คนเราเมื่อไม่ได้ตามใจก็ต้องมาแก้ที่ใจ เพราะสิ่งที่มีปัญหาก็คือใจที่มีปัญหา
ต้องทำใจของเราให้สงบให้ได้น่ะ... ใจของเรามันก็ค่อย ๆ เกิดปัญญาว่าธรรมะนี้ มันเป็นสิ่งที่ทวนกระแส ถ้าเราทำตามใจตามอารมณ์น่ะชีวิตนี้ก็มีแต่ผิดหวัง โลกนี้ก็ย่อมมีแต่ความเห็นแก่ตัว ถือพรรคถือพวก ถือชั้นวรรณะชาติตระกูล “เอาดีใส่แต่ตัว เอาสุขใส่แต่ตัว เอาความทุกข์ให้คนอื่น มันไม่ถูกต้องเลยมันไม่ยุติธรรมเลย...!”
ใครคิดได้มาก ใครวางแผนได้ดีกว่ากัน ใครวางแผนได้ดีกว่าคนอื่นก็เอาเปรียบคนอื่น ขาดความเป็นธรรมขาดความยุติธรรม อาชีพบางทีก็ไม่ยุติธรรมน่ะ ขายเหล้าขายเบียร์ ขายปืน ทำบ่อน ค้าขายมนุษย์ ค้าขายสิ่งเสพติดยาเสพติด เพราะว่าอะไร...? เพราะว่ามีความเห็นแก่ตัว
บางคนก็คิดนะ... คิดว่าเราเป็นคนเสียสละมาก ๆ เป็นคนมีศีลมีธรรมเราก็ถูกคนอื่นเอาเปรียบ เราก็เสียเปรียบ ถ้าเราคิดอย่างนั้นมันไม่ใช่ตัวเรานะ มันเป็นกิเลสในตัวเราคิดนะ “มันเป็นกิเลสคิดมันไม่ใช่ธรรมะ...”
คนเรานี้ความสุขต้องได้มาจากเป็นผู้ให้ผู้เสียสละอันเกิดจากความสงบการทำตามใจตัวเองนั้นน่ะคือการสร้างปัญหา ถ้าเราเป็นคนเสียสละเป็นคนดีน่ะ ครอบครัวเราก็ย่อมมีความสุข องค์กรของเราก็ย่อมมีความสุข ประเทศชาติก็ย่อมมีความสุข ทุกคนก็มีความต้องการ
สิ่งที่สำคัญอยู่ที่เราทุกคนมีความเห็นแก่ตัวไม่ยอมเสียสละ ไม่ยอมลดมานะละทิฏฐิ มีแต่จะเอาแต่ใจตัวเอง เอาแต่อารมณ์ตัวเอง
เราทำความดีมันมีแต่สงบมีแต่เย็นน่ะ ไม่มีใครมาได้เปรียบเรา เราไม่ได้เสียเปรียบ ใครหรอก การชนะจิตชนะใจตัวเองได้คือการชนะข้าศึกทั้งหลายทั้งปวง พระพุทธเจ้าท่านเมตตาสอนเราอย่างนี้นะ
พระพุทธเจ้าเทศน์เราบอกเราสอนเราเรื่องการเสียสละ…
เสียสละขนาดไหน...? ขนาดที่เราไม่มีตัวไม่มีตนโน่นแหละ ถ้าเรามีตัวมีตนอยู่เราก็ย่อมมีความทุกข์ เรามีความทุกข์ก็เพราะเรามีตัวมีตน
ทุกท่านทุกท่านนั้นไม่มีตัวไม่มีตน ไม่ได้เป็นผู้หญิงไม่ได้เป็นผู้ชาย ไม่ได้เป็นคนแก่คนหนุ่มคนสาวไม่ได้เป็นพระหรือไม่ได้เป็นโยม ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปตามเหตุตามปัจจัยที่อวิชชาคือความหลงของเรานี้มาปรุงแต่งจิตใจให้เราทำบาปทำกรรม ไม่มีที่หยุดไม่มีที่ยั้ง
ใจของเรานี้มันมีแต่จะเอา... มันจะเอาความสุข มันเป็นผู้เอามาตั้งหลายภพ หลายชาติแล้ว แม้แต่เกิดมาเราพอที่จะสังเขปได้ มันเริ่มเอาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่แล้ว เมื่อออกมาก็มาเอากับคุณพ่อคุณแม่ เมื่อเจริญวัยเป็นวัยเรียนวัยศึกษามันก็จะเป็นผู้เอา เอากับเพื่อนบ้าน เอากับสังคม มันจะมาเอาความสุขกับผู้อื่น
พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนเราให้เรามาเป็นผู้เสียสละมาเป็นผู้ให้ เป็นคนขยัน เป็นคนไม่ขี้เกียจ มาหยุดตัวเอง มาเบรกตัวเองว่าตั้งแต่นี้ต่อไปน่ะ ข้าพเจ้าจะเปลี่ยนวิถีชีวิตของข้าพเจ้าใหม่ จะเป็นคนขยันสุด ๆ เสียสละอย่างสุด ๆ จะมาละอัตตามาละตัวละตน จะไม่เป็นคนฟรีสไตล์มักง่าย เอาแต่ใจตัวเอง มีโลกส่วนตัว เอาตัวเป็นใหญ่เอาตัวเป็นประธานน่ะมันไม่ถูก ต้องมาพิจารณาตัวเองว่าตัวเองได้เสียสละอะไรบ้าง ตัวเองได้ให้ความสุข แก่คุณพ่อคุณแม่แล้วหรือยัง แก่ครอบครัวแล้วหรือยัง แก่หมู่แก่คณะแก่สังคมแก่ประเทศชาติแล้วหรือยัง...?
บังคับตัวเองให้มันเย็นไว้นะ ที่เราว่าขยันมันยังไม่ขยัน ที่มันกลัวยากลำบากกลัวเจ็บกลัวปวดแสดงว่าเรายังไม่ขยัน
โลกส่วนตัวโลกอัตตาตัวตนพระพุทธเจ้าท่านให้ทุกคนหยุดไว้ก่อน ให้มาปรับใจเข้าหาข้อวัตรปฏิบัติ
เราทุกคนพ่อแม่เราก็ดีใจ ญาติพี่น้องเราก็ดีใจ ว่าลูกหลานมาประพฤติปฏิบัติธรรมะคงจะช่วยให้เราดีได้ เจริญได้ ทุกท่านเค้าพากันคิดอย่างนี้นะ
เราบวชมาทุกคนเค้ากราบเราหมด ถ้าเราไม่ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้สมกับการที่รับกราบรับไหว้รับอัญชลี
เราบวชมาเราตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เวลาสิกขาลาเพศไปเราไปทำธุรกิจการงานก็เจริญ แล้วในชีวิตประจำวันก็เจริญไปด้วย ทุกอย่างนั้นมันก็จะดีหมด เพราะธรรมะช่วยเราได้ บุญกุศลที่จะได้ส่งถึงพ่อแม่ บูชาพระคุณบุคคลที่ประเสริฐ
ความขี้เกียจขี้คร้านมันมีมากทุกคนนะ จะเคลื่อนไหวอะไรมันก็ไม่อยากเคลื่อนไหว ยิ่งตอนเช้าตี ๓ มันไม่อยากตื่นแต่มันต้องตื่น ต้องฝืน ต้องทน การชนะสิ่งต่าง ๆ ท่านว่ายังไม่สู้ชนะจิตใจตัวเอง
เราไม่ต้องไปมองว่าคนโน้นปฏิบัติไม่ดีคนนี้ปฏิบัติดี คนนี้กิเลสมาก คนนั้นปฏิปทาน่าเกลียด เราไม่ต้องไปมอง ถ้าเราเป็นคนฉลาดเป็นคนตั้งอกตั้งใจ ส่วนมากก็จะมองเห็นโทษของคนอื่น เมื่อเห็นโทษคนอื่นแล้วเราจะหมดกำลังใจหมดศรัทธา เพราะว่าส่วนใหญ่คนที่มาประพฤติปฏิบัติไม่ได้มีใครสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ส่วนใหญ่ก็เป็นสามัญชนเหมือนกับเรา ถ้าเราไปเอาตัวอย่างเขาเอาแบบเขาคงไม่ได้ ต้องเอาตัวอย่างพระพุทธเจ้าพระอรหันต์อย่างนี้เป็นต้น ไม่อย่างนั้นเราก็คิดอยู่อย่างนั้นว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้นคนนี้เป็นอย่างนี้ จิตใจของเราก็กลายเป็นอันธพาลไป
ต้องเมตตาสงสารคนอื่นให้มาก...
คนอื่นจะกิเลสมากกิเลสน้อยก็ช่างหัวมัน เราก็กลับมาแก้ที่จิตที่ใจของเรา ไม่ต้องไปแก้คนอื่น อยู่ในโลกสังคมเมืองมนุษย์นี้คนเห็นแก่ตัวมันมีมาก เปรียบเสมือนวัวตัวหนึ่งขนมันมีเยอะเขามีแค่ ๒ เขาอย่างนี้เป็นต้น เราพยายามเอาพระพุทธเจ้าไว้เป็นหลัก แม้นพระรูปนั้นจะบวชมาหลายปีหลายพรรษา เป็นพระมัชฌิมาพระเถระ ถ้ามันไม่ดีไม่ถูกต้องเราก็เฉย เราถือว่าเป็นเรื่องของคนอื่น
พระพุทธเจ้าท่านให้ทุกคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ พยายามทำความดี ปฏิบัติหน้าที่ให้มีความสุข กายอยู่ที่ไหนก็ให้ใจมันอยู่ที่นั่น มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ขาดสติ ๑ นาที ก็บ้า ๑ นาที
อย่าไปหลงทางวัตถุ เราหลงมาหลายภพหลายชาติแล้ว พระพุทธเจ้าท่านว่าอย่าไปโง่ให้วัตถุกามคุณมันเผาจิตเผาใจ
ต้องหยุดตัวเอง อดกลั้นอดทน ถ้าเราไม่อดกลั้นอดทน จิตใจของเรานี้ไม่มีทางที่จะสงบไม่มีทางที่จะเย็นได้ เพราะจิตใจของเรามันตกอยู่ในอำนาจของความมืดคือกามคุณทั้งหลาย มันหลงวัตถุ ของออกมาใหม่ ๆ มันก็ยิ่งหลง เรามาบวชมาปฏิบัตินี้ต้องตัดใจ ต้องข่มใจ ฝืนกิเลส ฝืนใจของตัวเอง ทำทุกวัน ปฏิบัติทุกวัน ถ้าอย่างไม่อย่างนั้นน่ะความรู้เราท่วมหัวก็เอาตัวไม่รอดเพราะไม่มีการปฏิบัติกายปฏิบัติใจ
ต้องเอาสติสัมปชัญญะมาฝึกกาย นั่ง เดิน บริโภคอาหารก็ให้รู้ รู้แล้วก็ให้มันสงบ อย่าให้มันวุ่นวาย เพราะใจของเรานี้มันหยุดไม่เป็น มันสงบไม่เป็น
การบวชพระถือว่าเป็นบุญใหญ่เป็นอานิสงส์ใหญ่
การบวชพระการปฏิบัติธรรมนี่นะ ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก ประเสริฐมาก เป็นการเดินตามรอยของพระพุทธเจ้าของพระอรหันต์
การที่จะมีผลใหญ่มีอานิสงส์ใหญ่ พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุก ๆ คนพากันตั้งอกตั้งใจ พากันประพฤติปฏิบัติธรรม ตั้งใจรักษาศีลให้ดีทุกข้อ อย่าให้ขาดตกบกพร่อง
กิจวัตรประจำวันต่าง ๆ นั้นถือว่าเป็นบุญเป็นกุศล เช่นนั่งสมาธิร่วมรวมกันในศาลาหรือว่าในกุฏิที่พักต้องทำให้ได้ทุกวัน อย่าให้ขาดตกบกพร่องไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะคนเรามันชอบเข้าข้างตัวเอง ทำวัตรสวดมนต์ก็อย่าให้ขาด บิณฑบาตก็อย่าให้ขาด พยายามตั้งอกตั้งใจภาวนา ไม่ให้คลุกคลี ไม่ให้พูดคุยกับคนอื่นในหมู่คณะ เพราะคนเรามันอยู่กับความสงบไม่เป็นอยู่กับตัวเองไม่เป็น ที่อยู่ได้ก็อยู่ได้กับการงาน การพูดคุย เครื่องบันเทิงต่าง ๆ เช่นโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ฯ
ตัวเราที่ผ่าน ๆ มาส่วนใหญ่ก็อยู่กับสิ่งเหล่านั้น... เมื่อเรามาประพฤติปฏิบัติธรรมมาบวช พระพุทธเจ้าท่านให้ตัดสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นให้หมด ทุกคนทุกท่านต้องตัดให้หมด ไม่มียกเว้นใคร ๆ ทั้งสิ้น การบวชการปฏิบัติของเราถึงจะมีผลใหญ่มีอานิสงส์ใหญ่ ถ้าไม่อย่างนั้นการมาอยู่วัดของเรา การมาบวชของเราก็จะไม่ได้ผลแต่กลับมีบาปมีอกุศลติดตามเราไปด้วย
เราทุกคนทุกท่านต้องทำใจให้สงบ อย่าได้พากันหวั่นไหวต่ออารมณ์ที่จะกระทบอารมณ์ของเราในชีวิตประจำวัน อดเอาทนเอา ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ล้วนแต่เป็นอารมณ์เท่านั้นน่ะ มันผ่านไปผ่านมาเหมือนกับลมมันผ่านเราในขณะนี้ กาลเวลา ฤดูฝน ฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ หน้าแล้ง ทุกอย่างมันผ่านไปอย่างนี้แหละ เราทั้งหลายถึงได้พากันมาบรรพชาอุปสมบท มาประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อทำใจของเราให้มันสงบทำใจของเราให้มันเย็น
พระพุทธเจ้าท่านปฏิบัติเป็นตัวอย่างทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง สมบัติพัสถาน สิ่งอำนวยความสะดวกสบาย ฉันอาหารวันหนึ่งเพียงหนเดียว ไม่รับเงินไม่รับปัจจัย รองเท้าก็ไม่ทรงพระบาท ท่านก็มีความสุขที่สุดในโลก
เราทุกท่านทุกคนถือว่าไม่มีความสุขไม่มีความสงบน่ะ จะนั่งสมาธิซักห้านาทีให้สงบ มันก็ไม่สงบน่ะ พระพุทธเจ้าท่านเข้านิโรธสมาบัติน่ะคือเข้าสมาธิเสวยวิมุตติสุขอยู่กับ ความสงบเป็น ๗ วัน หรือว่าตลอดไป
การมาบวชการมาปฏิบัตินี้ทุก ๆ ท่านทุกคนต้องได้ฝึกตนเอง ถือโอกาสนี้ถือเวลานี้ เป็นเวลาปฏิบัติ พระพุทธเจ้าครูบาอาจารย์ท่านไม่ให้เราเห็นแก่ความเหน็ดความเหนื่อย ความยากลำบาก เห็นแก่ปากแก่ท้อง เห็นแก่ความง่วงเหงาหาวนอน ติดสุขติดสบาย ติดฟรีสไตล์เหมือนแต่ก่อน ถ้าเราไปติดอย่างนั้นน่ะเราไม่ได้ฝืนไม่ได้ทน เราก็ถือว่าตัวเอง เป็นคนบาปเป็นคนไม่ดีนะ การที่เมตตาตนเองสงสารตนเองนั้นน่ะทุกท่านทุกคนต้องนำตัวเองประพฤติปฏิบัติเข้าหาธรรมะ ฝึกใจฝึกสมาธิ
ให้ถือว่าวันนี้เป็นวันที่เริ่มต้นค่อย ๆ ทำไปค่อย ๆ ปฏิบัติไป เดี๋ยวมันก็ค่อยดีเอง
ทุกท่านทุกคนน่ะให้พากันมาลดมานะละทิฏฐิ อย่าไปถือเนื้อถือตัวว่าตัวเองร่ำรวย ตัวเองเก่ง ตัวเองมีปริญญาสูง ให้มาลดมานะละทิฏฐิ เป็นผู้ไม่มีตัวไม่มีตน อ่อนน้อมต่อพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อ่อนน้อมถ่อมตนต่อพ่อแม่ครูบาอาจารย์ผู้ที่บวชก่อน เคารพนับถือเพื่อน ๆ สหธรรมมิกทุกคน พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุกคนพากันปฏิบัติอย่างนี้นะ
การทำสมาธินี้มันเป็นงานเบา เป็นงานนั่งอยู่เฉย ๆ แต่ว่ามันเป็นงานยากกว่างานทุกอย่าง ทำไปเรื่อย ๆ แหละ ลมเข้าออกหยาบกลางละเอียดเราก็ให้รู้ มันจะสงบหรือไม่สงบเราก็ทำไปเรื่อย ๆ เพราะนี้คือการฝึกคือการปฏิบัติเบื้องต้น
ปกติคนเราน่ะมีความอยาก มีความต้องการทำนิด ๆ หน่อย ๆ ก็อยากให้มันสงบ
การนั่งสมาธิก็คือเรามาละความอยากน่ะ เรามาละความเห็นแก่ตัว เราทำไปปฏิบัติไปเพื่อนเราเค้าก็พากันประพฤติปฏิบัติ หรือเค้าไม่ปฏิบัติก็ช่างหัวเค้า
การปฏิบัติใจให้ใจของเรามันเป็นสมาธินี้มันไม่เหมือนการเรียนหนังสือนะ อันนี้เป็นการฝึกจิตฝึกใจของเรา เพื่อให้ใจของเรามันสงบ
เราต้องฝึกอย่างนี้ไปหลาย ๆ วันน่ะจนกว่าจิตใจของเรามันจะสงบเข้าสมาธิได้เป็นสมาธิ
ทุก ๆ ท่านทุกคนน่ะพยายามดูตัวเองมองดูตัวเอง ดูความบกพร่องของตัวเองทางกายทางวาจาทางจิตใจของตัวเอง เพื่อจะได้พากันฝึกสมาธิกันอย่างเต็มที่
ทุก ๆ คนน่ะพยายามอย่าให้ใจมันส่งออกไปข้างนอกเหมือนเมื่อเรายังไม่ได้บวช ไม่ได้มาอยู่วัดเราคิดไป “สารพัดคิด” น่ะ ทีนี้เรามาสมาทานไม่คิดเรื่องบ้านเรื่องโลกเรื่องสังคม จะมาทำใจระงับจะมาทำใจสงบ ดังพระบาลีตรัสว่า “นัตถิ สันติ ปรัง สุขัง สุขอันไหนก็สู้ความสงบไปไม่มี”
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าปัญหารีบด่วนคือเรื่องทุกข์เรื่องเหตุเกิดของความทุกข์ สมมติว่าไฟมันกำลังไหม้เรา เราไม่จำเป็นต้องไปถามคนอื่นเค้า ถ้าเค้าตอบปัญหาของเราได้เราถึงจะเอาไฟออกจากตัวเรา ปัญหาของเรามันมีชัดเจนอยู่แล้วคือเรื่องของความทุกข์
ทุกท่านทุกคนนี้มีความทุกข์ ใครไม่มีความทุกข์นั้นเป็นไปไม่ได้เลย เป็นคนจนก็ทุกข์อย่างคนจน เป็นคนรวยก็ทุกข์อย่างคนรวย เป็นเทวดาก็ทุกข์อย่างเทวดา เป็นพระอินทร์ พระพรหมก็ทุกข์อย่างพระอินทร์พระพรหม
อะไรคือความทุกข์...? ความโลภความโกรธความหลงนี้แหละคือความทุกข์ มันเป็น กองเพลิงใหญ่ มันเผาใจเผากายของทุก ๆ คนอยู่ตลอดเวลา แต่เราทุกคนนั้นมองไม่เห็น หรือมองเห็นแต่ไม่รู้จะเอาออกได้อย่างไร
คนเราทุกคนนั้นพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า มันไม่มีทุกข์อะไรหรอก มันไม่มีเรื่องอะไรหรอก แต่เราทุกคนไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักเหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้จักข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ มันหาเรื่องหาราวให้กับตัวเอง เพราะความเห็นผิดคิดผิดทำผิด คิดว่าได้ทำตามใจทำตามอารมณ์นั้นมันจะมีความสุขมีความดับทุกข์น่ะ แต่ที่ไหนได้ มันสร้างปัญหาให้กับตัวเองทั้งนั้นเลย เปรียบเสมือนเปลวไฟเพียงนิดเดียวนี้เราเอาฝืนเอาถ่านเอาน้ำมันไฟเติมเข้า ยิ่งเติมก็ยิ่งเป็นเพลิงกองใหญ่
ความสงบแปลว่าความดับทุกข์...
เราทานอาหารทำอะไรทุกอย่างต้องทำให้ใจสงบ เมื่อใจสงบแล้วมันถึงจะดับทุกข์ได้
ถ้าเรารวย เรามียศถาบรรดาศักดิ์ มีชื่อเสียงเกียรติยศ มีลูกน้องพ้องบริวาร ถ้าใจของเราไม่สงบมันจะดับทุกข์ได้มั๊ย...?
มันดับทุกข์ไม่ได้... เพราะมันมีเรื่องมีปัญหามาก เพราะเราไม่รู้จักทำใจให้สงบ ชีวิตที่ยังไม่ตายก็ถูกความโลภความโกรธความหลงครอบงำ ถูกมันเผาทั้งเป็น ใจไม่เย็น ใจไม่มีแอร์คอนดิชั่น เพราะสมาธิมันไม่มี
พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เรารักศีล ๕ ถ้าเรารักศีล ๕ ก็ชื่อว่าเรารักพระพุทธเจ้า เคารพพระพุทธเจ้า ถ้าใครไม่เห็นความสำคัญในการรักษาศีล ๕ ก็ขึ้นชื่อว่าไม่เห็นความสำคัญในพระพุทธเจ้า ถ้าใครไม่เห็นความสำคัญในสิ่งที่ดีที่ถูกต้องมันก็เป็นบาปเป็นกรรม ไม่ว่าพระเจ้าพระสงฆ์หรือคฤหัสถ์ญาติโยมต้องมีปัญหาแน่นอน “ศีล ๕ นี้สำคัญนะ เป็นอริยทรัพย์ เป็นทรัพย์ที่ประเสริฐ...”
ในครอบครัวเรานะ... ถ้าเราเป็นผู้เสียสละครอบครัวเราก็มีความสุข อยู่ในหมู่บ้านในสังคม ถ้าเราเป็นผู้ที่เสียสละ หมู่บ้านสังคมก็มีความสุข เราอยู่ในวัดอยู่ในพระศาสนา ทางวัดทางพระศาสนาก็มีความสุข มีความเจริญรุ่งเรือง
สังคมมนุษย์และหมู่สัตว์ทั้งหลาย... พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราเป็นผู้เสียสละ แบ่งปันความสุข แชร์ความสุขให้แก่บุคคลอื่นเค้าบ้าง มีความสุขกับการทำธุรกิจหน้าที่การงาน การงานของเราต้องมีความสุขเพราะเราได้เสียสละ เราได้ช่วยเหลือครอบครัว เราได้ช่วยเหลือลูกน้องพ้องบริวาร
เรื่องการประพฤติปฏิบัติธรรมถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ของทุก ๆ คนไม่มีบุคคลผู้ใดผู้หนึ่งยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ ให้ทุกท่านทุกคนถือว่าเป็นเรื่องสำคัญนะในชีวิตประจำวันของพวกเรา
การเจริญสติ การฝึกสมาธิ การเจริญปัญญาของเราน่ะมันดีพอมันต่อเนื่องที่จะทำให้ธรรมะของเราเจริญรุ่งเรืองงอกงามยิ่ง ๆ ขึ้นไปหรือไม่ ใจของเราสงบหรือว่าใจของเราน่ะส่งออกไปตั้งแต่ข้างนอกจนกลายเป็นพระฟุ้งซ่าน เณรฟุ้งซ่าน แม่ชีฟุ้งซ่าน อุบาสกอุบาสิกาฟุ้งซ่าน เป็นคนหัวใจแตกสลาย เป็นคนจิตใจแตกสลายไม่อยู่ในความสงบ
วิธีแก้น่ะ... พระพุทธเจ้าท่านก็สอนเราให้กลับมาหาตัวเอง ให้กลับมาหาข้อวัตรปฏิบัติ ไม่ให้คลุกคลีกับคนอื่นหรือหมู่คณะ ให้พยายามอยู่กับตัวเอง ฝึกสมาธิให้มาก สมาธิก็คือความสงบน่ะ สาเหตุที่ใจของเราจะสงบมันก็ต้องมีการนั่งสมาธิ เดินจงกรม ไม่คลุกคลีด้วยหมู่ด้วยคณะ
อย่าไปมองคนอื่นอย่าไปดูคนอื่นนะ ให้ดูกายวาจาใจตัวเอง...
คนเรียนหนังสือน่ะตั้งแต่อนุบาล ป.๑ เค้าไม่รู้เรื่องอะไรหรอก เมื่อเรียนไม่หยุด ศึกษาไม่หยุด ชีวิตของบุคคลนั้นก็ย่อมรู้จักรู้แจ้งจนได้จบด๊อกเตอร์นะ การประพฤติการปฏิบัติของเราผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน ก็ต้องทำความเข้าใจแล้วก็นำไปประพฤติปฏิบัติ เมื่อเราปฏิบัติไม่หยุด ภาวนาไม่หยุด ค้นคว้าทั้งเหตุทั้งผลและประพฤติปฏิบัติ เดินตามรอยของพระพุทธเจ้าที่แท้จริงน่ะ ทุกท่านทุกคนก็ย่อมเข้าถึงพระนิพพานด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นไม่มีใครยกเว้น
เราพยายามมีสติ มีสมาธิ ไม่เข้าไปคิดเข้าไปปรุงแต่ง เพราะความคิดความปรุงแต่งนี้เป็นทุกข์ที่สุดในโลก “มันจะเป็นสุขเราอย่าเข้าไปปรุงแต่ง มันจะเป็นทุกข์เราก็อย่าเข้าไปปรุงแต่ง หรือมันเฉย ๆ เราก็อย่าเข้าไปปรุงแต่งภายในจิตใจ” เราพยายามสงบไว้ นิ่งไว้ ปล่อยวางไว้ อย่าให้จิตใจมันเคลื่อนไหว พยายามฝึกปล่อยฝึกวาง อย่าไปสนใจ สร้างสติ สร้างสมาธิให้แข็งแรง แข็งแกร่ง
คนเราน่ะปัญญามากก็ฉลาดมาก ถ้าสมาธิไม่พอความแข็งแรงไม่พอภายในจิตใจมันก็ไม่สามารถละกิเลสได้ เพราะว่ามันขาดสมาธิ
เราจำเป็นต้องบำเพ็ญสมาธิ ฝึกจิตใจไม่ให้หลงในความสุข ในความทุกข์ ให้ยินดี ให้มีความสุขความดับทุกข์กับการปล่อยวางเวทนา
“ตัวมันติดตัวมันยึดที่แท้จริงคือตัวเวทนา...”
เวทนามันเกิดขึ้นแก่ใจของเรา เราอย่าไปสนใจ เราอย่าให้ความสำคัญ ขอให้เพียงเรารู้ว่ามันเป็นเวทนา มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปมันเป็นของมันอยู่อย่างนี้ นี้มันเป็นธรรมชาติของขันธทั้ง ๕...
เราอย่าไปตั้งความหวังว่าเราต้องมีความสุข เราต้องไม่แก่ เราต้องไม่เจ็บ เราต้องไม่ตาย เราต้องร่ำรวย มียศถาบรรดาศักดิ์ ถ้าเราไปตั้งไว้อย่างนั้นจิตใจของเรามีปัญหาแน่ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่ได้เป็นไปตามใจเราหมดทุกอย่าง “ที่แน่นอนก็คือความไม่แน่นอน”คือแน่นอนว่าเราต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย และก็พลัดพรากเป็นสิ่งที่แน่นอนที่สุด
พระพุทธเจ้าท่านเมตตาทุก ๆ คนให้พากันปฏิบัติธรรม...
ปฏิบัติธรรมทำอย่างไร..? ปฏิบัติธรรมก็คือทำตามธรรม ไม่ให้ทำตามความอยากตามความต้องการของเรา เพราะว่าความอยากความต้องการของเรานี้มันทำให้เรามีปัญหา ทำให้ชีวิตจิตใจของเราตกต่ำ
ปฏิปทาของเราแต่ละคนนี้เป็นสิ่งที่จำแนกชีวิตจิตใจ ฐานะ และคุณธรรมน่ะ
ความจริงก็คือความจริง ไม่เคยเอนเอียงไปกับใคร ทุกคนทำดีก็ได้ดี ทุกคนทำชั่วก็ได้ชั่ว สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม ทุกคนจะหลีกหนีไปไม่พ้น
พระพุทธเจ้าท่านให้เราเน้นมาหาที่ตัวเรานี้แหละ ถึงจะยากจะลำบาก ถึงเหน็ดเหนื่อยเท่าไหร่ก็ต้องพากันประพฤติปฏิบัติธรรม “อินทรีย์สังวร” สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้ตั้งอยู่ในธรรมด้วยความไม่ประมาท “คนฉลาดก็ตายเพราะความฉลาดของตัวเอง ใครมีความรู้ความสามารถอะไรก็ตายเพราะความรู้ความสามารถของตัวเอง ถ้าไม่เอาธรรมเป็นใหญ่เป็นหลักเป็นข้อวัตรปฏิบัติ”
เราทุก ๆ คนนี่ทำอะไรในชีวิตประจำวันนี้บาปกรรมมันมีกับเราตลอด ไม่ว่าเราพูด ไม่ว่าเราคิด ไม่ว่าเรากระทำ ถึงแม้คนอื่นจะไม่รู้ คนอื่นจะไม่เห็น คนอื่นจะไม่ได้ยิน แต่บาปกรรมที่เรากระทำนั้นหาได้อภัยให้เราไม่ บาปกรรมนั้นต้องถึงเราแน่นอน ไม่ชาติเดี๋ยวนี้ก็ชาติหน้าแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์
เราทำอะไรเรารู้ของเราหมด ไม่ว่าที่ลับที่แจ้ง ต่อหน้าหรือว่าลับหลังใคร เมื่อเราปกปิดตัวเองไม่ได้นั่นน่ะ พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เรามาแก้ที่จิตที่ใจ อันไหนไม่ดีไม่ถูกต้องน่ะพระพุทธเจ้าท่านห้ามเราคิดเป็นเด็ดขาด ถ้าคิดมันต้องมีปัญหาแน่ ที่เราปฏิบัติไม่ได้ถึงมรรคถึงผลก็เพราะความคิดของเรานี้แหละที่มันมาขวางกั้นให้เราไม่เข้าถึงพระนิพพาน
มันจะไปพระนิพพานได้อย่างไร เพราะตัวที่ไปพระนิพพานคือตัวจิตตัวใจ เมื่อใจของเรามันยังไม่สะอาด มันยังสกปรก มันยังมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง มันยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส ลาภยศ สรรเสริญ มันไม่ตัดมันไม่ทิ้ง มันยังเห็นโลกดีกว่าธรรมมันจะไปพระนิพพานได้อย่างไร พระพุทธเจ้าท่านให้เราเน้นไปที่ใจของแต่ละคนนะ...
เราวิ่งไปหาความสงบมันไม่ถูกนะ เพราะว่าความสงบมันไม่ได้อยู่ที่อื่น ความสงบมันอยู่ที่ใจของเรามันสงบน่ะ ที่เราจะไม่อยากเห็นรูป ไม่อยากฟังเสียง ไม่อยากให้มันมีโลกธรรมน่ะอย่างนั้นมันก็ไม่ถูกต้อง อันนั้นมันว่างจากสิ่งที่ไม่มี พระพุทธเจ้าท่านสอนเราให้ว่างจากสิ่งที่มี
คนเราน่ะมันตามใจตัวเองจนมันเป็นโรคกระเพาะ มันตามใจตัวเองจนเป็นโรคประสาท ตามใจตัวเองจนเป็นโรคจิต จนเป็นโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ อันนั้นก็ดีอันนี้ก็ดี แต่ที่แท้น่ะมันเป็นคนหลงโลกหลงอารมณ์หลงกิเลสน่ะ
เหมือนเราที่เป็นหนุ่มเป็นสาวอย่างนี้นะมันก็ดีมันก็มีความสุข มันไม่มีเรื่องไม่มีปัญหา ที่นี้เราหลงโลกหลงอารมณ์อยากไปมีผัวมีเมียอย่างนี้แหละปัญหาต่าง ๆ มันเลยรุมมาทุกทิศทุกทางทั้งล่างทั้งบน มันครอบงำหมด นี้แหละมันถึงเรียกว่า “ครอบครัว” มันครอบไว้ มันขังไว้ มันขังเราไว้ในวัฏฏะสงสาร มีลูกก็สงสารลูก มีหลานก็สงสาร มีภรรยาก็ต้องห่วงภรรยา ทั้งรักทั้งชังทั้งหวานและขมขื่นอยู่อย่างนี้แหละ เพราะอะไร...? ก็เพราะเราทำตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง มันเป็นการสร้างบาปสร้างอกุศลให้กับตัวเองนะ
พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เราหยุดให้เราเย็น นั่งให้มันสงบ เดินจงกรมให้มันสงบ ทำอะไรก็ให้มันสงบ มันจะคิดอะไร คิดเอาปราสาทเอาวิมานมันก็ไม่ได้ มันจะได้โรคประสาทโรคจิต นั่นแหละผลลัพธ์ของมัน…ในชีวิตประจำวันของเรานี้ต้องทำให้ใจของเรามันสงบใจของเรามันเย็น เพราะสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ มันอยู่ในอริยมรรคในการประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเรานี้แหละ เราไม่ต้องไปหาพระนิพพานไกลหรอก พระนิพพานมันอยู่ที่กายวาจาใจของเรานี้แหละ
ปรับให้ได้... เราไม่ต้องแก้ไขคนอื่น ไม่ต้องปรับปรุงคนอื่น ต้องแก้ไขที่เราที่ตัวเรา
เราทุกคนน่ะรักสุขเกลียดทุกข์ มีความเห็นแก่ตัว มีความยึดมั่นถือมั่นว่านี่ตัวเรา ว่านี่ของเรา ว่านี่พ่อเราแม่เรา ว่านี่ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงของเรา พากันมาประพฤติปฏิบัติมันก็เพื่อเราอีกนั่นแหละ เพื่อเราจะได้สวรรค์เราจะได้พระนิพพาน อะไรก็มีแต่เรา มีแต่ตัวตนทั้งนั้น มันมีแต่ผลประโยชน์ เพราะว่ามันมีความมุ่งหวังคือตัวเราคือของ ๆ เรา จิตใจของเรามันเลยไม่เป็นธรรม ไม่มีความยุติธรรม คนอื่นสัตว์อื่นน่ะที่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ญาติพี่น้องของเรา ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรา เค้าจะมีความยากลำบากอย่างไรส่วนใหญ่เราก็ไม่สน เราไม่เคยเห็นอกเห็นใจ..
เราคิดดูดี ๆ นะเรามีความเห็นแก่ตัวมากน่ะ...!
เราเกี่ยวข้องกับหมู่มวลมนุษย์คนไหนที่จะได้ประโยชน์สำหรับเราน่ะ เราก็ดูแลดี เทคแคร์ดี แต่ถ้าคนไหนจะมาเอาผลประโยชน์กับเรา เป็นคนที่ไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรกับเรา นอกจากเราจะต้องเป็นผู้ที่ให้เค้าน่ะ หรือว่าเค้าเป็นคนยากคนจน ทุกคนก็ไม่อยากเกี่ยวข้อง ทุกคนก็ไม่อยากสนใจนะ นี้แหละมันถึงเป็นเหตุให้แตกแยกในหมู่คณะ แตกแยกในหมู่สงฆ์ แตกแยกในหมู่ประชาชน ประเทศชาติ พระศาสนา ก็เพราะความเห็นแก่ตัวของเราทุก ๆ คนนี้แหละ ไม่ได้คิดเลยว่าประชาชนคนทั้งหลายทั้งปวงน่ะ เค้าก็เป็นญาติพี่น้องเกิดแก่เจ็บตายกับเราด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
พระพุทธเจ้าท่านถึงสอนให้ทุกคนน่ะเป็นผู้กตัญญูกตเวที เห็นคุณเห็นประโยชน์ในการดูแลเอาใจใส่คนอื่น คนเรานะถ้าแม้แต่พ่อแม่ของตัวเองก็ยังไม่ดูแลไม่สนใจน่ะเค้าเรียกว่า “คนไม่ดี เป็นคนยี่ห้อไม่ดี...”
การดูแลการให้ความเมตตา พระพุทธเจ้าท่านสอนทุก ๆ คน สอนพระทุกรูป สอนโยมทุกคนต้องมีเมตตาเค้าให้หมด ไม่ว่าเค้าจะเป็นคนดีคนชั่ว “ถ้าเราเอาแต่คนรวย คนจนจะเอาไปทิ้งที่ไหน ถ้าเราจะเอาแต่คนดี คนชั่วเราจะไปทิ้งที่ไหน” ที่ใจเราเป็นอย่างนี้เพราะใจของเราไม่มีธรรม ไม่มีคุณธรรม ถูกต้องมั๊ย เราลองมาดูหัวใจของเรา...!ส่วนใหญ่เราทุกคนน่ะไม่ค่อยรู้จักไม่เห็นคุณประโยชน์ในการฝึกจิตใจ พากันไปสบายตั้งแต่โทรศัพท์ เล่นอินเตอร์เนท เฟซบุ๊ค ดูหนัง ดูละครในโทรทัศน์เค้า มีเพื่อนมีกัลยาณมิตรก็คือโทรทัศน์น่ะสำหรับคนแก่ สำหรับคนหนุ่มก็โทรศัพท์ อินเตอร์เนท เฟซบุ๊คอะไรอย่างนั้น ไม่ได้มีโอกาสได้ฝึกใจให้สงบ มันจำเป็นมากนะการฝึกทำให้ใจสงบ สิ่งต่าง ๆ ที่มันเป็นมือถือ เป็นคอมพิวเตอร์ เป็นโทรทัศน์นี้แหละมันช่วยเราไม่ได้นะเวลาเราแก่เราเจ็บเราตาย การบรรยายทุกด้วยสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้น่ะถือว่ามันยังไม่ค่อยปลอดภัย
คนฉลาดคนเก่งส่วนใหญ่มันรักษาศีลไม่ได้ มันทำสมาธิไม่ได้ เพราะมันไปเอาความสุขทางเนื้อหนัง เอาความสุขทางวัตถุ มันยังไม่เห็นภัยในวัฏฏะสงสาร กว่าจะรู้ตัวเองมันสายไปแล้วนะ
ถ้าเราปฏิบัติธรรมน่ะใจของเราก็จะสบาย ธุรกิจหน้าที่การงานของเรามันก็จะดี เพราะในโลกนี้น่ะทุกคนต้องการคนดี ต้องการแต่สิ่งที่ดี ๆ น่ะ
ที่เราคิดว่าถ้าทำความดีมันขัดกับการทำมาหากินขัดกับการดำรงชีพลิดรอนสิทธิของเรามันเป็นการเข้าใจผิด เป็นชีวิตที่เห็นแก่ตัว เป็นชีวิตที่เป็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ มันทำลายตัวเอง ทำลายญาติพี่น้องวงศ์ตระกูล
ปัญหาต่าง ๆ น่ะให้ทุกท่านทุกคนรู้ไว้เลยนะว่ามันอยู่ที่ใจของเราไม่สงบ วิ่งตามความโลภความโกรธวิ่งตามความต้องการ คำว่า “วิ่ง วิ่ง” นี้ วิ่งเท่าไหร่มันก็ไม่สงบ พระพุทธเจ้าท่านถึงตรัสว่า “นัตถิ สันติ ปรัง สุขัง สุขอันไหนก็สู้ความสงบไม่ได้...”
เราทุก ๆ คนนี้ไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง ส่วนใหญ่น่ะถูกกิเลสคือความหลงในจิตในใจครอบงำกลายเป็นความอยากความต้องการ จิตใจมันเร่าร้อน ร่างกายยังไม่ตายแต่จิตใจของเรามันถูกเผาทั้งเป็น มันยังไม่ตายก็เผาแล้ว เผาทั้งกลางวันเผาทั้งกลางคืนน่ะ มันเปรียบเสมือนแมลงเม่าพากันบินเข้ากองไฟ
สติของทุก ๆ คนมันน้อย สมาธิมันก็น้อย ปัญญาก็ไม่ค่อยจะมี มีก็มีแต่สติทางโลก สมาธิทางโลก ปัญญาทางโลก
ปัญญาทางโลกก็หมายถึงปัญญาในการดำรงชีพดำรงชีวิตในการทำมาหากินหรือว่าธุรกิจหน้าที่การงาน แต่ปัญญาทางธรรมมันไม่ค่อยจะมีน่ะ เจอรูปสวย ๆ ก็หัวใจมันสั่นหมด เจอเสียงเพราะ ๆ ก็หัวใจมันสั่นหมด เจอเค้านินทาสรรเสริญก็หัวใจมันสั่น สติสัมปชัญญะมันไม่ค่อยจะมี ไม่ได้ตัวของตัวเองเลย เหมือนกับเราถูกผีมันมาสิงจิตสิงใจของเราตลอดเลยนะ
ทุกคนน่ะยังไม่ได้พากันเข้าถึงความสุขความสงบนะ ที่ว่าความสุขของเราเดี๋ยวนี้น่ะ มันไม่ใช่นะ มันเป็นความวุ่นวาย สร้างความวุ่นวายให้กับตัวเอง สร้างปัญหาให้กับตัวเอง นึกว่าได้ทานอาหารที่อร่อย ๆ มันสบาย ได้สิ่งที่ไม่ขัดอกขัดใจสบาย ร่างกายสบาย อะไรก็สบายอย่างนั้นน่ะเค้าเรียกว่ามันสบายแบบวัตถุ มันเป็นการหลงวัตถุ แต่ความเสียหายคือใจของเราน่ะมันไม่สงบเลยนะ เพราะว่าวัตถุข้าวของเงินทองสิ่งต่าง ๆ นั้นมันไม่ใช่จีรังยั่งยืน ร่างกายของเราก็ไม่จีรังยั่งยืน ทุกอย่างมันไม่จีรังยั่งยืน มันล้วนแต่มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดามีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เราถึงมาพัฒนาสิ่งที่ประเสริฐที่เราเกิดเป็นมนุษย์คือมาทำจิตทำใจให้สงบ ไม่วิ่งตามอารมณ์ไม่หลงอารมณ์เราพยายามมากันตั้งมั่นในศีลห้าไว้ดี ๆ นะ... มีความสุขในการรักษาศีล ๕ มีความสุขในการไหว้พระสวดมนต์นั่งสมาธิ เราใช้สังขารเค้ามาเยอะแล้วใช้ร่างกายเค้ามาเยอะแล้ว บางทีเราก็นั่งพับเพียบไม่ได้ นั่งคุกเข่าไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านก็ให้เรานั่งเก้าอี้หรือนั่งโซฟาได้ ในการไหว้พระสวดมนต์นั่งสมาธิ เพราะเรามันสังขารไม่อำนวยแล้ว ให้ไปเน้นทางจิตทางใจ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันอยู่ที่ใจ ให้ใจมันสงบให้ใจมันเย็น
ทุกวันนี้มันไม่เหมือนแต่ก่อน ป่าไม้ก็ถูกทำลาย ภูเขาก็ถูกทำลาย แม่น้ำก็ถูกทำลาย เพราะว่าประชาชนคนที่เค้าเกิดมาเค้าแย่งทรัพยากรกัน พากันเป็นหนี้เป็นสินกันเยอะแยะมากมาย เราแก่แล้วเราสูงอายุแล้วเราก็ไม่ต้องไปคิดมัน มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างหัวมัน เราไม่ต้องให้สิ่งต่าง ๆ มาปรุงจิตใจของเราให้มันร้อน ทั้งการบ้านการเมืองอะไรมันก็มีปัญหาต่าง ๆ แล้วก็พวกที่เห็นแก่ตัว มักง่าย ทำมาหากิน พากันเล่นการพนัน ขายยาเสพติดสิ่งเสพติดอะไรมันก็เต็มไปหมด เต็มไปด้วยผู้ที่เห็นแก่ตัว เราเป็นผู้สูงอายุก็ต้องฝึกปล่อยฝึกวาง “ช่างหัวมัน” อย่าให้สิ่งเหล่านี้มันมาปรุงจิตปรุงใจของเรา ขยะเก่าที่มันอยู่ในจิตในใจของเรามันก็มากแล้ว ขยะใหม่ ๆ นี้มันยิ่งแย่ยิ่งสกปรก เรามาใส่ใจของเราก็จะแย่มากขึ้น
ถ้าเราไปเอาดีเอาชั่วอะไรต่าง ๆ เค้าเรียกว่าคนเก่งคนฉลาดกลายเป็นผู้ที่แบกกองทุกข์ สิ่งที่จะทำให้เราเป็นคนใจดีมีคุณธรรมเราเลยกลายเป็นคนพาลไป อดที่จะนินทาเค้าไม่ได้ เราเป็นผู้สูงอายุนี้ต้องฝึกปล่อยฝึกวางนะ พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนั้น
ฝึกสมาทานไม่พูดนินทาเค้า ใครเค้าจะดีจะชั่วเราก็ไม่ต้องไปพูดนินทาเค้า ฝึกพูดแต่สิ่งที่ดี ๆ น่ะ เคยพูดมากเพราะกลัวลูกหลานมันจะไม่ได้ดีไม่ได้ร่ำไม่รวย ก็สมาทานพูดน้อย พูดแต่สิ่งที่จำเป็น เคยเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการก็สมาทานเป็นคนไม่เจ้ากี้เจ้าการ มันจะเป็นผู้ใหญ่ ใจดี เป็นผู้ใหญ่มีหัวใจติดแอร์คอนดิชั่น ลูกหลานเค้าเห็นเราเค้าก็มีความสุข เค้าก็อยากเข้าใกล้อยากมาพูดมาคุย ถ้าเราเอาแต่ว่าแต่บ่น พูดแต่เรื่องทุกข์ ๆ อะไรอย่างนี้แหละ ลูก ๆ หลาน ๆ มันก็ไม่เคารพรักนับถือเรานะเป็นผู้หลักเป็นผู้สูงอายุนี้ต้องฝึกชมลูก ฝึกยอลูกยอหลานให้เค้าทำความดี ไม่ต้องไปบ่นให้เค้าทำความดี คนเราถึงจะผิดถึงจะถูกมันก็ชอบฟังคำที่ดี ๆ น่ะ
ผู้สูงอายุเป็นผู้ที่ผ่านราตรีมานานย่อมมีประสบการณ์มามาก จิตใจก็สุขุมเยือกเย็น มีความอดความทนสูง มีความเพียรมาก ถือว่าท่านเหล่านี้เป็นปูนียชบุคคลของประเทศชาติบ้านเมืองและสังคม ในโอกาสบั้นปลายชีวิตก็ยังได้เป็นแบบอย่างตัวอย่างให้กุลบุตรลูกหลาน แสดงถึงความตั้งมั่นในพระรัตนตรัยคือคุณงามความดี เมื่อมีโอกาสมีเวลาก็พากันรวมกลุ่มรวมหมู่รวมคณะมาถือศีลมาปฏิบัติธรรมมาอยู่วัด ทำอย่างนี้ดีมากถูกต้องแล้ว พระพุทธเจ้าท่านสรรเสริญ “เป็นผู้ที่ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าอย่างเป็นประโยชน์สมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นผู้ที่ประเสริฐ...”
งานหลักของผู้ที่สูงอายุพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าก็คือการทำใจดีใจสบาย ฝึกปล่อยฝึกวางทางจิตใจ
ตั้งแต่เราเกิดมาจนถึงวันนี้น่ะมันก็สะสมอะไรมามาก สะสมทั้งความดีใจเสียใจ ผ่านวิกฤตการณ์ต่าง ๆ มามากมาย แต่ทุกท่านทุกคนก็ผ่านมาได้ด้วยดี พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เราปล่อยเราวางมันไปเสียซึ่งอดีต ถ้าเราไม่ปล่อยไม่วางสิ่งที่เป็นอดีตสิ่งที่ผ่านไปแล้วน่ะ ก็เปรียบเสมือนเราเดินทางไกลนี้ เรามีรถบรรทุกคันหนึ่งแล้วก็บรรทุกของไปเรื่อย เห็นอะไรก็เก็บใส่รถไปเรื่อย เต็มรถบรรทุกคันหนึ่งก็ต้องเพิ่มรถบรรทุกคันสองคันสามคันสี่คันห้า เดี๋ยวนี้ก็ได้หลายคันรถแล้วนะ