อนุทินล่าสุด


Napasorn
เขียนเมื่อ

                                                             สบาย ๆ ไม่ ไกล ม. 

             มหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ต เป็นสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ท่ามกลางแหล่งชุมชน มีการค้าขาย อาหาร สินค้า ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า ร้านอาหารทั่วไป , ตลาด หรือแม้กระทั่งห้างสรรพสินค้า Big C SuperCenter ทำให้นักศึกษามีหลากหลายตัวเลือกในการใช้เวลาว่าง

             เนื่องด้วยวัยส่วนใหญ่ เป็นวัยรุ่นอายุ 18 – 26 เป็นวัยกำลังเจริญเติบโตและทุ่มเทเวลาให้กับการรับประทานอาหาร การช็อปปิ้ง จับจ่ายใช้สอย สนุกสนานกันตามประสา  ทั้งนี้ยังต้องใช้ชีวิตแบด้วยตัวเอง มีหอพักมากมายรอบๆมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ทำให้กลายเป็นแหล่งชุมชนที่เจริญรุ่งเรือง ในช่วงเย็นๆ นักเรียน นักศึกษาออกมาจ่ายตลาดกันเยอะแยะ  ในช่วงพักเที่ยงก็มีร้านอาหารมากมายหลายตัวเลือกเพื่อรอรับนักศึกษาที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศ จากในมหาลัยไปทานข้างนอก  ที่ฉันอยากจะแนะนำก็คือ ร้านข้าวมันไก้เจ้าเก่า (เจ้สาว) ซึ่งเปิดมานานมากเท่าที่ฉันจำได้ ที่นี่มีทั้งข้าวมัน , ข้าหมกไก่ย่าง , ไก่ต้ม , ไก่ทรงเครื่อง หมูย่าง ไก่ทอด หมูทอด  ลูกค้าร้านนี้เยอะมาตลอด เพราะรสชาติอาหารที่ถูกปาก ที่ฉันชอบมากขาดไม่ได้เลยคือ น้ำซุปของทางร้าน ซึ่งมีทั้งน้ำซุปต้มยำ และ น้ำซุปธรรมดา ฉันชอบน้ำซุปต้มยำมาก คิดว่าวัยรุ่นส่วนใหญ่น่าจะชอบกันเพราะเวลาฉันไปกินกับเพื่อนๆทีไร ฉันต้องโดนแย่งน้ำซุปตลอดเลย  ข้าวมันไก่ต้มก็อร่อยมาก ฉันติดใจในเนื้อไก่ต้ม ที่ทำออกมาได้พอดีมาก นุ่มๆ ไม่แข็งหรือคาวจนเกินไป  เวลาฉันสั่งข้าวมันไก่ต้มฉันชอบราดซอสซีอิ๊วดำ , เต้าเจี้ยว และน้ำสีแดง (น้ำสีแดงน่าจะเป็นน้ำจากไก่เครื่อง) เพื่อนๆมักจะตกใจเสมอ แต่ฉันอยากบอกว่า ทำแบบนี้แล้วรู้สึกว่ามันอร่อยมาก  อันที่จริงวิธีนี้พ่อฉันเป็นคนสอนมาค่ะ พ่อบอกเสมอเลยว่า ราดเยอะๆแล้วมันอร่อยมาก

             ข้าวหมกไก่เครื่องของที่นี้ก็จัดได้ว่าเป็นเมนูเด็ดของร้านเลยค่ะ รับประกันได้เลยค่ะว่าไม่ผิดหวัง ที่ร้านมีผักเครื่องเคียงเป็นผักกาดแก้ว พริก แตงกวา ซึ่งเป็นผักสด น่ารับประทาน เข้ากันได้ดีกับข้าว เครื่องดื่มที่นี่ที่พิเศษก็มีเป็นน้ำผลไม้สดปั่น ปั่นสดๆกันหน้าร้านเลยค่ะ มีทั้งแตงโม กล้วย มะเขือเทศ แครอท มะนาว ส้ม ละมุด และผลไม้อื่นๆอีกมากมาย  นอกจากนี้มี นมเย็น ชาดำเย็น ชาเย็น เก๊กฮวย กระเจี๊ยบ และอื่นๆ แต่ถ้าให้ฉันแนะนำ  คงเป็นน้ำผลไม้ปั่นค่ะ เพราะราคาไม่แพงมาก แถมอร่อยด้วย

             เวลาว่างระหว่างรอคาบเรียน ฉันกับเพื่อนๆมักชอบมาอยู่ในห้องสมุดค่ะ เพราะฉันคิดว่าที่นี่สงบ มีโซฟา แอร์เย็น มีหนังสือมากมายให้เลือกอ่าน ถ้าขึ้นไปอีกหน่อยเป็นชั้น 4 ก็สบายมี WiFi – Innternet ให้เล่น สะดวกมากเลยค่ะ วัยอย่างเราขอแค่เป็นสถานที่ที่มีอินเตอร์เน็ต ก็สามารถอยู่ได้ทั้งวันแล้วค่ะ ด้านล่างของห้องสมุดก็มีมุมให้พักผ่อนทานขนมนมเนย พบปะ พูดคุยกันกับเพื่อนๆ

             ตกเย็นสถานที่ที่ฉันไปกับเพื่อนๆอยู่เสมอหลังเลิกเรียน คือ ร้าน Mellow Yellow สาขาสามกอง ใกล้ๆกับมหาวิทยาลัยของเรานี่เองค่ะ ที่ชอบไปเพราะร้านนี้มีบรรยากาศดี สบายๆเหมาะกับทุกวัย มีเค้กและเครื่องดื่มชาไข่มุกหลายรสชาด มีให้เลือกมากกว่า 40 รายการ และทอปปิ้งมากมาย  ที่เป็นเอกลักษณ์ของร้านเลยฉันคิดว่าเป็น เมลโล่ป๊อป ซึ่งเป็นเม็ดเล็กๆใสๆคล้ายไข่มุก พอกัดเมล-โล่ป๊อปข้างในจะมีน้ำเป็นรสแอปเปิ้ล สตรอเบอร์รี่ ลิ้นจี่ แตกข้างในปาก ฉันรู้สึกประหลาดใจมากในวันที่ลองทานครั้งแรกซึ่งไม่เคยทานที่ไหนมาก่อน

           ทั้งหมดนี้ฉันได้แนะนำแหล่งที่กิน ที่เที่ยวของฉันในระแวกมหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ตไปบางส่วนแล้ว ซึ่งยังไม่ทั้งหมด  มีสถานที่เที่ยวและร้านอาหารอื่นๆอีกมากมาย ฉันคิดว่าบทความนี้คงเป็นประโยชน์กับผู้อื่น สามารถแนะนำผู้ที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศในการใช้เวลาว่างเพื่อการพักผ่อน.

 

                                                           



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Napasorn
เขียนเมื่อ

วันหนึ่งในฤดูหนาว 

              เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวสิ่งที่นึกถึงคงเป็นอากาศหนาวเย็นที่มาพร้อมกับวันหยุดพักผ่อน ที่มีมากกว่าเดือนอื่นๆในปีหนึ่งไม่ว่าจะเป็นวันหยุดราชการของไทยหรือวันหยุดสากลของหลายๆประเทศ ที่เด่นชัดมีการจัดเทศกาลไปทั่วโลกเลยคือ วันปีใหม่นั่นเอง

               วันปีใหม่ถือเป็นเทศกาลที่มีในทั่วทุกมุมโลก มีการเฉลิมฉลองจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ต้อนรับปีใหม่กันอย่างคึกครื้น  รวมทั้งในจังหวัดภูเก็ตของเราเองก็ได้รับการสนับสนุนจากทางองค์กรต่างๆภายในจังหวัดภูเก็ต เพื่อช่วยผลักดันทางด้านการท่องเที่ยวภายในจังหวัดมีการจัดงานโชว์สินค้า  เวทีการแสดงต่างๆมากมาย ในวันปีใหม่ที่ผ่านมานี้ฉันเองก็ได้มีโอกาสไปร่วมเที่ยวชมงานต่างๆเหล่านี้ เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2556 ฉันและแม่ได้พาน้องชาย ซึ่งกลับมาจากหาดใหญ่เนื่องจากไปศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยที่นั่น ไปเดินเที่ยวชมงานกาชาดจังหวัดภูเก็ตที่เวทีกลางสะพานหินมีเสื้อผ้า สินค้าราคาถูกเยอะแยะมากมาย ส่วนใหญ่ที่ไปเดินในงานก็มีเป็นชาวต่างชาติทั้งนั้นเลยค่ะทีแรกก็ตกใจ เอ๊ะ!! นี่เราเผลอเดินออกมาประเทศพม่าหรือเปล่า? นึกไปก็ขำไปเพราะพม่าเดินว่อนกันทั้งงานเลยค่ะหน้าตาฉันก็ละม้ายคล้ายคลึงกันซะด้วย (= =^)

           เดินเข้าไปในซอยข้างเวทีการแสดงจนถึงบริเวณหลังเวทีก็มีซุ้มปาลูกโป่ง ยิงลูกดอก ปาลูกดอกต่างๆนานามากมายให้เลือกเล่นกัน ฉันก็ไปเจอกับซุ้มๆหนึ่งซึ่งแบล็คกราวด์เป็นตารางหมากฮอสมีเลข 6 กับ 9 ในช่องแต่ละช่อง ดูแล้วก็ตาลายกันเลยทีเดียวค่ะ กติกาคือมีลูกดอกลูกละ 20 บาท 3 ดอก 50 บาท ปาให้โดนเฉพาะเลข 9 แล้วพ่อค้าบอกให้เลือกตุ๊กตาตัวไหนก็ได้ในร้าน ฉันก็รู้สึกอยากได้มากเลยค่ะฝันอยู่เสมอว่าอยากเดินถือตุ๊กตาตัวใหญ่กลับบ้านสักครั้ง แต่เนื่องจากตัวเองไม่มีโชคทางด้านนี้เลยแต่ครั้งนี้ฉันรู้สึกมั่นใจมากค่ะว่าจะได้ถือตุ๊กตากลับบ้านเพราะมีน้องชายมาด้วย ฉันเลยขอแม่ ลองเล่นกันดูค่ะ เราซื้อกันแค่ลูกดอกเดียวค่ะ 20 บาท พ่อค้าขายลูกดอกเสร็จก็ไม่ได้สนใจอะไรขายดอกอื่นต่อไป และแล้วน้องชายของฉันก็ปาโดนเลข 9 โดยลูกดอกเพียงลูกเดียวที่ซื้อมานั่นแหละค่ะ ฉันดีใจมากลูกๆของพ่อค้าก็ดูดีใจไปกับฉันด้วยตามภาษาเด็กน่ะค่ะ   

        สุดท้ายฉันก็ได้หมอนตุ๊กตาตัวใหญ่กลับบ้าน วันถัดมาฉัน แม่และน้องก็ได้ไปไหว้พระที่ศาลเจ้าฮกหงวนก้ง  ซึ่งเหมือนกับไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่เนื่องจากตอนที่น้องเรียนอยู่ชั้นประถมนั้นเกิดปวดท้องอยู่หลายวันนอนโรงพยาบาลเป็นสัปดาห์ น้ำเกลือปาเข้าไป 10 ถุงก็ยังไม่หายปวดรุนแรงถึงขั้นชักก็มีค่ะ จนในที่สุดพ่อต้องไปไหว้พระจ้อซือก้งที่ศาลเจ้านี้หลังจากนั้นน้องจึงมีอาการดีขึ้นเราจึงมาไหว้ นำผลไม้มาไหว้อยู่บ่อยครั้ง และครั้งนี้จึงไม่ลืมที่จะพาน้องไปไหว้ท่านก่อนจะเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้น

                                                

      ในคืนวันที่ 31 ธันวาคม ของปี 2556 นั้น ฉันออกไปเที่ยวงานปีใหม่นอกบ้าน อยากบอกมากๆเลยค่ะว่าไม่มีใครเชื่อฉันเลยว่าอาจารย์ที่เคารพมีคำสั่งการบ้านให้ไปเก็บภาพบรรยากาศงานปีใหม่ข้างนอก ทุกคนหาว่าฉันใช้เป็นข้ออ้างเพื่อออกไปเที่ยวจนในที่สุดฉันก็ต้องหยิบใบงานมาให้ดูเพื่อเป็นการยืนยัน หลังจากนั้นถึงจะเชื่อค่ะ ช่างเป็นการออกจากบ้านที่ยากลำบากเหลือเกินค่ะ แต่ปกติวันปีใหม่ของทุกๆปีที่ผ่านมาฉันจะอยู่เคาท์ดาวน์ที่บ้านมากกว่าออกไปสังสรรค์ข้างนอก  เพราะกลัวว่าถ้าออกไปจะมีแต่อันตรายทั้งอุบัติเหตุคนเมาแล้วขับ หรือ โจร เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่เราจะเห็นข่าวราวๆนี้บ่อยในช่วงเทศกาล ครั้งนี้ออกไปเพราะความจำเป็นแต่ก็คุ้มค่ากันค่ะ ได้ประสบการณ์อะไรใหม่ๆ  วันนั้นสถานที่ที่ฉันเลือกไปคืองาน “ Phuket Colorful Countdown 2014 ” ซึ่งจัดขึ้นโดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ตร่วมกับหลายๆองค์กร ตั้งแต่วันที่ 28 –31 ธันวาคม 2556 ณ สนามชัยอำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ภายในงานมีการจัดกิจกรรมต่างๆมากมายอาทิเช่น  การแสดงวงดนตรี / การแสดงเต้นประกอบเพลง การประกวดร้องเพลงไทยสากล การประกวด Miss City Girl Phuket Colorful Countdown Phuket 2014 การแสดงจากศิลปินดารานักร้อง การจัดการแสดงโคมไฟรูปร่างต่างๆ และภายในงานมีโต๊ะเพื่อรองรับผู้ที่มาเที่ยวชมได้ซื้อสินค้าอาหารภายในงานได้นั่งรับประทานอย่างสะดวกสบาย อาหารก็มีให้เลือกซื้อหลายอย่างราคาพอประมาณไม่แพงจนเกินไป ผู้คนที่มาก็มีทั้งคนในท้องถิ่นและชาวต่างชาติที่มาเดินเล่น ถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน

             เมื่อเดินมาถึงด้านหน้างานสิ่งที่เราจะเห็นเป็นอันดับแรกเลยนั้น คือ โคมไฟสีสัน รูปร่างต่างๆของในแต่ประเทศที่เป็นอาเซียนไม่ว่าจะเป็นโคมไฟประจำชาติญี่ปุ่น ลาว พม่า เวียดนาม จีน เป็นต้น ซึ่งแขวนเรียงรายกันเป็นทางยาวเหมือนอุโมงค์ทางเข้า ที่ส่องแสงสวยงามเป็นอย่างมาก มีผู้ที่สนใจถ่ายรูปกับโคมไฟกันมากมายรวมถึงฉันด้วยเช่นกัน ซึ่งเมื่อฉันเห็นครั้งแรกก็รู้สึกชอบและประทับใจมาก ต้องเก็บภาพสวยๆเหล่านั้นไว้เป็นที่ระลึก ด้านในของงานยังมีการจัดแสดงโคมไฟเป็นรูปร่างอื่นอีกมาก เช่น โคมลอย รูปว่าวจุฬา  นอกจากนี้ยังมีป้ายแบล็คกราวด์เป็นภาพสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของหลายๆประเทศ ที่จำได้ก็มีเป็นภาพ Universal Studio Singapore และภาพวัดพระแก้ว ของไทยเรานี่เอง

          บริเวณด้านหน้าเวที ส่วนกลางของงานมีการจัดใต้ท้องทะเลจำลองขนาดเล็กซึ่งทั้งหมดนี้เป็นโคมไฟ มีทั้งปลาน้อยใหญ่ ปะการัง แมงกะพรุน ตั้งเป็นซุ้มขนาดกลาง ด้านบนของซุ้มตกแต่งไปด้วยหลอดไฟดวงเล็กๆสีฟ้าปูเป็นหลังคาของใต้ท้องทะเลจำลองนี้ มีสีสันสวยงามเป็นอย่างมาก บางส่วนถูกแขวนด้วยเจ้าปลาน้อยใหญ่เหมือนกับว่ามันกำลังแหวกว่ายอยู่  ด้านข้างของงานมีการจัดกิจกรรมซึ่งเป็นบู๊ธของเอไอเอส มีกิจกรรมแจกของรางวัลสำหรับลูกค้าเอไอเอส และบุคคลทั่วไป เด็กๆที่มาเที่ยวงานนั้นชอบและเล่นกิจกรรมของทางเอไอเอสกันอย่างสนุกสนานได้ตุ๊กตาน้องอุ่นใจกลับบ้านกันคนละตัว  บรรยากาศของบู๊ธนั้นตกแต่งได้น่ารักสะดุดตาผู้ที่เดินผ่านไปมามาก มีน้องอุ่นใจซึ่งเป็นมาสคอตของทางบริษัทนั่งอยู่บนตัวม้าขนาดใหญ่ ฉันเห็นว่ามันน่ารักมาก จึงเข้าไปดูและถ่ายรูปมาบางส่วน

                               

            ฉันยังคงอยู่ภายในงาน เก็บภาพบรรยากาศไปเรื่อยจนไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนั้นเป็นเวลาที่ค่อนข้างดึกมากแล้ว จริงๆฉันไม่ได้ตั้งใจออกมาเคาท์ดาวน์นับถอยหลังเพื่อนเริ่มเข้าสู่วันใหม่ปีใหม่อะไรกับเขาหรอกตั้งใจจะมาทำงานเท่านั้น แต่บรรยากาศ การแสดงต่างๆของที่นี่ทำให้ฉันลืมสิ่งเหล่านั้นไปเลยจริงๆค่ะถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมาก ดนตรีที่เล่นอยู่ในตอนนั้นเป็นวงดนตรีของวง ซูเปอร์แดนซ์สามกองค่ะ เด็กๆร้องเพราะมากเต้นเก่งด้วยค่ะ ทำเอาคนดูมันส์จนต้องเต้นตามไปด้วยเลยทีเดียว (คนๆนั้นคือฉันกับเพื่อนที่ไปด้วยกันเองค่ะ) เดินถ่ายรูปกันสักพักจนเริ่มหิวกันบ้างแล้วบริเวณรอบมีร้านขายอาหาร เสื้อผ้าบาติก และขนมต่างๆ หนึ่งในนั้นคือ ขนมสายไหม น้ำตาลสีสันสวยหน้าตาคล้ายกับสำลีนั่นล่ะค่ะ ไม้ละ 10 บาท โดยส่วนตัวฉันไม่ได้ชอบของหวานหรอกค่ะ แต่ได้ถือแล้วมันดูน่ารักดี เข้ากับบรรยากาศในงาน

                       

              ในระหว่างที่เดินหาอะไรรองท้อง ในตอนนั้นเองพิธีกรบนเวทีได้ประกาศชื่อนักร้องที่กำลังจะขึ้นมาแสดงเป็นลำดับต่อไป ที่ฉันรู้สึกประหลาดใจและดีใจมากเพราะชื่อที่ถูกกล่า  ขึ้นนั้นเป็นชื่อของนักร้องที่ฉันชื่นชอบมากและไม่คิดว่าจะได้ชมการแสดงสดจากเธอคนนี้มา ก่อนเธอคนนั้นก็คือ โรส ศิรินทิพย์ ค่ะ จริงๆ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่างานนี้มีการเชิญศิลปินที่มีชื่อเสียงมาแสดงในงาน พี่โรสเปิดตัวด้วยเพลง ก้อนหินก้อนนั้น ซึ่งเป็นเพลงที่ดัง และเก่าพอสมควรแต่ถึงยังไงก็คงไพเราะอยู่เหมือนเดิม หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยเป๊ก ผลิตโชค นักร้องขวัญใจวัยรุ่นอีกหนึ่งคนที่ถือว่าออกมาเอนเตอร์-เทรนคนดูได้เป็นอย่างดี ทำให้บรรยากาศในงานสนุกครึกครื้นมากขึ้น

 

       หลังจากการแสดงบนเวทีจบลง ก็ได้เวลาสมควรในการนับถอยหลังเพื่อก้าวเข้าสู่ปี 2557  และแล้วพิธีกรบนเวทีก็เริ่มต้นนับ

 10.. 9.. 8.. 7.. 6.. 5.. 4.. 3.. 2.. 1.. สิ้นสุดเสียงการนับก็มีเสียงพลุดังขึ้นดังขึ้นตามกันมาเรื่อยๆ

พลุที่จุดนั้นฉันคิดว่ามีมากว่า 100 นัด ซึ่งมีลวดลายสีสันแตกต่างกันไป ฉันยืนมองด้วยความชื่นชอบ ยืนดูอยู่นานพอสมควรและพลุก็หมดลง หลังจากนั้นผู้คนก็ต่างเริ่มทยอยกันกลับบ้าน

 

                             

 

       เช้าวันที่ 1 มกราคมของปี พ.ศ 2557 ฉันตื่นแต่เช้ามาเพื่อร่วมทำบุญถวายข้าวสารอาหารแห้งซึ่งเป็นกิจกรรมในหมู่บ้าน ที่จัดขึ้นโดยนิมนต์พระ 5 รูปมา มีสมาชิกในหมู่บ้านหลายคนออกไปยืนรอเพื่อที่จะถวายสังฆทาน นับเป็นวันดีอีกหนึ่งวันที่ทำให้สมาชิกในหมู่บ้านนั้นออกมารวมตัวเพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน ได้พบปะพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เมื่อถวายสังฆทานเสร็จเรียบร้อยทุกคนก็มานั่งรวมกันเพื่อรับพรจากพระสงฆ์ทั้ง 5 รูป

                 ปีใหม่ครั้งนี้ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีของฉันอย่างมากเลยล่ะค่ะ ได้ออกมาเคาท์ดาวน์ข้างนอกซึ่งแตกต่างจากการอยู่แต่ในบ้านมาก บรรยากาศต่างกันลิบลับเลยค่ะ และก็ไม่อันตรายอย่างที่คิดไว้ ยิ่งตอนที่จุดพลุเฉลิมฉลองกันรู้สึกมีความสุขและปิติมากกว่านอนดูพลุในจอแก้วที่บ้าน หรือชะเง้อออกมาดูทางประตูรั้วหน้าบ้านอีกค่ะ ได้ดูแสงสีเสียงกับคนเป็นร้อยเป็นพันมันรู้สึกดียิ่งกว่า ประสบการณ์ในครั้งนี้ต้องขอขอบคุณอาจารย์เป็นอย่างมากที่ทำให้ได้ไปเจออะไรใหม่ๆมากกว่าที่ฉันคิดไว้ ความสุขครั้งนี้ฉันจะไม่ลืมเลยค่ะ กับการเคาท์ดาวน์นอกบ้านครั้งแรกในชีวิตของฉัน

                   

                                                                                              



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Napasorn
เขียนเมื่อ

                    One Fine Day    หนึ่งวันสบายๆ 

         สำหรับฉันถ้ามีเวลาหยุดจากงาน การเรียน หรือกิจกรรมใดๆก็แล้วแต่ ฉันอยากจะนำร่างเล็กๆของตัวเองโผบินไปยังที่ๆเป็นธรรมชาติ มีป่า มีภูเขา ลำธารโดยทันที  แต่ก็ได้เพียงแค่คิดค่ะ เอาเข้าจริงๆแล้วฉันจะใช้เวลานั้นอยู่กับห้องนอนสี่เหลี่ยมเล็กๆซะมากกว่า เพราะร่างกายเหนื่อยล้า รวมกับเสียงในสมองตะโกนบอกว่า “ฉันขอพักงีบก่อนละกัน ไม่มีแรงจะทำอะไรแล้ว” ช่างเป็นเหตุผลได้ดีสำหรับคนขี้เกียจนัก    

          งานที่ฉันได้รับมอบหมายครั้งนี้ถือเป็นเรื่องดีเลยค่ะ  ทำให้ฉันได้ออกจากบ้านไปทำตามความต้องการของตัวเองสักที สำหรับวันสบายๆแบบนี้ของฉัน  แน่นอนฉันเลือกสถานที่ที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวเมืองนี่เองค่ะ เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติในภูเก็ตที่ค่อนข้างเงียบสงบ  สถานที่แรกที่ฉันไปนั้น คือ น้ำตกกะทู้ค่ะ

         น้ำตกกะทู้ เป็นน้ำตกที่มีขนาดเล็ก เงียบสงบ ร่มรื่นด้วยต้นไม้ดอกไม้นานาพรรณ   อยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอกะทู้ 4 กิโลเมตร  มีบันไดชมน้ำตกกระทู้ ตลอดทางระยะทาง 130 เมตร ค่อนข้างชันเป็นบันไดขึ้นตลอด ซึ่งสำหรับฉันแล้วเรื่องนี้ไม่เป็นอุปสรรคแม้แต่น้อยเพราะระหว่างที่เดินไป สองข้างทางนั้นมีพรรณไม้ แมลงต่างคอยต้อนรับและรอให้ฉันเก็บภาพความประทับใจอยู่ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้น แปลกตามาก ฉันรู้สึกได้ว่าตัวเองไม่เหน็ดเหนื่อยกับการเดินขึ้นบันไดสูงชันนี้เลย มีสิ่งที่ทำให้อยากรู้อยากเห็นเต็มไปหมด  ในระหว่างทางนั้นก็มีศาลาให้นั่งพักเรื่อยๆ มีทางแยกออกไปยังน้ำตกชั้นต่างๆ โดยหลักๆแล้วมี 3 ชั้น 2 ชั้นแรกเป็นบันไดทางเดิน ส่วนช่วงสุดท้ายเดินไปชั้นต้นน้ำตกกระทู้จะเป็นทางเดินป่าสั้นๆ

                                                         

            

                                                         

        อย่างที่ฉันบอกไปเมื่อสักครู่ ที่นี่มีเพื่อนใหม่ (แมลงต่าง) หน้าตาแปลกๆหลายชนิด ที่ฉันไม่เคยพบเจอและฉันก็ได้เก็บภาพที่ระลึกมาฝากด้วยค่ะ ตัวแรกนั้น เป็นอะไรก็ไม่ทราบจากที่สังเกตมันมีลักษณะเหมือนตะขาบเลยค่ะ ตัวยาวประมาณ หนึ่งข้อศอกของฉันได้ค่ะ น่ากลัวมาก แต่ฉันก็ชอบค่ะแปลกประหลาดดี

        เดินขึ้นมาเรื่อยๆจนถึงน้ำตกชั้นที่หนึ่ง ค่อนข้างเงียบมาก ไม่มีนักท่องเที่ยวเลยสักคน ดีเลยค่ะ ฉันชอบบรรยากาศแบบนี้ ยืนลำพังท่ามกลางธรรมชาติที่ดูเหมือน ณ ช่วงเวลานั้นจะเป็นของฉันเพียงคนเดียวแล้ว^^ ระหว่างที่กำลังนั่งกินลมชมบรรยากาศคนเดียวอยู่สักพัก ฉันก็ได้เจอกับเพื่อนใหม่ตัวที่สองและสามพร้อมกัน ตัวที่สอง เป็นตัวทาก ลำตัวอ้วนยาวเท่าฝ่ามือคน ผิวหนังด้านบนเป็นตุ่มๆ มีสีดำ บริเวณสองข้างใต้ท้องมันเป็นสีชมพูอ่อนค่ะ ดูดีๆหน้าตามันก็น่ารักดีนะคะ ;)     เพื่อนใหม่ตัวสุดท้ายสำหรับการชมธรรมชาติที่น้ำตกกะทู้แห่งนี้  เป็นแมงมุมตัวใหญ่ยักษ์ ที่กำลังยืนอยู่บนใยของตนเองซึ่งทักทออย่างสวยงามและมีขนาดใหญ่ พอที่จะสามารถดักนกตัวเล็กๆได้เลย แมงมุมตัวนี้มีขาที่ยาวสีดำสนิท ลำตัวเป็นสีเหลืองมีจุดดำๆ สองข้างเปรียบเสมือนดวงตาคู่หนึ่ง มีเขี้ยวที่ยาวและคมสีแดง ตรงก้นมีสีดำและสีเหลืองเป็นทางยาว สีสันของแมงมุมยักษ์ตัวนี้ดูสวยงามแต่แฝงไปด้วยอันตราย แม้ฉันจะตัวใหญ่กว่าเยอะก็เถอะ ฉันขอดูเพื่อนใหม่คนนี้อยู่ห่างๆตรงนี้ก็น่าจะพอแล้ว บรึ๋ย~~~~

                                                         

                       

                                                         

            ฉันยังคงยืนเก็บบรรยากาศของน้ำตกกะทู้แห่งนี้ไปเรื่อยๆ ดื่มด่ำกับความเป็นธรรมชาติของที่นี่ ฉันคิดว่า นี่แหละมัน ใช่! สำหรับฉันจริงๆการได้มาพักผ่อนในที่แบบนี้ก็นับว่าดีที่สุดแล้ว ยิ่งได้สัมผัสพื้นที่รอบข้าง ที่ให้ความรู้สึกว่าเป็นป่าจริงๆ ไม่ใช่ป่าที่สร้างขึ้น ฉันยิ่งรู้สึกชอบมากเลยค่ะ ติดใจที่นี่มาก สักวันฉันต้องกลับมาที่นี่อีกครั้งแน่นอน

      เสร็จจากน้ำตกกะทู้แล้วยังมีอีกสถานที่หนึ่งที่ฉันใฝ่ฝันอยากจะไปถ่ายรูปที่นี่สักครั้ง ณ ที่นี้

นั่นก็คือ.. เขื่อนบางวาดนั่นเองค่ะ

       เขื่อนบางวาดนั้นตั้งอยู่ที่ ตำบลกะทู้ อำเภอกะทู้ จังหวัดภูเก็ต เป็นเขื่อนดิน สูง 24 เมตร ยาว 887 เมตร ความจุเก็บกัก 8.5 ล้านลูกบาศก์เมตร ทางเทศบาลภูเก็ต ขาดแคลนแหล่งน้ำจืดเพื่อการประปา ต้องของใช้น้ำจากอ่างบางวาดของบริษัทอนุภาษและบุตร ซึ่งสร้างไว้สำหรับฉีดเหมือง แต่ก็ยังไม่เพียงพอ และไม่มีแหล่งน้ำใต้ดินในบริเวณเกาะภูเก็ตเลย ทางเทศบาลเห็นว่า อาจจะปรับปรุงอ่างเก็บน้ำดังกล่าวให้เก็บน้ำมากขึ้นได้ กรมชลประทานได้ดำเนินการสำรวจรายละเอียดภูมิประเทศบริเวณอ่างและหัวงาน ในปี 2514 พบว่า มีลู่ทางจะสร้างอ่างเก็บน้ำได้ แต่ได้เลื่อนที่ตั้งทำนบจากจุดที่กำหนดไว้เดิม ลงไปทางตอนใต้เล็กน้อย(ที่มา::http://www.touronthai.com/%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%94">http://www.touronthai.com/เขื่อนบางวาด)

     สิ่งที่ทำให้เขื่อนบางวาดนั้นกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้นั่นก็คือ วิวทิวทัศน์ ของบริเวณรอบๆพื้นที่เขื่อนซึ่งสวยงามมาก และเขื่อนบางวาดยังเป็นที่ออกกำลังกายสำหรับคนรักสุขภาพไม่ว่าจะเป็นชายหญิงเดี่ยวหรือจะมาออกกำลังกายกันทั้งครอบครัว และด้านขวาของเขื่อน ทิศตะวันตก สามารมาชมพระอาทิตย์ตกได้อีกแห่งหนึ่งของภูเก็ต

 

                             

 

       มาถึงเรื่องอาหารการกินสำหรับวันนี้บ้าง ฉันเลือกที่จะออกไปทานอาหารข้างนอกในช่วงหัวค่ำค่ะ เพราะร้านที่นี่เปิดเฉพาะเวลา 6 โมงเย็น ถึง เที่ยงคืน สำหรับร้านที่ฉันกำลังจะแนะนำให้รู้จักนั่นก็คือ  ร้าน “สลัดสวนหลวง” ค่ะ ร้านสลัดสวนหลวงเปิดขายมาหลายปีแล้ว เริ่มต้นจากการขายสลัด ถุงละ 40 บาท ในบริเวณที่ขายอาหารด้านหลังสวนหลวง ทำมาเรื่อยๆจนกระทั่งได้มาเริ่มขายสเต็ก ผลตอบรับของคนในพื้นที่ดีมาก เนื่องจากรสชาติที่อร่อยถูกปาก ทั้งคนไทยหรือแม้กระทั่งคนต่างประเทศที่มาทานที่ร้านนี้ยังต้องยกนิ้วให้         รวมทั้งราคาก็เป็นราคาระดับมาตรฐานไม่แพงเกินไป วัตถุดิบที่ใช้ก็มีคุณภาพดีเช่นกัน ร้านสลัดสวนหลวง เป็นร้านธรรมดาๆข้างถนน มีโต้ะเหล็ก อุปกรณ์ในการขายสเต็ก และเต้นท์ 2 หลัง เติบโตมาเรื่อยๆจนกระทั่งปัจจุบัน ได้เปิดเป็นห้องแถว 2 ห้องติดกัน อยู่เยื้องกับโรงเรียนอบจ.บ้านตลาดเหนือ(วันครู2502) และร้านสลัดสวนหลวงก็ยังคงความอร่อยได้ดีเหมือนเดิม

              

 

         จบลงแล้วสำหรับทริปการท่องเที่ยวแบบสบายๆในวันหยุดของฉัน หวังว่าคุณคงจะได้รับความสุขเล็กๆน้อยๆที่ฉินบรรจงถ่ายทอดเป็นเรื่องราว ณ ที่นี้   การเดินทางครั้งนี้ ธรรมชาติได้ให้สิ่งล้ำค่าทางจิตใจกับฉันมากมาย เมื่อฉันได้เป็นผู้รับแล้ว ฉะนั้นฉันขอเป็นคนให้กลับไปบ้าง โดยการไม่ทำลายธรรมชาติไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตามค่ะ ..

                                                                                                     

                                                                                                  BYE. 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Napasorn
เขียนเมื่อ

                                                                                ME  .

  สวัสดีค่ะฉันชื่อ นางสาว นภสร นามสกุล ฝ้ายเพ็ชร์  ปัจจุบันฉันศึกษาอยู่ปี 1 ภาค กศ.บป คณะวิทยาการจัดการ มรภ.ภูเก็ต สาขา นิเทศศาสตร์บัณฑิต เกิดวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2536 ตอนนี้ อายุ 20 ปีบริบูรณ์แล้วค่ะ 

                                                           

                ฉันเป็นคนร่าเริง พูดจาไม่ค่อยมีสาระ เฮฮา ยกเว้นเวลามีเหตุการณ์ที่ค่อนข้างจริงจัง ให้โอกาสคนอื่นได้แสดงความคิดเห็น เพื่อนๆส่วนใหญ่จึงมักจะมาระบายความในใจกับฉันเวลามีเรื่องทุกข์ใจ และมาขอคำปรึกษาบ้าง ฉันก็ไม่รู้จะให้คำปรึกษาเขาอย่างไร เพราะชีวิตตัวเองยังจัดการไม่ค่อยได้เลยล่ะค่ะ แต่ก็พยายามปลอบใจและชี้แนวทางการแก้ปัญหาจากประสบการณ์ที่เคยประสบด้วยตัวเองหรือที่เคยได้ยินจากหลายคนเล่ามา ดีใจนะคะที่อย่างน้อยน่าจะพอช่วยเหลือเขาได้ โดยส่วนตัวฉันเป็นคนชอบอ่านหนังสือมากค่ะ เพราะที่บ้านพ่อแม่ปลูกฝังให้รักการอ่านตั้งแต่เด็กแล้ว เริ่มจำความได้ฉันก็จำได้ว่าแม่ชอบนำหนังสือนิทานเกี่ยวกับวิถีชีวิตของคนในชนบทมาให้อ่าน ชื่อหนังสือ ชีวิตบ้านนา    ผลงานของ อ. ทำนุ อ้นประเสริฐ อ่านแล้วสนุกค่ะได้จินตนาการ แล้วก็มีหนังสือนิทานอีสปที่ชอบอ่านมากตั้งแต่เด็ก

                                                       

 

                  ตอนนี้ฉันมีสัตว์เลี้ยงด้วยค่ะ ฉันเป็นคนรักสัตว์มากเช่นกัน ชื่นชอบสัตว์ต่างๆ ฉันอยากเลี้ยงสัตว์ที่มีขนาดเล็กแต่สามารถเล่น โต้ตอบกิริยาต่างๆกับเราได้เหมือนกับสัตว์เลี้ยงทั่วไป( เช่น สุนัข ) ทำให้ฉันรู้สึกสนใจมากโดยเฉพาะสัตว์เลี้ยงแปลกใหม่ ( Exotic Pets ) ซึ่งสัตว์พวกนี้จะต่างจาก หมา แมว ที่คนเลี้ยงกันค่ะ ส่วนใหญ่เป็นสัตว์นำเข้ามาจากต่างประเทศ เช่น

  ชูการ์ไกลเดอร์         เมียร์แคท

  ลิงมาโมเสท            เฟอร์เรท   

        และยังมีอีกมากมายเลยค่ะ ฉันคิดว่าสัตว์เหล่านี้มีความฉลาด ซุกซนเขามีความน่ารักคล้ายๆกับพวกหมา แมวเลยค่ะ ที่ฉันเลี้ยงอยู่ก็คือ ชูการ์ไกลเดอร์ค่ะ ไกลเดอร์นะคะ ไม่ใช่ ไรเดอร์ คนส่วนใหญ่มักจะเรียกผิดค่ะ ที่เรียกชูการ์ไกลเดอร์เพราะ สัตว์ชนิดนี้มีความสามารถพิเศษคือมีผังผืดที่สามารถกางออก และร่อนไปยังที่ต่างๆได้ค่ะ คำว่าไกลเดอร์ ก็มาจากภาษาอังกฤษ Glider ที่แปลว่า การร่อน นั่นเองค่ะ 

                                            

                  ฉันตั้งชื่อให้เขาว่า พอตเตอร์ ค่ะ จริงๆชื่อนี้แม่เป็นตั้งให้ค่ะ เพราะไม่รู้จะให้ชื่ออะไรดี ฉันกับน้องชอบดูเรื่องแฮร์รี่        พอตเตอร์มาก แม่คงจะนึกขึ้นได้แล้วตั้งชื่อให้  เจ้าตัวเล็กค่ะ ฉันซื้อพอตเตอร์มาจากตลาดเจ้าฟ้าวาไรตี้ นาคาค่ะ เพราะก่อนจะซื้อฉันถามข้อมูลจากคนที่เขาเลี้ยงอยู่ในตอนนั้น เขาก็แนะนำร้านนี้มาให้ค่ะ เพราะส่วนใหญ่พ่อค้าแม่ค้าร้านอื่นจะไม่ใส่ใจสัตว์เลี้ยงต้องการเพียงแค่ขายอย่างเดียว ร้านนี้แม่ค้าน่ารักมาก ไม่ได้ขายสัตว์เพียงเพราะต้องการเงิน ขายเพราะด้วยใจรัก และเขายังดูแลสัตว์ของร้านเขาเป็นอย่างดี แม่ค้าเองก็เป็นคนสนใจสัตว์ exotic pets เหมือนกันค่ะ โชคดีเลยเจอคนที่มีความสนใจคล้ายๆกัน

           ฉันรับพอตเตอร์มาตั้งแต่อายุเพียง 2.5 เดือนเองค่ะ เนื่องจากตอนนี้เหมาะกับการหย่าจากท้องแม่ และสามารถปรับตัว         เขากับเราได้ตอนที่ยังเด็กอยู่ ตอนเจอกันครั้งแรกฉันรับรู้ได้ถึงพรหมลิขิตของเราสองคน เอ๊ะ! หรือตัว นั่นล่ะค่ะ แค่เจอกันครั้งแรกฉันก็รู้สึกผูกพันและเอ็นดูตัวนี้เป็นพิเศษเขาเกาะนิ่งและเงียบมากต่างจากอีกตัวที่แม่ค้าเอามาให้ดูตัวนั้นร้องตลอดเลยค่ะจับแล้วดิ้นตลอด ซึ่งจริงๆเวลาเลือกซื้อควรเลือกตัวที่ร้องเก่งๆดูซนๆนะคะจากการศึกษาข้อมูลก่อนหน้าที่จะซื้อ ทั้งๆที่ตอนนั้นฉันก็รู้ข้อมูลข้อนี้แต่แปลกที่กลับสนใจตัวนี้มากกว่าจะเลือกอีกตัวหนึ่งมันก็รู้สึกไม่อยากปล่อยตัวนี้ไป ฉันคิดว่าชาติที่แล้วหรือบุญนำพาให้เรามาพบกันแน่เลยค่ะ  รับมาครั้งแรก เขาตัวเล็กมาก ต้องป้อนนมเขา ฉันกลัวมาก กลัวจะจับเขาแรงเกินไป กลัวนมจะทะลักเข้าหน้าเขา ตื่นเต้นมากค่ะช่วงนั้นเหมือนแม่ลูกอ่อน ดึกๆก็ต้องตื่นมาป้อนนม พอตเตอร์เป็นชูการ์ที่แปลกจากตัวอื่นๆฉันแอบคิดอย่างนั้นค่ะ เพราะเขาไม่ค่อยร้องตอนกลางคืนเลยตั้งแต่รับมา มีร้องขู่ตอนช่วงแรกๆเวลาป้อนนม แต่เป็นแค่วันสองวัน ก็นิ่งแล้วค่ะ ยิ่งทำให้รู้สึกรักเข้าไปอีก จนตอนนี้พอตตเตอร์โตเป็นหนุ่มแล้วค่ะ อายุปีกว่าแล้ว อ้วนจ้ำม่ำเลย ยังน่าฟัดเหมือนเดิม ฉลาด เอาแต่ใจด้วยค่ะ แอบเหมือนเจ้าของนิดหน่อย ฮ่าๆ

             สมัยเรียนปวช. ฉันเริ่มจับกลุ่มเริ่มซ้อมเล่นๆกันกับเพื่อนที่โรงเรียน เวลามีงานโรงเรียนก็ไปลงชื่อแสดง หางานนอกเต้นมาเรื่อยๆ แต่เราก็ยังเต้นแบบกะโหลกกะลาค่ะ เพราะไม่มีทุนไปเรียนหรือซ้อมในห้องกระจกส่วนใหญ่จะซ้อมกันเอง จนมีรุ่นพี่มาแนะนำให้ไปเรียนกับโรงเรียนสอนเต้นชื่อว่า PIDA (Phuket International Dance Academy) ซึ่งในตอนนั้นทางโรงเรียนเพิ่งจะมาเปิดสอนที่บิ๊กซีเป็นครั้งแรก และมีคอร์สเรียนฟรีให้ผู้ที่สนใจประมาณ 2 อาทิตย์ฉันและเพื่อนก็มาเรียนจนครบกำหนดค่ะและดูเหมือนว่าคุณครูที่โรงเรียนสอนเต้นเห็นแวว และพวกเรากำลังจะมีการไปเข้าร่วมแข่งขันการเต้นของ อีซูซุดีแม็กซ์แดนซ์คอนเทสต์ในอีกไม่นานนี้จึงมีการเปิดคอร์สที่สองเป็นคอร์สราคาถูกค่ะ พวกเราจึงลงสมัครและใช้เวลาเรียนรู้ให้ได้มากที่สุด จนกระทั่งวันแข่ง คุณครูสอนเต้นก็ไปดูด้วยค่ะถือว่าเป็นการประสบความสำเร็จอย่างมากสำหรับฉันและเพื่อนๆ ซึ่งพวกเราแข่งมาหลายเวทีไม่เคยชนะหรือได้รับรางวัลเลยค่ะ แต่ครั้งนี้เราได้รับรางวัลเป็นอันดับสามของการแข่งขันค่ะ แถมยังได้ถ่ายรูปใกล้ชิดกับพี่ชิน ชินวุฒด้วยค่ะ

                                                     

         นอกจากนี้ ฉันยังเคยเป็นเชียร์หลีดเดอร์ของสาขาท่องเที่ยวรุ่น 54 มหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ตด้วยนะคะ มีการแข่งขันเชียร์หลีดด้วย ทำให้ตอนนั้นซ้อมหนักมากอยู่เป็นเดือนมีคุณครูสอนเต้นจากโรงเรียน PIDA มาเทรนให้ฉันและเพื่อนๆ กลับบ้านดึกทุกวันถือได้ว่าช่วงนั้นฉันรู้สึกมีเวลาอยู่มหาลัยมากกว่าอยู่บ้านอีกค่ะ ผลที่ได้ออกมาดีมากค่ะการประกวดครั้งนี้ทำให้ทีมชนะเลิศได้ที่ 1 ค่ะ ฉันดีใจมากในตอนนั้น

             และเมื่อมาเรียนนิเทศศาสตร์ฉันก็ได้เลือกเป็นเชียร์หลีดเดอร์อีกแล้ว แต่ซ้อมไม่หนักเท่าตอนเป็นหลีดท่องเที่ยวค่ะ มีการแข่งกีฬาสีของคณะเมื่อไม่นานมานี้ ผลปรากฏว่าทีมของฉันชนะอีกแล้วค่ะ ฉันดีใจมาก ถือว่าครั้งนี้ฉันและเพื่อนมีเวลาซ้อมน้อยรวมทั้งอุปสรรคต่างๆอีก ครั้งนี้ฉันได้ขึ้นไปรับถ้วยรางวัลด้วยตัวเอง เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยค่ะ ฉันดีใจและภูมิใจมากที่ได้ทำประโยชน์ให้กับสาขาที่ฉันได้ศึกษาอยู่รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่ามากขึ้นแม้จะเหนื่อยแต่ได้ทำเพื่อส่วนรวมแล้วผลออกมาดีขนาดนี้ ฉันก็ยอมค่ะ

แรงบันดาลใจที่ทำให้ฉันได้มาศึกษาในสาขาวิชานิเทศศาสตร์ จริงๆแล้วฉันเป็นคนชอบการร้องเพลง การแสดง มาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ แต่ไม่ค่อยได้มีโอกาสทำกิจกรรมเหล่านี้ เนื่องจากที่บ้านไม่ค่อยมีเงิน และฉันขี้อายมากตอนเด็กๆ แต่ก็ได้ขึ้นแสดงบ้างในบางโอกาส นั่นก็ทำให้ฉันชอบศิลป์ด้านนี้มากค่ะใฝ่ฝันตั้งแต่เด็ก   แต่แรกๆดูเหมือนที่บ้านจะไม่ชอบ ฉันเลยไม่กล้าเลือกเรียนนิเทศในตอนแรกค่ะ ฉันเลือกเรียนท่องเที่ยว ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้ชอบเป็นคนนำเที่ยวมากนักหรอก ฉันแค่ชอบพูดภาษาอังกฤษ ชอบพูดกับคนต่างชาติและชอบท่องเที่ยวเท่านั้น ก็ฝืนเรียนมาเรื่อยๆ

                      ในขณะนั้นเอง ฉันได้รับงานเป็นพนักงานเสิร์ฟที่โรงแรมรอยัลซิตี้ภูเก็ต ในส่วนห้องจัดเลี้ยง ส่วนใหญ่เป็นงานแต่งงานค่ะ   เวลามีพรีเซนเทชั่นฉันรู้สึกว่า เฮ้ย! วันแต่งงานทั้งทีทำไมทำแค่นี้ล่ะ!! ซึ่งส่วนมากมันเป็นแค่ภาพสไลด์ของคู่บ่าวสาว ซึ่งฉันคิดว่ามันน่าจะทำให้ได้ดีกว่านี้ เพราะวันแต่งงานมันคือวันพิเศษมากในชีวิตๆหนึ่ง ฉันอยากให้มีการเล่าเรื่องราวความรักของคนทั้งสองมากกว่านี้ เพราะมันจะสามารถเก็บรวบรวมความทรงจำของทั้งสองได้ตลอดไปทั้งชีวิตของกันและกัน เพื่อที่จะได้สื่อถึงความรักให้คนในงานรวมถึงทั้งสองได้สัมผัสที่มาของความรักของคนทั้งสองอย่างซาบซึ้ง นี่คือจุดเริ่มต้นของสิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกอยากเรียนนิเทศจริงๆจังๆค่ะ และในตอนนั้นฉันรู้สึกล้าจากการเรียนท่องเที่ยวมาก เกรดที่ได้ก็ลดลงๆ จนในที่สุดฉันก็มาเริ่มเรียนนิเทศศาสตร์ กศ.บป นี่แหละค่ะ ก่อนเข้ามาเรียนก็แอบกลัวจะไปไม่รอดอีก และเพราะคำดูถูกของคนรอบข้างบางส่วนว่า ฉันจะทำได้จริงเหรอ? คนอย่างฉันทำไม่ได้หรอก เอาฉันไปเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ  สุดท้ายคงเป็นเพราะความชอบและความพยายามของฉันทำให้เกรดที่ได้นั้นออกมาเป็นที่พอใจสำหรับฉันมากค่ะ

               และทั้งหมดนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวในชีวิตฉันค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะคะ 

 

                                        



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Napasorn
เขียนเมื่อ

                                     

 

                                              สวัสดีค่า ดิฉันชื่อ นภสร ฝ้ายเพ็ชร์ หรือแนน ค่ะ 

                              สำหรับการเริ่มต้นครั้งนี้ ฉันขาดความพร้อมนิดหน่อยด้านการเขียนประวัติ

                                                     คราวหลังฉันจะมาอัพเดตเพิ่มเติมนะคะ

 

                                                                                                       



ความเห็น (1)
อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท