คุณครูโรงเรียนสมเด็จพระธีรญาณมุนีไม่ใช่ควบคุมนักเรียนมาอย่างเดียวนะ คุณครูโรงเรียนนี้นำพาเด็กประพฤติปฏิบัติด้วย...
เด็ก ๆ จะดีได้ต้องเริ่มที่พ่อ ก่อที่แม่ และแก้ไขที่คุณครู
ถ้าคุณครูนำพาเด็กไปในทางที่เด็กก็จะดีด้วย
ชีวิตของเราทุกท่านทุกคนเป็นชีวิตที่ประเสริฐ เป็นชีวิตที่มีต้นทุนที่ประเสริฐ ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์เพื่อสร้างบารมี สร้างมรรคผลพระนิพพานโดยเฉพาะ โดยตรง
พระพุทธเจ้าให้เราทุกคนมีสติมีสัมปชัญญะ ไม่มีอะไรที่จะประเสริฐไปกว่าพระรัตนตรัย
“เอาศีลเป็นที่ตั้ง เอาธรรมเป็นที่ตั้ง”
ถึงร่างกายของเรานี้จะเป็นอย่างไรก็จะไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน เพราะการดำเนินชีวิตของเราในชีวิตประจำวันมันเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เราได้สร้างความดีสร้างบารมีทั้งนั้น... http://www.gotoknow.org/posts/560213
(Download PDF file)
ที่เราทำความชั่วเพราะความดีเรามันน้อย
ที่เราทำความชั่วก็เพราะเราไม่มีโอกาสได้ทำความดี
เมื่อเราทำความดีวินาทีนั้นเราก็ไม่มีโอกาสทำความชั่ว
โอกาสนี้เป็นโอกาสที่ดี เป็นวินาทีที่ทุก ๆ คนได้ร่วมกันทำความดี
"เวทีแห่งความดี" น้องและพี่เทคนิคพัทยา...
"มนุษย์เป็นผู้ที่ทำแต่ความดี"
เราจะเป็นมนุษย์ที่ดีได้ต้องรู้จักสร้างความดี สร้างบารมี...
การมาถือศีลปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เฉพาะแต่การนั่งสมาธิ เดินจงกรมเท่านั้น แต่ให้เราพึงทำในทุก ๆ อิริยาบถ
มีแรง มีความสามารถ มีพลัง ให้นำปัจจัยทั้งหลายเหล่านั้นมา "ทำความดี"
การมาเข้าค่ายธรรมะลำบากนะ...
ต้องนอนดึกตื่นเช้า ต้องมาฝึกตนเองเพื่อให้อยู่ในระเบียบในวินัย แต่ความลำบากในวันนี้ก็จะกลับกลายเป็นความสบายในอนาคต "ใฝ่ร้อน จะนอนเย็น..."
เด็ก ๆ เมื่อถึงเวลาฝึกก็ควรฝึก... เราอยากให้ลูกให้หลานได้ดีในอนาคต เราต้องฝึกตั้งแต่วันนี้
การมาเข้าค่ายปฏิบัติธรรมถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาเพียงเล็กน้อยเพียแค่ 2-3 วัน แต่ช่วงเวลานี้นั้นเด็ก ๆ จะได้ "นิสัย" ซึ่งเป็นนิสัยอันประเสริฐ ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงมีเมตตามอบข้อวัตรปฏิบัติอันเลิศเพื่อให้มนุษย์ทั้งหลายที่ได้เกิดมานั้นประพฤติปฏิบัติและเดินตาม
เราคิดว่าไม่เป็นไรน่ะ... สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นน่ะพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่ามันห้ามมรรคผลพระนิพพานเราหมด “ฝุ่นนี้มันไม่ใหญ่หรอกแต่ถ้ามันเข้าตาเรา เราก็มีปัญหาเหมือนกัน”
คนเราน่ะถ้าไม่ได้บริโภครูปเสียงกลิ่นรสโผฐฐัพพะธรรมารมณ์ ก็คือว่าชีวิตนี้ไม่มี “รส” รู้มั๊ยว่าถ้ามีรสมันก็มี “ชาติ” มันต้องมีการเวียนวายตายเกิด เราก็อยากพากันมี “รสชาติ” รสชาติมันจะพาให้เรามีความเกิดทางจิตทางใจนะ
สติสัมปชัญญะของเราก็ให้มันแข็งแรง... สติคือความระลึกได้ สัมปชัญญะก็คือตัวปัญญา สติกับปัญญามันจะเกี่ยวข้องกันตลอดน่ะ แล้วก็ตั้งมั่นอยู่กับสมาธิ
สติสัมปชัญญะถึงเป็นตัวศีล ถึงเป็นตัวสมาธิ ถึงเป็นตัวปัญญาน่ะ... เค้าจะได้ขับเคลื่อนชีวิตจิตใจของเราสู่คุณธรรม
บางคนไม่รู้การปฏิบัติน่ะ... ปล่อยโอกาสปล่อยเวลาไปโดยไม่เจริญสติสัมปชัญญะ จิตใจของเราจึงไม่มีพุทโธ “ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน...”
ถ้าใจของเราสงบ สติสัมปชัญญะสมบูรณ์น่ะ มันมีค่ามีราคากว่าทรัพย์ภายนอก เพราะนี้มันคืออริยทรัพย์ “ทรัพย์ภายใน” ทรัพย์ที่จะนำเราสู่มรรคผลพระนิพพานน่ะ มันข้ามพ้นสวรรค์ไป เพราะสวรรค์มันมีการเวียนว่ายตายเกิดน่ะ
ให้ทุกท่านทุกคนมีกำลังใจ มีความพอใจ อย่าไปคิดว่าถ้าละความโลภความโกรธความหลงแล้วชีวิตนี้มันจะหมดรสหมดชาด อย่าไปคิดอย่างนั้น...!
คิดอย่างนั้นคือคนไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุแห่งทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับแห่งทุกข์ พากันสร้างปัญหา สร้างภพสร้างชาติให้ตนเองอย่างนั้นไม่ถูกต้อง “ชีวิตนี้ก็เสียชาติเกิดที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์” ทุกคนต้องทำได้ปฏิบัติได้...
พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุก ๆ คนให้มีสติสัมปชัญญะ ให้ใจอยู่กับเนื้อกับตัว ส่วนใหญ่น่ะเราไม่ค่อยมีสติสัมปชัญญะ ใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว ไม่เป็นตัวของตัวเอง ถูกกิเลสมันครอบงำถูกกิเลสมันกดดันให้กระทำการต่าง ๆ โดยไม่เหมาะไม่ควรน่ะ “ไม่มีเรื่องก็พากันไปทำเรื่อง ไม่มีปัญหาก็พากันไปทำปัญหา”
แรงเหวี่ยงของกิเลสหรือความอยากของเรานี้... มันกดดันให้สัตว์โลกทั้งหลายพากัน ทำบาปทำกรรมโดยไม่รู้สึกตัวเอง เลยคิดว่าการกระทำอย่างนี้เป็นเรื่องถูกต้อง เป็นเรื่องธรรมดา เพราะประชาชนคนส่วนใหญ่ยอมรับ ยอมรับในการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ยอมรับในอาชีพที่เอาความสุขจากความทุกข์ของคนอื่น ยอมรับในการบริโภควัตถุ ข้าวของเงินทอง สิ่งอำนวยความสะดวกสบาย เพราะว่าทุกคนน่ะมันทำเหมือนกันคล้าย ๆ กัน พระพุทธเจ้าท่านเมตตาบอกเราว่า “เราทำไม่ถูกต้องนะ...!”
ให้พากันมามีสติสัมปชัญญะให้ดี ๆ ให้สมบูรณ์ เพราะความสุขความสงบความดับทุกข์มันอยู่ที่ใจของเราไม่ถูกกิเลสคือความอยากมาครอบงำแล้วให้ทำตาม “คนเราน่ะถ้ากายมันอยู่นี่แต่ใจมันไปคิดเรื่องอื่นนั้นน่ะ มันไม่มีความสุขมันไม่มีความสงบนะ...”
ทุกท่านทุกคนน่ะ พระพุทธเจ้าท่านให้เราพัฒนาจิตใจของตัวเอง พยายามแก้ปัญหาที่จิตที่ใจของตัวเองให้ได้
เราทุก ๆ คนมาเอาหน้าที่เอาการงาน เอาข้อวัตรปฏิบัตินี้เพื่อมาประพฤติปฏิบัติธรรม มาเจริญสติสัมปชัญญะ ให้สติสัมปชัญญะเราสมบูรณ์ “ใจส่งออกน่ะคือใจที่เป็นทุกข์นะ...” เมื่อเราส่งออกมาก ๆ น่ะ ออกซิเจนในสมองเรามันก็ไม่สมบูรณ์ เราก็ไม่สามารถที่ควบคุมตัวเองได้น่ะ
โรงเรียนก็หมายถึงที่ที่เราไปเรียน ไปรู้ ไปศึกษาให้เข้าใจในการดำเนินชีวิตเพื่อไปประกอบอาชีพในการที่จะได้ทำ ได้ปฏิบัติในสิ่งที่ดี ๆ เป็นแผนที่ เป็นรูปแบบของชีวิตที่จะให้เราอยู่กันอย่างผาสุก
เรื่องการประพฤติตัวหรือการปฏิบัติ ให้นักเรียนทุก ๆ คนเข้าใจว่ามันเป็นหน้าที่เป็นสิ่งที่จำเป็น ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติ ตัวเราเองก็จะมีทุกข์ในอนาคต ลูกหลานเราเกิดมาในอนาคตเค้าก็จะได้รับความยากลำบาก
"ทุก ๆ คนต้องขยัน อดทน ตั้งมั่น เข้มแข็ง" ชีวิตของเราต้องสู้ต้องทนด้วยความ เหน็ดเหนื่อย ด้วยความยากลำบากทางกาย...
ตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด ตั้งใจเรียนหนังสือที่เรากำลังเรียนอยู่ให้ดีที่สุด...
เรามีความจำเป็นที่จะต้องบังคับตนเองในเรื่องกินเรื่องเล่นเรื่องเที่ยว
พ่อแม่ของนักเรียนทุก ๆ คนเค้าก็พากันแก่ขึ้นทุกวัน มีหนี้มีสินกันพอสมควร เราต้องมาช่วยเหลือพ่อเราแม่เราด้วยการทำงาน ด้วยการรู้จักประหยัด เพราะสมัยทุกวันนี้อะไรทุกอย่างเราก็ต้องซื้อเค้าหมด ถ้าเราไม่จำเป็นจริง ๆ ไม่ต้องซื้อไม่ต้องจ่าย
นักเรียนทุกคนทั้งหมดนี้ต้องตั้งสติไว้ดี ๆ... บุหรี่ เหล้า การพนัน สิ่งเสพติดทุกชนิด การเป็นคนเจ้าชู้ นี่เป็นหนทางที่จะให้นักเรียนทุก ๆ คนตกเป็นคนทุกข์ยากลำบาก "นักเรียนทุกคนต้องไม่เสพ ไม่ทำ..."
เพื่อนเราน่ะในบ้านในสังคม มันมีทั้งคนดีคนไม่ดี.. ให้นักเรียนทุกคนถือว่ามันเป็นเรื่องของเขา มันเป็นเรื่องของคนอ่อนแอ มันเป็นเรื่องของคนขาดความเข้มแข็ง ไม่มีระเบียบ ไม่มีวินัยที่จะบังคับตนเอง ปล่อยให้ตัวเองเป็นคนติดบุหรี่ ติดเหล้า เล่นการพนัน ไม่มีศักยภาพในชีวิต นักเรียนทุกคนอย่าได้พากันไปทำอย่างนั้น...
ราก็จะเอาแต่ประโยชน์ส่วนตัวนะ เราอยู่อย่างนี้เราเป็นคนที่เค้าไม่รู้จักเรา คนเค้าไม่ได้สนใจเรา ฮื้อออ...ใจเราก็ร้อนไปหมดน่ะ เพราะเรามันขาดอะไรซักอย่าง คือมันเป็นโรคคนอื่นเค้าไม่สน โรคคนอื่นเค้าไม่ถามหาน่ะ
มันเป็นเพราะอะไร...? เป็นเพราะว่าเราจะเป็นแต่ผู้เอา มันไม่ได้เป็นคนเสียสละมันต้องทิ้งอัตตาทิ้งตัวทิ้งตนน่ะ ว่าเราว่าเขา ว่าเรามียศมีตำแหน่งเป็น ดร. เป็นคนรวย เป็นคนแก่คนเฒ่า เด็กไม่กี่ขวบมันจะพูดกับเราไม่ดีไม่เพราะเสียงแข็งมันไม่เหมาะไม่ควรน่ะ สักยทิฐิความถือตัวถือตนอย่างนี้เราต้องตัด ต้องละ ตือทิ้งให้หมด เพราะพระนิพพานมันไม่มีคนหนุ่มคนสาว ไม่มีคนร่ำคนรวย ไม่มีอัตตาไม่มีตัวไม่มีตน มันมีแต่สิ่งที่เอามาพูดเอามาปรุงแต่งไม่ได้ ถ้าปรุงแต่งเมื่อไหร่มันมีทุกข์ทันทีมันไม่ใช่พระนิพพาน
ต้องฝึกทำใจให้สงบ อัตตาตัวตนเรามีมาก บางทีเราก็ยอมรับในสิ่งที่มันไม่เหมาะไม่ควรไม่ได้ ธรรมะของพระพุทธเจ้ามันนอกเหตุเหนือผล ถ้าเราไปเอาเหตุเอาผลมันต้องทะเลาะกันแน่ มันต้องแบ่งพรรคแบ่งพวกแตกความสามัคคีกันแน่ พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เรา อยู่เหนือเหตุเหนือผลว่าทุกอย่างไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราจะไปยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ เราต้องมาแก้ที่จิตที่ใจของเรา เราต้องมาปฏิบัติเพื่อไม่มีตัวไม่มีตน จะได้ไม่วุ่นวาย คนเราพวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ ถ้าผิวดำหน่อยก็เป็นทุกข์แล้ว ถ้าสิวขึ้นหน่อยก็เป็นทุกข์แล้ว เราไม่สวยก็เป็นทุกข์แล้ว เราไม่หล่อก็เป็นทุกข์แล้ว แสดงถึงว่าเราไม่รู้จักพระนิพพานไม่รู้จักความสงบไม่รู้จักความดับทุกข์
เราเป็นหมู่เป็นคณะนี้สิ่งที่สำคัญเรื่องคำพูดนะ... บางทีเราอาจจะว่าเราพูดดีพูดเพราะ แต่บางทีเราสุขภาพไม่ดีมันนอนไม่หลับ การพักผ่อนเราไม่พอ หรือคนอื่นเค้าทำไม่ถูกนั่นแหละ เรามันเครียดโดยไม่รู้ตัว คำพูดของเรามันเลยออกมาเสียงแข็งและกระแทกแดกดัน สิ่งเหล่านี้แหละพระพุทธเจ้าท่านก็ให้เราทุกคนพากันรู้ตัวเองนะ คำพูดที่เราพูดออกไปต้องเป็นสิ่งบรรณาการหรือว่าเป็นสิ่งที่หอมหวลนะ คนที่ได้ยินได้ฟังต้องเจริญเมตตาว่า เขากำลังเครียดอารมณ์ไม่ดี งานหนักไม่มีเวลาพักผ่อน เสียสละเยอะมันเลยเครียด เราก็ต้องสงสารเขา เราต้องเป็นผู้ให้อย่าไปเอาอะไรกับเขาอย่างนี้แหละ พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราเป็นผู้ให้เป็นผู้เสียสละ เรานี้เสียสละอะไรบ้างหรือยัง...? เค้าพูดขัดหูเรา เราก็ไม่เสียสละ เราก็เก็บไว้ ใช่มั๊ย...? เค้าเป็นโรคประสาทหรือเป็นโรคเครียดเราก็ไม่ได้เสียสละ เราก็ไปเก็บเอาการกระทำของเค้า
การเสียสละอย่างนี้แหละเป็นสิ่งที่ดีนะ ถ้าทุกคนเกิดมาเป็นผู้ให้เกิดมาเป็นผู้เสียสละ ตัวเราก็มีความสุข ครอบครัวเราก็มีความสุข ที่ทำงานก็มีความสุข ต้องพากันเสียสละ
เราต้องกลับมาดูทุก ๆ คนที่เป็นเพื่อนของเราเป็นครอบครัวของเราหรือว่าคนอื่นอย่างนี้แหละว่าทุก ๆ คนควรได้รับความรักความเมตตาความอบอุ่นความเสียสละของเรา เราอย่าไปโทษอย่าไปโกรธเคือง "คนเราเวลาโมโหใจก็อยากฆ่า ปากก็ติดระเบิด เวลามันสงบมันก็มาเสียใจภายหลังอย่างนี้นะ..."
พระพุทธเจ้าท่านให้เรามาปฏิบัติในปัจจุบันมาอบรมบ่มอินทรีย์แต่ละคนให้แข็งแกร่งแข็งแรงมาก คนทุกวันนี้น่ะมันเต็มไปด้วยความอยากความต้องการ ความอยากความหลงมันเผาเรา ไม่ตายก็ถูกเผาเสียแล้ว อย่างใจของเรานี้นะสิ่งไหนมันชอบมันหลงมันก็จะคิดอย่างนั้นแหละ ไม่ว่าจะหลงในรูปในเสียงในลาภยศสรรเสริญมันก็คิดอย่างนั้นแหละ
พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราคิด ท่านให้เราอดให้เราทน ไม่ให้เราคิด เมื่อเราไม่คิดเราอดเราทนน่ะ วันหนึ่งสองวันสามวันอย่างนี้ใจของเรามันก็จะเย็นไปเรื่อย หกวันเจ็ดวันใจของเรามันก็ยิ่งเย็น
อย่างเราโกรธให้ใคร โมโหให้ใคร ก็อดเอาทนเอา แก้ไขจิตใจของตัวเอง อย่าไปแก้ไขคนอื่น เราคิดว่าอีกซักเจ็ดวัน ให้ใจดี ๆ ก่อนถึงจะด่าให้เค้า ถ้าเราใจไม่เย็นก็ต้องให้เราใจเย็นไว้ก่อนเราถึงค่อยด่าค่อยว่าเค้า
คนเราน่ะมันไม่อดไม่ทนนะ" อยากไปมันก็ไปมันไม่มีเบรก อยากอยู่มันก็ไม่ไปน่ะ เพราะว่ามันไม่มีคันเร่ง" เราต้องปรับใจเข้าหาธรรมะ อย่าไปดึงธรรมะเข้ามาหาตัวเอง
คนรู้คนฉลาดน่ะมีเหตุผลเยอะพยายามดึงธรรมะเข้ามาหาตัวเองไม่ปรับตัวเองเข้าหาธรรมะ
เราทุกคนน่ะพยายามแก้ที่ตัวเองให้ใจมันสงบใจเย็น เมื่อใจมันสงบใจเย็นปัญหาต่าง ๆ มันก็ไม่มี ที่ปัญหาต่าง ๆ เรามีก็เพราะว่าใจของเราไม่สงบ เราอาจจะเครียดเรื่องการเรื่องงานเรื่องลูกหลานสารพัดเครียด ใจของเราไม่สงบมองอะไรมันก็เกะกะไปหมด "เค้ายิ้มให้... ก็ว่าเค้าเยาะเย้ย เค้าพูดเสียงดังฟังชัด...ก็ว่าเค้าพูดกระแทกแดกดัน สาเหตุก็เพราะใจของเราไม่สงบ ใจของเราไม่เย็น..."
การประพฤติการปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าท่านให้เรามาแก้ที่ตัวเอง อย่าไปแก้ที่คนอื่น อย่าไปเอาดีเอาชั่ว เอาไปเอาถูกเอาผิดกับคนอื่น เราถือโอกาสถือเวลาว่าสิ่งต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้นกับเรานั้นเป็นโอกาสที่เราจะได้แก้จิตแก้ใจปรับจิตปรับใจ จิตใจของเราอย่าคล้อยตาม อย่าเอียงตาม เมื่อคนอื่นเค้าทำไม่ดีทำไม่ถูกเราก็อย่าไปทำผิดเหมือนเค้า เมื่อคนอื่นเค้าพูดไม่ดีไม่เพราะก็ช่างหัวเค้า หรือว่าคนอื่นเค้าเป็นโรคประสาทเราก็อย่าไปเป็นเหมือนเค้า เค้าเป็นบ้าเราก็อย่าไปเป็นเหมือนเค้า เราก็อยู่ส่วนเรา เค้าก็อยู่ส่วนเขา
อย่างเรานี้นะ... มันต้องได้ยินคำพูดที่ไม่ดี เราก็เห็นอาการกิริยาเค้าเป็นโรคประสาท เห็นการกระทำของเค้ามีความเห็นแก่ตัวอย่างนี้แหละ ก็ให้นักปฏิบัติทั้งหลายถือว่าเราเป็นคนโชคดีนะที่จะได้แก้ที่ใจของเรา โลกของเรานี้เต็มไปด้วยความเกิดความแก่ความเจ็บความตาย ความพลัดพรากความไม่ได้สมหวังน่ะ นี้ก็ถือว่าเป็นขุมทรัพย์เป็นอริยทรัพย์ที่ให้เรามาแก้ที่จิตที่ใจว่าเราก็ย่อมเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน เพียงแต่เดี๋ยวนี้มันยังไม่ถึงเราเน๊อะ
อย่างเราเป็นคนคนหนึ่งอย่างนี้แหละ คนนั้นก็มาฟ้องว่าคนโน้นไม่ดีอย่างโน้น ไม่ดีอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านสอนเราว่าเรามีหูก็ฟังไป เรามีตาก็ดูไป เราฟังแล้วก็แล้วไป อย่าไปสานเรื่องสานราวให้เป็นเรื่องเป็นราว เราฟังคนนี้พูดก็ว่าเหมือนกับคนนี้ถูก ถ้าเราฟังอีกคนที่เป็นคู่กรณีมาพูดเค้าก็พูดดีพูดถูกน่ะ
พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เราทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ทำเรื่องเล็กไม่ให้มีเรื่อง เราพยายามนิ่ง เราพยายามหยุด เราพยายามเย็น เราอย่าพากันวุ่นวาย วิ่งตามสิ่งภายนอก คนเรามีตามันก็เห็นสิ่งที่ดีไม่ดีทั้งนั้นแหละ เรามีหูเราก็ได้ยินสิ่งที่ไม่ดีทั้งนั้นแหละ จะดีหรือจะชั่วทุกอย่างมันก็เป็นอนิจจัง ถ้าเราไปยึดมั่นถือมั่นมันก็เป็นทุกข์ เพราะทุกอย่างมันเป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
เมื่อเข้าระบบจะเขียนบันทึก หน้าต่างขึ้นมาตามรูป
ทั้งการใช้ Google Chrome และ Internet Explorer ...?
ไม่สามารถเพิ่มบันทึก เพิ่มไฟล์ได้...
ทำไมจิตใจมันร้อน จิตใจไม่สงบ...? เพราะเราทุก ๆ คนน่ะมีความเห็นแก่ตัว มีอัตตาตัวตนมาก ทำอะไรก็เอาตัวเองเป็นใหญ่ เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่คำนึงถึงความรู้สึกนึกคิดของคนอื่น สัตว์อื่น
พระพุทธเจ้าท่านสอนเราให้มีเมตตามาก ๆ ให้ใจเย็น ๆ ให้สงสารคนอื่น ให้เมตตาคนอื่น โดยเฉพาะคนที่อยู่ใกล้เรา คนที่อยู่ในครอบครัวของเรา ถ้าจิตใจของเรามีความโกรธ มีความขัดเคือง มีความไม่พอใจ จิตใจของเรานี้มันเผาทั้งตัวเราและมันเผาทั้งครอบครัวของเราตลอดลูกน้องพ้องบริวาร บุคคลที่เกี่ยวข้องกับเราเค้ามองดูหน้าดูตาแล้วเค้าก็ไม่มีความสุข
คนเราทุก ๆ คนในชีวิตประจำวันมันมีสิ่งที่เราชอบแล้วก็เราไม่ชอบ ส่วนใหญ่มันก็มีแต่สิ่งที่เราไม่ชอบ แม้แต่ร่างกายของเรามันก็ไม่ได้ตามใจ ธุรกิจหน้าที่การงานของเรามันก็ไม่ได้ตามใจ เพื่อนฝูงบริวารลูกน้องมันก็ไม่ได้ตามใจ
พระพุทธเจ้าท่านให้เราคิดดี ๆ นะ สิ่งที่ไม่ได้ตามใจ ไม่ได้ตามปรารถนานี่แหละ เป็นโอกาสเป็นเวลาที่จะได้ฝึกจิตใจของเราให้ใจสงบ ใจเย็น เราจะได้เจริญเมตตาเยอะ ๆ มาก ๆ ถ้าเรามีความเมตตามาก ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่ได้ตามใจเรา เราก็จะได้ไม่โกรธ ไม่โมโห ไม่ทิฏฐิมานะมาก เจ้าอารมณ์ ถ้าเราจะเอาแต่สิ่งที่เราชอบ สิ่งที่ไม่ชอบเราจะเอาไปไว้ที่ไหน เราจะเอาแต่สิ่งที่ดี สิ่งที่ไม่ดีเราจะเอาไปไว้ที่ไหน เพราะสิ่งเหล่านี้มันเป็นธรรมะ เป็นธรรมชาติมีอยู่ในโลกในชีวิตประจำวัน สิ่งต่าง ๆ ที่เราว่ามันมีปัญหานั้น พระพุทธเจ้าท่านให้เราดูตัวเองให้ดี ๆ นะ มันเป็นจิตใจของเราที่มันมีอัตตาตัวตนต่าง ๆ ให้ทุกท่านทุกคนถือโอกาสถือเวลาว่าสิ่งเหล่านี้แหละ มันเอาความดีเอาบารมีมาให้เรา มาให้ประพฤติปฏิบัติ ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้เราจะเอาอะไรมาประพฤติปฏิบัติ
ให้ทุกท่านทุกคนกลับมามองตัวเองว่า “เดี๋ยวนี้เราให้อะไรใครบ้างหรือยัง...?”
เราให้ความสุขความดับทุกข์แก่คุณพ่อคุณแม่แก่คนในครอบครัวแล้วหรือยัง ถ้าเราเป็นผู้เอาเหมือนแต่ก่อน ตัวเราเองก็มีทุกข์ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเราก็มีทุกข์
คนเรานี้มันไม่เสียสละเลยนะ... ที่เค้าให้เราเรียนหนังสือน่ะตั้งแต่อนุบาลจนจบ ด๊อกเตอร์ก็เพื่อจะเป็นคนดีเป็นคนเสียสละเป็นผู้ให้ เค้าเอาเหยื่อมาล่อเราให้เราทำความดี แม้แต่พระภิกษุสามเณรเรา เค้าก็เอาเหยื่อมาให้เพื่อทำความดี ให้นักธรรมตรี โท เอก เปรียญธรรม จนถึงด๊อกเตอร์น่ะ “ให้ทุกท่านทุกคนให้รู้ความหมายนะ ความเป็นจริงแล้ว เค้าจะให้เราเป็นคนดีเป็นคนเสียสละ...”
ในโลกในสังคมนี้หาคนดีเพื่อทำพันธุ์หาลำบาก หาคนดีเป็นตัวอย่างหาลำบากน่ะ เมื่อมันหาไม่ได้หาลำบากเราก็ไม่ต้องไปหาน่ะ พระพุทธเจ้าท่านให้เรามาหาที่ตัวเรานี้แหละ เพราะว่าสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ นั้นอยู่ในตัวเรานี้เอง ถ้าเราคิดดี เราปรารถนาแต่สิ่งที่ดี เราพูดดี เราทำดี เรามีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ตั้งมั่นในความดีน่ะ ชีวิตของเรานี้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ทุก ๆ อย่างมันจะดำเนินไปในขบวนการของเค้าเอง เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนั้นก็ต้องมี
ทุกท่านทุกคนกลัวความดี จะรักษาศีลไม่กี่ข้อนี้ก็กลัว หัวใจกลัวอย่างนี้เค้าเรียกว่า “หัวใจอสุรกาย”ทุกคนน่ะมันก็มีภาระเยอะ ภาระเรื่องคุณพ่อคุณแม่เรื่องลูกหลานเรื่องคนงานหรือเจ้านาย แต่การประพฤติการปฏิบัติศีลปฏิบัติธรรมน่ะมันก็สามารถแทรกเข้าไปในการประพฤติการปฏิบัติในหน้าที่การงานได้ทั้งหมด ถ้าเรารู้เรื่อง ถ้าเราเข้าใจ ถ้าเราไปรอให้หมดธุระ ไม่มีธุระนั้นน่ะก็คือ “เท่ากับเรารอให้เราหมดลมหายใจ...”
คนเราน่ะมันเห็นแก่ตัวนะ... เวลารักษาศีลมาก ๆ มันไม่อยากรักษานะ แต่เวลาเงินน่ะถ้าได้น้อยมันไม่ชอบ.! นี้แสดงว่าเราจิตใจเรามีปัญหา หัวใจเรามีปัญหา แสดงว่าเรายังมีความเห็นผิด ชื่อว่าเรายังไม่ชอบพระพุทธเจ้า ไม่ชอบพระธรรม ไม่ชอบพระอริยสงฆ์ แต่เราพากันคิดอยากจะไปพระนิพพานน่ะมันก็เป็นไปไม่ได้
สมณะแปลว่าความสงบ.... ความสงบที่เราทุกคนจะหาได้น่ะต้องหาจากตัวของเราเอง ถ้าเราไปหาที่อื่นไปแก้ไขที่อื่นนั้นไม่สามารถที่จะพบกับความสงบได้ ถ้าเราวิ่งหาจากภายนอกนั้น “ยิ่งวิ่งก็ยิ่งหนี” เหมือนกับบุคคลที่วิ่งตามตระครุบเงา วัตถุข้าวของเงินทองเกียรติยศ สิ่งเหล่านั้นน่ะไม่สามารถที่จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงของเราได้ แม้แต่ร่างกายของเรานี้ก็ไม่จีรังยั่งยืน เราเกิดมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้น่ะล้วนแต่เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลง สิ่งที่ดีที่สุดก็จากเราไป สิ่งที่ไม่ดีที่สุดก็จากเราไป ในอนาคตน่ะสิ่งที่ดีก็จากเราไปสิ่งที่ไม่ดีก็ต้องจากเราไป อย่างนี้แหละ พระพุทธเจ้าท่านถึงพาเรากลับมาหาความสงบ
ความสุขความดับทุกข์ของคนเราทุกคนนั้นน่ะ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าอยู่ที่ความสงบ
เราบริโภคอาหาร พักผ่อน หรือทำอะไรทุกอย่างนั้นจุดมุ่งหมายก็คือให้กายของเรานั้นมีความสงบ ให้ใจมีความสงบ ถ้าเรารวยเราเป็นมหาเศรษฐีถ้าใจเราไม่สงบน่ะก็ชื่อว่า เราไม่เข้าถึงความสุขความดับทุกข์ ถึงจะร่ำจะรวยเราก็ยังตกนรกทั้งเป็นในชีวิตประจำวัน
เราทุกคนน่ะไม่ว่าจะนั่งอยู่ในที่นี้หรือว่าทำอะไรอยู่ในที่อื่นถ้าใจไม่สงบก็ถือว่าบุคคลนั้นกำลังตกนรกทั้งเป็นน่ะ คือความโลภความโกรธความหลงมันเผาเราทั้งเป็นน่ะ บางทีน่ะ เรามีอะไรพร้อมทุกอย่างแต่จิตใจของเรามันก็ไม่สงบ จิตใจของเรามันก็ไม่อิ่มไม่พอ สาเหตุเพราะอะไร...? สาเหตุก็เพราะว่าใจของเรานี้เค้ากำลังตกนรก กำลังถูกไฟนรกเผาน่ะ
พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุก ๆ คนเข้าถึงความสุขความดับทุกข์ตั้งแต่เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ ที่เรายังไม่ลาละสังขารนี้แหละ ความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงเหมือนกับกองเพลิงกำลังไหม้เราอยู่เผาเราอยู่
ถ้าเราคิดว่าชาติหน้ามีจริงมั๊ย...? นรกมีจริงมั๊ย...? สวรรค์มีจริงมั๊ย...? ก็ชื่อว่าเราไม่รู้จักนรกที่แท้จริง เขากำลังเผาเราอยู่เรากำลังตกนรกอยู่ เค้าเรียกว่า “นรกชิมลอง” น่ะ เป็นนรกหลุมเล็กหลุมใหญ่ที่เค้าจัดการเราในชีวิตประจำวัน