สวัสดีครับคุณรักษ์ ปริกทอง
ก่อนอื่นต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งที่ผมล่าช้าในการตอบคำถามที่ทรงคุณค่าเช่นนี้
เรื่องครูอัตราจ้างนี้เป็นภาพสะท้อนใหญ่ของสังคมไทยซึ่งไม่เฉพาะในแวดวงการศึกษาเท่านั้น
วิชาชีพครูในบ้านเราถือว่าเป็นกลุ่มอาชีพที่ด้อยค่า ซึ่งแตกต่างกับประเทศที่เจริญแล้ว คนที่ประกอบอาชีพครูนั้นจะเป็นวิชาชีพที่มีเกียรติและมีรายได้สูงกว่าอาชีพอื่น ๆ
ในบ้านเราสังคมเด็ก ๆ ที่กำลังจะตัดสินชีวิตว่าเติบโตขึ้นเขาจะเป็นอะไรในอนาคตเขามักแต่ว่าจะเป็นหมอ เป็นวิศวกร ซึ่งเป็นอาชีพที่มีเกียรติและรายได้งาม จากนั้นก็ค่อย ๆ ลดหลั่นลงมาเป็นเศรษฐศาสตร์ คอมพิวเตอร์ บริหารธุรกิจ จนสุดท้ายใครสอบอะไรไม่ได้แล้วถึงจะได้มา "เรียนครู"
ดังนั้นปัญหาที่มาของครูที่จะมาเป็นครูอัตราจ้างนั้นก็เป็นปัญหาหนึ่งที่สำคัญ และปัญหาที่เมื่อครูเหล่านี้ออกไปทำงานจริงคือสอนลูกศิษย์หรือผลิตบัณฑิตก็เป็นปัญหาที่สำคัญยิ่งกว่า
เมื่อเหตุปัจจัยหรือ Input ในแง่ทรัพยากรคนที่เข้ามาเรียนรู้ ผ่าน Process ของมหาวิทยาลัยที่เคยผลิตครูได้ดีเยี่ยม ซึ่งปัจจุบันให้ความสำคัญการผลิตครูน้อยมาก เพราะมิใช่รายได้หลักที่จะเลี้ยงมหาวิทยาลัยได้ ครูที่ผลิตออกมานั้นจึงไม่ได้คุณภาพเท่าครูรุ่นก่อน
แต่ทว่าสุดท้ายแล้วตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน ตัวครูเองต้องเป็นที่พึ่งของตนเอง พื้นฐานชีวิตหรืออุปนิสัยในอดีตที่อาจจะกระตือรือร้นจนสามารถเอ็นทรานซ์ติดในสาขาวิชาอื่น พึงจะต้องปรับเปลี่ยนตนเอง เพิ่มมูลค่าให้ตนเอง (Value Added) ให้ทรงคุณค่ามากขึ้นกว่าที่มหาวิทยาลัยเพิ่มให้ ถ้าครูเพิ่มมูลค่าตัวเองได้ ครูคนนั้นจะเป็นครูดี ครูเพื่อศิษย์
ผมอาจจะกล่าวกับคุณรักษ์ตรงนี้ได้เลยว่า แนวโน้มที่ผู้บริหารการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลจะกลับมาให้ความสำคัญกับคนที่มีอาชีพครูนั้นเป็นไปไม่ได้เลย ตลอดชั่วชีวิตของผมนี้ ไม่มีทางที่อาชีพครูจะเลิศหรูกว่าหมอ ทหาร ตำรวจ หรือวิศวกร
ดังนั้นการแก้ไขปัญหาครูอัตราจ้างนี้ต้องเป็นการแก้ไขรายบุคคล (Individual) ใครดี ใครได้ ใครเก่ง คนนั้นก็จะดีดตัวเองให้พ้นจากตำแหน่งครูอัตราจ้างได้
ระบบการศึกษาไทยในทศวรรษนี้ผมคิดว่าไม่มีทางที่จะดีขึ้น มีแต่ที่จะแย่ลง ด้วยสาเหตุเพราะการแย่งชิงผลประโยชน์ทางการเมือง นักการศึกษาเก่ง ๆ เบื่อการเมือง ไม่เข้ามายุ่ง คนที่เข้ามาบริหารกระทรวงศึกษาธิการก็เป็นเพียงคนที่สามารถรับใช้และให้ประโยชน์ต่อตนเองโดยเฉพาะคนที่เขาถูกแต่งตั้งมาเท่านั้น
ดังนั้น แนวโน้มการศึกษาในของการศึกษาขั้นพื้นฐานตั้งแต่มัธยมศึกษาไล่ลงไป ที่ไม่สามารถบริหารแบบอิสระได้ อย่างไรก็มีอัตราในการก้าวหน้าที่ถดถอย เพราะผู้บริหารต้องทำงาน "ตามน้ำ"
ส่วนที่จะพัฒนาได้มากนั้นก็คือ สถานศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา ถ้าหากได้คนดีเข้าไปทำงานทั้งในฝ่ายบริหาร คือ ฝ่ายของอธิการบดี และฝ่ายของสภามหาวิทยาลัยที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ถ้ามหาวิทยาลัยใดมีบุญได้คนที่ดีเข้าไปบริหารในเสาทั้งสองแท่งนี้ มหาวิทยาลัยนั้นจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
แนวโน้มการศึกษาในทศวรรษข้างหน้านี้จึงกล่าวได้ว่าเป็นการพัฒนาแบบตัวใคร ตัวมัน ใครดี ใครได้ ใครเร็ว ใครเจริญ
การศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยที่เคยมีชื่อว่าวิทยาลัยฝึกหัดครูในทศวรรษหน้านี้ก็ยังคงจะต้องพึ่งพาไม้ลูกชิ้นที่เขาโยนให้ตามที่คุณรักษ์ว่าไว้ คงจะไม่มีทางลืมตาอ้าปาก
เพราะยิ่งดิ้นรนเปิดสาขาต่าง ๆ เพื่อหากำไรเลี้ยงตัวเองมากเท่าใด ความใส่ใจและทุ่มเททรัพยากรไปเพื่อผลิตครูซึ่งเคยเป็นรากฐานสำคัญของมหาวิทยาลัยก็จะเสื่อมและหายไปมากเท่านั้น
ขอบพระคุณสำหรับคำถามดี ๆ ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อให้ผมได้คิดในสิ่งดี ๆ เพื่อหาวิธีพัฒนาการศึกษาไทย
ปภังกร วงศ์ชิดวรรณ
๒๓ เมษายน ๒๕๕๓
เอ่... เรื่องภาษาบาลี เรื่องชื่อ เรื่องความหมายนี้เราไม่ก็ทราบเหมือนกัน เรารู้แต่เรื่อง "กรรม" คือ "การกระทำ" นะ...
ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับครูอ้อย
สวัสดีปีใหม่ครูอ้อยด้วยเช่นกันครับ
พรใดอันประเสริฐขอให้เกิดและสถิตกับครูอ้อยตลอดไปครับ
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์หมอ JJ เป็นอย่างสูงครับ
ผมขอร่วมกู้ก้อง ทำงานเพื่อชาติและสังคมไทยร่วมกันท่านอาจารย์หมอตลอดไปครับ
กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับคุณ Nutim
พรใดอันประเสริฐขอให้เกิดและสถิตกับท่านและครอบครัวตลอดไปเช่นเดียวกันครับ
สวัสดีปีใหม่ครับคุณออต
ปภังกร วงศ์ชิดวรรณ
ปภังกร วงศ์ชิดวรรณ
สวัสดีครับน้องเต่า
สำหรับคำถามแรกนั้น "ปีใหม่นี้พี่มีแผนในการดำเนินชีวิตให้มีความสุขที่สุดอย่างไรดีคะ" ขออนุญาตแบ่งตอบออกเป็นสองประเด็นนะครับ (อาจจะดูเป็นทางการไปซะหน่อย ต้องขออภัย)
ประเด็นแรกก็คือ "วันปีใหม่"
แผนตอนนี้สำหรับวันปีใหม่ก็ไม่ขออะไรมากมายครับ ขอแค่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันทุกคนในครอบครัว (เจอหรือไม่เจอก็ได้ครับ) แต่ขอให้ทุกคนยังอยู่ครบ
เพราะปีนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นมีแห่งการสูญเสีย ผมต้องเสียทั้งคุณย่าซึ่งผมรักและรักผมมาก ๆ คุณตา ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ตาแท้ ๆ และน้าซึ่งใกล้ชิดกัน ความเสียใจแห่งการสูญเสียนั้น ก็ยังตามมาหลอนจิตใจอยู่เสมอ ๆ
ดังนั้น วันปีใหม่และปีใหม่นี้ก็ขอให้ใครอย่าจากเราไปอีกเลย ขอให้ทุกคนยังอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาและพร้อมใจกัน ซึ่งอาจจะไม่จำเป็นต้องมารวมตัวอยู่ในที่ที่เดียวกันก็ได้ แต่ขอให้เขาอยู่ในครอบครัวของแต่ละคนและครอบครัวเขามีความสุขกันผมก็สุขไปด้วยครับ
สำหรับประเด็นที่ 2.... ขอต่อข้างล่างครับ
สวัสดีครับคุณบอน
ต้องกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงเลยครับ ที่เมตตาผมอย่างสูงครับ ผมเองก็พยายามที่จะติดตั้งมานานแล้วครับ ผมเคยสอบถามวิธีการกับผู้ดูแลระบบท่านก็บอกว่า มีตัวนับสถิติด้านล่างอยู่แล้ว ผมก็เลยไม่ได้ติดตั้งเลยครับ
ถ้าไม่มีคุณบอน ชาตินี้ผมคงจะไม่มีตัวนับกับเขาเลยนะครับเนี่ย
พวกเป็นโรค Low-Tech ครับ ตอนนี้ก็พยายามเสาะหาวิธีการทำ CSS และ Theme ต่าง ๆ กับเขาบ้างแต่ก็คงต้องใช้เวลาสักหน่อยครับ
ขอบพระคุณคุณบอนเป็นอย่างสูงครับ
ปภังกร วงศ์ชิดวรรณ
สวัสดีครับน้องวุฒิปิยะ
ปภังกร วงศ์ชิดวรรณ
ขอบพระคุณคุณเมตตาเป็นอย่างสูงครับ
ถ้าคุณเมตตามีสิ่งใดให้ผมช่วยเหลือบอกได้เลยนะครับ ยินดีรับใช้และให้บริการครับ
ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
ปภังกร วงศ์ชิดวรรณ
ผสมกับการมีวัยวุฒิน้อย มีเปอร์เซ็นต์น้อยมาก ๆ ครับที่จะสมัครเข้าเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยไทยได้ครับ
แต่ก็ขอแสดงเจตจำนงค์ว่า ผมสนใจทำงานที่นั่นครับ เพราะผมเห็นพี่ ๆ และอาจารย์หลาย ๆ ท่านอยู่ที่นั่นแล้วมีวัฒนธรรมที่เยี่ยมมาก ๆ โดยเฉพาะวัฒนธรรมในการกระตุ้นให้ทำงานแบบเปิดกว้าง ดังนั้นเมื่อมีโอกาสที่จะให้ผมเสนอตัวจึงขอสมัครไป จะได้หรือไม่ได้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญครับ แต่สำคัญที่ว่า "เราได้สู้" ถึงแม้ว่าจะได้หรือไม่ได้งานแต่อย่างไรก็ได้ประสบการณ์ นั่นก็คือความรู้ที่สำคัญที่สุดครับ
ตอบมาซะยาวเลยครับ เพราะเป็นคำถามที่โดนใจมาก ๆ ครับ
ขอขอบพระคุณคุณ seangja ที่เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้อยู่เสมอครับ
ฝากความคิดถึงถึงป้าบวมและท่านmoomi ด้วยนะครับ
คิดถึงทุก ๆ ท่านเสมอครับ
ปภังกร วงศ์ชิดวรรณ
ขออภัยครับคุณออต ผมตอบผิดที่ (อีกแล้วครับ)
คำตอบอยู่ด้านล่างครับ
อุ้ย! ตอบผิดที่ครับ
ด้านล่างเลยครับท่านป้าบวม
สวัสดีครับป้าบวมสุดที่รัก
ตอนนี้ผมก็มีสถานะเช่นเดียวกันครับป้าบวมครับ ทั้งในเรื่องของงานและชีวิต ตอนนี้กลางวันต้องช่วยแม่ขายของ ตอนกลางคืนก็หมดเรี่ยวหมดแรงครับ ไม่ค่อยได้เข้ามาเหมือนกันครับ
สำหรับอาการป่วยนั้นเราทั้งสองคนเป็นวันแรกแล้วเป็นวันเดียวครับ หาสาเหตุไม่ได้เหมือนกัน แต่ตอนนี้แม่ผมค่อนข้างจะหวั่นวิตกอยู่บ้างครับ ตอนกลางคืนท่านไม่ค่อยกล้านอนหลับสักเท่าไหร่ครับ ตอนกลางวันท่านก็เลยต้องพักผ่อนอยู่บ้าง
ผมตอนนี้ส่วนใหญ่ก็อยู่บ้านครับ มีเดินทางไปทำงานวิจัยและจัดการความรู้ที่เชียงใหม่บ้างเป็นครั้งคราวครับ
สำหรับเรื่องความสุขที่ผมและป้าบวมได้สัมผัสนั้น เป็นสิ่งที่คนที่สัมผัสเท่านั้นถึงจะรู้ครับ เพราะสิ่งที่เราได้สัมผัสกันนั้นนั่นเป็น "ความสุขแท้" ครับ ได้ทำงาน ได้อยู่ใกล้ ๆ พ่อแม่ครับ เป็นสิ่งที่ดีและเยี่ยมมาก ๆ ครับ
ขอบพระคุณป้าบวมเป็นอย่างสูงด้วยเช่นกันครับ
ป.ล. ดูแลสุขภาพด้วยนะครับ ฝากความคิดถึงถึงท่านmoomi ด้วยนะครับ "โคตะระรักป้าเลยครับ"
เป็นคำถามที่น่าคิดและดีมาก ๆ เลยครับ
แต่ถ้าจะว่าไปแล้วทุกอย่างเป็นระบบที่มีผลเกี่ยวข้องซึ่งกันและกันหมดครับ และจุดกำเนิดที่เป็นปัจจัยหลัก หรือตัวแปรหลักจริง ๆ แล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นจาก "คน" ครับ
คนมีผลต่อการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
คนเป็นปัจจัยหลัก เป็นตัวแปรต้น
ส่วนการเมือง เศรษฐกิจและสังคม เป็นตัวแปรตามครับ ซึ่งจะมีตัวแปรสอดแทรกและตัวแปรแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย
สิ่งที่ผมพูดนี้เป็นมิติตามที่ผมวิเคราะห์นะครับ อาจจะแตกต่างหรือไม่เหมือนกับท่านอื่น ๆ ครับ เพราะอาจจะมองกันคนละมุมครับ
เรื่องเหล่านี้ต้องว่ากันเป็น Jeneration เลยครับ
โดยจุดกำเนิดต้น ๆ หลัก ๆ เลยนี่ก็คือ "คน" ทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้
ถ้ามองภาพในปัจจุบัน อาจจะมองได้ว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม กำลังมีผลต่อการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ก็เพราะว่า Jeneration ปัจจุบันเป็นยุคแก้ไขครับ แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาจากคนที่เข้ามาบริหารงาน เข้ามาสร้าง เข้ามาพัฒนา ปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ให้เกิดผลดีกับ "คน" หรือตัวของเขาและเราเอง
สร้างการเมืองมาเพื่อปกครองตนเอง
สร้างเศรษฐกิจมาเพื่อสร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่ตนเอง
สร้างสังคมขึ้นมาเพื่อทำให้ตนเองอยู่รอดและมีความสมดุลในการดำเนินชีวิต