อนุทินล่าสุด


ครูเล็ก น่ารัก
เขียนเมื่อ
http://cdn.gotoknow.org/assets/media/files/000/984/334/original_images_(17).jpg?1388672895" target="_blank">http://cdn.gotoknow.org/assets/media/files/000/984/334/default_images_(17).jpg?1388672895">

แวะ.......มารัก

ครูเล็ก น่ารัก

ดลยา สาวใหญ่วัย 38 ปีปลายๆ เธอตามหาความรักความฝังใจในวัยเด็กวัยรุ่น ครั้งนั้นเธอขี้อายเกินกว่าจะเอ่ยคำว่า “รัก” จนต้องพลาดโอกาสดีๆ ในความรักไป แต่ความรักในวัยรุ่นครั้งนั้นมันยังคงวนเวียนอยู่ในความทรงจำของเธอเสมอมา คอยหลอกหลอนให้ครุ่นคิดตลอดมา เธอจึงพยายามตามหา เขาคนนั้นเพื่อจะบอกความในใจที่เก็บไว้เมื่อตอนวัยรุ่นคราวนั้น เพื่อจะได้สบายใจและไม่อึดอัดอีกต่อไป เธอเริ่มต้นค้นหาในอินเตอร์เน็ต เฟชบุ๊ค สิ่งที่พบคือ ความว่างเปล่าและผิดคน ช่างน่าขันเป็นบ้าทำไมเพิ่งมาคิดที่จะตามหาตอนนี้นะ เมื่อตอนนั้นทำไมไม่พูดไม่คุยหรือบอกออกไป ป่านนี้เขาไปไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้ แต่ก็ช่างเถอะขอให้ได้เจอได้พูดในสิ่งที่คลั่งค้างในใจก็พอ ดลยาบอกกับตัวเองเบาๆ นึกขำตัวเองอยู่เหมือนกัน

เมื่อหาในโลกโซเซียลไม่เจอดลยาจึงคิดหาที่เริ่มต้นในการตามหาครั้งใหม่ ที่บ้านเราไงบ้านก็ไม่ได้อยู่ห่างกันมากมายแค่ 20 กิโลเศษๆ เท่านั้น ดลยาเดินทางกลับบ้านทันทียิงปืนนัดเดียวได้นกถึง 2 ตัวได้กลับบ้านไปเยี่ยมแม่ด้วย ได้หาข่าวด้วยถึงแม้ว่าเข้าเขตบ้านแล้วหนทางที่จะออกบ้านไปตะแหลดแต๊ดแต๋นั่นแสนจะยากก็ตามเหอะ แต่ความตั้งใจมีมากจนล้นอกไม่มีอะไรมากั้นขวางได้อีกต่อไป ดลยารีบรุดไปที่สถานีรถไฟเพื่อกลับบ้านและตามข่าว “ความรักในวัยเด็ก” ทันทีดลยาใช้เวลาไม่นานในการเดินทางชั่วโมงกว่าๆ เธอก็เดินทางถึงบ้านอย่างปลอดภัย เมื่อถึงบ้านสาวใหญ่ได้คิดแผนการในหัวทันที นอนเล่นพลางๆ อยู่บ้านสัก 2 วัน แล้วค่อยหาเรื่องออกไปตลาดเพื่อหาข้อมูลหรือหาทางติดต่อ “ความรักในวัยเด็ก”

เมื่อยี่สิบที่ผ่านมาดลยาจำได้ว่า เธอได้พบเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งขณะที่ไปทำงานพิเศษในช่วงที่ปิดเทอมที่ร้านแห่งหนึ่งในตลาดใกล้บ้าน แต่ที่ร้านมีที่พักให้ดลยาจึงไม่ต้องเทียวไปเทียวมากินอยู่ที่ร้านนั่นเลยเสร็จสรรพ ดลยาทำงานอยู่ที่นั่นทุกวันจนวันหนึ่งพลันสายตาก็เหลือบไปพบกับใครบางคนที่จ้องอยู่ฝั่งตรงข้ามดลยามองเงาสะท้อนที่กระจกไม่กล้ามองไปที่เขาตรงๆ เพราะกลัวว่าเขาจะรู้ว่าเธอก็แอบมองเหมือนและสงสัยว่า เขามองทำไม สงสัยเราจะตัวเตี้ยมั้ง ดลยาคิดเพราะเธอเป็นคนที่ขี้เหร่ที่สุดในร้าน ตัวเล็กที่สุดด้วยพี่ๆ ในร้านก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ยายขี้เหร่ดีแต่ว่ามีความขาวเยอะหน่อยไม่งั้นดูไม่ได้เลย แถมยังหัวเราะใส่อีกต่างหาก เฮ้อ!!! ดลยาหาได้สนใจไม่เธอก้มหน้าก้มตาทำงานทำหน้าที่ของตัวเองและเก็บสตางค์เพื่อที่จะนำไปเรียน นั่นคือ ความใฝ่ฝันของตัวเธอเอง ครั้งนั้นนั่นเองความรักที่ก่อตัวเล็กๆ ขึ้นในใจของเธอเอง

ยังจำได้ว่าตอนนั้นเป็นช่วงเทศกาลสาดน้ำสงกรานต์ที่สนุกกว่าทุกครั้ง เรากรอกน้ำใส่ถังเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน หนุ่มน้อยวัยรุ่นก็เข้ามาร่วมเล่นน้ำมือชนมือ ดลยาชะงักแต่ก็ทำเนียนเล่นน้ำต่อ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนั่นเป็นชนวนของสิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่า ความรัก ได้ก่อตัวขึ้นจากความชอบ....ค่อยๆ เป็นความรัก โดยที่ทั้งสองไม่รู้ตัวเลยแต่มีความสุขทั้งครั้งที่คุยกันส่งภาษามือให้กัน อมยิ้มให้แก่กัน จากที่มองกันไปมองกันมาส่งสายตาคุยกัน ในบางครั้งก็ใช้มือช่วยเหมือนคนใบ้ก็ไม่ปานบางครั้งก็เข้าใจบางครั้งก็ไม่เข้าใจ แต่ก็มีความสุขที่ได้คุยมีพัฒนาการจากที่นั่งจ้องข้ามฟากส่งสายตา ส่งภาษาใบ้คุยกัน ต่อมาจึงได้ส่งภาษามือชวนกันไปกินก๋วยเตี๋ยว ดลยาทำภาษามือตอบตกลงทั้งๆ ที่ใจเต้นตุ๊บๆ เอิ่มนี่คือการออกเดทครั้งแรกใช่มั้ย ก๋วยเตี๋ยววันนั้นอร่อยที่สุดอร่อยกว่าทุกวันที่เคยกินแต่ทำไมกินได้ไม่เยอะเพราะเขินมากๆ เขินเพราะหนุ่มน้อยที่นั่งตรงข้ามจ้องหน้าและชวนคุย แต่ก็ยอมเดินตามหลังอย่างว่าง่ายไม่รู้เพราะอะไร ราวกับถูกมนต์สะกดก็ไม่ปาน

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ดลยาก็คิดได้ว่าต้องหาทางหาเบอร์โทรของเขาให้ได้ก่อน ดลยาออกไปตลาดเพื่อสืบหาญาติๆ ของเขาเหมือนฟ้าเข้าข้างเธอ ดลยาเผอิญได้พบกับน้าสาวของเด็กวัยรุ่นคนนั้นโดนบังเอิญ เขาจำเธอได้เพราะเคยเข้าไปที่ร้านบ่อยๆ ความหวังจากจุดเล็กๆ ที่จะค้นหาเพื่อที่จะพบ คน คนนั้นใกล้เข้ามาทุกที แสงสว่างวาบแสงเข้ามาในโสตประสาททันที ดลยายิ้มน้อยๆ ให้กับตัวเองความเต็มเปี่ยมเธอตัดสินใจตรงเข้าไปทักทายทันที ชวนคุยเหมือนรู้จักมานานปีแผนนี้เธอทำได้เนียนทีเดียวแล้วเธอก็ขอเบอร์เพื่อนคนนี้ทันที น้าก็ไม่ได้สงสัยอะไรค้นหาให้ทันที ดลยาดีใจแทบแย่มือสั่นในขณะที่จดเบอร์นั้นมา อยากจะโทรเดี๋ยวนั้นก็ว่าได้แต่ก็ได้หักห้ามใจเอาไว้ เมื่อกลับถึงบ้านเธอจึงโทรทันทีปรากฏว่าเบอร์นี้ไม่ใช่แต่เป็นเบอร์ใครก็ไม่รู้ ดลยาหน้าถอดสี ตายละ นี่มันความหวังของเราเลยนะ เฮ้อ เอาไงดี อืม ยังมีเบอร์พี่สาวเขาอยู่นี่น่า ดลยาตัดสินใจโทรหาพี่สาวของเขาทันทีคราวนี้ไม่พลาดแน่ๆ ดลยาบอกตนเองพลางกดหมายเลขอย่างตั้งใจและแอบลุ้นในใจ พี่สาวใจดีมากเมื่อสนทนากันได้พักใหญ่เมื่อทราบว่าเธอเป็นมีความต้องการอะไร พี่สาวก็ให้เบอร์มาทันทีเมื่อบันทึกเบอร์ลงเครื่องสิ่งที่ได้ขึ้นมาคือ ไลน์ของคนที่ดลยาต้องการพบนักหนาก็ขึ้นตามมาด้วย เธอยิ้มอย่างสมหวังความหวังที่ส่องสว่างในใจตลอดมา ความหวังที่ทำให้เธอก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ อย่างสบายๆ

ความสุขของคนที่มีความหวัง คือ การได้หวังเมื่อมีความหวังก็ความใฝ่ฝันที่จะเดินตามความฝันเพื่อให้ไปถึงฝั่งฝัน ดลยาเองก็เป็นเฉกเช่นนั้นเหมือนกันเมื่อความพยายามเพิ่มเติมเข้าไปในความฝันแฝงอยู่ในความหวังจึงทำให้มีความมานะบากบั่นที่จะตามหา...ตามหาหัวใจตัวเอง บ่อยครั้งที่ดลยาต้องพบกับความผิดหวังเสมอ แต่ครั้งนี้ทุกอย่างมันลงตัวไปหมด เธอไม่ได้คาดหวังที่จะต้องเป็นแฟนกันเหมือนเมื่อตอนเป็นวัยรุ่น เธอต้องแค่บอกความในใจที่มีให้เขาคนนั้นได้รับฟังเธอต้องการทราบเพียงว่าเขาคิดแบบเดียวกับเธอไหมก็เท่านั้น แล้วช่วงเวลาต่อจากนั้นทำไมหายไป ถ้ามีใครรู้คงหัวเราะเยาะในความคิดอันโง่เขลาเช่นนี้เป็นแน่แท้ แต่สำหรับเธอหาได้มีความคิดเช่นนั้นไม่ การที่เราชอบพอหรือรักใครสักคนไม่ใช่สิ่งผิด แต่เพราะเหตุผลกลใดมิทราบที่ไม่อาจจะบอกกันได้ ถามว่ามาบอกตอนนี้มันไม่สายไปรึ ดลยาตอบตัวเองว่าไม่หรอก เพราะว่าเมื่อยังมีโอกาสได้บอกดีกว่าไม่ได้บอกเลย ดังนั้นเธอจึงคิดที่จะตามหาและพูดในสิ่งต้องพูดจะดีกว่าส่วนผลจะเป็นอย่างไรก็ช่าง

ดลยาตัดสินใจโทรหาทันที “ฮัลโล....เอิ่มเราเองนะ จำเราได้ไหม” ความตื่นเต้นทำให้ถามคำถามที่ไม่น่าถามออกไป “เอ่อ..เราๆ เรา ดลยานะ” ปลายสายงง และถามกลับมาว่า “ดลยาไหนครับ อืม ใครหรือครับ” ใจของดลยาห่อเหี่ยวลงทันทีเขาจำเราไม่ได้ ดลยาพยายามอธิบายปลายนิ่งนึกอยู่นานพอสมควร ก่อนจะตอบกลับมาว่า “ขอโทษครับ ผมไม่ได้ชื่อนี้ครับ” อุ๊ย!! เราโทรผิดเบอร์แต่ไม่เป็นไร ดลยาจึงคุยไลน์กับพี่ภัทรและขอเบอร์อีกครั้งพี่ภัทรขำในความเปิ่นของหญิงสาวแต่ก็ให้โดยไม่ได้ถามอะไร ดลยาจึงโทใหม่อีกครั้ง คราวนี้ปลายสายนานมากกว่าจะรับแต่ในที่สุดก็รับสายแต่คำแรกที่ได้ยินคือ “เอิ่ม..เราต้องรีบนอนน่ะ พรุ่งนี้เราต้องทำงานเลี้ยงครอบครัวแต่เช้า” ดลยาได้ยินเสียงผู้หญิงดังมาตามสายว่า ใครหรือค่ะ คุณ เพื่อนที่ไหนค่ะ ดลยาอึ้งครู่ใหญ่นี่เราทำอะไรลงไป ดลยาแค่นเสียงลงไปว่า “งั้นเรารบกวนแค่นี้ล่ะ เราไม่รบกวนล่ะ สวัสดี” นายมีครอบครัวแล้วเราดีใจกับนายจริงๆ นะ เราแค่อยากบอกในสิ่งที่นายเคยทำให้เมื่อคราวนั้นก็แค่นั้นเอง และเราก็อยากรู้ว่านายคิดอย่างไรกับเรา เรากะนายคิดตรงกันไหมก็เท่านั้น ที่เราอยากทำแค่นั้นจริงๆ ธรรม์ ชื่อนี้จะอยู่ในใจเราเสมอไม่ว่าจะอย่างไรนายก็เป็นคนดีในใจเราเสมอ เราขอให้ครอบครัวขอนายมีความสุขมากๆ นะ ธรรม์

อึดอัดใจเหลือเกิน ที่ทำหมางเธออย่างวันนี้

ทั้งที่ความเป็นจริง คำว่ารักเธอมันจนล้นใจ

อยากจะมีสักวันที่มันกล้าพอ ทำให้เธอรู้ ฉันรักเธอแค่ไหน

แต่ต้องทำเป็นคนที่มันไม่รักเธอ คำตอบมากมาย อยากมีให้เธอ

ไม่อยากเห็นเธอวุ่นวายและสับสน ฉันก็เสียใจ

อยู่อย่างทุกข์ทน ทนที่ต้องทำไม่แคร์ ไม่ใส่ใจ

ทนเก็บความคิดถึง ทนเก็บความซึ้งใจ

สั่งตัวเองให้ดึงหัวใจมาอยู่ที่เดิมตรงจุดนี้

ในเมื่อเรารอมาได้ตลอด รอเพื่อบอกสิ่งนี้ มันคงสายไปแล้วไม่ทันแล้วดลยา รู้สึกเศร้าสลดลงอย่างบอกไม่ถูก ในครั้งนั้นเรามัวทำอะไรอยู่ไม่ยอมบอกไม่ยอมพูดความในใจออกไป เมื่อครั้นจะพูดก็สายจนเกินที่จะกล่าวเสียแล้ว ดลยาครุ่นคิดทบทวนการที่จะเข้าไปคุยถึงแม้จะเป็นฐานะเพื่อนคนหนึ่ง ก็ไม่สมควรเพราะ ณ ตอนนี้ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้ก้าวเข้ามาแล้วทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ธรรม์กลายเป็นผู้ใหญ่ เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี เป็นพ่อที่ดี ดลยาไม่อยากเป็นคนที่ถูกตราหน้าว่าเป็นมือที่สองที่สามเข้ามาในครอบครัวที่สมบูรณ์แบบนั่น เธอยิ้มให้กับตัวเองเชื่อมั่นในความคิดใฝ่ดีของตัวเอง อย่างน้อยๆ นรกก็ไม่ต้องอ้าแขนต้อนรับคนอย่างเธอ แต่เธอกลับภาคภูมิใจที่มีความคิดที่ดีมีคุณธรรมและจริยธรรมของตนเองซะมากกว่า อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีกับครอบครัวของใคร ในที่สุดดลยาก็ละ ความคิดที่จะบอกหรือคุยกับธรรม์ เธอไม่โทรไปหาไม่ทักในแชทวางตัวเป็นปกติทำงานตามปกติ เมื่อคิดได้ดังนั่นดลยาก็ยิ้มให้กับตนเอง แต่พลันหูก็แว่วเสียงเพลงนี้ดังขึ้นมาในโสตประสาท เพลงนี้ช่างตรงกับเราในสภาวะนี้เหลือเกิน

ดลยาคิดในใจแล้วร้องตามเพลงเบาๆ ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ดลยาต้องยอมรับว่ามันสายเกินไปสายเกินที่จะเยียวยาเวลามันเนิ่นนานเหลือเกินไป ทุกสรรพสิ่งได้หมุนเวียนเปลี่ยนกันไปตามกาลเวลาทั้งนั้นไม่มีสิ่งใดที่จะยืนยงได้ตราบนานเท่านานเป็นแน่

เธอไม่ต้องรักหรือมีฉันอยู่ในสายตา
เธอไม่ต้องมองลงมาเวลาที่เจอฉัน
แค่ให้ฉันรักเธอแค่ฝ่ายเดียว
ไม่จำเป็นต้องคิดถึงกัน

ความรักในวัยเด็กของเธอนั้นก็เช่นกันไม่ยาวนานหรือยาวไกลได้

แต่แล้วทุกอย่างก็ได้หาเป็นดั่งที่เธอคิดไม่ วันหนึ่งขณะที่ดลยานั่งทำงานอยู่อย่างเพลิดเพลินนั้นพลันได้ยินเสียงไลน์ดังขึ้น ดลยาหันไปมองแล้วต้องตกใจเขาส่งข้อความทักมาว่า

“ดลยา สบายดีมั้ย เราเพิ่งเห็นไลน์เธอ” โอ๊ะโอ!! ดลยามองที่หน้าจอโทรศัพท์อย่างงงงวย จะเอายังไงดีตอนนั้นทำอย่างกะไม่อยากจะคุยด้วย แต่วันนี้ทักซะดิบดี เธอจึงพิมพ์ข้อความตอบไปว่า “เราสบายดี มีไรให้รับใช้ค่ะ” ปลายทางตอบมาว่า “ไม่มี เพิ่งเห็นไลน์ของเธอเลยทักมา” ดลยาจึงตอบไปว่า “อ้อ จ๊ะ” จากนั้นทั้งสองคนก็สนทนากันอย่างออกรสออกชาติเลยทีเดียว ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบอย่างคนที่ไม่เคยได้พบกันมานาน 20 แล้วนะที่ไม่เคยได้เจอหน้าค่าตากันเลย เขาเปลี่ยนแปลงไปมากจริงๆ มีครอบครัวที่อบอุ่น ดลยามีความตั้งใจตั้งแต่แรกแล้วว่าต้องการที่จะบอกกล่าวเรื่องราวของความรู้สึกที่มีต่อกันเมื่อในช่วงเวลาของวันวานที่ผ่านมาเท่านั้นไม่ได้มาทวงสิทธิ์หรือคิดไม่ดีต่อครอบครัวของเขาแต่อย่างใด จากการสนทนาเบื้องต้นทำให้ดลยาทราบว่า ในช่วงเวลานั้นเขาก็รู้สึกไม่ต่างไปจากเธอ แต่เหตุผลกลใดไม่ทราบที่ทำให้เราทั้งสองได้ห่างจากกันไปจนไม่เหลือร่องรอยของความรู้สึกนั้นอีก แต่แล้ววันหนึ่งก็มีความรู้สึกที่อยากจะตามหาเพื่อบอกมันออกไปให้หายค้างคาในใจ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่แปลกดีดลยาเองก็ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเธอ

นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเธอและเขาก็ได้สนทนาพูดคุยกันเสมอ มีหลายเรื่องที่พูดคุยและความคิดเห็นตรงกัน แต่ในสถานภาพแบบนี้เธอจึงทำได้เพียงรับทราบเท่านั้นไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงความรักความผูกพันธ์ต่างๆ ให้เปลี่ยนเป็นสถานะอื่นได้เลย แต่ทั้งสองก็มีความสุขที่ได้พูดคุยกัน กลายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดแก่กันและที่สำคัญดลยาได้เพื่อนรักที่จากกันมานานแสนนานคืนกลับมาอีกคนนั่นเอง ดลยามีความสุขกับการได้ตามหาความรักเมื่อ 20 ที่ผ่านมาจนเจอเธอเชื่อว่า พรหมลิขิตไม่มีจริงแต่สิ่งที่มีจริงคือ ความจริงใจความมั่นคงมากกว่า คนคนนี้เธอเป็นคนที่เธอคิดว่าเป็นคนดีที่สุด เป็นผู้ชายอบอุ่นที่ไม่เคยพูดหรือทำในสิ่งที่เธอต้องรู้สึกเสียใจหรือพูดให้รู้สึกท้อแท้สิ้นหวังแต่เขาคนนี้ คือ คนที่ให้กำลังใจและยังสอนเรื่องราวดีๆ ในอดีตที่ผ่านให้เธออีกด้วยมิหนำซ้ำยังเคยผจญภัยมาด้วยกันด้วยซ้ำไป เช่นการตกรถเพราะความเปิ่นเชยของตัวเธอเองนั่นเองก็มีอย่างที่ไหนล่ะ รถไฟจอดให้คนลงที่สถานีแต่ละที นางกลับวิ่งลงไปซื้อซาลาเปา

ซะงั้นสุดท้าย รถไฟวิ่งออกไปนางก็เลยขึ้นรถไฟไม่ทัน เป็นเหตุให้เขาต้องขอลงรถเพื่อมารับนางไปด้วยในขณะนั้นนางกำลังอึ้งจะทำอย่างไรดี ทั้งกระเป๋าเป้ เสื้อผ้า ของใช้ต่างๆ อยู่บนรถไฟหมดเลย แต่แล้วเขาก็นั่งวินมาที่สถานีที่นางกำลังขวัญเสียอยู่ พร้อมกับแบกเป้ของนางมาด้วย นางยิ้มน้อยๆ แบบว่า เขินในความเปิ่นของตัวเอง แต่เขาทำหน้าขรึมพานางไปขึ้นรถทัวร์แทนสรุปว่าวันนั้นนางและเขาต้องผจญภัยหลายอย่างทั้งตกรถไฟ ทั้งเดินจนขาลากเพื่อไปที่ บ.ข.ส. รถทัวร์เพราะความเปิ่นของนางคนเดียว เมื่อได้รถทัวร์ที่จะไปยังจุดหมายปลายทางแล้ว นางก็ขึ้นไปนั่งบนรถข้างๆ เขาพร้อมกับทำตัวลีบๆ จนเขาต้องบอกกับนางว่า “นี่ นั่งตามสบายเหอะ เราไม่ทำอะไรหรอก ง่วงก็นอนตักเราว่างหนุนได้” นางมองหน้าเขาเขินๆ ก่อนจะล้มตัวลงนอนหนุนตักเขาอย่างว่าง่ายครู่เดียวนางก็หลับไป โดยมีเขานั่งเป็นยามในยามที่นางหลับนั่นเอง มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อรถเลี้ยวเข้า บ.ข.ส. เขาปลุกแล้วพานางขึ้นรถสองแถวเพื่อไปหาอะไรทานที่ห้างมีชื่อแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก นับเป็นครั้งแรกที่นางได้เข้าไปเยียบร้านพิซซ่า ให้ตายเหอะ “เขาสั่งกันยังไงหว่า” แต่นางก็เดินตามเขาไปเขาเลือกโต๊ะมุมหนึ่งของร้าน เขาจัดแจงส่งเมนูให้แล้วบอกว่า “สั่งเลยนะ อยากกินอะไร วันนี้ตังค์เราเยอะ กินให้อิ่มเลยนะ” นางได้แต่มองหน้าแหยๆ แล้วก้มมองที่เมนู มันสั่งยังไงหว่า แล้วมันอร่อยมั้ย มันกินยังไง เฮ้อ!!! ข้าน้อยบ่เคยกินเด้ นางรำพึงในใจ สุดท้ายเขาจึงบอกว่า “งั้นเดียวเราสั่งให้ เอาถาดกลางนะ กินหมดมั้ย” นางยิ้มแล้วบอกว่า “ไม่หมดหรอกถาดเล็กก็พอ” เขาจึงสั่งตามที่นางบอก เมื่ออาหารมาส่งนางก็ทำตามเขาเขาตักเขาหยิบอะไร นางก็ทำตามสุดท้ายนางก็กินไม่หมดแต่ได้เวลากลับบ้านแล้วเขาจึงพานางมาส่งขึ้นรถ เขาและนางล่ำลากันก่อนที่นางจะก้าวขึ้นรถกลับบ้านอย่างปลอดภัย

นี่จึงเป็นความฝังใจในความเป็นคนดีของเขา เขาเป็นฮีโร่ในใจของนางมาตลอด ด้วยเหตุนี้นางจึงตามหาเขา เมื่อนางมาเรียนเขาก็ฝากรุ่นพี่ในโรงเรียนช่วยดูแลนาง หาหนังสือให้นางสิ่งเหล่านี้นางถือว่าเป็นบุญคุณที่นางไม่ควรลืม เพราะถ้าไม่มีหนังสือเหล่านั้นก็คงไม่มีนางในวันนี้ และนางก็คงไม่มีหน้าที่การงานที่ดีๆ แบบนี้ทำถึงแม้ว่าชีวิตคู่ของนางจะไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร แต่สิ่งหนึ่งที่นางถือว่านางประสบความสำเร็จกับชีวิตคือ นางถูกแวดล้อมด้วยเพื่อนที่ดีๆ ร่ำรวยน้ำใจคอยให้ความช่วยเหลือนางอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าในวันนี้นางตามหา “ฮีโร่” ในใจของนางเจอและนางได้บอกความรู้สึกที่มีให้รับทราบแล้วนั้น นางรู้สึกมีความสุขมากส่วนตัวเขานั้นก็รู้สึกไม่ต่างจากนางมากนักแต่ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเขาและนางมีมากกว่าที่จะทลายกำแพงความคิดนอกรีตได้ นางจึงขอเก็บเขาคนนี้เอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจและมันจะเป็นความลับในใจของนางตลอดไปตราบนานเท่านาน ถึงแม้นางจะดีใจสักเพียงไหนที่รู้ว่าเขาเองก็มีใจ แต่เขาและนางเดินทางมาไกลเกินกว่า ที่จะกลับไปใช้ช่วงชีวิตแบบนั้นได้อีก แต่ความทรงจำที่ดีของนางและเขาจะยังคงตราตรึงอยู่ในส่วนลึกของหัวใจของคนทั้งสองตลอดไป

คงเป็นเพียงเพราะเขาตั้งใจที่จะแวะ....มารักกับนางเพียงแค่นั้นเหตุการณ์เหล่านั้น จึงฝังใจนางตลอดมา และโชคชะตาก็นำพาให้นางมาเจอเขาอีกจนได้ และในยุคปัจจุบันการติดตามค้นหาใครสักคนนั้นง่ายเพียงพลิกฝ่ามือ โลกทั้งโลกเหมือนถูกย่อให้อยู่ในอุ้งมือฉะนั้นการตามหาใครสักคนจึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ขอให้นายมีความสุขนะ “ฮีโร่” ของฉัน ดลยา ปรมัติเมธากุล



ความเห็น (2)

เขียนเป็น “บันทึก” ดีกว่าครับ คุณครู ;)…

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่ะ พอเอาไปลงทีไร ลงผิดทุกทีเลยค่ะ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
ครูเล็ก น่ารัก
เขียนเมื่อ

เธอ.....เป็นมากกว่า...รัก

ทุกชีวิตล้วนมีรัก โลภ โกรธ หลง มันอยู่ที่ว่าใครจะเจอสิ่งใดก่อน ในมุมของความรักของคนแต่ละคนย่อมแตกต่างกันออกไป โลกนี้กว้างใหญ่นักแต่ความรักก็ยังคงอบอวนวนเวียนเข้าถึงได้ทุกที่ และในทุกที่ก็จะมีความหอมหวานอิ่มเอมตามมาเสมอ ดั่งชีวิตของนายทหารคนหนึ่งที่ดิฉันจะได้กล่าวถึงคนนี้ก็เช่นกัน เขาทำงานที่ต้องเสี่ยงตลอดเวลาไม่มีเวลาที่จะพูดคุยกับใครได้เลย อีกทั้งหญิงสาวที่เคยเป็นคนที่รักยิ่งก็เริ่มห่างหายกันออกไปทีละน้อยๆ จนไม่เหลือแม้แต่เยื่อใยบางๆ นั่นเลย ความขมขื่น ความเศร้าใจ ความอ่อนล้า ปวดแปลบอ่อนแรงที่จะไขว่คว้าเธอเอาไว้สายใยบางๆ ขาดสะบั้นลงเพราะหน้าที่อันยิ่งใหญ่และเหนือสิ่งอื่นใด ด้วยภาระอันหนักอึ้งทำให้เขาต้องเลือกหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติและทุ่มเท หากทำไม่ดีนั่น คือ หมายถึงชีวิตของเขาเองและผองเพื่อนต้องเป็นอันต้องจบลงเช่นกันนั่นเอง ตัวเขาเองก็เจ็บปวดไม่น้อยแต่ความเสียสละมีมากกว่าที่จะเห็นแก่ตัวได้ เขาจึงยอมที่จะปล่อยมือจากเธอไป

ก่อนเคยเหงา เคยรู้สึกเหว่ว้า

เคยมองหา ความรักนั้นมันอยู่ ที่ใด
โลกใบใหญ่เหลือเกิน มีผู้คนอยู่มากมาย
แต่หัวใจมันกลับเหงาขึ้นทุกที

แทนไทชอบฟังเพลงในยามว่างจากการเสร็จสิ้นภารกิจ วันนี้ก็เช่นกันเขาก็ยังฟังเพลงเดิมเพลงโปรดที่ฟังซ้ำไปซ้ำมา จนเพื่อนๆ ไม่ฟังด้วยแล้ว “ไอ้แทน แกฟังเป็นเพลงเดียวหรือว่ะ นั่น ฟังทุกทีที่ว่างซิน่า ตูเอียนแล้ว” เพื่อนคนหนึ่งตะโกนบอก แทนไทหันไปตอบยิ้ม “ก็มันเพราะดีนี่หว่า เนื้อหาก็ดี อีกอย่างเราก็รอว่าใครจะมาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายของเราว่ะ” เพื่อนคนเดิมตอบกลับมาด้วยความหมั่นไส้ “เออ อยู่ป่าทั้งวันใครจะมาหาแกเจอว่ะ กอดปืนไปเถอะ อย่ามัวแต่เพ้อ” แทนไทถึงกับสะอึกเจ็บแปลบทันที “เออ จริงของแก ตูลืมไปว่ะ” พูดจบก็กอดปืนนอนหลับตานิ่งๆ ปล่อยให้ภาพในอดีตไหลกลับเข้ามาในมโนภาพความคิดอีกครั้ง “แทนๆ สัญญานะ เราจะรักอย่างนี้ตลอดไป” แทนไทยิ้มตอบหญิงสาว “สัญญาซิ เราจะรักปุ้มตลอดไปจนตายจากกัน เราจูงมือกันเดินแก่เฒ่าไปด้วยกัน แทนสัญญา” หญิงสาวยิ้มหวานอย่างมีความสุขในคำตอบนั้น แล้วภาพอีกภาพก็ผุดซ้อนขึ้นมาให้สมอง “แทนเราไม่ไหวแล้วนะ เราคิดว่าเราพอกันแค่นี้ดีกว่ามั้ย หน้าที่แทนมันยิ่งใหญ่เหลือเกิน เราไม่ไหวแล้ว” ปุ้มพูดพร้อมทั้งน้ำตา “เราไม่อยากฝันร้ายทุกครั้งที่ฟังข่าว ขวัญผวาเมื่อเห็นข่าวในหนังสือพิมพ์ ทีวี เราอยากมีแฟนแบบคนธรรมดาได้ยินมั้ยแทน เราไม่ไหวแล้ว” แทนไทได้แต่พยักหน้ายอมรับคำพูดนั้นแต่โดยดี ไม่อุทธรณ์ไม่ร้องขอ เข้าใจในสิ่งที่ ปุ้มร้องขออย่างที่สุด น้ำตาลูกผู้ชายค่อยๆ ไหลริน ความเจ็บปวดประเดประดังเข้ามาแทนที่ในที่สุดวันนี้ก็เดินทางมาถึงจนได้ นับแต่นั้นมาความเหงาจึงเข้ามาแทนความชุ่มฉ่ำใจความเจ็บปวดก็รุมเร้า

แทนไท คือชื่อของนายทหารคนนี้ แทนไททำงานกับเพื่อนทหารด้วยกันอีกนับสิบ หรือที่เรียกว่า ทีมค้นหาข่าว เป็นหน่วยสืบราชการลับอยู่ที่ภาคใต้ของประเทศไทย แทนไทต้องทำงานเสี่ยงตายแบบนี้มาร่วม 3 ปีเต็มจนเป็นเหตุต้องเลิกรากับแฟนสาว แรกๆ เธอก็เข้าใจในหน้าที่ของเขาดีแต่ความห่างไกล เริ่มทำให้ทั้งสองต้องทะเลาะกันบ่อยเพราะบางครั้งก็ติดต่อไม่ได้จนเธอโกรธ งอน และสุดท้ายก็ต้องจบลงด้วยการแยกจากกันไป แทนไทจึงมุ่งมั่นปฏิบัติหน้าอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อที่จะทดแทนความเจ็บปวดนี้ ซึ่งก็ได้ผลแค่ระยะหนึ่งเท่านั้นเมื่อต้องอยู่คนเดียวแทนไท ก็อดไม่ได้ที่จะคิดซะทุกทีร่ำไป “ปุ้ม แทนขอให้ปุ้มโชคดี เจอคนที่มีเวลา คนที่รักปุ้มอย่างจริงใจ ขอให้ปุ้มมีความสุขกับชีวิตนะ” แทนไทอวยพรให้ปุ้มอย่างจริงใจ ปุ้มสะอื้นไห้เสียใจที่เรื่องต้องมาจบแบบนี้ เพราะเวลาเพราะหน้าที่เท่านั้นที่เป็นกำแพงสำหรับคนทั้งสอง

วันหนึ่งขณะที่แทนไทได้หยุดพักผ่อนไม่ต้องไปหาข่าวกับทีมนั้น แทนไทใช้เวลาที่มีเข้าเมืองเพื่อเดินเล่นและพักผ่อนสมองไปในตัว เมื่อเดินเล่นจนเมื่อยจึงนั่งพักในขณะนั้นจึงหยิบโทรศัพท์เก่าๆ ของตัวเองขึ้นมาดูพลิกไปพลิกมามันคงได้เวลาที่จะเปลี่ยนเสียทีหน้ากากเก่าจนแทบมองไม่ออกว่ารุ่นไหน แทนไทจึงเดินไปที่ร้านแห่งหนึ่งทันทีให้รางวัลกับชีวิตบ้างก็ดีนะ แทนไทคิด พนักงานขายออกมาต้อนรับแนะนำสินค้าอย่างแคล่วคล่อง แทนไทชี้ไปที่โทรศัพท์รุ่นนึงพนักงานขายอธิบายสรรพคุณละเอียดยิบทันที พร้อมทั้งลงโปรแกรมให้เพื่อลูกค้าจะได้สะดวกในการใช้งาน “พี่ค่ะ สมัคร Mail เลยมั้ยค่ะ” พนักงานยังเจื้อยแจ้วต่อไป แทนไทพยักหน้ารับช้าๆ

พนักงานส่งกระดาษให้เขียนทันทีไม่กี่อึดใจโทรศัพท์ก็พร้อมใช้ แทนไทหามุมเงียบนั่งศึกษาสักพักก็เข้าใจจึงสมัครไลน์ทันที เพื่อเป็นการสดวกในการติดต่อกับเพื่อน ในขณะที่เพิ่มเพื่อนคนโน้นคนนี่ก็นึกได้ว่ามีเบอร์หนึ่งที่ยังไม่ได้จัดเก็บเข้าเครื่องจึงหยิบจากกระเป๋าสตางค์มาบันทึกแต่มันเขียนไว้นานเบอร์จึงเลอะเลือนทำให้แทนไทจัดเก็บเบอร์ผิดโดยไม่รู้ตัว

แต่เบอร์นี้ก็มีไลน์ไม่นานไลน์นี้ก็เข้ามาในระบบของแทนไท แต่แทนไทก็ไม่ได้สนใจมากนักมาสะดุดตรงรูปโปรไฟล์ เป็นผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้แทนไทเพ่งมองอย่างสงสัย ใครหว่า? เรารู้จักเธอคนนี้ด้วยหรือว่ะ เขาบ่นในใจ แต่อีกใจก็นึกว่า ดีแล้วจะได้มีเพื่อนคุยก็สนุกสนานไม่เหงา

ดีออกเมื่อวันเวลาล่วงเลยผ่านไป แทนไท จึงลองทักแชทหญิงสาวคนดังกล่าวเพื่อที่จะทำความรู้จัก

หญิงสาวอัธยาศัยดีมากพูดคุยเป็นกันเอง “สวัสดีครับ ผมแทนไท” เมื่อทักแชทเสร็จ แทนไท ก็นั่งลุ้นสาวเจ้าจะตอบกลับมามั้ยนะ ไม่นานเสียงข้อความไลน์ก็ตอบกลับมา “สวัสดีค่ะ พลอยค่ะ” แทนไทรีบตอบกลับทันที “ยินดีที่ได้รู้จักครับ” แล้วก็มานั่งนึกคำที่จะคุยกับเธออีก “ยุ่งอยู่หรือเปล่าครับ หมายถึงรบกวนมั้ยครับ เรียกผมว่า แทน ก็ได้ครับ” ตอบเขาซะยาวเลยเรา “ไม่ค่ะ เพิ่งว่างจากงานสอนพอดีค่ะ” อ้อ เขาเป็นคุณครู “เป็นคุณครูใช่มั้ยครับ ผมเป็นทหารครับ อยู่ที่ใต้” เปิดตัวมากไปไหมว่ะเรา นึกขำตัวเอง “อ้อ ค่ะ ลำบากไหมค่ะอยู่ทางโน้น พลอยเป็นครูค่ะ รับราชการครู” เธอตอบกลับมายาวพอสมควรทีเดียว แทนไท รู้สึกดีที่มีคนคุยด้วยจึงคลายความเศร้าในใจลงไปได้เยอะพอสมควรทีเดียว “ไม่ลำบากครับ ผมชินแล้วอยู่ที่นี่มาเป็นปีแล้วเลยชินครับ” การสนทนาเป็นไปอย่างต่อเนื่องเรื่อยๆ ไม่รีบร้อนเพราะว่าแทนไทยังจดจำรสชาติของความเจ็บปวดนั่น ได้เป็นอย่างดีเลยนั่นเอง “วันนี้แค่นี้ก่อนนะครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณพลอย” แทนไทตัดบทจบการสนทนาลงเพราะต้องกลับฐานที่ตั้งซะทีออกมานานแล้ว แทนไทยิ้มให้ตัวเองรู้สึกดีที่มีเพื่อนเพิ่มขึ้นมาอีกคนแม้จะไม่รู้จักกันมาก่อนก็ตามที พลันก็ได้ยินเสียงข้อความไลน์เข้ามาอีกครั้งแทนไทกดดูพบว่าพลอยได้ส่งข้อความเข้ามา “ยินดีที่ได้รู้จัก เช่นกันค่ะ คุงทหาง เอ๊ย ทหาร คุ คุ คุ” แทนไทยิ้มกับข้อความแล้วก็นึกไปว่าผู้หญิงคนนี้ช่างเป็นอารมณ์ดีจัง การสนทนาระหว่างแทนไทกับครูพลอยเป็นไปอย่างเรื่อยๆ เมื่อพักจากงานเปิดออนไลน์ก็มักจะพบข้อความของครูพลอยส่งมาให้กำลังใจเสมอ “สู้ๆ นะค่ะคุณทหาร เที่ยงแล้วทานข้าวด้วยนะค่ะ พลอยกำลังทานข้าวพอดีเลย ทานด้วยกันมั้ยค่ะ” แทนไทยิ้มแล้วพิมพ์ตอบไปว่า “ผมเพิ่งได้พัก กำลังจะทานเช่นกัน ขอให้ทานให้อร่อยนะครับ” พลันข้อความก็เข้ามา “อร่อยอยู่แล้วค่ะ ว่าแต่วันนี้นอนกลางดินกินกลางทรายหรือเปล่าค่ะ” แทนไทพิมพ์ตอบไปว่า “ขอบคุณครับที่เป็นห่วง ฮ่าๆๆ”

“ปล่าวเลยนะค่ะ ไม่ได้เป็นห่วง แค่ถามดู อิ อิ อิ อิ” การสนทนาเต็มไปด้วยความสุขเล็กๆ โดยที่ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่าความผูกพันธ์เริ่มก่อตัวขึ้นเบาๆ “ขำๆ เนาะ ยอกย้อนเนี๊ยะ”

แทนไท ทำงานอย่างมีความสุขมีเวลาว่างเป็นต้องออนเครื่องแชทไลน์กับครูพลอยทันทีและที่สำคัญมักจะได้ข้อความดีๆ ที่ให้กำลังใจเสมอทำให้หัวใจของแทนไทเบิกบานดุจดังมีหยดน้ำที่หล่อเลี้ยงให้รู้สึกชุ่มชื่นขึ้นมาอีกครั้ง บางทีก็ฮัมเพลงเบาๆ จนเพื่อนในกลุ่มเริ่มแซว “เดี๋ยวนี้ หัดร้องเพลงด้วยหรือว่ะ ไม่ธรรมดาแหระตั้งแต่มีโทรศัพท์ใหม่เนี่ย” แทนไทขำกลบเกลื่อน “ฮ่าๆ แปลกตรงไหนกะอีแค่ร้องเพลงว่ะ ตู่ คนเรามันก็ต้องมีบ้างบางมุม มุมนั้นมุมนี้จริงมั้ยเพื่อน” ตู่ตบไหล่เบาพร้อมกับพยักหน้า “แปลกซิว่ะ ก็ไอ้แทนคนหน้าเข้มมันหายไป แต่มีไอ้แทนที่มีเสียงเพลงเข้ามาแทนไม่แปลกได้ไง” “แหมๆ ไอ้ตู่แกก็จ้องจับผิดตูไปได้ ฮ่าๆๆ ไปอาบน้ำดีกว่า ขี้เกียจเถียง”ว่าแล้วแทนไทก็เดินหนีไปเลยแก้เขินนั่นเอง เมื่ออยู่คนเดียวจึงพยายามนึกทบทวน อืม นี่เราเปลี่ยนไปมากจนเพื่อนมองเห็นเลยรึ แทนไทตั้งคำถามกับตนเองทุกครั้งที่ได้คุยกับครูพลอยเราจะรู้สึกสบายใจหายกังวล รู้สึกผ่อนคลายเพราะความขี้เล่นของครูพลอยนั่นเอง ครูพลอยเป็นผู้หญิงน่ารักมากๆ ในความรู้สึกของแทนไท เธออ่อนโยน ดุจสายน้ำอันฉ่ำเย็นคอยปลอบประโลมให้กำลังใจในยามที่ท้อแท้อย่างสุดขั้วของเขาในทีเดียว ยิ่งเธอเข้ามาตอนที่กำลังเหมือนคนจะจมน้ำด้วยแล้วยิ่งมีความหมายอย่างมากมาย หรือว่าเราจะหลงรักผู้หญิงที่มีแต่เสียงคนนี้เสียแล้วนะ

หากว่าเธอนั้น คือความรัก
ก็เป็นรักที่ดีจนไม่มีคำบรรยาย
ช่างโชคดีเหลือเกิน ที่มีเธอเดินข้างกาย
ชีวิตเหมือนได้เติมเต็มสิ่งที่ขาดหาย

เพลงท่อนนี้ช่างมีเนื้อหาที่กินใจเหลือเกิน เธอคือคนที่มาเติมเต็มในส่วนที่ขาดหายไปอย่างนั้นหรือ แทนไทเฝ้าถามตนเองซ้ำๆ ยิ้มบางๆ ให้กับตนเองมีความหวังที่จะมีคนเดินเคียงข้างจูงมือพาก้าวข้ามผ่านมรสุมหัวใจลูกใหญ่ที่เพิ่งพัดพรากเอาคนรักจากไปไกลจน น้ำตาของลูกผู้ชายต้องหยดไหลมาแล้วทีเดียว น่าแปลกเนาะที่โลกใบใหญ่ขนาดนี้เรายังได้พบกันคงเป็นโชคชะตาที่ชักนำให้เรามาพบกันเป็นแน่แท้ แทนไทคิดไปตามกระแสของมโนความคิด

จะอย่างไรก็ตามหากครั้งนี้จะเป็นความรักครั้งใหม่เขาจะถนุถนอมความรักนี้เอาไว้เป็นอย่างดีเพื่อให้ความรักครั้งนี้ได้อยู่กับเขาให้นานเท่านานเลยทีเดียว แทนไทยังคงพูดคุยกับครูพลอยเสมอเมื่อว่างจากภารกิจของทุกๆ วัน ความผูกพันธ์ที่ก่อตัวเป็นตะกอนเล็กๆ ค่อยๆ ทวีขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ตัวของแทนไทเองไม่รู้ตัว จนลืมความเจ็บปวดเมื่อครั้งที่ปุ้มก้าวเดินจากไป ทิ้งไว้แค่รอยอาลัยที่ค่อยๆ จางหายออกจากใจไปทีละน้อยเพราะยางลบตราครูพลอยนั่นเอง

บัดนี้มีแต่ความสุขสดใส อบอวนไปด้วยความห่วงใย ผูกพันธ์ด้วยความเอื้ออาทรเล็กๆ จากคนที่อยู่ไกลจนสุดสายตาแต่ความห่วงใยที่ส่งมาไม่มีคำว่าห่างไกลกันเลยทีเดียว ทุกอย่างเหมือนอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือที่ผ่านมาสัมพันธ์ให้ไออุ่นมาแนบเนา คลุกเคล้าด้วยการผสมผสานผ่านกาลเวลาที่ดีรอแค่เวลาให้ลงตัวเท่านั้น “คุงทหาร วันนี้ยิ้มบ้างหรือยัง อย่ามัวแต่ทำหน้าแบกโลกนะค่ะ อิ อิ อิ ” แทนไทยิ้มทันทีที่ได้ยินเสียง “คร้าบบบบบบบ แม้พูดยังกะตาเห็นแน่ะ เลิกเป็นครู แล้วมาเป็นหมอดูมั้ยครูพลอย” ทั้งสองพูดคุยหยอกล้อกันราวกับว่าสนิทสนมกันมานานแสนนานเลยเชียว “แหมๆๆ ช่างกล้านะ คุงทหาร เดี๊ย!!! เหอะ สั่งพุ่งหลังซะนี่” ครูเล่นบทโหดใส่ “กลัวแล้ว คร้าบบบบบบ ครูอะไรดุจริงไร ไม่ได้ดั่งใจจะทำโทษอย่างเดียว” ครูพลอยหัวเราะเสียงใสกังวานอย่างอารมณ์ดีตามเคย “อ๊ะ!! อย่ามากล่าวหานะค่ะ เค้าออกจะจายยยยยยยยยดี” แทนไทยิ้มกับความยั่วยวนกวนโมโหของครูสาว “ยอมๆๆ ครับเถียงทีไร ไม่เคยชนะซักทีซิน่า” แทนไทต้องยอมซะเองไม่งั้นคงจะไม่ได้กินข้าวเป็นแน่ “แหง๋ ซิ ต้องเป็นอย่างนั้นแหระ ผิดเป็นครูนี่น่า ไม่เคยได้ยินหรา คุงทหาร” คราวนี้แทนไทหัวเราะบ้าง “คร้าบบบบ ยอมคร้าบบบ ฮ่าๆๆๆๆ” เสียงครูพลอยยังคงดุกลับมาอีกครั้ง “มาหัวเราะตามเค้าทำไม เดี๊ย! ล้อเลียนหรา” คราวนี้แทนไทขำไม่ออก “เอ้า!!! ผม ผิดอีกแหระ งั้นขอตัวทานข้าวก่อนนะครับ เดี๋ยวมาเถียงด้วยใหม่ บ่ายนี้มีงานต้องไปลาดตะเวนขอตัวก่อนนะ คุณครูขาโหด” “ตามสบายค่ะ คุงทหารแบกโลก ฮ่าๆๆๆ” จนได้ซิน่าแทนไทคิดในใจ ไม่มีสักครั้งที่จะยอมแต่ก็สนุกดีนะมีสีสันในชีวิตดีได้ยิ้มทุกวัน ถ้าไม่มีครูพลอยชีวิตที่มีแต่ความเสี่ยง ชีวิตที่แขวนไว้บนเส้นด้ายหาความมั่นใจอะไรไม่ได้เลยไม่รู้จะตายวันตายพรุ่งตอนไหนแต่การที่จะมีใครสักคนมาเติมเต็มให้กับชีวิตก็ดีมิใช่น้อย ดังเช่นวันนี้มีคนที่ให้กำลังใจให้ความรู้สึกที่ดีมีพลังมีความหวังที่จะปฏิบัติภารกิจเพื่อประเทศชาติ แต่เรื่องของหัวใจก็สำคัญเป็นกำลังใจเล็กๆ ที่จะทำให้มีความสุขในการทำงานไปอีกวัน แทนไทยิ้มให้ตัวเองที่มีโอกาสได้พูดคุยกับคุณครูจิตใจดีไม่รังเกียจทหารบ้านๆ ที่ทำงานเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเสียสละ เพื่อชาติแต่หัวใจนั้นเพื่อเธอ “ไอ้แทน ฉันถามแกตามตรง แกมีความรักใช่มั้ยเนี้ย” ตู่ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทอดรนทนไม่ไหวจึงโพล่งออกไป “ทำไมหรึ” แทนไทย้อนถาม “ไม่ทำไม ฉันอยากเห็นแกมีความสุขก็เท่านั้น แกเป็นเพื่อนฉัน” แทนไทซาบซึ้งในความมีน้ำใจของเพื่อนรัก “ขอบใจนะที่เป็นห่วง ใช่ฉันมีความรักแต่รักครั้งนี้ ฉันรับรองว่ามันจะไม่เหมือนครั้งก่อน” ตู่ตบไหล่แทนไทเบา “ฉันดีใจด้วยถ้ารักครั้งนี้มันทำให้แกมีความสุข” แทนไทยิ้มบางๆ ออกลาดตะเวนด้วยความสุขใจที่เต็มเปี่ยม อย่างน้อยๆ ก็มีคนที่เห็นคุณค่าที่ทำเข้าใจในหน้าที่การงานที่เขาพึงกระทำ แทนไทมองทอดสายตาออกไปที่ขอบฟ้าไกลอย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง อิ่มเอมใจอย่างบออกไม่ถูกความเหนื่อยความท้อแท้ในบางครั้งบางหายเหือดหายไปเพราะครูพลอย ครูที่คอยให้กำลังใจคอยหยอกล้อเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจของวัน

วันนี้ก็เหมือนเฉกเช่นทุกวัน และมันจะเป็นแบบนี้อีกนานเท่านานถ้าเธอคนนี้ยังให้ความเข้าใจ และรอคอยการกลับไปของเขา แทนไททหารกล้าแห่งขุนเขากำลังใจที่มีให้แก่กันนั้นประดุจหยดน้ำที่ชุ่มเย็นหล่อเลี้ยงจิตใจในยามที่ท้อแท้สิ้นหวังแต่เพียงเพราะหน้าที่จึงต้องฝ่าฟันกับเหล่านี้ให้จงได้

ขึ้นชื่อว่า “ความเหงา” นั้นมันสามารถแทรกซึมและยึดพื้นที่ในหัวใจของใครต่อใครได้อย่างรวดเร็วเสมอ บ่อยครั้งที่ “ความเหงา” นี้เข้ามาแทรกซึมในหัวใจของแทนไท แต่คราวนี้เขามีครูพลอย ครูที่สดใสทุกขณะจิตมองโลกเชิงบวกอารมณ์ศิลปะในหัวใจมองโลกสดใสตลอดเวลา ยิ่งทำให้หัวใจที่ขาดความชุ่มชื้นอ่อนแรงอ่อนล้า ได้พบกับความสุขสดชื่นมีชีวิตชีวาอีกครั้ง ดังนั้นแทนไทจึงให้สัญญากับตัวเองว่าจะเก็บช่วงเวลาขณะนี้เอาไว้ให้ยาวนานที่สุด จะรักษาเอาไว้ให้ตราบนานเท่านาน บัดนี้ “ความเหงา” ทำอะไรแทนไทไม่ได้อีกแล้วนับตั้งแต่วินาทีนั้น เธอคือ คนที่มาเติมเต็มในส่วนที่ขาดหายไป เพิ่มสีสันให้ชีวิตและการทำงาน เธอคือ ประกายเทียนในยามค่ำคืนที่ฟ้าหม่น ใจเศร้า เธอคือ น้ำค้างกลางใจของทหารไทยโดยแท้ เมื่อคิดได้ดังนี้แทนไทจึงตัดสินใจที่จะบอกความในใจนี้ให้ครูพลอยรับทราบเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจในไม่ช้า ใจหนึ่งก็พะวงหากเขาไม่มีใจตอบมาเราจะทำอย่างไร แต่ก็เอาเถอะ ยังไงก็ดี เราก็ยังได้บอกความนัยออกไปดีกว่ากักเก็บไว้เพียงลำพัง

นับแต่นี้ต่อไป “ความเหงา” เราต้องห่างกันสักพักแล้วซินะ เพราะเรามีครูพลอยเข้ามาแทนที่แล้วนั้นเองวันนี้ต้องบอกให้ได้ แทนไทมุ่งมั่นตั้งใจเหมือนกำลังจะไปออกลาดตะเวนเลยทีเดียว และแล้วเวลาแห่งการรอคอยก็มาถึงเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจแทนไทก็เปิดออนทันที “สวัสดี ครูพลอย วันนี้การปฏิบัติหน้าที่เป็นไปตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติ คือ หัวใจของผมเอง ผมมีเรื่องที่ครุ่นคิดมาตลอดระยะเวลาที่เราคุยกัน ผมรู้สึกดีมากที่คุยกับครู จนผมเองเริ่มไม่แน่ใจว่าจะบอกคุณครูดีมั้ย ผมคิดไปคิดมาอยู่หลายวัน จนวันนี้จึงตัดสินที่จะบอกออกไป หากไม่บอกออกไปผมไม่รู้ว่า ผมจะมีโอกาสได้บอกมั้ย เพราะงานของผมมันเสี่ยงมากมาย” ทันทีที่ข้อความถูกส่งไป ข้อความนั้นก็ถูกอ่านทันที แทนไทได้แต่นั่งลุ้นว่า คำตอบจะเป็นอย่างไร “ครูเข้าใจที่คุณทหารกำลังจะบอกนะค่ะ ขอบคุณที่รู้สึกดีกับครูค่ะ ครูก็รู้สึกดีกับคุณทหารนะค่ะ” แทนไทแทบจะกระโดดตัวลอยที่อ่านข้อความนั้นจบ “อีก หนึ่งเดือน ผมจะได้พักกลับบ้านเป็นเวลา 10 วัน ผมไปเที่ยวหาคุณครูที่โรงเรียนได้มั้ยครับ” แทนไทดีใจมากกับคำตอบจึงอยากไปเยี่ยมเยียนและเห็นหน้าเขารอลุ้นกับคำตอบที่กำลังถูกส่งกลับมา “ได้ซิค่ะ ถ้าไม่รังเกียจครูบ้านนอกอย่างพลอย” นี่เป็นครั้งที่สองที่ดีใจ “ผมยินดีมากกว่าที่จะได้เจอหน้าคุณครู ขอบคุณสำหรับความรู้สึกดีๆ นะครับ”

ข้อความตอบมาว่า “ยินดีเช่นกันค่ะ คุณทหาร พลอยไปสอนก่อนนะค่ะ” แทนไทยิ้มบางๆ ให้กับตัวเอง “ตามสบายครับ”

ในที่สุดทุกอย่างก็ลงเอยกันด้วยดี ครูพลอยเหมือนน้ำค้างที่หยดลงมาชโลมใจของแทนไททหารกล้าที่เสียสละเพื่อชาติและหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ แทนไทได้พบกับคนที่เข้าใจอย่างแท้จริงดังนั้นเวลาไม่ได้เป็นตัวแปรในการที่เราจะรักหรือรู้สึกดีๆ กับใครสักคน แต่เวลาเป็นข้ออ้างขอคนที่อยากจะไปจากกันโดยมีความเหงามาเป็นสื่อกลางมากกว่า เมื่อความเหงาเข้ายึดพื้นที่แห่งใด พื้นที่นั้นก็จะพบกับความพลัดพรากทันที โดยมีน้ำตาของอีกฝ่ายเป็นรางวัล ลาก่อนความเหงา...........



ความเห็น (2)

ยาวมาก

ครูเล็กเอาไปเขียนในบันทึกนะครับ

อนุทินใช้บันทึกสั้นครับ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
ครูเล็ก น่ารัก
เขียนเมื่อ

รักฉันนั้น.......เพื่อเธอ

                   ช่วงชีวิตวัยรุ่นใครๆ ก็มีความรักแบบเด็กๆกันได้ทั้งนั้น ฉันก็เป็นอีกคนที่มีความรักในแบบของตัวเอง มันเป็นความรักแบบใสๆ ความรักครั้งนี้บอกเลยนะว่า มันเป็นที่ฉันแต่เพียงผู้เดียวส่วนอีกฝ่ายเขามิได้รับรู้อะไรด้วยเลย ฉันมโนเอาเองเกือบทั้งหมดก็ว่าได้ แต่บอกไว้ก่อนเลยนะว่ามันเป็นเสี้ยวเวลาที่มีความสุขที่สุดเลย ไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องหวาดระแวงแคลงใจใดทั้งนั้น เป็นความรักที่แอบปลื้มเงียบๆ อยู่ฝ่ายเดียว ยิ้มคนเดียวเมื่อเห็นเขามีความสุข เป็นทุกข์เมื่อเขาทุกข์หรือมีกังวลใด แอบช่วยเหลืออย่างเงียบๆ แอบโล่งใจเมื่อเขาผ่านพ้นความทุกข์นั้นไป ไม่ใช่เรื่องแปลกใช่มั้ยที่ฉันจะเป็นแบบนี้ ถ้าจะให้เข้าไปคุยเลยฉันก็ไม่กล้า เพราะเขินเหลือประมาณ

                   เรื่องก็มีอยู่ว่าฉันบังเอิญไปเจอกับพี่ชายคนนี้โดยบังเอิญที่งานเลี้ยงรุ่น ของรุ่นพี่ที่หมู่บ้านละแวกเดียวกัน พี่ฝันชวนฉันไปงานเลี้ยงเป็นเพื่อนเวลางานเลิกจะได้มีเพื่อนกลับบ้าน ด้วยความที่อยากไปเที่ยวงานดูแสง สี เสียง จึงรีบตอบตกลงแล้วขออนุญาตพ่อกับแม่ “แม่จ๋า พี่ฝันให้ไปเป็นเพื่อนที่งานเลี้ยงรุ่น หนูไปได้ไหมค่ะ” พ่อหันมาทันที “กลับดึกหรือเปล่าแพรวา” ฉันรีบตอบพ่อทันทีเพราะกลัวไม่ได้ไป “ไม่น่าจะเกิน 22.00 จ๊ะ พ่อ พี่ฝันบอกอย่างนั้น” พ่อพยักหน้า “ระวังๆ ด้วยนะ มืดๆ ค่ำๆ อันตราย เดี๋ยวพ่อไปรับละกันบอกฝันมันด้วย”ฉันดีใจแทบกระโดดจนแม่ต้องมองค้อนให้ ก็งี้แหระวัยรุ่นกับการเที่ยวเป็นของคู่กัน เมื่อพ่อและแม่อนุญาตฉันไม่รอช้ารีบอาบน้ำแต่งตัวทันที แล้วมานั่งพี่ฝันที่หน้าเกือบ 15 นาทีพี่ฝันก็เดินยิ้มแย้มเข้ามาทักทาย “รอพี่นานไหมแพร” ฉันยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “ไม่นานค่ะ พี่ฝัน เอิ่ม พี่ฝันค่ะ พ่อบอกว่าขากลับพ่อจะไปรับเรากันค่ะ” พี่ฝันพยักหน้ารับทราบ “ดีเหมือนกันนะ เพราะขากลับทางค่อนข้างมืด รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวเพื่อนๆ พี่จะรอ” ฉันเดินตามพี่ฝันไปอย่างว่าง่ายผสมความตื่นเต้นที่จะได้ไปงานด้วย

                   เดินมาไม่ถึง 15 นาทีเราก็มาถึงงาน อยากจะบอกว่างานใหญ่มากมีโต๊ะจีน เกือบ 100 โต๊ะเห็นจะได้  ฉันตื่นเต้นมากทุกคนล้วนแต่งตัวสวยงามใส่กระโปรงกันทั้งนั้นมีฉันเพียงคนเดียวละมั้ง ที่ใส่ชุดเอี๊ยมถักเปีย 2 ข้างมองไปทางไหนมีแต่คนสวยคนหล่อ เฮ้อ! มีแต่ฉันที่เป็นเด็กกระโปโลเพียงคนเดียวของงานเลยมั้งเนี่ย เพราะมัวแต่ตื่นเต้นจะได้ออกงานลืมถามพี่ฝันไปว่า

ธีมงานเป็นอย่างไรแต่จะเป็นไรไป  เราไม่ใช่คนในรุ่นนี้ไม่มีใครเขาสนใจเราหรอกน่า ฉันนึกปลอบใจตัวเอง ในขณะที่ยืนรอพี่ฝันคุยกับเจ้าหน้าที่ ที่หน้างานกำลังเหม่อมองคนเพลินๆ ใครบางคนก็ชนฉันเข้าให้อย่างจัง “โอ๊ะ!!!! ขอโทษครับ เจ็บตรงไหนมั้ยครับ”ฉันตะลึง กับคนที่อยู่ตรงหน้าที่ถามและจับฉันที่ล้มไม่เป็นท่าลงไปนั่งแอ้งแม่ง “เอิ่ม.....นิดหน่อยค่ะ”ฉันตอบออกไป “พี่ขอโทษนะครับ” ฉันพยักหน้ารับทราบแต่ตาจ้องหน้าพี่เขาเขม็งเลย ลืมเจ็บไปเลยเราเขินพูดไม่ออกก็เราไม่เคยเจอใครที่ดูดีขนาดนี้เลยนิน่า “อ้าว แพรวาเป็นอะไรนะ ลงไปนั่งแบบนั้นได้ไงเนี่ย ลุกๆๆ” เสียงพี่ฝันปลุกฉันให้ตื่นจากภวังค์ “แพรโดนชนค่ะ เลยล้มไม่เป็นท่าเลย” พี่ฝันหัวเราะขำในความเปิ่นของฉัน “ป่ะๆๆ นั่งโต๊ะกัน ได้โต๊ะแหระ เดี๋ยวพี่จะแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนๆ พี่ด้วย” ฉันเดินตามพี่ฝันอย่างว่าง่าย แต่ต้องตกใจเมื่อเดินมาถึงโต๊ะที่นั่ง พี่คนนั้นคนที่ชนฉันเมื่อกี้ พี่เขาเป็นเพื่อนกับพี่ฝันหรือนี่ โลกช่างกลมจริงๆ ฉันอยากจะแทรกแผ่นดินหนีมากๆๆ อายสุดๆ พี่เขายิ้มให้ก่อนจะพูดว่า “น้องฝันรึ เมื่อกี้เราเดินชนน้องเค้าน่ะ” พี่ฝันหันมามองฉันนิดหนึ่งก่อนตอบไปว่า “ช่ายๆๆ นนท์เดินยังไงให้ชนน้องฉันเนี่ย สะดุดความสวยหรือย่ะ งั้นดีเลย ดูแลน้องฉันเป็นการไถ่โทษซะเลย อ่ะแพรวานั่งๆ เดี๋ยวพี่นนท์เขาจะดูแล” คนที่โดนโยนงานให้ยิ้มจนตาหยี “ได้ๆ เดี๋ยวดูแลให้” ยิ่งทำให้ฉันเขินม้วนไปใหญ่ตกลงวันนี้ฉันจะกินอะไรลงไหมนี่ “เออ ลืมแนะนำเลย นี่แพร วา เป็นลูกพี่ลูกน้องกับเรา แพร นี่ นนท์ เป็นเพื่อนพี่เรียนมาด้วยกัน” ฉันรีบยกมือไหว้แก้เขิน “สวัสดีค่ะ พี่นนท์” พี่เขายิ้มนิดๆ “ยินดีที่ได้รู้จักจ๊ะ น้องแพร เมื่อกี้เจ็บมั้ยพี่ขอโทษจริงๆ ไม่ทันมอง” อุ๊ย! อีกแล้วเขาคุยกับเราอีกแล้ว “ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เจ็บมากเท่าไรค่ะ แค่ขัดนิดหน่อย” ฉันยิ้มอายๆ ในความโก๊ะของตัวเอง แต่พี่เขาก็ดูแลอย่างที่พี่ฝันบอกจริงๆ คอยตักอาหารใส่จานให้น่ารักมาก หน้าตายิ้มแย้มตลอด ฉันสังเกตเห็นว่าพี่เขาเป็นคนพูดน้อยสุดในโต๊ะก็ว่าได้ ส่วนมากพี่เขาจะยิ้มและขำเพื่อนๆ ที่ผลัดกันเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้แชร์ให้กันและกันได้ฟังซะมากกว่า แต่ละคนต่างแยกย้ายกันออกไปทำงานและมีอาชีพกันทุกคนพี่นนท์ก็ทำงานรับราชการเป็นคุณครูซะด้วย ว๊าววววว พ่อพิมพ์ของชาติ พี่เขาเพิ่งบรรจุรับราชการครูได้ไม่นานนี่เอง ส่วนพี่ฝันเองก็กำลังรอเรียกตัวเช่นกัน “น้องแพร เพิ่งเรียนจบรึ” พี่นนท์ชวนฉันคุย ฉันรู้สึกตื่นเต้นมากๆ “ใช่ค่ะ แพรเพิ่งเรียนจบเมื่อไม่กี่วันเองค่ะ” “น้องแพรเรียนอะไรมาครับ  เพื่อพี่จะแนะนำได้บ้าง” พี่เขาชวนเราคุยอีกแล้ว  “อ้อ แพรเรียนครุศาตร์มาค่ะ เอกภาษาไทย” ฉันตอบออกไปอย่างเขิน “อืม เอกเดียวกับพี่เลยครับ น้องแพรเรียนที่ไหน” พี่เขายังชวนคุยต่อ “แพรที่ นครสวรรค์ค่ะ แพรชอบบรรยากาศที่นั่นค่ะ ” เราเริ่มพูดคุยกันสนุกปากมากขึ้น เพราะเริ่มคุ้นเคยกันมากขึ้นนั่นเอง ฉันเหลือบมองนาฬิกาไม่อยากให้เดินเร็วเลยเพราะความน่ารักของพี่เขานั่นเอง อีกอย่างที่ฉันสังเกตเห็นคือ พี่เขาไม่ดื่มสุราด้วยนิ เพื่อนส่งให้หลายแก้วละ พี่นนท์ก็จะส่ายหน้าหรือไม่ก็โบกมือเป็นสัญญาณว่าไม่ทันที “พี่ไม่ดื่มของมึนเมาครับ น้องแพร นี่ก้อดึกมากแล้วน้องแพรกลับบ้านกันยังไงครับ” พี่นนท์ชวนฉันพูดคุยสนทนาอย่างเป็นกันเองด้วย “อ้อ อีกประเดี๋ยวพ่อแพรจะมารับค่ะ ใกล้ๆ สี่ทุ่มค่ะ” ฉันตอบออกไปและพยายามมองหาพี่ฝัน แต่พี่ฝันหาได้สนใจไม่ เม้ากับเพื่อนอย่างออกรสทีเดียวสงสัยคืนนี้จะยาวนานเกิน 22.00 น. แน่นอนเลยทีเดียว “อยากกลับแล้วเหรอ พี่เห็นน้องชะเง้อหลายครั้งแล้ว” ฉันได้แต่ยิ้มเก้อ ที่ชะเง้อก็เพราะเขินพี่นี่แหละแต่ทำได้เพียง ยิ้มแหยๆๆ ออกไป “เดี๋ยวพี่บอกฝันให้นะ” พูดจบก็ไปสะกิดพี่ฝันทันที “ฝันๆ ใกล้จะ 22.00 แล้วนะ” พี่ฝันพยักหน้ารับทราบแต่ก็ยังเม้าต่อ “แพรแป๊บนะ โทบอกพ่อก็ได้เดี๋ยวให้เพื่อนพี่ไปส่งนะ” ฉันรับทราบแล้วโทบอกพ่อทันที “พ่อค่ะ เดี๋ยวพี่ฝันจะให้เพื่อนไปส่งค่ะ พ่อไม่ต้องมารับนะค่ะ” “ใครมาส่งล่ะ พ่อกำลังจะไปรับอยู่ที่เดียว อย่าดึกมากนะ พ่อกับแม่เป็นห่วง” พ่อตอบกลับมา “ค่ะ พ่อ” พอวางสายจากพ่อฉันรีบบอกพี่ฝันทันที “พี่ฝัน พ่อบอกว่าอย่าดึกมากนัก พ่อกะแม่เป็นห่วงจ๊ะ” พี่ฝันพยักหน้ารับทราบ แล้วหันไปถามพี่นนท์ “นนท์ๆ เอารถมาใช่ป่ะ เดี๋ยวไปส่งเรากะน้องหน่อยดิ” พี่นนท์ยิ้ม “ได้ๆ จะกลับตอนไหนก็บอกเราล่ะกัน” ฉันอมยิ้มอย่างปลาบปลื้มใจที่พี่นนท์จะไปส่งที่บ้าน

                   ฉันนั่งแอบมองพี่นนท์บ่อยๆ เพราะกลัวว่าเขาจะรู้ตัว พี่นนท์เป็นผู้ชายสูง ไหล่กว้างพอประมาณมองจากด้านหลังรู้สึกว่าช่างเป็นผู้ชายที่มีไหล่อบอุ่นเหลือเกิน หน้ารูปไข่จมูกโด่งเป็นสันนี่แหละผู้ชายในฝันของใครๆ อีกหลายคนใช่เพียงแค่แพรวาคนนี้ พอคิดมาถึงตรงนี้ก็อดยิ้มให้กับตัวเองไม่ได้ ไม่ว่าจะมองมุมไหนพี่เขาช่างดูดีเหลือเกิน พี่นนท์เป็นคนที่ไม่ถึงกับขาวอย่างคนจีนแต่ก็ไม่ดำอย่างคนใต้ สีผิวกำลังดีไม่ดำและไม่ขาวจนเกินไปนัยน์สดใสบ่งบอกถึงความเป็นคนช่างฝันนิดๆ ผมหยักศกนิดๆ ถูกตัดเป็นรองทรงเรียบร้อยสังเกตดีๆ พี่เขาช่างเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างเนี๊ยบแต่มาสะดุดที่ชายเสื้อหลุดด้านหลังเพราะเริ่มดึกแล้วนี่เอง อุ๊ย!!! นี่เราจะแอบสังเกตสังกาพี่เขามากไปแล้วมั้ง แต่ก็ยังดีที่เขาไม่รู้ตัวถ้ารู้ตัวเขินแย่เลย แต่เท่าที่สังเกตพี่เขาก็เฉยๆ คงไม่รู้หรอกฉันยังคงคิดเข้าข้างตัวเองต่างๆ นานา เหมือนล่องลอยอยู่ในภวังค์ส่วนก็ไม่ปานทีเดียวแต่เขารู้ขึ้นมาละก็ อับอายขายหน้าสุดๆ เลยทีเดียว แพรวาเอ๊ย คิดอะไรอยู่เนี่ย แต่ก็ยังว่านะความชอบมันห้ามกันได้ที่ไหนล่ะ “แพรวา กลับกันเถอะ” พี่ฝันเรียกซะ ฉันตกใจตื่นจากภวังค์เลยทีเดียว “อ้อ ค่ะๆ” พี่นนท์เป็นสารถีขับรถมาส่งเราทั้งคู่จนถึงบ้านอย่างปลอดภัย แต่ก็ไม่ได้สนทนาอะไรกันมากนักเพราะดึกมากแล้วนั่นเอง

                   หลังจากงานวันนั้นเป็นต้นมาฉันรู้ตัวดีว่าได้แอบปลื้มเพื่อนพี่ฝันอย่างมาก ฉันเคยเห็นพี่นนท์ในชุดนักศึกษาเมื่อหลายปีก่อน แต่ฉันไม่เคยเข้าไปพูดคุยกับพี่เขาเลยเพราะความเขินในความหน้าตาดีของพี่เขานั่นเอง อีกอย่างพี่เขาก็ไม่เคยมองเห็นเราในสายตานอกจากเด็กกะโปโลคนนึงเท่านั้น และฉันยังรู้มาอีกว่าพี่นนท์มีสาวสวยอยู่ในใจอยู่แล้วเป็นพี่ที่เรียนในห้องเดียวกันนั่นเอง ทั้งคู่รักกันมานานแล้วแค่ไหนฉันเองก็ไม่ทราบได้รู้เพียงแค่ว่าทั้งสองเป็นแฟนกันมานานมากนั่นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ฉันได้แต่แอบปลื้มพี่เขาฝ่ายเดียวตลอดมา จนมาถึงวันนี้การได้เจอกับพี่นนท์อีกครั้งมันทำให้หัวใจของฉันต้องพองโตขึ้นมาอีกครั้งอย่างบอกไม่ถูก พี่นนท์ไม่เคยรู้ตัวหรอกมีฉันคนเดียวที่เก็บความปลื้ม ความ.......เอิ่มอิ่มทางใจ ความสุขภายในใจหลายหลากมากมายอย่างที่หาอะไรมาเปรียบมิได้เลยทีเดียว ทุกครั้งที่ฉันได้เจอพี่เขาหัวใจพองโตทุกครั้งเลยครั้งนี้มันก็เหมือนทุกครั้งเหมือนดังเช่นกัน แต่นึกไปถึงแฟนพี่เขาหัวใจของฉันที่พองโตเป็นอันต้องแฟบแบนทันทีเช่นกัน แหมๆ ฉันนี่ถ้าจะเยอะไปแหระดูดิ คิดเป็นตุเป็นตะ แอบหึงเล็กๆ ก็เอาไม่มีใครเขารู้เรื่องด้วยเลย “แพรๆ เป็นอะไรเนี่ยพี่เรียกตั้งนาน อย่าบอกนะฝันกลางวัน” พี่ฝันแหย่ฉันอย่างอารมณ์ดี “ปล่าวค่ะ กำลังคิดว่าจะไปสอบที่ไหนดีค่ะ พี่ฝัน” พี่ฝันตบไหล่เบาๆ เหมือนปลอบใจ “อย่าเครียดมากนะ อ่านหนังสือเยอะๆ เราเก่งจะตายสอบได้แน่ๆ พี่เอาใจช่วย” พี่ฝันยิ้มน้อยๆ อย่างอารมณ์ดี “ขอบคุณค่ะ พี่ฝัน” ฉันเก็บงำความลับนี้เอาไว้ในใจแต่เพียงผู้เดียวตลอดมา “น้องแพร” เสียงพี่นนท์นี่ ฉันรีบมองหาที่มาของเสียงทันที พี่นนท์ยืนอยู่อีกฟากของถนนโบกมือไปมาอยู่ “หวัดดีค่ะ พี่นนท์ มาทำอะไรที่นี่ค่ะ” พี่นนท์เดินข้ามถนนมาหาใจของฉันเต้นโครมครามทีเดียว “พอดี พี่มาซื้อของแถวนี้พอดี เห็นน้องแพรเลยทักครับ” พี่นนท์พูดไปยิ้มไป น่ารักที่สุดเขาเป็นผู้ชายที่มีรอยยิ้มสวยมากๆ “อ้อ หรือค่ะ” ฉันยังเขินไม่หาย “ว่างมั้ย ไปทานข้าวเป็นเพื่อนพี่หน่อยซิ พี่หิวพอดีเลย เที่ยงแล้วด้วยเดี๋ยวพี่เลี้ยง” ฉันได้แต่พยักหน้าแล้วเดินตามเหมือนลอยไปทีเดียว “อืม เราจะกินอะไร สั่งได้เลยนะ พี่เลี้ยง” ฉันได้แต่พยักหน้ามองเมนูอาหารแล้วสั่งอาหารง่ายๆ มาอย่างหนึ่ง “เอ้า กินแค่นั้นรึเรา พี่แถมไอศกรีมให้ด้วยนะ เดี๋ยวพี่สั่งให้นะ” โดยที่ไม่รอคำตอบพี่นนท์ก็เดินมาพร้อมไอศกรีม “ขอบคุณค่ะ พี่นนท์” พี่นนท์ยิ้มพร้อมส่งไอศกรีมให้ “ทานเลย” ฉันรวบรวมความกล้าถามออกไป “เอ้อ พี่นนท์ค่ะ พี่ปริมไปสอนที่ไหนค่ะ” พี่นนท์ชะงักนิดหนึ่งก่อนที่จะหันมามองหน้าฉันแล้วตอบออกมาว่า “พี่กับพี่ปริมไม่เจอกันนานแล้ว น้องแพร แล้วพี่ก็ไม่ได้ข่าวพี่เขาเลยตั้งแต่จบ พี่สอบติดพยายามติดต่อเขาพี่ก็ติดต่อไม่ได้ เขาคงทิ้งพี่ไปแล้วล่ะ น้องแพร” หน้าพี่นนท์เศร้ามากไม่น่าถามเลยเรา ฉันรู้สึกผิดมากมาย “พี่นนท์ น้องแพรขอโทษค่ะ คือ น้องแพรไม่ทราบ” พี่นนท์ยิ้มให้ฉันแต่ช่างเป็นรอยยิ้มที่เศร้ามากๆ ที่เคยเห็นมา ฉันสงสารพี่นนท์จับใจอยากจะปลอบใจพี่เขาเหลือเกินแต่ทำไม่ได้ ได้แต่เก็บอาการเอาไว้แล้วยิ้มแห้งๆ ออกไปมันเป็นอะไรที่อธิบายยากเหลือเกินกับอาการแบบนี้ นี่ฉันต้องทำอย่างไรดีได้แต่พูดออกไปว่า “พี่ปริมคงกำลังอ่านหนังสือเตรียมสอบหรือไม่ก็ ทำงานยุ่งอยู่หรือเปล่าค่ะ พี่นนท์” พี่นนท์นัยน์ตาเศร้ามาก “ไม่หรอก ปริมไม่เคยเป็นแบบนี้ นอกเสียจากเขาไม่อยากพบพี่แล้วเท่านั้น น้องแพร”ฉันรู้สึกเศร้ามากๆ รู้สึกเจ็บปวดไปกับพี่นนท์อย่างบอกไม่ถูกหมดอาลัยตายยากไปเลยทีเดียวก็ว่าได้อานุภาคของความรักมันช่างยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน เมื่อทานอาหารเสร็จพี่นนท์กับฉันก็แยกกันต่างไปทำธุระของตัวเอง

                   ฉันพยายามสืบหาที่อยู่ของพี่ปริมจากพี่ฝันโดยให้เหตุผลกับพี่ฝันว่า “พี่ฝันค่ะ แพรอยากปรึกษาความรู้เกี่ยวกับหมู่บ้านของพี่ปริมค่ะ พอดีมีรุ่นพี่ทำวิจัยแถวๆ หมู่บ้านพี่เขาค่ะ” พี่ฝันทำหน้างงๆ แต่ก็ให้ข้อมูลมาโดยละเอียด ทั้งบ้านเลขที่ แผนที่ ฉันรีบไปยังบ้านพี่ปริมทั้นทีโดยไม่บอกใคร ฉันเดินหาบ้านพี่ปริมจนพบ “สวัสดีค่ะ คุณป้า เอ่อ พอดีหนูเป็นรุ่นน้องของพี่ปริมค่ะ ไม่ทราบว่า พี่ปริมอยู่มั้ยค่ะ” คุณป้าคนนึงเดินออกมาต้อนรับทำหน้างงๆ แต่พอฉันแนะนำตัวไปคุณป้าก็ยิ้มแล้วเชิญเข้าไปในบ้านทันที “พอดี ปริมเขาไม่อยู่หรอกไปทำงานที่ต่างจังหวัดนานแล้วไม่ได้กลับมาบ้านเลย” ฉันยิ่งสงสัยกับคำตอบนั้น “ทำไมพี่เขาไปทำงานไกลจังค่ะ คุณป้า” คุณป้าจึงอธิบายว่า “พอดีญาติทางโน้นเขาขาดคนเลยมาชวน ให้ยัยปริมไปช่วยจ๊ะ” ที่แท้พี่ปริมไปช่วยงานจนไม่ได้ติดต่อกับใครนี่เอง “อ้อ ค่ะ งั้นหนูขอเบอร์ติดต่อพี่ปริมได้มั้ยค่ะ ไม่เจอกันซะนาน คิดถึงนะค่ะ เลยอยากโทไปถามข่าวคราวบ้าง” ฉันจำใจต้องโกหกคุณป้าออกไป “ได้ซิ รอแป๊บนะจ๊ะ” ไม่นานคุณป้าก็นำเบอร์โทของพี่ปริมมาฉันจึงขอตัวกลับ ในระหว่างทางจึงได้ลองโทหาพี่ปริมดู โทนานมากแต่ไม่มีใครรับสายเลย ฉันจึงได้พยายามโทหาพี่ปริมอีกครั้งในตอนเย็น เหมือนโชคเข้าข้างมีคนรับสาย “ฮัลโหลค่ะ พี่ปริมหรือค่ะ น้องแพรนะค่ะ น้องสาวพี่ฝัน” ปลายสายตอบกลับมาว่า “อ้อ น้องแพร พี่ว่างไม่มากนะจ๊ะ พี่มีงานด่วนจ๊ะ” คุยได้ไม่กี่คำพี่ปริมก็วางสายไป

โธ่!!! ยังไม่ทันได้เรื่องเลยแต่ฉันก็ดีใจที่สามารถติดต่อกับพี่ปริมได้ อย่างน้อยฉันก็ได้ทำเพื่อพี่นนท์ชายคนที่ฉันแอบรักข้างเดียวมาตลอด เมื่อคิดได้ดังนั้นใจนึงก็คิดที่จะบอกพี่นนท์ว่าติดต่อพี่ปริมได้แล้วแต่อย่าเพิ่งดีกว่าเอาไว้เซอร์ไพร์ทพี่นนท์ดีกว่า ฉันจึงเพียรพยายามที่จะติดต่อพี่ปริมเพื่อบอกเรื่องราวของพี่นนท์แต่โทรศัพท์เจ้ากรรมก็ติดต่อยากเย็นเหลือเกิน ฉันพยายามโทจนมือจะหงิกก้อยังไม่ติดที่นั่นกันดารอย่างที่คุณป้าบอกจริงๆ สัญญาณไม่ค่อยมีพี่ปริมต้องทำงานหนักด้วยไม่ค่อยมีเวลามากนัก

                   “พี่นนท์ค่ะ วันนี้แพรมาเยี่ยมค่ะ พี่นนท์พอจะมีเวลาว่างบ้างมั้ยค่ะ” ฉันแวะไปหาพี่นนท์ที่โรงเรียนเพื่อคุยธุระกับพี่นนท์และลองหยั่งเชิง “ว่าไง น้องแพรชั่วโมงนี้พี่ว่างจ๊ะ ตอนบ่ายถึงจะมีสอนอีกที นั่งก่อนซิ” ฉันแอบมองหน้าพี่นนท์อย่างสังเกต “พี่นนท์สบายดีนะค่ะ” พี่นนท์ยิ้ม “จะมาไม้ไหนล่ะเนี่ย น้องแพร พี่ไม่ได้เจ็บป่วยอะไรนี่” แหมอยากบอกเหลือเกินว่าเป็นห่วง  “ก็ดีแล้วค่ะ ที่พี่นนท์ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร” พี่นนท์มองหน้าฉันอย่าง งง กับคำพูดของฉัน “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ก็แค่เป็นห่วงพี่ชายที่แสนดีคนนึงก็เท่านั้น ดูพี่นนท์ทำหน้าซิ อย่างกะน้องแพรเป็นคนเจ้าเล่ห์เลยนะค่ะ” คราวนี้พี่นนท์หัวเราะเบา “แหม เราก็ว่าไปนั่น พูดประโยคยาวๆ ก็เป็นนิพี่นึกว่าเราพูดได้แค่ ค่ะๆ เสียอีก” จบทั้งพี่นนท์และฉันต่างหัวเราะพร้อมกัน “พี่นนท์ก็กล่าวหา แพรไม่รู้จะพูดอะไรนี่ค่ะ”ฉันตอบไปอย่างนั้นแหละ “แล้ววันนี้ทำอย่างกับว่ามีอะไรจะพูดกับพี่อย่างนั้นแหละ เอาว่ามาพี่ชักจะอยากรู้เต็มที่แหละ” ฉันจ้องหน้าพี่นนท์อีกครั้ง ก่อนที่จะตัดสินใจพูดเรื่องพี่ปริมออกไป “พี่นนท์แพรมีข่าวดี มาบอกค่ะ ถ้าพี่นนท์ได้ยินพี่นนท์ต้องดีใจมากๆ แน่เลย” พี่นนท์ทำหน้าฉงนกับคำบอกเล่าของฉัน “เรื่องอะไรล่ะ น้องแพร” ฉันยิ้มแล้วพูดต่อ “เรื่องพี่ปริมค่ะ แพรทราบค่ะ ว่าพี่ปริมอยู่ที่ไหน” คราวนี้ตาพี่นนท์เป็นประกายขึ้นมาทันที แต่ใจเราซิ สลดวูบลงไปทีเดียว “น้องแพร พี่ปริมอยู่ที่ไหนหรอ” พี่นนท์ยิ้มพลางถามอย่างใจจดใจจ่อ “พี่ปริมไปทำงานแถวทางเหนือค่ะ ที่นั่นกันดารโทรศัพท์ก็ใช้ไม่ค่อยได้ ไม่มีสัญญาณค่ะ แพรไปหาคุณป้าที่บ้านพี่ปริมมาจึงทราบว่าพี่ปริมไปทำงานที่นั่นและติดต่อใครไม่ได้เลย แพรโทไปตั้งหลายครั้งกว่าจะติด พี่ปริมฝากแสดงความยินดีกับพี่ด้วยนะค่ะ และขอโทษที่ไม่ได้บอกพี่ด้วยตัวเอง ถ้ากลับลงมาเยี่ยมบ้านจะโทหาพี่คนแรกเลยค่ะ นี่ค่ะ เบอร์พี่ปริม” พี่นนท์ดีใจอย่างมาก “พี่ขอบใจน้องแพรมากๆ พี่หลงเข้าใจผิดปริมมาตั้งนานคิดว่าเขาทิ้งพี่ซะอีก ขอบใจน้องแพรมากๆ เลย” ถึงแม้ในใจของฉันจะห่อเหี่ยวเศร้าอย่างมาก แต่ก็สุขใจที่เห็นคนที่เราแอบปลื้มมีความสุข

                   วันนั้นฉันกลับมาถึงบ้านด้วยความรู้สึกที่อิ่มเอมใจแต่ภายในลึกๆ อิ่มเอมใจที่เห็นคนที่เราแอบปลื้มมีความสุข และเศร้าในใจที่คนอื่นกับได้สุขสมหวังกับพี่เขา มันเศร้าเกินบรรยายพี่เขาจะรู้บ้างไหมนะ ว่าเราปลื้มพี่เขามากมายแค่ไหนขนาดมีคนมาชอบมาจีบเรายังไม่สนใจเลย เพราะใจของเรานั้นมันอยู่ที่พี่เพียงคนเดียว ถึงแม้ว่าพี่เขาจะไม่รับรู้เลยก็ตามทีฉันก็มีความสุขที่ได้มีส่วนช่วยให้พี่มีความสุขสมหวัง และแอบหวังเล็กๆ ว่าหากวันใดที่พี่ไม่สมหวังฉันยังรอพี่เสมอจะรออยู่ตรงนี้ ไม่ไปไหนหากวันใดที่พี่เศร้าใจ ขมขื่นใจ ปวดร้าวในใจ พี่จะมีฉันเป็นคนแรกที่เคียงข้างพี่ตลอดเวลา และจะเป็นฉันคนนี้นี่แหระที่จะปัดเป่าความทุกข์นั้นของพี่ให้จางออกไป ความรักมันช่างมีอานุภาคที่ยิ่งใหญ่เหลือเกินแม้จะเป็นเพียงรักข้างเดียว แต่มันก็มีความสุขที่ไม่ต้องการความรักใดๆ มาตอบแทนหรือต้องให้เขาได้รับรู้กลับมาเลยเพราะ รักฉันนั้นเพื่อเธอ.......แค่เธอเท่านั้น!!!!

 



ความเห็น (1)

ยาว ๆ เขียนเป็น “บันทึก” จะเก็บรักษาและค้นหาง่ายกว่านะครับ คุณครู

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
ครูเล็ก น่ารัก
เขียนเมื่อ

http://cdn.gotoknow.org/assets/media/files/000/984/334/original_images_(17).jpg?1388672895" target="_blank">http://cdn.gotoknow.org/assets/media/files/000/984/334/default_images_(17).jpg?1388672895" alt="" />

ให้เพียง....เธอ

 

มีคนฟังเพลงนี้ และชอบเพลงนี้ เลยส่งเพลงนี้มาให้เธอ
เค้าคิดว่าคำร้อง และ ท่วงทำนองมันช่างสอดคล้อง กับเรื่องของเธอ

                        เป็นเพลงที่เขียน แล้วทำให้คิดถึงใครคนหนึ่ง
                          เป็นคนที่เค้าเฝ้าคอยห่วงใย และ คอยคิดถึง
                         เป็นคนที่เค้าคอยแคร์ แม้วันใด เฝ้าดูแล แม้ไกลไกล ขอแค่รู้เอาไว้..................

                   ทุกอย่างที่คิดและคอยห่วงใยนั้น มีเพียงแค่เธอจริงๆ มันเริ่มตอนไหน เมื่อไรฉันเองก็ตอบไม่ได้รู้เพียงแค่ว่า ทุกอย่างที่ทำลงไปมีแต่ความสุข ดีใจที่ได้ลงมือทำหรือปฏิบัติทุกครั้งที่เพลงนี้ดังขึ้นมาทีไรฉันยิ้มให้ตัวเองเสมอ เพราะเนื้อเพลงเป็นอย่างที่ฉันคิดที่ฉันทำแม้ว่า คุณจะเป็นเพียงคนในความฝันของฉัน ฉันคิดเสมอว่าคุณอยู่เคียงข้างฉันเสมอมา มันเป็นเรื่องแปลกที่เราคุยกันแทบทุกวันโดยที่ไม่เคยเห็นหน้าไม่เคยได้ยินสียง ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับตัวตนของทั้ง  2 ฝ่ายแต่เราก็คุยกันได้อย่างสนิทสนมเหมือนกับว่ารู้จักกันมานานนับแรมปี มีอยู่ครั้งหนึ่งฉันอยากรู้ว่าคุณ คือ ใครเป็นอย่างไรมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ ฉันจึงรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีถามออกไปแต่คำตอบที่ได้คือ “อย่า อยากรู้เลยครับ ผมยังไม่อยากรู้เลย” นั่นซินะ เราคุยแล้วมีความสุข สนุกทุกครั้งที่คุยกันแค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับในตอนนี้ทำไมจะต้องอยากโน่น อยากนี่ให้มันมากความไปทำไมกันเมื่อคิดได้ดังนี้ฉันจึงไม่เคยถามเขาอีกเลย

                   เรื่องทั้งหมดที่มันเกิดขึ้น เหตุก็คือ วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังนอนเล่นในช่วงวันหยุด รู้สึกจะเป็นช่วงปีใหม่มั้งถ้าจำไม่ผิด ฉันกำลังนั่งอ่านข้อความจากเพื่อนๆ ที่ส่งข้อความอวยพรมาหากันอย่างมากมายคนโน้น คนนี้ ต่างอวยพรโน่น นี่ นั่น ตามประสาเพื่อนฝูงตัวฉันเองก็ก้มหน้าก้มตาตอบๆๆๆๆ ข้อความต่างของเพื่อน ฉับพลันก็เห็นสัญญาณการเพิ่มเพื่อนเข้ามาในไลน์ก็เลยกดดูชื่อแปลกๆ ไม่คุ้นเลยโปรไฟล์ก็ไม่มีรูปมีแต่รูปน้องหมาหน้าตาน่าชังอยู่ แถมยังมีข้อความทักทายเข้ามาอีกนะ “ทำไรอ่ะ” ฉันงงกับการทักทายนั่น “ปล่าวทำ” พลันก็คิดไปว่าคงเป็นเพื่อนที่เราไม่ได้เมมเบอร์ไว้มั้ง คุยไปคุยมาชักจะไม่เข้าท่าคุยอะไรก็ไม่รู้ฉันหมดความอดทนเลยต่อว่ากลับไป “นี่ แกเป็นใครห๊ะ อย่ามากวนประสาทฉันนะ” พร้อมทั้งส่งอิโมจิ คนถือดาบฟันฉับๆๆ ทันที ฝ่ายตรงข้ามพิมพ์ตอบมาทันที “โอ้ย จะโหดไปไหน เป็นผู้หญิงนี่น่า โหดจริง” แหมๆๆ ช่างบังอาจยิ่งนักเป็นใครก็ไม่รู้แล้วยังมาต่อปากต่อคำกับฉันอีกฉันบ่นในใจ เขาพิมพ์ตอบกลับมาว่า “เมื่อตอนกลางวันคุยกันยังไม่โหดแบบนี้เลย ทำไมตกเย็นโหดจัง” ฉันยิ่งงงเป็นไก่ตาแตก ก็วันนี่ทั้ง

วันนี้ยังไม่ได้ไปไหนเลยอยู่แต่ในบ้าน “อุบ๊ะ จะมั่วไปใหญ่แล้วฉันยังไม่เคยไปไหนเลย จะคุยกับเราได้ไงห๊ะ!!!!!” คราวนี้ฝั่งโน่นงงเป็นไก่ตาแตกบ้าง “เดี๋ยวๆๆ ผมถามก่อน เบอร์คุณใช่เบอร์ 081- 8671123 มั้ย” ใช่เลยคราวนี้ไอ้บ้าแกเมมเบอร์ผิดแล้วยังมาเป็นไลน์ฉันแทน “ไม่ใช่ล่ะ นายจำเบอร์ผิดแหละ ของเรา 081-8611123 ย่ะ” คราวนี้ฝั่งโน่นส่งอิโมจิ หัวเราะปากกว้างมาเชียว “อ้าวรึ ขอโทษครับผมนึกว่าเบอร์เพื่อนผม ผมก็ว่าทำไมดุจัง ผมขอถามหน่อยนะครับ เป็นผู้หญิงใช่ไหม” “ฉันอาจเป็นกระเทยก็ได้” ฉันได้ทียียวนกวนประสาทกลับทันที “อ้าวแล้วกัน เป็นกระเทยก็ไม่เป็นเราเป็นเพื่อนกันได้”อุบ๊ะ!!! ตาคนนี้ “ว่าแต่ว่า คุณอยู่ที่ไหนครับ” “แล้วทำไมฉันต้องตอบด้วยล่ะ” “อ้าวเราจะได้เป็นเพื่อนกันไง คุณนี่ไม่มีมารยาทนะ ถ้าไม่ตอบ” ฉันชักโมโหยิ่งคุยฉันเหมือนคนที่ผิดตลอด “ว๊าก อารายเนี่ย ทำไมฉันต้องผิดอ่ะ มันสิทธิ์ของฉันนะ” ฉันเหลือบมองนาฬิกาที่ฝาบ้าน โอ้!!! นี่ฉันเถียงกับใครไม่รู้ที่ไม่รู้จักเลยตั้ง 15 นาทีแล้ว ตายๆๆ ได้เวลาต้องไปวิ่งเล่นที่สนามแล้วด้วยฉันจึงพิมพ์ตอบไปว่า “ไปล่ะ จะไปซ้อมมวยเอาไว้ชกปากคน” “เป็นผู้หญิงอารายชกมวยด้วย ถึงว่าโหด” ดูดิยังมีหน้ามาว่าฉันอีกแล้ว ตาเพี้ยนเอ๊ย “ใช่ แล้วจะทำไมเสียเวลาจริงไปล่ะ” “ตามสบายว่างๆ คุยกันใหม่นะ” ฉันเบ้ปากแล้วเตรียมไปวิ่งที่สนามทันที ฉันไปวิ่งออกกำลังที่สวนสาธารณะอย่างมีความสุขดูโน่น ชมนี่ เป็นประจำจนคุ้นเคยกับคนที่มาวิ่งที่นี่เป็นประจำจนมีเพื่อนหลายคน ทั้งชาย ทั้งหญิง ชายไม่แท้บ้าง ก็คือ แอ๊บเป็นชายเนียนกว่าปกติเพื่อมาดูผู้ชายหล่อที่มาวิ่งเหยาะๆ ยามเย็นๆ เช่นนี้ ในการวิ่งที่นี่เป็นประจำทำให้ฉันสนิทกับพี่สาวคนหนึ่งเรามักที่จะคุยกันเสมอทุกครั้งที่ได้มาวิ่ง จนรู้จักชื่อกันอย่างเป็นทางการวันนี้ก็เช่นกัน “ หวัดดีค่ะ พี่พราว นึกว่าไม่มาวิ่งซะอีกวันนี้มาสายนะเนี่ย” ฉันแซวพี่พราวออกไปอย่างอารมณ์ดี “จ้า สาวน้อยพี่มาทุกวัน แต่จะมาช้าหน่อยบ้านพี่อยู่ใกล้ๆ แค่นี้เอง ว่าแต่ หนูพุกเถอะจ๊ะ พี่ไม่ค่อยเห็นเลยช่วงนี้” ฉันยิ้มจนตีหยีแล้วตอบไปว่า “อ้อ ช่วงนี้พุกเรียนหนักค่ะ พี่พราวทำวิจัยด้วย ไหนจะทำงานอีกเหนื่อยเลยไม่ค่อยได้มา” พี่พราวยิ้มสดใสก่อนพูดว่า “ถ้าว่าง ต้องมานะจะได้สดชื่น ขับสารพิษออกจากร่างกายทางเหงื่อดีนะ หนูพุก” ฉันพยักหน้ารับทราบกับคำพูดของพี่พราวอย่างเห็นด้วย ฉันวิ่งผ่านไปหนึ่งชั่วโมงก็ขอตัวกลับเพราะว่าเริ่มมืดแล้วนั่นเอง

                   หมดไปอีกวันสำหรับวันวุ่นๆ ของหนูพุกจอมวุ่นวายคนนี้ หลังจากทำภาระกิจเสร็จสรรพก็นั่งเช็ค Mail เช็ค Face book ว่าเพื่อนๆ ส่งงานมาให้หรือยังพลันเสียงไลน์ก็ดังขึ้นมา ฉันจึงต้องละสายตาเพื่อเช็คงาน ให้ตายเถอะ ตาบ้านั่นทักมาอีกแล้ว อะไรของเขาเนี่ย ยังไม่จบอีกใช่ไหม ฉันตั้งคำถามในใจ “เลิกชกมวยหรือยัง คนโหด” ดูๆๆ ดูทักมา “นี่ ยังไม่ไปเกิดอีกรึไง” แรงได้ใจไหมล่ะ ช่วยไม่ได้มาว่าเราก่อนนี่น่า “อ้าว ผมถามดีๆ นะ ก็บอกผมเองว่าจะไปชกมวย แล้วยังจะมาว่าผมอีก ไม่น่ารักเลยนะเนี่ย” ด้วยความโมโหจึงกดปุ่มโฟน แล้วพูดกรอกลงไปว่า

“นี่ บ้าหรึไง มาก่อกวนอยู่ได้เดี๊ยๆๆ ไม่ใช่เพื่อนเล่นนะ” คราวนี้ฝ่ายตรงข้ามส่งอิโมจิหัวเราะปากกว้างมาอีกแล้ว “เสียงเหมือนเด็ก มัธยมเลย อายุถึง 23 หรือยังเนี่ยแล้วจะดุไปไหนครับ ผมกลัวจะแย่แล้วนะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ” ด้วยความที่อยากจะเอาชนะฉันจึงพยายามข่มอารมณ์โกรธที่ถูกว่า จึงพิมพ์ตอบกลับไปว่า “นี่นาย ไม่มีงานทำหรือไง ถามจริงๆ นายเป็นใคร ถ้าไม่บอกฉันจะไม่คุยกับนายแล้วนะ” “เดี๋ยวซิ คุยเป็นเพื่อนกันก่อนนะๆๆ” พร้อมกับสติ๊กเกอร์รูปคนกำลังถูพื้นมาให้ “อ้อ นายทำงานเป็นภารโรง ฮ่าๆๆๆๆ ถึงว่าว่างงาน”  “เปล่านะ ผมทำงานอยู่ที่ โรงพยาบาลหรอกไม่ได้เป็นภารโรง”  “ห๊ะ! นายจะบอกว่า นายเป็นหมอรึ ไม่น่าเชื่อ”  “อ้าวก็ถามผมนิ ผมก็บอกไปแล้วมันเรื่องจริง แล้วเราล่ะ ทำงานอะไร” เช๊อะ! ทำไมฉันตอบนายด้วยนะ ชื่อก็ไม่รู้จักพิลึก “ไม่บอกหรอก ทำไมต้องบอกนายด้วยล่ะ”  “อ้าวที่ถามผม ผมยังตอบเลยพอผมถามก็ต้องตอบผมซิ มันเป็นมารยาททางสังคมเลยนะ” เอาอีกแล้วว่าเราอีกแล้ว ปรี๊ดๆๆๆ เลยพับผ่า พูดอะไรตอบไปก็ดูไม่ดีเอาซะเลยว่าเรากลับซะงั้นคนอะไรเนี่ย แต่ความอยากเอาชนะมีมากกว่าที่จะยอมได้ฉันจึงพิมพ์โต้ตอบกับนายหมอโรคจิตคนนี้อยู่เป็นนานสองนาน หลังจากที่เถียงกันจนเริ่มเหนื่อยแล้วฉันจึงยอมลดทิฐิลงแล้วพิมพ์ไปว่า “แล้วนายชื่ออะไร มีชื่อรึเปล่า”  “อ้าวผมก็ต้องมีชื่อซิ พี่ๆ ที่นี่เรียก หมอธัญญ์” ฉันนึกขำ “หมอทันตแพทย์” “ไม่ใช่นะ ผมชื่อ ธัญญ์ ว่าแต่คุณเหอะชื่ออะไร บอกได้ไหม” ฮ่าๆๆๆๆๆ จะบอกดีไหมนะ หรือแกล้งกวนประสาทดีนะ “มีซิ แต่บอกแล้วห้ามขำนะ” “เอาน่าบอกมาเหอะ ลีลาอยู่นั่นแค่ชื่อเอง” “ก็กลัวนายหัวเราะเยาะนี่น่า” “ผมมีมารยาทพอ สัญญาจะไม่หัวเราะ” “ได้ๆๆ สัญญาแล้วนะ ฉันชื่อ หนูพุก” คราวนี้เขาส่งอิโมจิหัวเราะปากกว้างมาอีกแล้ว หนอย ไม่รักษาสัญญาไม่มีสัจจะในหมู่โจรจริงๆๆ เลย “นายขำทำไม นายไม่รักษาสัญญาไม่ต้องมาคุยกันเลยนะ” “แหมๆ ก็ชื่อมีเยอะแยะทำไมไม่ชื่อล่ะ หนูพุก ชื่อน่ารักแต่ตัวจริงโหดมากมาย ฮ่าๆๆๆๆๆ” อีกแล้วกวนโทสะ อีกแล้ว “ไม่คุยแหระ นอนดีกว่า”

“ตามสบายไม่รบกวน” เออ! คราวนี้พูดง่ายแฮะ อีตานี่นิ ประหลาดคนจริงๆ

                   นี่ก็เป็นอีกวันเหงาๆ ที่ผ่านพ้นไปเพราะมีหมอประหลาดๆ แบบนี้มาคุยเป็นเพื่อน

เราคุยกันแบบนี้ทุกวันจนลืมไปเลยว่าเคยทะเลาะกันยังไง เคยกวนประสาทกันยังไงแต่มาวันนี้เขาหายเงียบไปไหน ไร้ร่องรอย ไร้ซึ่งคำตอบ ไม่มีคำลา ไม่การเกริ่นบอก ไม่มีอะไรเป็นแนวทางเลยหายไปเฉยๆ เราทำอะไรผิดหรือว่าโกรธที่เราก่อกวน หรือว่ารำคาญเราหว่า ฉันนึกไปต่างๆ นานาอย่างหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ทำไงดีไม่เคยมีใครที่เป็นเพื่อนเราแล้วหายไปเฉยๆ แบบนี้เลยนี่น่า แย่จริงๆ นายหมอเพี้ยน ชื่อก็ไม่รู้จักเบอร์ก็ไม่มี Face book ก็ไม่เคยเห็นเพี้ยนตลอดแล้วยังทำตัวเหมือนผี อยากโผล่ก็มาอยากหายก็หายไปเฉยเลย  แล้วเราเป็นอะไรเนี่ยหนูพุกมานั่งนึกถึงอีตาบ้านั่นอยู่ได้ ปากก็ร้ายจะไปนึกถึงเขาทำไมดีซะอีกไม่โผล่มากวนประสาทจะได้สบายใจไม่ต้องมาต่อล้อต่อเถียงให้รำคาญ เขาหายไปได้อาทิตย์หนึ่งก็โผล่มาทำตัวเป็นผีไปได้ “ทำไรครับ” โผล่มาแล้วฉันบอกตัวเองนายตัวยุ่ง ไม่มีนายเราก็เหงาแฮะเดือนนี้แทบทั้งเดือนคุยกับหมอบ้านี้คนเดียวเลยจนแทบจะเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวันไปแล้วด้วยซ้ำไป “อืม หายไปไหนมา” ฉันถามออกไป “ผมไม่สบายแย่เลยต้อง Admit” “นายพูดอะไร อย่าใช้ศัพท์หมอได้มั้ยฉันไม่เข้าใจ” “อ้อ ขอโทษที ผมหมายถึงเข้า โรงพยาบาลนะ” เป็นครั้งแรกที่เราคุยกันดีๆ ไม่เถียงกัน “แล้วหายดีหรือยังล่ะ กินข้าว กินยาหรือยัง” “ขอบคุณครับ ที่เป็นห่วงกินแล้วครับ คุยนานไม่ได้นะ เหนื่อยต้องพักผ่อนแวะมาบอกว่าไม่สบาย” “อ้อ ตามสบาย” เพียงได้รับรู้แค่นี้ฉันกลับรู้สึกสบายใจอย่างประหลาดนี่ฉันเป็นอะไร ชักจะแปลกๆ แล้วนะ หรือว่าฉันปลื้มหมอเพี้ยนคนนี้ ไม่ๆๆๆๆ ผู้ชายปากร้าย กวนประสาทเป็นไปไม่ได้หรอก อาจจะเป็นเพราะว่าเราไม่มีเพื่อนที่คุยถูกคอก็เป็นได้ก็เลยรู้สึกดีที่มีเพื่อนคุย หรือไม่อีกกรณีน่าจะเป็นที่ฉันกำลังอกหักก็เลยรู้สึกดีที่มีคนมาคุยด้วยละมั้ง ฉันคิดแบบเข้าข้างตนเองมันคงเป็นไปไม่ได้ฉันจะไปคิดแบบนั้นได้อย่างไร

                   “หนูพุก ถามไรหน่อยดิ” ทักมาล่ะ หมอเพี้ยน “ถามไร ตอบได้ก้อตอบ ตอบไม่ได้ก็ไม่ตอบนะ” คนถามพิมพ์ตอบมาว่า “หนูพุก อายุเท่าไร ถามจริงๆ” อีกแหระ ทำไมต้องอยากรู้ด้วยนายหมอเพี้ยนนิ “นายจะอยากรู้ไปทำไม ทีเรายังไม่อยากรู้เลย งั้นนายบอกมาก่อนดิว่านายอายุเท่าไร” “ผมเหรอ 28 แล้วเมื่อปีใหม่ที่ผ่านมา เอาล่ะตอบมาอย่าลีลา โยกโย้อยู่นั่นแค่อายุเอง ตอบๆๆ มาก็จบแล้ว อายทำไมกัน” “ปล่าวอายนะ แต่ไม่อยากตอบเฉยๆ สำคัญมากมั้ยอายุเนี่ยหมอ” “ก็สำคัญนะ ตอบมาเร็วๆๆ” “ฉันจะตอบล่ะนะ ตั้งใจฟังดีๆ นะ” “ตอบมาเร็วๆๆ” “ฮ่าๆๆๆๆๆ” “ลีลาเยอะจริงๆๆ เลยสงสัยจะตำนาน” “ช่ายๆๆ ฉันอายุ 50 เชื่อป่ะล่ะ” “ไม่เชื่อในรูปน่าจะ ไม่เกิน 28 นะ ผมว่า” คราวนี้ฉันหัวเราะ ดังลั่นเลยทีเดียว “หนูพุกนี่ไม่ได้ตำนานอย่างเดียวนะ ตำน๊านนานเลย ฮ่าๆๆๆๆๆ” “เดี๊ยๆๆๆ หมอเพี้ยนนี่” “ก็จริงนี่หนูพุก” ดูดิชอบมายั่วโมโหตลอดเลย “เห็นมั้ยล่ะ พอบอกนายก็เป็นแบบเนี่ย” “แหม ผมก็แค่หยอกเล่นเห็นผมเป็นคนแบบไหนกัน แค่ไม่อยากให้เครียดก็แค่นั้นทำเป็นโกรธไปได้ ผู้หญิงหลายอารมณ์ตามไม่ทันจริงๆ ปรวนแปรตลอด” คราวนี้ฉันปรี๊ดทันทีเลย “ใช่ซิ ฉันมันไม่ดีนิ ไม่เคยเข้าใจอะไรซักอย่าง และนายก็ไม่ได้เป็นอะไรกับฉันจะมาพูดเล่นพูดหัวทำไม ฉันมันก็แค่ใครก็ไม่รู้ที่บังเอิญมารู้จักก็แค่นั้น นายไม่จำเป็นต้องมารู้สึกอะไรกับความรู้สึกฉันหรอกนะ” ฉันร่ายยาวเพราะความอัดอั้นที่มีอยู่ในใจมันทลายทะลักออกมาเลยทีเดียว “หนูพุกพูดเหมือนคนอกหักเลยนะ อกหักหรอ” นั่นจะยังตอกย้ำ

“เปล่านี่ ใครๆ ที่ไหนอกหักไม่มี๊นะ” “อย่าเลย ผมดูออกหลายครั้งแหระ เพลงก็เหมือนกันฟังแต่เพลงเศร้าๆ อกหักชัวร์” “คุยอย่างกะตัวเองเคยเป็นงั้นแหระ ชิ ชิ” “ก็เคยไง รักกันมาตั้งนานมาเมื่อปีที่แล้วอยู่ๆ ก็เปลี่ยนไปไม่โทหา ไปหาก็ไม่ว่าง ค่อยๆ ห่างออกไป คบกันมาตั้งนานทำไมจะดูไม่ออก ผมรู้นะเขาเริ่มมีคนอื่น” อืม เขาเป็นเหมือนเรารึนี่ อืม ไม่น่าเชื่อดูเฮฮาดีจะตายไม่เชื่อจริงๆ  “จริงรึ นายเนี่ยนะ อกหัก แฟนนายทำงานไรรึ” “เป็นหมอเหมือนกันนี่แหระ”  “เป็นหมอเหมือนกันก็น่าจะมีเวลาให้กัน และน่าที่จะเข้าใจกันมากกว่าอาชีพอื่นนะ เราว่า” “ไม่หรอก พอเริ่มทำงานอะไรๆ ก็เริ่มเปลี่ยนไปเขาไม่ค่อยสนใจ เงียบๆ ไป ตอนแรกๆ ก็อาทิตย์จากอาทิตย์ห่างออกไปเป็นเดือนยาวเลย ผมเสียใจมาก ถึงขั้นกินยาตายเลยทีเดียวแต่ล้างท้องทัน” เขาระบายออกมามากมายจนฉันอึ้งไป คนที่ยียวนกวนประสาทก็มีมุมแบบนี้กะเขาด้วยไม่น่าเชื่ออีกระลอก “นายนี่ จะกินทำไมยาตาย ไม่รักตัวเอง กว่าพ่อแม่จะเลี้ยงโตมาจนเป็นหมอมันนานนะ บ้าจริง”

“ผมรู้ มันเป็นอารมณ์ชั่ววูบนิ ตอนนี้ไม่แล้ว” “เรานะอย่างมากก็แค่เมา ฮ่าๆๆๆๆๆๆ แต่กินเหล้าไม่เป็นนะ เพิ่งกินนี่แหระ”  “เห่อ!!! กินที่ปากเมาที่ขา อย่ากินอีกนะ มันไม่ดีนะ” “รู้แล้ว แค่อยากรู้ว่ากินแล้วจะเป็นอย่างไร เหล้าปั่นเองเหยือกเดียวก็แย่แล้ว บ้านหมุนเลยพอละไม่กินแล้ว” คุยไปคุยมาเลยกลายเป็นว่ามานั่งปรับทุกข์กันซะงั้น มันก็ตลกดีเนาะ “นั่นไง ผมบอกแล้ว กินที่ปากเมาที่ขาไง” “อืม ก็ไม่ได้กินแล้วไง โห่!!! นายนี่”นายนี่มันพูดไม่รู้เรื่องจริงๆ เลย “หนูพุกขี้เมา แล้ววันนี้ไม่ไปกินเหล้าอีกหรือไง คนขี้เมา” ดูว่าไปนั่นตั้งฉายาให้เสร็จสรรพ “อ้าวๆๆ ก็บอกว่าไม่กินแล้ว นายนี่จะบ้ารึไง” ฉันเริ่มโกรธขึ้นมาบ้าง “ไม่เชื่อหรอก ของชอบของหนูพุกนิน่า เมรี” น่านนี่อีกฉายา เดี๋ยวคนขี้เมา เดี๋ยวเมรี“หมอเพี้ยน หมอบ้า หยุดว่าฉันนะ เดี๊ยๆๆ” แหมๆๆ ตะกี้ยัง

ดราม่าอยู่เลยทีนี้มาว่าเราฉอดๆ ปากร้ายตลอดคนอะไร “เราแค่กินให้รู้ว่าเป็นอย่างไร นายพูดอย่างกับไม่เคยกินอย่างนั้นแหระ ” เขาพิมพ์ตอบมาว่า “ก็ใช่ ผมไม่กินของมึนเมาทุกชนิดไม่นิยม”

แหม พูดซะดูดีเลยนะคุณหมอ

                   วันเวลาผ่านพ้นไปไวเหมือนโกหกเราก็ยังคุยแบบไม่เคยเห็นหน้ากันมาแบบนี้ตลอดระยะเวลา 1 ปีเต็มๆ จนวันหนึ่งหมอธัญญ์ก็ถามหนูพุกว่า “นี่ๆ อยากเห็นรูปผมมั้ย เดียวผมจะส่งรูปไปให้นะ รูปเดียวนะ ห้ามขออีกนะ เอาเผื่อเจอกันจะได้ทักทายกันบ้าง แต่ผมคงไม่กล้าทักหรอก” ทำไมย่ะ หน้าตาฉันมันน่ากลัวนักหรือยังถึงไม่กล้าทัก ฉันเพียงแค่นึกในใจแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป ได้แอบตื่นเต้นเล็กๆ ลุ้นให้เขาส่งรูปมา แป่ว! “จะส่งละนะ คอยดูดีๆๆ นะ” ฉันก็รอดูปรากฏว่าเป็นรูปการ์ตูนใส่แว่นตาหยีมาเชียว หนอยหลอกกันอีกแล้ว “นี่ไม่อยากส่งมาก็ไม่ต้องส่งมาหรอกนะ ไม่ได้จะอยากเห็นหน้าตานายนักหรอก นายตาตี่เอ๊ย” ฉันฟิวส์ขาดแล้ว “แหม น่ารักป่ะล่ะ” “ไม่ขำนะ ล้อเล่นอยู่ได้” “อ๊ะๆๆ คราวนี้ส่งจริงๆ คอยแป๊บ นะ” สักพักรูปก็ค่อยถูกส่งขึ้นมาฉันจ้องตาไม่กระพริบเพราะมันเป็นครั้งแรกที่จะได้เห็นหน้าตาของนายหมอตี๋คนนี้ เอ๊ย หมอธัญญ์คนนี้ รูปที่ส่งมาเป็นรูปคู่ ถ่ายคู่กับพยาบาล “นี่แฟนนายหรึ น่ารักดีเนาะ” “เปล่านะ เป็นพี่ที่ทำงานด้วยกันเป็นพยาบาลวิชาชีพ” ฉันนั่งขำอะไรหว่า ถามนิดเดียวตอบมาซะละเอียดเลยฮ่าๆๆๆ

หมอต๊องเอ๊ย ฉันค่อนขอดในใจ แต่ก็แอบรู้สึกโล่งใจเล็กๆ เรานี่ชักจะเป็นเอามากนะเนี่ยสงสัยจะตกหลุมเข้าให้ซะแล้วหลุมใหญ่ซะด้วยซิเรา “อืม น่ารักดีเนาะ” ฉันมีความคิดเห็นไปแค่นั้นเพราะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉันนี่น่า “นายเป็นคนผิวดีนี่ ฟันก็เรียงกันสวยเชียว” ฉันชมออกไปอย่างจริงใจไม่ได้แกล้งเพราะพินิจพิเคราะห์แล้ว เขาก็เหมือนกับหมอทั่วไป ตาตี่ๆ หน้าตี๋ๆ ตามสไตล์พวกลูกคนจีนทั่วไป ส่วนมากคนที่เป็นหมอก็มักที่จะเป็นลูกหลานของคนจีนทั้งนั้นเพราะคนพวกนี้โคตรขยัน เรียนก็เก่งขยันเป็นกรด ทั้งเก่งทั้งฉลาดขั้นเทพเลยทีเดียวนี่คือความเชื่อของฉันเอง “รูปนี้นะ ให้ไว้เผื่อวันนึงได้เจอกันจะได้จำได้” เออ! แล้วจะไปเจอกันได้ไงในเมื่อคุยกันมาเป็นปีเพิ่งเห็นกันแค่ในรูป เสียงก็ไม่เคยได้ยินตลกแหระชีวิตฉัน แต่เราก็ชินกับการสนทนาโต้ตอบกันแบบนี้นะไม่เคยคิดที่จะไปเจอหน้าตาหรือตัวเป็นๆ ของนายเลยพับผ่า ซิ ประหลาดมั้ยล่ะ

                   และแล้วเขาก็หายไปอีกคราวนี้นานมากนานจนฉันเองอดคิดไม่ได้ว่า เขาคงไม่คุยกะเราแล้วเพราะความเนิ่นนานที่ห่างหายไปนั่นเอง รู้สึกเศร้าใจเนาะ เอ? แล้วจะเศร้าทำไมฉันตั้งคำถามขึ้นกับตนเอง ใช่ดิทำไมต้องเศร้าด้วยนะ คงเป็นเพราะเราแอบมีความหวังเล็กๆ ในใจกับมิตรภาพที่ดีที่มีขึ้นระหว่างคุณหมอจอมกวนกับฉันหนูพุกชอบปรี๊ดคนนี้ แต่การที่เราได้คุยกับเขาบ่อยๆ เราก็กลายเป็นคนที่อารมณ์เย็นลงเยอะเลยนะจากที่ชอบวีนเหวี่ยงบ่อยก็น้อยลง ใจร่มลงมากมายเลยทีเดียว ฉันจึงตัดสินใจพิมพ์ข้อความทิ้งไว้ในไลน์ทันที “มิตรภาพที่ดีนั้น หาไม่ได้ง่ายๆ ทั่วไปนะหมอ หากหมอได้พบแล้ว ก็จงรักษามันเอาไว้ให้ดี เพราะมันไม่ได้เกิดง่ายๆ หรอกในคนทั่วไป เราดีใจนะที่ได้รู้จักหมอ หมอเป็นเพื่อนที่ดีคนนึง ขอบคุณเวลาที่ทำให้เราได้มาเจอกันนะ เราจะรักษามิตรภาพที่ดีของเราเอาไว้นะ” เมื่อพิมพ์เสร็จก็กดส่งไปทันที แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตารอเขามาอ่านแต่ก็เงียบไร้วี่แววใดทั้งสิ้น เฮ้อ! ฉันได้แต่ถอนใจเงียบหายจริงๆ หรือนี่ นายจะหายไปจริงๆ ใช่มั้ย คนบ้านึกอยากหายก็หายไม่เคยบอกอะไรเลยคราวก่อนก็ทีแหระ ยังจะมาคราวนี้อีกไม่รู้รึไงว่ามีใครรอ แต่พูดก็พูดเหอะทำไมเราต้องคอยห่วงนายคนนี้ด้วยนะ ไม่รู้จักหน้าค่าตาซะหน่อยเรานี่ก็แปลกขึ้นทุกวัน ฉันงงกับตัวเองเหมือนกันเวลาคุยก็อยากจะวีนอยากจะเหวี่ยงซะ พอไม่ได้คุยก็คิดถึง เฮ้ย ! คิดถึงเลยรึนี่เราชักจะเลอะเทอะไปใหญ่แล้วเนี่ยคิดเลอะเทอะไปใหญ่อีก พอๆ แหระมากเกินไปแหระ ไม่บ่นเปล่าแต่คอยเช็คที่หน้าวอลล์ไลน์ตลอด เฮ้อ ! เงียบและเงิบคราวนี้นานเป็นเดือนเลยนะ เกิดอะไรขึ้นกับนายมั้ยหรือว่านายจะป่วยอีก นายยิ่งสุขภาพไม่ค่อยดีอยู่ด้วยบอกตรงตอนนี้ฉันเป็นห่วงนายมากเลย ถ้านายโผล่มาคราวนี้ฉันจะไม่ก่อกวนประสาทนายอีกแล้วฉันจะพูดดีๆ กับนายขออย่างเดียวได้โปรดมาทักทายกันใหม่เถอะนะ นายหมอเพี้ยน !  อุ๊ย ลืมตัวว่าจะไม่ว่านายนี่น่า หลุดจนได้ซิน่าฉันนี่สงสัยจะเคยปากเป็นแน่แท้ จะว่าไปก็เรานี่ก็ปากไวตลอด ซิน่าเอาเถอะ นายรีบกลับมาทักฉันให้ไวก็แล้วกัน แล้วจะหาว่าหนูพุกไม่เตือน

                   “สวัสดี หนูพุก” เฮ้ย ! ข้อความนายเพี้ยนมาแล้ว ฉันรีบพิมพ์ตอบอย่างรวดเร็ว “นายหายไปไหนมา” นายหมอเพี้ยนตอบทันที “ผมไม่สบายคราวนี้หนักเลย นอนโรงพยาบาลนานหลายวันนี่ก็ยังไม่หายดี คุยนานไม่ได้นะ เพลีย” “ได้ๆ งั้นนายพักผ่อนเหอะ กินข้าว กินยา หรือยัง” “กินแล้วครับ ขอบใจมากนะที่เป็นห่วงผม ที่ผมหายไปผมไม่สบายเลยไม่ได้ออนต้องพักผ่อน ผมยังเหมือนเดิมนะ” คำนี้ทำให้ใจเราชื่นขึ้นมาเป็นกอง “นายหมอเพี้ยน” ฉันว่าไปงั้น

แหระแก้เขิน “หนูพุกว่า ผมอีกแหระ ผมไม่เคยว่าหนูพุกเลยนะ” ปั๊ดโถ่ เอาอีกแล้วฉันหลุดปากจนได้ซิน่า “ฉัน ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจนิน่า” “ฮ่าๆๆ ผมล้อเล่น” เอ้า นายนะนายไม่เป็นไรเห็นแก่ที่นายยังป่วยอยู่ฉันไม่วีนก็ได้แต่คราวหน้ามีเฮแน่นอน นายหมอเพี้ยน “ผมขอตัวพักผ่อนก่อนนะครับ สวัสดีครับ ขอบใจมากๆ สำหรับกำลังใจที่มีให้ตลอดมา มีแต่เธอนี่แหระที่ให้กำลังเราตลอดเลยถึงบางครั้งจะวีนบ้างแต่เราก็รู้ว่าเป็นห่วงเรา” “นายรู้เหรอ” ฉันตกใจ “หนูพุก ชอบเราเหรอ ชอบเราก็บอกเรามาเถอะ เราไม่ว่าหรอก” อ๊ายยยยยยย นายหมอเพี้ยน “นายนั่นแหระ ชอบเรา นายชอบเราก็บอกมาเถอะ เราไม่ว่าหรอก ฮ่าๆๆๆๆๆๆ” นายเพี้ยนตัดบททันที “ไม่บอกก็ไม่เป็นไร เราพักผ่อนก่อนนะ หนูพุกของผม” นั่นไงนายก็หลุดมาแล้วแค่นี้โลกทั้งใบของฉันก็เป็นสีชมพูขึ้นมาทันที อาการอกหักที่ฉันมีเริ่มมียาที่เข้ามาสมานให้ขึ้นแล้วซินะ

                   ใครจะไปรู้ได้ว่าวันหนึ่งๆ จะต้องพบเจออะไรบ้าง ต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้พบเจอสิ่งดีที่เข้ามาเติมเต็มของส่วนที่ขาดหายไป เหมือนชีวิตของฉันที่มีนายหมอเพี้ยนๆ คนนึงเข้ามาเติมเต็มในส่วนที่เว้าแหว่งจนรู้สึกดีมีความสุขกับการสนทนาโต้ตอบแม้จะเป็นแค่ตัวหนังสือไม่มีเสียงแต่ทุกถ้อยคำที่ส่งหากันล้วนมีความหมายและคุณค่าทางด้านจิตใจเป็นที่สุด ในวันนี้เรายังคงสนทนากันให้กำลังใจกันผ่านตัวหนังสือไม่เคยคิดที่จะเห็นหน้ากันจริงๆ เลยสักครั้งเพราะว่าการสนทนากันแบบนี้มันสร้างมิตรภาพที่ยิ่งใหญ่ให้กับเรามากมายกว่าที่จะนั่งจ้องตากันซะอีก ไม่น่าเชื่อว่าคนเป็นล้านในโลกนี้แต่ฉันกับนายก็โคจรมาพบกันได้ ฉันเชื่อแล้วว่าพรหมลิขิตมีจริงแล้วต่อไปพรหมจะลิขิตชีวิตของพวกเราทั้งสองให้ดำเนินเป็นอย่างไรนะ จะเป็นอย่างไรก็ช่างเถอะทุกวันนี้เรามีความสุขดีกับการสนทนาแบบนี้ก็ดีแล้วนี่น่า ดังนั้นเราก็พอใจและมีความสุขกับสิ่งที่ได้รับเป็นที่สุดแล้ว และความรู้สึกแบบนี้ฉันก็มีไว้ให้นายเพียงผู้เดียวนะ นายหมอเพี้ยน..................

 

                  

 

 

 



ความเห็น (2)

อ่านแล้วประทับใจมากค่ะ เรื่องราวดีๆบันทึกไว้ อีกหลายปีผ่านไปมันคือพลังของชีวิตค่ะ

ขอบคุณนะค่ะ หนูเก็บเรื่องราวดีๆๆ ใส่ในกระปุกความฝันค่ะ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
ครูเล็ก น่ารัก
เขียนเมื่อ

คือ....รัก

                        ฉันไม่คิดที่จะเชื่อในความรักอีก เมื่อฉันได้พบกับความวิบัติของความรัก หลายอย่างทำให้ฉันขยาดที่จะมีความรัก หรือต้องพบปะกับความรัก แม้แต่จะทักทายกับความรัก ความรักไม่ใช่สิ่งสวยงามสำหรับฉันอีกต่อไป ความรักทำให้ฉันจมปรักกับความซึมเศร้าในใจความทุกข์เป็นเวลานับปี แต่เวลาก็ช่วยเยียวยาและรักษาความบอบช้ำในใจ ให้แก่ฉันถึงแม้ว่าจะไม่หายสนิทในทันที แต่เวลาก็ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้มาก จนเมื่อเวลาผ่านไปฉันจึงใช้เวลาที่มีอย่างปกติเหมือนบุคคลทั่วไป ฉันยังคงทำงานทำหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติได้อย่างเฉกเช่นเคยต้องขอบคุณเวลา  ที่ช่วยขัดเกลาเอาความเขลาไปจากจิตใจที่บอบช้ำได้เป็นอย่างดี  ณ  วันนี้ฉันเริ่มเปิดตัวเองให้กลับออกมาจากโลกสีเทา ที่ต้องอยู่ในโลกที่อุปโลกน์ขึ้นมาและตัวฉันเองเป็นผู้กำหนดเท่านั้น นั่นก็คือ โลกโซเซียลที่ฉันช่ำชองในการท่องเที่ยวอย่างไม่มีวันสิ้นสุด

                        “เฮ้ย ! นี่แกนั่งทำอะไร ไปๆ กินข้าวกัน ฉันหิวแล้ว”  ใบบัวเพื่อนสนิทเข้ามาตบไหล่แล้วชักชวนให้ฉันไปรับประทานอาหารในช่วงพักเที่ยง “แกทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้วไง๊ ! ”  ใบบัว ค้อนวงใหญ่ก่อนจะลอยหน้าลอยตาตอบกลับมา “ย่ะ ! แม่คนช่างฝัน มันเที่ยงแล้ว ฉันหิว งานเอาไว้ก่อนบ่ายก็ทัน วันนี้หัวหน้าไม่อยู่” ฉันขำกับท่าทางกวนๆ ที่ไม่สนของหล่อนนัก แต่ก็ลุกตามไปทันทีก่อนที่หล่อนจะโมโหหิว “วันนี้หัวหน้า ไปไหนเหรอ ใบบัว ฉันไม่เห็นแต่เช้าแล้วเนี่ย”  “หล่อนจะรู้อะไรกะเขาบ้างมั้ยเนี่ย หัวหน้าอ่ะ ไปอบรมอีกหลายวันกว่าจะกลับ”  “อ้อเหรอ แฮ่ๆๆๆ ก็ฉันไม่รู้นี่ ฉันไม่ได้เป็นแฟนกะหัวหน้านี่น่าฮ่าๆๆๆๆๆ”  ใบบัวค้อนอีกวงใหญ่ “ปากดีนะแก เดี๋ยวมีใครได้ยิน เดี๋ยวจะขำไม่ออก เล่นของสูงนะย่ะ” 

ใบบัวเป็นเพื่อนในที่ทำงานด้วยกันแต่ฉันไม่เคยเล่าหรือสนทนาเรื่องส่วนตัวให้เธอฟังเลย  เพราะฉันคิดว่าในเรื่องบางเรื่องเราก็ไม่สมควรที่จะนำไปเล่าสู่ใครฟัง เพราะมันไม่เป็นการสมควรที่จะรับรู้ฉันไม่ต้องการให้ใครมาแสดงความสงสารหรือความเห็นใจแค่ต่อหน้า แต่เวลาลับหลังซุบซิบนินทา เป็นเรื่องสนุกปากนั่นเอง  บางครั้งเมื่อความเศร้ามาเยือนฉันก็มักที่จะมีน้ำตาเป็นเพื่อนบ่อยๆ

                        ฉันจึงเก็บเรื่องราวต่างๆ เอาไว้ในใจเพียงผู้เดียวเรื่อยมา บ่อยครั้งที่ใบบัวแสดงท่าสงสัยแต่เมื่อฉันไม่เล่าไม่พูดใบบัวจึงไม่กล้าที่จะถาม  “เออ บัวทำงานที่นี่มานานหรือยัง ชั้นไม่เคยถามแกสักที”  ใบบัวหันมามอง “แล้วทำไมเพิ่งมาถามล่ะ ฉันจะย้ายแล้วนะแก”  ฉันยิ้มแก้เก้อ “ก็ฉันเพิ่งจะอยากรู้ว่ะ แก”  ฉันแสร้งตอบอย่างนั้นเอง ไม่ใช่เพราะอะไรแต่มันเป็นเพราะว่าฉันไม่มีเวลาที่จะสนใจเรื่องอื่นนอกจากเรื่อง ที่เจ็บลึกๆ ในใจมาเกือบ 2 ปีนี่ตะหากล่ะ  “แหม ! ตอบหน่อยดิ อยากรู้แล้วทำไมจะย้ายล่ะนี่ บัว”  ใบบัวหันมองค้อนให้อีก ก่อนที่จะอารัมภบทสาธยายยาวยืดมาว่า “ฉันอยู่ที่นี่มานานแหละ ประมาณ 4 ปี ได้แล้วมั่งเหอะ ก็เลยเบื่อเดินทางลำบากด้วย อยากย้ายกลับไปดูแล แม่ บ้างแต่ที่นี่ก็ดีนะ ฉันอยู่มาจนชินแล้ว แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ เหนื่อยว่ะ  เดินทางตลอดสู้น้ำมันรถไม่ไหว” ฉันพยักหน้าอย่างเข้าใจกับปัญหาของใบบัว “แล้วแกล่ะ ไม่คิดจะย้ายบ้างหรา ถ้าครบ 2 ปี ฉันว่าแกต้องมาหาที่ย้ายแน่ๆ เอาใกล้ๆ บ้านเลยแก เชื่อฉัน” ฉันจึงได้แต่ยิ้มน้อยๆ พยักหน้าเอาเป็นว่าตามนั้น ในสมองของฉันคิดเหมือนกันในเรื่องย้ายที่ทำงาน แต่ว่าในการเขียนแต่ละครั้งเราก็ต้องมีความรู้เกี่ยวกับ โรงเรียนที่เราอยากจะเขียนย้ายหากว่าอัตราที่นั่นไม่ว่างตรงกับเอกวิชาของเรา เราก็ไม่สามารถที่จะย้ายลงไปที่นั่นได้ตามความต้องการ

                        แต่ก็ช่างโชคดีเหลือเกินเมื่อฉันได้มีโอกาส  ไปอบรมยังโรงเรียนแห่งหนึ่งทำให้ฉันทราบข่าวภายในคร่าวๆ ว่ามีครูบางท่านถึงวาระของการทำงานได้สิ้นสุดลงในเดือนตุลาคมนี้

และจากการสอบถาม ผู้มีความรู้ในสถานศึกษาแห่งนี้ก็บอกว่าจริง ฉันรู้สึกดีใจมากๆ เพราะนับว่าเป็นการดีที่ฉันจะได้เดินใกล้กับบ้านเข้ามาอีกนิด แต่จะย้ายเข้าไปสอนในเมืองเลยนั้น เห็นทีว่าจะไม่เด็ดขาดเพราะว่าฉันยังไม่เก่งขนาดนั้นฉันต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์สอนอีกมากมายถึงจะปีกกล้าขาแข็งในการโลดแล่นบนสังเวียนของการสอนได้

                        ตื๊ดๆๆๆ เสียงวีแชท การติดต่อสื่อสารอีกระบบที่ชั้นมีเอาไว้เพื่อ แชทหรือเม้ามอยกับเพื่อนๆ ที่อยู่ใกล้รัศมีที่ฉันเปิดออน เสียงทักทายจากใครบางคนที่ฉันไม่รู้จักดังขึ้นอีกครั้ง ฉันจึงตัดสินใจตอบกลับไป เขาชื่อ น๊อต ชื่อเต็มๆ คือ ธิณัฐ  แก้วจงใจ  เป็นทหาร ( เฮ้อ ! ทหารอีกแล้ว แหวะ ) ฉันคิดในใจ “โคตรจะเบื่อ ไอ้ ! พวกทหารชีกอ ทั้งหลาย ” ฉันบ่นในใจอีกระรอก แต่คราวนี้เป็นทหารแพทย์ ฮึ ! ทหารก็เหมือนกันหมดแหละ จะทหารอะไรก็แล้วแต่ ขึ้นชื่อว่าทหารก็เจ้าชู้เหมือนกันทั้งนั้นแหละ ฉันคิด ข้อความยังมีส่งต่อมาอีกระรอก “อยู่มั้ยคร้าบบบ”ฉันจึงพิมพ์ตอบกลับไป “อบรมอยู่ค่ะ ง่วงมว๊ากกกกก”  ปลายทางตอบกลับมาทันที “น่าสงสารจัง”   “น๊อตครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” เออ คนนี้ท่าทางฉลาดแฮะ ไม่ถามชื่อเพราะปกติจะชอบถามชื่อ ถามอายุกันเป็นสเต็บน่ารำคาญมากทั้งๆ ที่ชื่อของวีแชทก็เขียนบอกชื่ออยู่แล้ว ก็ยังจะถามชื่อให้รำคาญใจอยู่นั่น ฉันยังค่อนแคะอยู่ในใจไม่เลิก  เราคุยกันอีกสักพักฉันจึงพิมพ์ตอบไปว่า “จะเลิกอบรมแล้วนะ จะกลับบ้านแล้ว บายค่ะ”

                        หลังจากนั้นฉันกับใบบัวก็ไปลั้ลลากันที่ห้างเล็กๆ ในย่านนั้นเดินห้างเสร็จเราก็ไปเดินช๊อบและชิมในตลาดสดยามเย็น ชมโน่น นี่ นั่น กันอย่างเพลิดเพลิน ซึ่งส่วนมากจะเป็นเสื้อผ้า เพราะว่าเสื้อผ้าจะเป็นของคู่กันกับสาวๆ อย่างเรานั่นเองจนเวลาล่วงเลยผ่านไปไวเหมือนโกหก อุ๊ย!! ต๊าย ตาย จะหกโมงเย็นแล้วนี่น่า ชั้นจึงสะกิดเพื่อนสาวจอมช๊อบทันที “นี่ๆ บัวๆ ใจคอแกจะเดินยันมืดเลยรึไง กลับกันเหอะ ไว้ว่างๆ เราค่อยมากันใหม่” ใบบัวพลิกข้อมือมองนาฬิกาแล้วยิ้มจนตาหยี “แหมๆๆ แม่คนติดบ้านเลยเวลานิดหน่อยไม่ได้เลยรึไง จ๊ะ” ชั้นยิ้มตอบอย่างอารมณ์ดี “ย่ะ ก้อชั้นมีงานต้องทำงานนี่น่า เดียวต้องไปสรุปงานที่เรามาอบรมในวันนี้อีก กลับเหอะ แก ชั้นเดินจนเมื่อยขาไปหมดแล้วเนี่ย”  ใบบัวพยักหน้า เราจึงเดินไปยังรถพร้อมกันตามปะสาสาวโส๊ด โสด

                                             

          

                     เมื่อนั่งในรถฉันได้เปิดใช้สัญญาณอินเตอร์ 3G ตามปกติ ข้อความวีแชท ตื๊ดๆๆๆดังไม่ขาดสายเข้ามาอีก “เช๊อะ! อีตาทหารหน้าแป้น ทักเข้ามาอีกแหระ” ฉันนึกบ่นในใจ แต่ก็พิมพ์ตอบข้อความนั้นไปตามมารยาท เพราะคิดว่าใครจะมาคุยกับเราได้นานเพราะหน้าตาก็ไม่เคยเห็นคุยแค่ในโลกโซเซียลเท่านั้นคงไม่เป็นไร การได้พูดคุยกับเพื่อนๆ ในนี้ก็ช่วยให้เรามีทัศนคติที่แตกต่างมากขึ้น เมื่อคิดได้ดังนี้ฉันจึงพูดคุยสนทนาโต้ตอบกับบุรุษแพทย์ทหารทันทีแทบจะทุกวันที่มีเวลาว่าง วันนี้ก็เช่นกัน “คุณครู ทำอารายอยู่ ทานข้าวหรือยัง” ฉันค่อยตอบข้อความไปว่า “ยังค่ะ คุงทหารทานหรือยัง” เขาจึงตอบกลับมาทันที “ทานแล้วครับ”  ใบบัวชำเลืองสายตามองแล้วยิ้มตาหยีแล้วเอ่ยแซวชั้นว่า “แหมๆ ดังตลอดเลยนะ เนื้อจริงไรจริง อิ อิ อิ อิ ” ใบบัวหัวเราะ พลางยิ้มล้อเลียน “เดี๊ย! เหอะ ใบบัวมันไม่ใช่แบบที่ หล่อนคิดย่ะ ชั้นเพิ่งคุยกันนะ” ใบบัว “หราๆๆๆๆ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ”  ชั้นได้แต่หัวเราะตามกับท่าทีของใบบัว ไม่นานรถของเราก็มาถึงยังหน้าบ้านของชั้น “พรุ่งนี้เจอกันนะ ใบบัว” ชั้นก้าวลงรถแล้วรีบข้ามถนนเพื่อเข้าบ้านทันที ช่วงเย็นๆ แบบนี้รถค่อนข้างเยอะเพราะเป็นช่วงที่คนส่วนใหญ่เลิกงานกันนั่นเองจึงไม่แปลกที่จะมีรถน้อยใหญ่หลากหลายยี่ห้อวิ่งขวักไขว่ทั้งไปและกลับเต็มท้องถนนไปหมด เหมือนดังเช่นวันนี้นั่นเอง

                        เช้าที่สดใสของอีกวันชั้นยังคงต้องตื่นแต่เช้าในวันทำงาน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นหลังจากที่ตื่นไม่กี่นาที ใครนะ ช่างทักเข้ามาเช้าได้ขนาดนี้ ชั้นคิดในใจแต่มือก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูข้อความที่ทักมาในวีแชทนั้น “อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ชั้นรีบตอบกลับเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาทและรีบอาบน้ำทันที ไม่รีบได้ไงวันนี้ต้องนั่งรถโดยสารไปทำงานเองใบบัวไม่มารับเหมือนเคยเพราะวันนี้ใบบัวต้องไปทำธุระ บางอย่างนั่นเองชั้นจึงไม่สามารถทำตัวตามสบายตอบแชทข้อความได้ยาวๆ เหมือนที่เคยทำ เพราะในเวลาที่เร่งรีบแบบนี้เราจะมัวโอ้เอ้ไม่ได้นั่นเองไม่งั้น ตกรถแหง๋ๆๆ  พอได้เวลาก็สะพานเป้คู่ใจรีบตรงไปรอรถยังที่รอรถโดยสารไม่ประจำทางทันที  วันนี้เหมาะแก่การทำงานเสียจริงๆ ชั้นมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก เหมือนต้นหญ้าที่ต้องหยดน้ำค้างในยามเช้าก็ไม่ปาน ในโลกของชั้นช่างสดใสขึ้นอย่างทันตาเห็น ชั้นจินตนาการไปไกลว่า เราจะเป็นคู่รักที่มีความสุขที่สุดในโลก ถึงแหมว่าเราจะอยู่ไกลกันมากก็ตามที  มันจะเป็นเริ่มชีวิตเริ่มความรักครั้งใหม่ที่มีความสุขอบอวลไปด้วยความรักที่แท้จริง  แต่โลกโซเซียลมีหลากหลายวิธีที่จะติดต่อกันเหมือนการย่อโลกที่กว้างใหญ่ลงมาไว้ในมือของเรา หย่อนระยะเวลาแห่งความคิดถึงลงมาได้อย่างมากมาย สมัยนี้ความคิดถึงอยู่ใกล้แค่ปลายนิ้วสัมผัส คุณๆ ว่ากันไหม ขั้นตอนในการติดต่อกันก็สุดแสนจะง่ายกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีกทุกอย่างกำลังเป็นไปได้อย่างสวยงามทุกอย่างค่อยๆ ดำเนินไป โดยที่ตัวฉันเองก็ไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าจะต้องพบกับอะไรบ้างนับแต่นี้จากไป

                        เราคุยกันได้ประมาณ สองเดือนเศษๆ เขาก่อขึ้นมาใต้เพื่อพักผ่อนจึงเป็นเหตุใหเราได้พบกัน ธิณัฐ จึงถือเอาโอกาสนี้นัดพบ ศลิษาทั้งที “ตื๊ดๆๆๆๆ”  “ฟ้า ครับวันนี้ น๊อตว่าง อืม ไม่ทราบว่า คุณครูว่างมั้ยครับ ไปหาอะไรทานกันนะครับ” ฉันนิ่งคิดแป๊บนึงจึงตอบเขาไปว่า “พอดี ฟ้ามีประชุมในช่วงเช้าบ่ายๆ คงเลิก น๊อตรอได้มั้ยค่ะ”  น๊อต “ได้ซิ อยู่ใต้ยังรอได้ตั้งนานแค่นี้เอง ถ้าคุณครูประชุมเสร็จบอกนะครับ น๊อตจะรีบไป”  “งั้นตกลงตามนี้นะค่ะ แล้วครูจะบอกอีกทีนะค่ะ ว่ากี่โมงแน่”



ความเห็น (4)

เขียนเป็น “บันทึก” ได้นะครับคุณครู เพราะเนื้อหายาวใช้ได้ ;)…

เรื่องนี้ยังไม่จบนะ รอติดตามผลต่อไป ว่าจะลงเอยอย่างไร เรื่องจะจบที่เศร้าหรือไม่

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท