เรื่องนี้ก็เป็นที่น่าเป็นห่วง หากเราไม่ดูแลตัวเองเรื่องอาหารการกินก็จะยิ่งลดปัญหานี้ได้ยาก เป็นรายงานว่า โดยสถิติของโลกในปัจจุบันมีอัตราผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรังสูงถึง 10% เลยทีเดียว อ่านได้จาก New global report highlights silent epidemic of kidney disease and neglect of treatment and prevention in all countries. จาก International Society of Nephrology website.
ถึงกับมีวันไตโลกนะคะ
เรื่องนี้อ่านแล้วอยากบอกต่อ เป็นรายงานจากศัลยแพทย์ด้านกระดูกสันหลังที่พบว่า มีเด็กและวัยรุ่นที่มีปัญหาเกี่ยวเนื่องมาจากท่าทางการใช้โทรศัพท์มือถือ น่าสนใจที่ได้รู้ว่า การที่เราก้มหัวเพื่อจะมองโทรศัพท์มือถือนั้น มีผลต่อการรับน้ำหนักของกระดูกสันหลัง คือในระดับเงยหน้าตรงปกติ น้ำหนักหัวจะอยู่ที่ 10-12 ปอนด์ แต่พอเราก้มคอ 15 องศาน้ำหนักจะเป็น 27 ปอนด์ ในขณะที่หากเราก้มถึง 60 องศาแรงกดต่อกระดูกสันหลังจะมากถึง 60 ปอนด์ทีเดียว คิดดูว่าถ้าอยู่แบบนี้ไปนานๆติดต่อกัน กระดูกสันหลังเราจะไม่แย่ได้อย่างไร น่าสนใจมากนะคะอ่านรายละเอียดได้จาก “Text neck”: an epidemic of the modern era of cell phones? Spine J. Available online 20 March 2017. http://doi.org/10.1016/j.spinee.2017.03.009
น่ากลัวจังเลยนะคะ
รายงานนี้ทำให้เราต้องระวังเรื่องน้ำหนักกันให้ดี เพราะเขาพบว่า ถ้าน้ำหนักเกิน แม้จะมีตัวชี้วัดอื่นทางเมตาบอลิกส์ดี คือ ค่าไขมันดี HDL-c ไม่ต่ำ ความดันโลหิต ระดับน้ำตาล ระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ไม่สูง ก็ยังมีโอกาสเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจขาดเลือดมากกว่าคนที่น้ำหนักปกติ ในผู้ชายจะชัดกว่าในผู้หญิง อ่านได้จาก Metabolically healthy obesity and ischemic heart disease: a 10-year follow-up of the Inter99 study. J Clin Endocrinol Metab jc.2016-3346. DOI: https://doi.org/10.1210/jc.2016-3346.
ไม่มีความเห็น
รายงานนี้เป็นของอเมริกา ซึ่งของเราก็คงเชื่อตามเขาได้ เขาสรุปจากข้อมูลที่มีอยู่พบว่าการตรวจภายใน (pelvic examination) ในหญิงที่ไม่ได้ตั้งครรภ๋และไม่มีอาการใดๆนั้น ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอจะประเมินประโยชน์และโทษ พูดง่ายๆก็คือไม่ควรตรวจโดยไม่จำเป็นนั่นเอง ดังนั้นคนไข้กับแพทย์ก็ต้องคุยกันเองว่าจะตรวจดีหรือไม่ อันนี้ไม่ได้หมายถึงการตรวจ PAP smear หรือการตรวจเพื่อหาการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ทั้งหลายนะคะ อ่านได้จาก Screening for Gynecologic Conditions With Pelvic Examination: US Preventive Services Task Force Recommendation Statement. JAMA. 2017;317(9):947-953. doi:10.1001/jama.2017.0807.
ไม่มีความเห็น
บทความนี้น่าสนใจมาก เพราะเน้นย้ำว่า มะเร็งที่ป้องกันได้นั้นมีมากกว่าครึ่งของมะเร็งทั้งหลาย มีข้อมูลที่ยืนยันจากการศึกษามากมายที่ใช้ทรัพยากรในการศึกษาเพื่อให้ได้ผลยืนยัน แต่ปัญหาคือเรายังให้ความรู้และหามาตรการให้ความรู้ในการป้องกันนี้ออกสู่สังคมในวงกว้างยังไม่ดีพอ ทำให้การป้องกันที่ควรทำยังไม่มากพอ อ่านได้จาก Realizing the Potential of Cancer Prevention — The Role of Implementation Science. N Engl J Med 2017; 376:986-990March 9, 2017DOI: 10.1056/NEJMsb1609101.
ไม่มีความเห็น
รายงานนี้น่าตกใจอยูสักหน่อย เขาพบว่าอัตราคนอ้วนนั้นเพิ่มขึ้น แต่อัตราผู้ที่พยายามจะลดน้ำหนักนั้นมีน้อย สงสัยต้องสร้างแรงจูงใจที่ดีและช่วยด้วยมาตรการเชิงระบบจะดีกว่า อ่านได้จาก Change in Percentages of Adults With Overweight or Obesity Trying to Lose Weight, 1988-2014. JAMA. 2017;317(9):971-973. doi:10.1001/jama.2016.20036.
ไม่มีความเห็น
ข้อมูลจากรายงานนี้ช่วยยืนยันว่าอาหารจากถั่วเหลืองไม่ได้มีผลเสียกับผู้ที่เป็นมะเร็งเต้านม แถมอาจจะให้ประโยชน์ด้วยซ้ำ ซึ่งอาจจะแตกต่างจากความเชื่อเดิมๆ อ่านได้จาก Dietary isoflavone intake and all-cause mortality in breast cancer survivors: The Breast Cancer Family Registry. Cancer. Published online March 6, 2017. DOI: 10.1002/cncr.30615.
ไม่มีความเห็น
รายงานนี้ก็ช่วยย้ำชัดถึงความสำคัญของอาหาร เพราะเขาพบว่าการกินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ คือมีโซเดียมสูง ขาดพวกถั่ว ธัญพืช กินเนื้อที่ผ่านขั้นตอนการผลิต อาหารที่ขาดโอเมก้าสาม ขาดผักผลไม้ ดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง ทำให้เกิดกลุ่มอาการเมตาบอลิกและเสียชีวิต ในสัดส่วนที่สูงทีเดียว อ่านได้จาก Association Between Dietary Factors and Mortality From Heart Disease, Stroke, and Type 2 Diabetes in the United States. JAMA. 2017;317(9):912-924. doi:10.1001/jama.2017.0947.
ไม่มีความเห็น
รายงานนี้เป็นข้อมูลจากการติดตามยาวนานมากกว่า 20 ปีในผู้หญิงดัทช์หกหมื่นกว่าคน ที่ทำให้รู้ว่าอาหารกลุ่มเมดิเตอเรเนียนที่กินโปรตีนจากพืช ธัญพืช ปลาหนักกว่า กินเนื้อแดง ข้าวขาวและขนมหวาน พบว่าโอกาสเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมลดลงถึง 40% อ่านได้จาก Mediterranean diet adherence and risk of postmenopausal breast cancer: results of a cohort study and meta-analysis. Int J Cancer. Published online March 5, 2017. DOI: 10.1002/ijc.30654.
ไม่มีความเห็น
การรวบรวมข้อมูลวิเคราะห์ทำให้ได้แนวทางในการช่วยดูแลผู้ป่วย รายงานนี้เป็นตัวอย่างในการทำเช่นนั้นจากผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอก เขาพัฒนาเป็นเครื่องมือที่สามารถตรวจสอบออนไลน์ได้ที่ www.promiserisktools.com จากข้อมูลที่รวบรวม เครื่องมือนี้ช่วยให้ประเมินได้ว่าผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการตรวจที่เข้มข้นขึ้นหรือไม่ อันนี้น่าสนใจมากเพราะเป็นข้อมูลที่ผู้ป่วยได้ใช้ในการปรึกษาแพทย์ได้ด้วย อ่านได้จาก Identification of Patients With Stable Chest Pain Deriving Minimal Value From Noninvasive Testing: The PROMISE Minimal-Risk Tool, A Secondary Analysis of a Randomized Clinical Trial. JAMA Cardiol. Published online February 15, 2017. doi:10.1001/jamacardio.2016.5501.
ไม่มีความเห็น
การศึกษานี้ยืนยันว่าการออกกำลังที่ทำให้หนักขึ้น หมายความว่า เคยออกกำลังกายอยู่เท่าไหร่แล้วพยายามเพิ่มขึ้นให้ถึงระดับที่ร่างกายทนได้แต่เหนื่อยขึ้นนั้น ช่วยให้อายุยืนขึ้นทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย อ่านได้จาก Change in Maximal Exercise Capacity Is Associated With Survival in Men and Women. Mayo Clin Proc. Published online: February 06, 2017. DOI: http://dx.doi.org/10.1016/j.mayocp.2016.12.016.
ไม่มีความเห็น
เทคนิคในการช่วยจำด้วยคำย่อนี่ใช้ได้กับหลายๆเรื่องจริงๆ อันนี้เป็นของหมอผิวหนังที่ลงตีพิมพ์เร็วๆนี้ สำหรับเอาไว้คัดแยกลักษณะที่ถูกแมงมุมกัด ชอบที่เขาเข้าใจใช้คำย่อที่เรียกว่า mnenomic ที่สื่อสารและตรงกับความหมายเลย นั่นคือ NOT RECLUSE เพื่อเอาไว้สื่อว่าถ้าดูแล้วมีลักษณะนี้จะไม่ใช่แผลที่เกิดจากแมงมุม recluse กัด ซึ่งแผลที่ผิวหนังนั้นใช้แยกโรคด้วยลักษณะที่เห็นนั่นเอง อ่านรายละเอียดได้จาก NOT RECLUSE—A Mnemonic Device to Avoid False Diagnoses of Brown Recluse Spider Bites. JAMA Dermatol. Published online February 15, 2017. doi:10.1001/jamadermatol.2016.5665.
ไม่มีความเห็น
การศึกษานี้จากแพทย์ออสเตรเลีย แต่น่าจะคล้ายคลึงกันหมดทุกที่ เขาพบว่าแพทย์มีแนวโน้มที่จะประเมินโทษของการทำการทดสอบและการรักษาต่างๆต่ำกว่าเป็นจริง และประเมินประโยชน์ของการทำมากกว่าที่เป็นจริง หมายความว่าการสั่งการรักษา หรือตรวจต่างๆนั้น อาจจะมีโทษมากกว่าเป็นประโยชน์ต่อคนไข้ ถ้ามีการศึกษาแบบนี้ออกมาก็จะช่วยให้แพทย์ตระหนักถึงเกณฑ์ต่างๆในการสั่งตรวจให้ครบถ้วนก่อนจะสั่งเพื่อให้โทษและประโยชน์มีสัดส่วนที่สมควรนะคะ อ่านได้จาก Clinicians’ Expectations of the Benefits and Harms of Treatments, Screening, and Tests: A Systematic Review. JAMA Intern Med. Published online January 9, 2017. doi:10.1001/jamainternmed.2016.8254.
ไม่มีความเห็น
บทความจากคุณหมอ George Lundberg ที่ MedScape ชื่อ Healthy Holiday Eating for All, Ho, Ho, Ho! เป็นเรื่องที่เหมาะกับเทศกาลปีใหม่ เพราะท่านเตือนเรื่องของการฉลองเทศกาลด้วยการกิน ดื่ม ว่าเป็นเรื่องที่เราเองเท่านั้นที่จะควบคุมดูแลตัวเองได้ มีรายละเอียดที่น่าสนใจหลายเรื่องทีเดียวค่ะ
ไม่มีความเห็น
เรื่องน่าอายแบบนี้ คนที่ทำก็คงหมดความน่าเชื่อถือไปทันทีไม่ว่าจะเคยมีผลงานมามากขนาดไหน หากประพฤติเช่นนี้ได้ก็ไม่สมควรแก่การนับถืออีกเลย จดหมายเปิดผนึกถึงผู้ที่คัดลอกบทความไปเป็นของตัวเองฉบับนี้ น่าจะช่วยเตือนสติผู้ที่คิดจะทำได้บ้าง เป็นจดหมายจากผู้วิจัยที่ส่งงานตีพิมพ์ในวารสารที่มีชื่อเสียงอย่าง Annals of Internal Medicine ว่าผลงานที่ส่งตีพิมพ์แล้วไม่ได้รับการพิจารณาลงพิมพ์ มีผู้เอาไปตีพิมพ์ในวารสารอื่นในสองสามเดือนให้หลัง เนื้อความเป็นสิ่งที่ผู้วิจัยเขียน แต่ชื่อผู้วิจัยทั้งหมดและสถานที่เปลี่ยน เมื่อสืบสวนก็ปรากฎว่าผู้ที่เอาไปตีพิมพ์คือผู้ที่ทำหน้าที่ทบทวนงานตีพิมพ์ว่าเชื่อถือได้และมีคุณภาพพอจะตีพิมพ์หรือไม่ (reviewer) แต่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกซึ่งมีผลงานตีพิมพ์มากว่า 50 เรื่อง ซึ่งเขาก็ยอมรับและขอถอนงานวิจัยที่ตีพิมม์นั้นออก แต่ไม่มีการลงโทษหรือรับผิดชอบอื่นๆใดจากต้นสังกัด เจ้าของเรื่องก็เลยเขียนเป็นจดหมายเปิดผนึกนี้ขึ้นมา เพื่อเตือนสติผู้ที่จะทำในอนาคต และแจ้งบรรณาธิการวารสารนี้ด้วย เพราะเขาบอกว่าบางสถาบันอาจไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่ในวงการควรจะถือเป็นอย่างยิ่งและไม่ควรให้นักวิจัยคนนี้เป็น reviewer อีก อ่านได้จาก Dear Plagiarist: A Letter to a Peer Reviewer Who Stole and Published Our Manuscript as His Own. Ann Intern Med. 2016. DOI: 10.7326/M16-2551.
น่าตกใจนะคะ อ โอ๋
รายงานนี้ช่วยยืนยันว่า การใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพเอาชนะได้แม้แต่พันธุกรรมไม่ดีที่เราอาจจะมีติดตัวมา จากการวิเคราะห์โอกาสเสี่ยงในช่วงสิบปี พบว่าในผู้ที่มีพันธุกรรมเสี่ยงซึ่งใช้ชีวิตแบบไม่รักษาสุขภาพ มีโอกาสเสี่ยงต่อหัวใจวาย 10% ในขณะที่มีพันธุกรรมเสี่ยงเหมือนกันแต่ใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพ โอกาสเสี่ยงนี้ลดลงครึ่งหนึ่งทีเดียว แานได้จาก Genetic risk, adherence to a healthy lifestyle, and coronary disease. N Engl J Med 2016; 375:2349-2358. DOI: 10.1056/NEJMoa1605086.
ไม่มีความเห็น
รายงานมีประโยชน์และควรช่วยกันเผยแพร่ให้คนไข้รับรู้เพื่อดูแลตัวเองไปด้วย เพราะคนไข้ที่ต้องใช้ยาละลายลิ่มเลือดวาร์ฟารินนั้นมีไม่น้อย เขาพบว่าสำหรับผู้ที่มีโรคหลอดเลือดหัวใจหรือมีภาวะไตบกพร่องปานกลางหากเริ่มใช้ยานี้จะมีโอกาสพัฒนาไปถึงภาวะไตเสื่อมรุนแรงได้ภายในเวลาเพียงหนึ่งเดือน ต้องคอยติดตามดูอย่างใกล้ชิดเพื่อจะได้ปรับขนาดยาหรือปรับเปลี่ยนวิธีการรักษาได้ทันท่วงที อ่านได้จาก Incidence of severe renal dysfunction among individuals taking warfarin and implications for non–vitamin K oral anticoagulants. Am Heart J 2016; DOI:10.1016/j.ahj.2016.08.017.
ไม่มีความเห็น
รายงานนี้รวบรวมวิเคราะห์การศึกษาจากหลายประเทศพบว่าการกินอาหารที่มีแมกนีเซียมลดอัตราเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคหลอดเลือดสมองรวมทั้งเบาหวานชนิดที่สองได้ อาหารที่มีแมกนีเซียมสูงก็เช่น ธัญพืช ผักใบเขียวและถั่วต่างๆ อ่านรายละเอียดได้จาก Dietary magnesium intake and the risk of cardiovascular disease, type 2 diabetes, and all-cause mortality: a dose-response meta-analysis of prospective cohort studies. BMC Med 2016; 14:210. DOI: 10.1186/s12916-016-0742-z.
ไม่มีความเห็น
รายงานการวิเคราะห์การศึกษาหลายๆการศึกษาเรื่องนี้พบว่าการกินไข่ประมาณวันละฟองสัมพันธ์กับการลดอัตราเกิดโรคหลอดเลือดสมอง (stroke) ถึง 12% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่กินน้อยกว่านี้ แต่ไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างการกินไข่กับโรคหลอดเลือดหัวใจ ถึงแม้ผู้รายงานจะระบุว่าหลักฐานแบบนี้เป็นข้อมูลที่ชัดเจน แต่ก็ควรมีการศึกษากลไกด้วยว่าเป็นเพราะอะไร แต่ยังไงก็เป็นหลักฐานที่ช่วยให้เรากินไข่ได้สบายใจขึ้นนะคะ อ่านรายละเอียดการวิเคราะห์ได้จาก Meta-analysis of Egg Consumption and Risk of Coronary Heart Disease and Stroke. J Am Coll Nutr. 2016;35:704-716.
ไม่มีความเห็น
จัดการเป็นระบบนี่เห็นผลชัดจริงๆ รายงานนี้แสดงให้เห็นว่า คนอเมริกันมีแนวโน้มของระดับไขมันลดลงอย่างมาก โดยไม่ได้สัมพันธ์กับการใช้ยาลดไขมัน เขาประเมินกันว่าน่าจะเป็นเพราะนโยบายการกำหนดไม่ให้มีการใช้กรดไขมันทรานส์ในอาหาร อ่านได้จาก Trends in total cholesterol, triglycerides, and low-density lipoprotein in US adults, 1999-2014. JAMA Card 2016; DOI:10.1001/jamacardio.2016.4396.
ไม่มีความเห็น
เรื่องนี้สมควรขยายให้เป็นที่รู้กันทั่วๆ เพราะรายงานนี้เป็นประจักษ์พยานที่ดีมาก สำหรับประโยชน์ของการออกกำลังกายสม่ำเสมอ ซึ่งทำอย่างเป็นระบบ จะช่วยให้คนสามารถปฏิบัติตามได้ดีขึ้นและเห็นผลชัดเจนกว่าเพียงแค่แนะนำให้ทำเฉยๆ โดยรายงานนี้ประเมินโครงการที่มีเกณฑ์หลักๆคือให้รักษาน้ำหนักให้คงที่และออกกำลังกายในระดับปานกลางถึงเข้มข้น สัปดาห์ละ 150 นาที ซึ่งผลของ 10 ปีผ่านไปลดอัตราการเกิดโรคเบาหวานได้เกินครึ่ง ทำให้นักวิจัยแนะนำว่า แพทย์ปฐมภูมิน่าจะจัดให้คนไข้เข้าร่วมกับโปรแกรมการออกกำลังกายในลักษณะนี้ เราจะได้ไม่ต้องมาตามรักษากันในภายหลัง อ่านได้จาก Activity and Sedentary Time 10 Years After a Successful Lifestyle Intervention: The Diabetes Prevention Program. Am J Prev Med. Published online November 21, 2016. DOI: http://dx.doi.org/10.1016/j.amepre.2016.10.007
3 ครั้งต่อสัปดาห์ก็ดีนะคะ
จากการที่ได้เริ่มออกกำลังกายอย่างจริงจัง เห็นด้วยอย่างยิ่งกับเรื่องนี้ค่ะ
อยากให้บ้านเรามีแนวโน้มแบบเขาบ้างจัง ของอเมริกาช่วง 2010 และ 2014 เขาพบว่าอัตราการเสียชีวิตจากโรคที่ป้องกันปัจจัยเสี่ยงได้อย่างโรคเกี่ยวกับหัวใจ หลอดเลือดสมองตีบและมะเร็งลดลง แต่พวกโรคจากการล้มและยาเกินขนาดเพิ่มขึ้น อ่านได้จาก Potentially Preventable Deaths Among the Five Leading Causes of Death — United States, 2010 and 2014. MMWR Morb Mortal Wkly Rep 2016;65:1245–1255. DOI: http://dx.doi.org/10.15585/mmwr.mm6545a1.
ไม่มีความเห็น
รายงานนี้พบว่าการตรวจ HbA1c เพื่อช่วยในการค้นหาผู้ที่มีภาวะก่อนเบาหวานอาจจะช่วยให้สามารถช่วยลดปัญหาแทรกซ้อนที่จะเกิดตามมาได้มาก อ่านได้จาก Comparative prognostic performance of definitions of prediabetes: a prospective cohort analysis of the Atherosclerosis Risk in Communities (ARIC) study. Lancet Diabetes Endocrinol. Published online November 15 2016. DOI: http://dx.doi.org/10.1016/S2213-8587(16)30321-7.
ไม่มีความเห็น
รายงานนี้ทำให้เห็นว่า ถ้ามีมาตรการช่วยควบคุมเรื่องอาหารก็จะช่วยให้ประชากรลดความดันโลหิตลงได้ เพราะเขาพบว่าทั่วโลกมีอุบัติการณ์ของคนที่เป็นความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าจากปี 1975 ซึ่งเมื่อแยกกลุ่มประเทศก็จะเห็นว่า ประเทศกลุ่มร่ำรวยที่เคยมีคนเป็นโรคนี้มากกลับมีแนวโน้มลดลง แต่ประเทศกลุ่มกำลังพัฒนาทั้งหลายเป็นไปในทางเพิ่มขึ้น รวมทั้งแถวบ้านเราด้วย หน่วยงานภาครัฐคงต้องมีนโยบายจริงจังกับผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูปแบบประเทศกลุ่มที่เขาทำได้ จึงจะเป็นผลนะคะ อ่านได้จาก Worldwide trends in blood pressure from 1975 to 2015: a pooled analysis of 1479 population-based measurement studies with 19·1 million participants. Lancet. Published online November 15, 2016. DOI: http://dx.doi.org/10.1016/S0140-6736(16)31919-5.
ไม่มีความเห็น
บทความนี้ของ MedScape น่าสนใจมาก บ้านเราก็น่าจะถือเป็นปัญหาใหญ่และตามรอยวิธีควบคุมอย่างเป็นระบบของเขาได้บ้าง ชื่อเรื่องก็น่าสนใจ เพราะเขาบอกว่า น้ำตาลก็คือบุหรี่แบบใหม่ ควรจะจัดการแบบนั้นเลย คือรังเกียจและควบคุมบุหรี่อย่างไร น้ำตาลก็ควรจะโดนเหมือนกัน เป็นคอนเซ็ปที่น่าสนใจมาก อ่านได้จาก Sugar Is the New Tobacco, so Let's Treat It That Way.
ไม่มีความเห็น