรกจะว่าตกหลุมรักเลยก็ว่าได้น่ะค่ะ พี่เขาตรงสเป็คทุกอย่าง ทั้งหน้าตา ท่าทาง”แต่เธอก็ไม่ได้คิดอะไรกับเขาเพราะเขาคือเจ้านาย แต่ด้วยความใกล้ชิดและคุ้นเคยกัน เจอกันทุกๆวัน ฟาเริ่มอึดอัดกับความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อพี่มาร์ค เธอก็อยากจะหาวิธีที่จำทำให้เขารับรู้ ก็ทำได้เพียงแต่คิด แต่แล้วเหมือนโชคชะตาจะเข้าข้างเธอ ฟาได้ไปเจอเฟสบุ๊คของพี่มาร์คและกดเพิ่มเพื่อนไป หลังจากที่พี่มาร์คได้รับคำขอการเพิ่มเพื่อน ฟาก็ได้ทักทายพูดคุยเป็นการส่วนตัว คุยกันทุกวันจนเริ่มสนิท เริ่มนัดไปดูหนัง กินข้าว ออกเดทกัน จากที่เขาเริ่มสนิทกันความสัมพันธ์ก็พัฒนาไปเรื่อย ๆ จนถึงขั้นลึกซึ้งแล้ว   ส่วนเรื่องอายุที่ทั้งคู่ห่างกันถึง 14 ปี เรียกได้ว่าคนละวัยกันเลย มันคือปัญหาในการคบกันหรือเปล่า เธอบอกว่า “มันไม่ใช่ปัญหาเลย ตอนแรกฟาก็กลัวเพราะเหมือนว่าเรายังเด็ก บางครั้งยังงี่เง้า เอาแต่ใจ ไร้เหตุผลอยู่บ้าง แต่พี่เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว ความคิดก็คงต่างจากเรามาก แต่เราทั้งสองก็พยายามปรับตัวเข้าหากัน ไม่ใช่แค่ฟาคนเดียวนะที่ต้องปรับตัว แต่พี่เขาก็พยายามปรับตัวเข้าหาเราเหมือนกัน”

                       แต่แล้วเหมือนโชคชะตาที่ก่อนนี้เคยเข้าข้างมันเหมือนกลับมากลั่นแกล้งเธอ เพราะหลังจากที่ฟาคบหาดูใจกับพี่มาร์คมาสักระยะหนึ่ง ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็เกินเลยไปยากที่จะถอนตัวออกมาง่ายๆแล้ว เธอก็เพิ่งมารู้ว่าพี่มาร์คมีคนรักหรือเจ้าของใจอยู่แล้ว ซึ่งฟาเองไม่เคยสงใสและเอะใจมาก่อนเลย เธอบอกว่า “พี่เขาไม่เคยแสดงพฤติกรรมหรือทำตัวมีพิรุธอะไรเลยว่าเขามีใครอีกคนซ่อนไว้ เขามาหาทุกครั้งเวลาที่ฟาต้องการ มือถือเขาก็ให้ฟาเช็ค ให้ฟาดูได้ ไม่มีผู้หญิงอื่นโทรมาเลยนอกจากคุณแม่และเพื่อนพี่เขา ที่บ้านพี่เขาก็เคยพาไป เวลาไปไหนก็ไม่ได้หลบ ๆ ซ่อน ๆเลย มันเลยทำให้ฟามั่นใจว่าเขาไม่มีใครแน่” แต่หลังจากที่เธอได้รู้ว่าเธอคือคนมาทีหลัง เธอคือมือที่สาม แต่เธอก็ไม่ได้ยุติความสัมพันธ์ในรักครั้งนี้ลง เธอยังเดินหน้าสานสัมพันธ์กับพี่มาร์คต่อ เขาทั้งสองก็ได้พูดปรับความเข้าใจกัน ฟาบอกว่า “เราไม่อยากเลิกกัน ฟาอยู่ไม่ได้ถ้าขาดพี่เขา แต่พี่เขาเองก็ยังอยากคบกับฟา แต่ก็ไม่ได้เลิกกับแฟนก่อนเพราะแฟนเขาก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่แค่พี่เขากับแฟนอยู่ไกลกัน แฟนเขาอยู่กรุงเทพแต่พี่มาร์คเองอยู่ภูเก็ต เวลาส่วนใหญ่พี่มาร์คจะอยู่กับเรามากกว่า ตอนนี้ฟากับพี่มาร์คเรามีมากกว่ารัก คือ เราผูกพันธ์กัน” บางครั้งการเป็นมือที่สามล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นเพราะความไม่รู้ เพราะความไม่ได้ตั้งใจ แต่พอรู้แล้วบางคนก็ยอมถอยออกไป แต่บางคนก็ยังคงเดินหน้าต่อไป มันอาจจะมีเหตุผลอะไรบางอย่างที่ให้เขาต้องยอมจำนนตกอยู่ในสถานะแบบนี้ทั้งที่มันไม่ถูกต้องเลย หากถามเธอว่าการที่เธอเป็นมือที่สามมันเป็นเรื่องผิดศีลธรรมไหม เธอตอบว่า“ฟารู้ดีค่ะว่ามันผิด แต่ถ้าฟารู้ว่าเขามีคนรักตั้งแต่แรกฟาก็เลือกที่จะไม่ยุ่ง แต่ทุกอย่างมันมาเปิดเผยตอนที่สายเกินไป สายเกินที่ฟาจะเดินออกมา เพราะฟารักและอยากดูแลเขาจริงๆ” ในเมื่อเธอเลือกที่จะสานสัมพันธ์ต่อฟาคิดอยากจะแย่งเขามาเป็นของคุณคนเดียวหรือเปล่า ฟาเองตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและรับรู้ถึงความจริงใจจากสายตาเธอได้เลย “ฟาไม่เคยคิดเห็นแก่ตัวแบบนั้นเลย เพราะทุกวันนี้ เรารู้ว่าเขามีแฟนแต่เรายังเลือกที่จะอยู่กับเขามันก็ผิดมากพอแล้ว ขออยู่แบบนี้ไปดีกว่า ต่างคนต่างอยู่ ทุกๆวันนี้พี่มาร์คเขาก็ดูแลฟาอย่างดีไม่บกพร่องอะไรเลย และพี่มาร์คเองเขาก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องระหว่างเขากับแฟนให้ฟาได้ยินเลย อาจจะกลัวฟาคิดมากหรือน้อยใจเลยเลือกที่จะไม่เอ่ยถึง” แต่ก็มีบางอย่างที่ทำให้เราอดสงใสไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไรกันที่ทำให้เธอรักพี่มาร์คมากและยอมให้ตัวเองตกอยู่ในฐานะมือที่สาม “เพราะเขาดูแลฟาได้ดีมาก เขาดูแลฟาได้ดีเท่าที่แฟนคนนึงจะทำให้ เขาพูดกับฟาเสมอว่าฟาไม่ใช่กิ๊ก ไม่ใช่คบไว้เพื่อแก้เหงา แต่ฟาคือแฟนเขาคนนึงเหมือนกัน พี่มาร์คทำให้ฟารู้สึกได้ว่าเขารักและเอ็นดูฟามาก การกระทำต่างๆของเขาทุกอย่างที่ทำให้ มันทำให้ฟารับรู้ได้ว่าพี่เขาดูแลเราได้เป็นอย่างดี และ ฟาก็กล้าพูดเลยว่า กล้าฝากชีวิตไว้ที่ผู้ชายคนนี้” ฟาบอก ไม่รู้ว่ารักครั้งนี้จะจบลงยังไง สุดท้ายแล้วต้องมีเพียงหนึ่งคนเท่านั้นคือผู้ที่ถูกเลือก และถ้าคนที่ถูกเลือกไม่ใช่เธอ เธอจะทำอย่างไร่ต่อไป “ถ้าวันนึงเขาไม่ได้เลือกฟา ฟาก็เสียใจนะที่เราไม่ได้เป็นคนถูกเลือก ทั้งที่เราก็รักเขาไม่แพ้ใคร แต่ก็ทำใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วเพราะเขาไม่ได้มีเราคนเดียว ฟาก็คงต้องยอมรับและเดินออกจากชีวิตเขามา จะพยายามทำตัวเองให้เข้มแข็ง ถึงแม้เราไม่ได้เป็นผู้ที่ถูกเลือก   แต่อย่างน้อยฟาก็ไม่เคยเสียดายเวลาที่ได้ใช่ร่วมกับพี่เขาเลย มันก็มีดีบ้างก็คืออย่างน้อยเราก็เคยรักกัน”สุดท้ายนี้เธอก็ได้ฝากนิยามดีๆไว้ว่า “หากชีวิตของคนเรา เปรียบเสมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง ความรักที่เข้ามาในชีวิตก็เปรียบได้กับใบไม้ที่ผลิดอกออกใบสวยงาม แน่นอนว่าต่อให้เราเฝ้าทะนุถนอมเป็นอย่างดีแค่ไหน เมื่อถึงเวลามันก็ย่อมต้องมีวันร่วงหล่น บางคนทำใจไม่ได้กับการสูญเสียสิ่งที่สวยงามของชีวิต จนทรมานตัวเอง โดยลืมไปว่าใบไม้เพียงใบเดียวที่ร่วงหล่น ไม่อาจสามารถทำให้ต้นไม้ทั้งต้นตายได้ เพราะมันก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของอีกหลายร้อยใบที่เหลืออยู่”                 

                       คนทุกคนเวลามีความรัก ก็มักจะรู้สึกไม่ต่างกันว่าเราช่างเป็นคนที่โชคดีซะเหลือเกิน ที่ได้มีโอกาสสัมผัสกับความรู้สึกดีๆ และมีคนรักที่ทำให้เรารู้สึกมีความสุขที่สุด แต่ถ้าหากวันใดวันหนึ่งความรักได้เดินทางมาถึงจุดจบ หลายคนก็จบพบว่าจริงๆ แล้วตัวเองไม่ได้โชคดีอย่างที่เคยรู้สึกเลยแม้แต่น้อย ยิ่งหากใครต้องเลิกลากันทั้งที่ยังรักเขาอยู่เต็มหัวใจแล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าชีวิตตัวเองช่างเลวร้ายกว่าใครเหลือเกิน แต่จะให้พยายามฉุดรั้งคนรักที่หมดใจให้อยู่ต่อคงไม่ไหว เพราะยิ่งรั้งก็ยิ่งพบว่าหัวใจยิ่งเจ็บปวดเกินจะทนได้ มันเป็นความพยายามที่สูญเปล่าจริงๆ และยิ่งเป็นความรักที่หดหู่อย่างความรักของมือที่สามแล้วมันเป็นอะไรที่ทรมานหัวใจและเจ็บปวดยิ่งกว่ารักในรูปแบบไหนๆ เพราะ ต้องทนยอมรับความจริงทุกอย่างระหว่างคนรักและแฟนของเขา ยอมทำทุกอย่างเพื่อคนรักที่ไม่ใช่ของเราคนเดียว เราอาจจะมีสิทธ์ในตัวเขาเกือบทุกอย่าง แต่สิ่งเดียวที่เราไม่มีสิทธ์เท่าคนมาก่อน คือ คบกันแบบออกหน้าออกตาและออกสื่อให้ใครต่อใครรู้ว่าเราเป็น “แฟน”

                      



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท