ดอกไม้


กมลพรรณ พรมทอง
เขียนเมื่อ

                  

 

                                                                              ::ME::

           ดิฉันเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัวบ้านเกิดอยู่จังหวัดตรังค่ะ คุณแม่เป็นคนจังหวัดพังงาที่จังหวัดตรังคือบ้านของคุณพ่อ เกิดเมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ 2536 เป็นคนที่ไม่ติดพ่อติดแม่เพราะไม่ได้อยู่กับท่านทั้งสองตั้งแต่ตอนเด็กๆ เพราะเมื่อฉันคลอดและกลับมาอยู่บ้าน พ่อก็ต้องกลับไปทำงานที่ภูเก็ตและให้แม่กับยายเป็นคนดูแลแทน   แต่เมื่อฉันอายุประมาณแค่สามเดือนแม่ก็ทิ้งฉันไปก่อนไปแม่ก็บอกกับยายไว้ว่า จะขอกลับไปต่อบัตรประจำตัวประชาชนและจะไป2-3 วันและจะรีบกลับมา เมื่อเวลาผ่านไปสามวันก็ยังไม่เห็นแม่กลับมาและก็ไม่ได้ติดต่ออะไรกลับมาเลย ยายจึงโทไปบอกพ่อว่าแม่ยังไม่กลับมาไม่รู้มีอะไร รึเปล่าพ่อจึงไปตามแม่ที่พังงาเมื่อไปถึงพ่อก็ถามแม่ว่าทำไมไม่รีบกลับไปหาลูก มีอะไรรึเปล่าแม่ก็เงียบและก็ไม่พูดอะไรเพียงแต่บอกกับพ่อว่าจะไม่กลับไปแล้วพ่อจึงถามถึงเหตุผลแต่แม่ก็บอกว่าไม่มีอะไร แล้วพ่อก็กลับไปบอกกับยายว่าแม่ไม่กลับมาแล้วนะแต่ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรทำให้แม่คิดเช่นนั้นแล้วพ่อก็ฝากฉันไว้ให้ยายดูแลส่วนพ่อก็กลับไปทำงานเป็น ร.ป.ภ ยุที่อ่าวมะขามจังหวัดภูเก็ตแล้วพ่อก็จะกลับมาหาฉันเดือนละสองครั้งและยาย ตา และน้าก็เป็นคนที่ดูแลฉันมาจนโต

         เมื่อเข้าเตรียมอนุบาลตาจะยายก็จะไปรับไปส่งที่โรงเรียนทุกวันเมื่อคุณครูถามว่าวันนี้ใครมาส่งฉันก็จะบอกกับคุณครูว่า พ่อกับแม่มาส่ง ฉันจะเรียกตากับยายว่า พ่อ และแม่ เป็นคนเลี้ยงฉันมาตั้งแต่เด็กๆและมีความผูกพันกับท่านเป็นอย่างมากตากับยายมีลูกสาวสองคนและลูกชายหนึ่งคนซึ่งทั้งสามคนก็เป็นอาของหนูอาก็ช่วยดูแลหนูเหมือนกัน

     เมื่ออายุประมาณ7 ขวบพ่อฉันก็เสียชีวิตเนื่องจากมีโรคประจำตัว คือเป็นลมชัก พ่อเป็นลมและตกลงไปในทะเลที่อ่าวมะขามตรงที่พ่อทำงานและใบพัดหางเรือก็โดนศรีษะลึกมากทำให้พ่อเสียชีวิต แบะทางบริษัทก็ส่งศพพ่อมาบำเพ็ญกุศลที่ตรัง  ตอนนั้นฉันกำลังเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนเมื่อเลิกเรียนน้าก็เป็นคนไปรับตอนนั้นศพพ่อกำลังจะมาถึง เมื่อน้าไปรับและระหว่างขับรถน้าก็บอกว่าพ่อเสียแล้วนะ ความรู้สึกตอนนั้นถึงฉันจะไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกับพ่อ แต่ก็ทำให้ฉันกลับอึ่งอย่างบอกไม่ถูก เมื่อไปถึงที่วัดศพของพ่อก็มาถึงพอดีแล้วน้าก็ให้ฉันเดินไปที่ศพของพ่อแต่ฉันกลับยืนนิ่งไม่กล้าเข้าไปเพราะรู้สึกว่ารับไม่ได้กับสิ่งที่จะเห็นแล้วน้าก็เดินเข้าไปก่อนและฉันก็ยังยืนดูอยู่แบบ ห่างๆอย่างห่วงๆเมื่อถึงวันงานคุณครูและเพื่อนที่โรงเรียนก็ต่างมาให้กำลังใจมากมายรวมทั้งหัวหน้างานของพ่อก็มาให้กำลังใจด้วย พร้อมทั้งมอบทุนการศึกษาให้เดือนละ 1700 บาท เป็นเวลา 9ปี

          เมื่อตอนอยู่ชั้นประถมฉันได้เป็นเด็กกิจกรรมด้วยเพราะเป็นคนชอบเต้นชอบรำ เลยได้เป็นเด็กกิจกรรมของโรงเรียนตั้งแต่เด็กๆ ได้ออกงานต่างมากมายและมีความใฝ่ฝันว่าอยากจะไปแข่งเต้นในรายการ ชิงช้าสวรรค์เป็นรายการที่ชอบมาก

ฉันได้มีโอกาสไปแข่งขันในหลายๆจังหวัดทั่วภาคใต้และได้รางวัลกลับมาซึ่งเป็นที่น่าภูมิใจมาก คุ่มค่ากับการที่ซ้อมทุกวันหลังเลิกเรียนซ้อมเสร็จตากับยายก็จะมารับ บางครั้งก็นอนโรงเรียนกับคุณครูและเพื่อนๆ

                                                              

ลักษณะนิสัยใจคอของดิฉัน 

        เป็นคนที่นิสัย โก๊ะๆ คุยเก่งสนุกสนาน ชอบการแต่งตัว แต่งหน้าทาก ชอบใส่รองเท้าส้นสูง เป็นคนที่อัธยาสัยดี

นอบน้อมเข้ากับสังคมได้เป็นอย่างดี เป็นคนที่พูดคุยตลก ขี้น้อยใจ ชอบการแต่งตัว ชอบเที่ยว เป็นคนรักอิสระมาก มีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูงไม่ชอบความรุ่นแรง

ความโดดเด่นของตัวเอง 

        ลักษณะนิสัยที่ เป็นมิตรกับทุกๆคน นิสัยโก๊ยๆพูดจาตลก เป็นตัวของตัวเอง

ข้อด้อยของตนเอง 

        เอาแต่ใจ ดื้อ อารมณ์ร้อน ใช้เงินเก่ง ซื้อทุกอย่างที่อยากได้ โลกส่วนตัวสูง

การใช้ชีวิตในเวลาว่างๆ 

        ฟังเพลง เต้นบางครั้งก็ไปเดินห้างไปดูเสื้อผ้ารองเท้า กิ๊บช็อป หาของกินบ้างก็มานั่งวาดภาพเป็นคนชอบวาดภาพบรรยากาศหรือไม่ก็จะจัดบ้านจัดห้อง ขัดหน้านวดหน้า

สิ่งที่ประทับใจที่สุด 

        การที่ได้มาอยู่ในครอบครัว ตา ยาย และน่าซึ่งเป็นสิ่งที่ประทับใจที่สุดในชีวิต ดิฉันได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างอบอุ่นตากับยายก็เปรียบเสมือน พ่อแม่ที่ให้ความรักกับลูก คอยดูแลและเป็นห่วง คอยตักเตือนส่งให้เรียนหนังสือฉันอยากได้อะไรก็จะพยายามหาให้ทุกอย่าง

สิ่งที่เสียใจหรือความผิดพลาดที่น่าจดจำ 

          คือชีวิตนี้ยังไม่เคยได้บอกรักพ่อเลยสักครั้ง ซึ่งมันก็เป็นอะไรที่สายไปแล้วด้วย โอกาสตรงนั้นคงไม่มีอีกแล้วซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่พ่อต้องการจากฉันมากที่สุด พ่อถามทุกครั้งที่กลับมาหาแต่ฉันไม่เคยบอกพ่อเลย แม้แต่ใจก็ไม่ค่อยให้กอดมัวแต่กลัวว่าพ่อจะเป็นลมชักใส่เราอีกจนมาในวันนึงเราก็มาเสียโอกาสตรงนั้นไปและไม่สามารถที่จะย้อนกลับไปได้อีก

มุมมองของตนเองและเพื่อนร่วมโลก

            สำหรับตัวของดิฉันเองคิดว่าปัจจุบันการที่ได้รู้จักและพบปะกับผู้คนมากมายไม่ว่าจะเป็นเพื่อน หรือคนร่วมงานเราควรที่จะใช้วิจารณญาณเป็นอย่างมาก เพราะคนสมัยนี้มองแต่ภายนอกเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้ขนานคนที่รู้จักกันมานาน และคิดว่าเขาดีกับเรา แต่สุดท้ายเกลับมาทำร้ายเราทีหลัง เพราะทุกอย่างบนโลกใบนี้ต่างต้องทำทุกอย่างเพื่อการอยู่รอดของตนเอง

เป้าหมายความมุ่งมั่นในชีวิต 

        คือเรียนจบสูงๆ ได้ทำงานดีๆและเพื่อนร่วมงานที่ดี ได้เงินเดือนเยอะๆเพราะเป็นคนชอบช็อป ชอบเที่ยว ชอบกิน และมีครอบครัวที่อบอุ่น

                                                 ขอฝากตัวกับทุกคนด้วยค่ะ  ยินดีที่ได้รู้จักและเป็นเพื่อนกับคุณทุกคนนะคะ

                                                                                      

3
0
กมลพรรณ พรมทอง
เขียนเมื่อ

     ไม่ต้องไปให้ไกล..ม.    

                                                                                

           หลายๆคนอาจจะรู้สึกเบื่อกับร้านอาหารเดิมๆในสถานที่ทำงานหรือในมหาวิทยาลัยที่มีแต่อาหารเดิมๆทุกวันดิฉันในถานะนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตก็อยากที่จะแนะนำร้านอาหารอร่อยๆใกล้รั่วมหาวิทยาลัยไม่ต้องเสียเวลาขับรถออกไปให้ไกลๆได้ท่านก็ได้ทานอาหารที่อร่อยต้องเป็น”ร้านนี้เลยค่ะชื่อร้านก๋วยเตี๋ยวกอแก้ว”ซึ่งเมนูส่วนใหญ่จะเป็นเกี่ยวกับก๋วยเตี๋ยว

         สาเหตุที่แนะนำร้านนี้เพราะดิฉันเป็นคนที่ชอบทานก๋วยเตี๋ยวซึ่งร้านก๋วยเตี๋ยวกอแก้วตั้งอยู่ไม่ไกลจากมอของเรามากนักซึ่งร้านก็อยู่ตรงสะพานสามกองจุดเด่นของร้านคือจะมีเฉาก๊วยนมสดน้าร้านและพนักงานจะสวมหมวก“อาลาเร่”

 ส่วนเมนูแนะนำของทางร้านคือ ก๋วยเตี๋ยวต้มยำทะเล ก๋วยเตี๋ยวต้มยำน้ำใส บะหมี่แห้งเย็นตาโฟ หมูสะเตะ และแคบหมูแก้วกรอบอร่อยมาก ส่วนประเภทน้ำก็จะเป็น นี่เลยค่ะ เฉาก๊วยนมสดหอมหวามชื่นใจ และน้ำอื่นๆอีกมากมาย เช่น ชาดำเย็น ชาเย็น น้ำอัดลม

        ซึ่งบรรยากาศภายในร้านก็ดีพนักงานก็บริการยิ้มแย้มแจ่มใสและให้บริการเป็นอย่างดีลูกค้าสามารถบอกความต้องการของรสชาติอาหารได้ตามความต้องการเช่นเพิ่มหวานเพิ่มเปรี้ยวได้หมดรสชาติก็อร่อยกลมกล่อมเข้มข้นถึงน้ำถึงเนื้อซึ่งสามารถนั่งท่านกันได้ทุกวันโดยวันจันทร์ถึงวันพุธร้านจะเปิดเวลา 10.00-21.00น. วันศุกร์ถึงวันอาทิตย์ร้านจะเปิด 11.00- 20.00น. ร้านจะปิดทุกวันพฤหัสสามารถมานั่งทานกันสำหรนับคนที่ชอบทานเมนูเส้นเหมือนดิฉัน“ร้านก๋วยเตี๋ยวกอแก้ว”ตรงสะพานสามกองตั้งอยู่ติดกับร้านข้ามต้มสามกอง

      ซึ่งดิฉันคิดว่าหลายๆคนน่าจะอยากเปลี่ยนบรรยากาศและรสชาติอาหารที่ไม่ต้องไปให้ไกลจากมหาวิทยาลัย  ก็ทานของอร่อยกันแล้วค่ะไม่ต้องเสียเวลาไปไหนไกลๆไปกลับมหาลัยได้สะดวกรวดเร็วอาหารก็ถูกปาก

                                         

       เมื่อทานก๋วยเตี๋ยวเสร็จแล้วต่อไปก็ถึงเวลากลับมานั่งย่อยอาหารเพื่อเตรียมตัวไปเรียนวิชาต่อไปกันแล้วค่ะหรือใครที่อาจารย์ติดธุระแล้วท่านอนุญาตให้กลับบ้านก่อน  แล้วมีความรู้สึกว่าอากาศร้อนมากไม่อยากที่ขับรถออกไปไหนตอนนี้ยังอยากอยู่ในมอต่อละก็  ดิฉันขอแนะนำเลยคะซึ่งเป็นที่ที่ดิฉันและเพื่อนๆชอบไปนั่งกันบ่อยๆนั้นก็คือห้องสมุดของมหาวิทยาลัยอยู่หลังตึก 5  ห้องสมุดมีพื้นที่กว้างขวางบรรยากาศเย็นสบายสงบมีหนังสือต่างๆมากมายให้นักศึกษาได้ค้นคว้าหาข้อมูลกันมากมายและหนังสือก็มีหลายประเภทหลายกลุ่มวิชามีโต๊ะให้นักศึกษาสามารถมานั่งอ่านหนังสือหรือนั่งทำงานทำการบ้านกันอย่างสะดวกสบายพร้อมกับมีคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตอำนวยความสะดวกสำหรับคนที่ชอบโลกอินเตอร์เน็ต

        หากเรามีความสนใจเนื้อหาในหนังสือหรือนิตยสารเล่มไหนก็สามารถยืมหนังสือมาอ่านได้โดยต้องผ่านการยืมจากเจ้าหน้าที่ห้องสมุดก่อนนอกจากนี้ยังมีของว่างให้นั่งทานเล่นๆมากมายเช่นมาม่าเครื่องดื่มต่างๆน้ำอัดลมขนมคบเคี้ยวมากมายและมีทีวีให้นั่งดูระหว่างนั่งทานของว่างด้วยสามารถเข้ามาพักผ่อนกันได้

ซึ่งดิฉันคิดว่าห้องสมุดของมหาวิทยาลัยน่าจะเป็นที่สนใจเป็นอย่างมากสำหรับนักศึกษาหลายๆคนที่จะหาที่สงบๆนั่งทำงานหรือหาความรู้หือเข้ามานั่งเครื่องดื่มเย็นๆอากาศก็ถ่ายเทได้สะดวกสงบร่มเย็นไม่ต้องเสียเวลาออกไปที่อื่นให้ร้อนค่ะ

         ทั้งหมดนี้เป็นการแนะนำอาหารและสถานที่นั่งชิวในมหาวิทยาลัยและบริเวณใกล้เคียงของดิฉัน

                                                           

                                                                                                    

2
0
กมลพรรณ พรมทอง
เขียนเมื่อ

              

                                                 ::  วันหนึ่ง ใน ฤดูหนาว  ::

          “สวัสดี สวัสดีปีใหม่เอาหัวใจมาสวัสดีกัน” ก่อนอื่นก็ต้องขอกล่าวคำว่าสวัสดีปีใหม่กันก่อนเลยนะคะ ซึ่งในวันนี้เป็นช่วงเวลาของการรอเวลานับถอยหลัง การเข้าสู่พุทธศักราชราชใหม่กันแล้วซึ่งก็อยู่ในช่วงฤดูหนาว

          คนทำงานต่างถิ่นก็ต่างเดินทางกันกลับบ้านเพื่อที่จะร่วมเฉลิมฉลอง ปีใหม่กับครอบครัวซึ่งนับเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข และเป็นเวลาแห่งการเดินทางไปพักผ่อนกันยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆของครอบครัวที่จะร่วมกันสร้างสรรค์งานปาร์ตี้กันอย่างสนุกสนานเพื่อเป็นภาพความทรงจำาการเริ่มต้นปีใหม่ที่ดี

          ปีใหม่แล้วสิ่งใดที่ไม่ดีก็ขอให้มันหมดสิ้นไปกับปีเก่าใหม่เริ่มใหม่กับสิ่งที่ดีดี ใครที่สบายๆขอให้สบายไม่หยุดไม่หย่อน ใครที่ไม่สบายให้หายดีดี มีคุณตาคุณยายเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรดูแลดีๆ ฝากกราบเท้าสักทีก็ชื่นใจ ใครค้าๆขายๆให้ได้ดีมีกำไร สวัสดี สวัสดีชื่นบาน ให้ชื่นใจนานๆทั้งปีเลย

            หลังจากที่เราได้กล่าวคำสวัสดีและคำอวยพรกันแล้ว ก็ได้เวลาแล้วกับการไปร่วมงานปีใหม่ที่ทางจังหวัดได้จัดขึ้น  และสถานที่ที่ดิฉันจะพาทุกๆคนไปสนุกกันนั้นก็คือ  สนามชัยค่ะ ซึ่งจะมีกำหนดการ การจัดกิจกรรมทั้งหมดสามวันเริ่มตั้งแต่วันที่ 29 – 31 ธันวาคมในช่วงเย็นของทุกๆวันจะมีการจัดกิจกรรมพิเศษและกิจกรรมต่างๆให้ได้ร่วมสนุกกันมากมายช่วงค่ำๆจะมีการประกวด miss citygirl phuket colorfull countdown phuket2014 และที่พิเศษไปกว่าทุกๆวันจะมีการแสดงของวงดนตรีสดและมีศิลปินชื่อดังในครั้งนี้ด้วย อาทิเช่น โป้ง หินเหล็กไฟ เป้ ไฮร็อค เจี๊ยบ พิสุทธิ์ และอีกมากมายจนฉันนับไม่หวาดไม่ไหว ในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ฉันเลือกที่จะไปร่วมงานในวันสุดท้ายคือ วันที่31 เมื่อฉันไปถึงก็เป็นเวลาค่ำพอดีจึงมีโอกาสได้ชมวีดีโอพระอาทิตย์ตกที่ปลายแหลมพรหมเทพและชมการปล่อยนกพิราบและในวันนี้มีการแสดงคอนเสิร์ตจากศิลปินคนโปรดของฉัน นั้นคือ พี่เป็ก ผลิตโชค และพี่โรส ศรินทิพย์และก่อนที่ศิลปินคนโปรดจะทำการแสดงก็สี่ทุ่มครึ่งฉันว่าเราไปหาอะไรอร่อยๆทานกันก่อนดีกว่าเพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศแห่งเทศกาลแห่งความสุขเพื่อเป็นการฆ่าเวลากันก่อนดีกว่า

 

                         

        เมื่อมาถึงยังสนามชัยอย่างแรกที่ฉันประทับใจกับการพบเจอ และทำให้ฉันรู้สึกประทับใจนั้นก็คือ รอยยิ้มของผู้คนมากมายที่เดินทางกันมาร่วมฉลองปีใหม่ บางก็มากันเป็นครอบครัว บางก็มากับเพื่อน มากับคนรัก บางก็มาคนเดียว ส่วนดิฉันก็มากับคนรู้ใจ และเพื่อนสนิทอีกหนึ่งคน

          เมื่อเดินเข้าไปยังประตูงานอย่างแรกเลยที่เห็นนั้นก็คือ รถโพถ้องสองคันจอดอยู่ อย่าเพิ่งสงสัยค่ะว่ามาจอดทำไมต้องนั้นเป็นแค่ฉากหน้างานเฉยๆ ที่ให้เราโผล่หน้าออกมาถ่ายภาพ ไม่ใช่รถจริงๆนะคะและภายในงานก็ตกแต่งอย่างสวยงามด้วยโคมไฟมากลวดลายและสีสันแสงสีเสียงเพียบเลย มีพ่อค้าแม่ค้ามากมายมาคอยให้บริการความอิ่มท้องแก่เรามีโต๊ะเก้าอี้พร้อมอำนวยความสะดวกในการรับประทานอาหาร ภายในงานมีโคมไฟมากมายเลยคะสวยงามมาก มีทั้งรูปหมู่ปลา  ปะการะน้อยใหญ่ให้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่ใต้ท้องทะเลเลยคะ มีโคมไฟรูปดาวด้วยในที่สุดก็มาถึงดวงดาวไปกันใหญ่แล้วคะ  มีร้านขายพวก ที่คาดผมมีไฟด้วยน่ารักมากไปซื้อใส่กันดีกว่าคะ เขาใส่กันเยอะมากอันละ 40 บาทเองคะ ดิฉันซื้อ สีชมพูมา1 อันคะจะได้มีแสงสว่างในตัวเหมือนกับคนอื่นๆ

        ภายในงานก็มีการประกวด Miss city girl Phuket รอบตัดสินและมีการแสดงของวงดนตรีซุปเปอร์แดนซ์ซึ่งเป็นวงดนตรีที่ดังที่สุดของจังหวัดภูเก็ต ขอบอกว่าเต้นมันมากเอวเป็นเอวโชว์ฝีมือกันอย่างเต็มที่ และวันนี้คะพี่โรส ศิรินทิพย์ เจ้าของผลงานเพลงก้อนหินก้อนนั้น และเป๊กผลิตโชค เจ้าของผลงานเพลง หรือแค่ขำๆ มาร่วมให้ความสนุกเพลิดเพลินแก่พวกเรา และนอกจากนี้ก็ยังมี พี่ๆจาก AIS มาให้เราร่วมทำกิจกรรมสนุกๆกันด้วยและก็มีของรางวัลมอบให้ กิจกรรมที่มีก็คือ โยนห่วง โยนได้รับไปเลยตุ๊กตาพี่อุ่นใจคะ อยากได้มาก แต่ไม่ได้ร่วมกิจกรรมคะ เพราะคนเยอะมากโดนส่วนมากจะเป็นน้องๆเด็กๆและก็มีฉากให้ถ่ายรูปด้วยมีพี่ม้าตัวโตเลยคะและที่นั่งอยู่บนพี่ม้านั้นก็คือ พี่อุ่นใจคะ ซึ่งเป็นโลโก้ของ AIS หลังจากที่เดินถ่ายรูปกันมาสักพัก ตอนนี้มีความรู้สึกร่างกายต้องการความหวาน ไปหาของหวานๆทานกันก่อนดีกว่าคะก่อนที่จะมาถึงช่วงเวลาของการนับถอยหลัง และที่หวานๆที่ได้มาทานกันนั้นคือโรตีสายไหม ซื้อมาหนึ่งอันกินกันสองคนกับเพื่อนอร่อยคะหวานกลมกล่อมแต่ต้องรีบทานนะคะ มิฉะนั้นจะละลายหมดเพราะลมแรงไปกับสายลมหมด

                               

       และแล้วก็มาถึงเวลาที่รอคอย เรามานับถอยหลังเพื่อย่างเข้าสู่ปีใหม่ที่สวยงามกัน 54321.... สวัสดี ปี 57 จากนั้นเสียงพลุมากมายก็ตามมา งดงามกว้างไกลยิ่งใหญ่และอลังการ และกิจกรรมต่างๆก็จบสิ้นแค่นี้แต่สำหรับความสนุกและความทรงจำดีๆยังคงมีกันต่อไปกับการเริ่มต้นพ.ศ.ใหม่ที่ดีมีแต่สิ่งที่ๆมีแต่ความรักและความอบอุ่นและประทับใจกับการจัดกิจกรรมครั้งนี้มากที่จัดงานดีๆแบบนี้ให้ผู้คนได้มาร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุขกันและผู้คนก็ต่างพากันแยกย้ายหลังการที่งานจบสิ้นลงด้วยความทรงจำอันน่าประทับใจ ♥ ♥ 

 

                        

2
0
กมลพรรณ พรมทอง
เขียนเมื่อ

                    ONE FINE DAY : วันสบายๆสไตล์ Mayry  

                คุณเป็นคนหนึ่งไหมที่ต้องทำงานทุกวันจนไม่มีเวลาพักผ่อนเป็นของตนเอง แต่ล่ะวันต้องตื้นมาแต่งตัวเพื่อเตรียมตัวไปทำงานกันตั้งแต่เช้า เลิกงานอีกทีก้อค่ำแล้วจนไม่มีเวลาในการพักผ่อนให้จิตใจรู้สึกผ่อนคลาย ดิฉันก็เป็นอีกคนค่ะที่ต้องทำงานตั้งแต่เช้าจนค่ำทุกวันเช่นกัน จนไม่มีเวลาที่จะพักผ่อน คุณอย่าคิดนะคะว่า การหาเวลาในการพักผ่อนนั้นไม่สำคัญ จริงๆแล้วนี่คืออีกส่วนหนึ่งของชีวิตเลยก็ว่าได้ที่คนทุกคนต้องมีให้กับตนเอง เพื่อที่จะผ่อนคลายความเครียดหลังจากการทำงานคุณไม่จำเป็นต้องใช้เวลากับมันมากมาย แค่คุณไปในที่ที่คุณรู้สึกดี ไปแล้วรู้สึกสนุกสนานกับมันไม่จำเป็นต้องใช้เวลาทั้งวันหรอกคะแค่นี้คุณก็รู้สึกได้ว่า สมองของเราได้รับการผ่อนคลายแล้ว ฉันเชื่อว่าคนทุกคนก็คงมีวิธีที่จะทำให้ตนเองรู้สึกผ่อนคลายเป็นของตนเองเช่นกันซึ่งตัวดิฉันเองก็มีนั้นก็คือการได้ไปเดินช็อปปิ้ง เดินดูสินค้าต่างๆ เช่นเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ต่างหู หรืองานฝีมือต่างๆ ระหว่างเดินดูสินค้าก็มีเพลงให้ฟัง มีของกินมากมาย พร้อมกับรอยยิ้มของผู้คนมากมาย นี้แหละคือการได้ผ่อนคลายที่ดีที่สุดสำหรับตัวดิฉัน และเป็นจุดเริ่มต้นของ “one fine day”

              ซึ่งสถานที่ที่ดิฉันเลือกใช้ในการผ่อนคลายหลังเลิกงานนั้นก็คือ ตลาดปล่อยของ ซึ่งเป็นที่ที่ได้รับความนิยมจากวัยรุ่นนักเรียนนักศึกษาและวัยทำงานเป็นส่วนใหญ่ ตลาดแห่งนี้เป็นเหมือนส่วนรวมสิ่งต่างๆมากมาย ถึงแม้จะมีพื้นที่ที่ไม่กว้างมากแต่ก็มีทั้ง งานฝีมือต่างๆ มีของกินหลากหลาย มีการเล่นดนตรี มีนักร้อง ร้องเพลงเพราะๆให้ฟัง มีการโชว์ความสามารถต่างๆ เช่นการแข่งเต้นของกลุ่มนักศึกษา การแข่งขันการร้องเพลงและต่างๆ มากมาย มีเสื้อผ้า กระเป๋ารองเท้าแฟชั่นต่างๆมากมาย มีของกิ๊ปช็อปน่ารักๆและอื่นๆ อีกมากมาย ณ สถานที่แห่งนี้

            ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้คือสิ่งที่จะช่วยให้ตัวฉันรู้สึกผ่อนคลายหลังจากการทำงาน หรือเวลาเบื่อๆ เซ็งๆ ตลาดแห่งนี้เปิดบริการความสุขและความสนุก “ทุกๆ วัน พฤหัสบดีและวันศุกร์”ของทุกๆสัปดาห์โดยจะเริ่มว่างของตั้งแต่ 4 โมงเย็นไปจนถึง 4 ทุ่ม ตลาดปล่อยของยังเป็นที่ที่เปิดโอกาสให้คนทุกคนมาแสดงความสามารถ ต่างๆ รวมทั้งเปิดโอกาสให้พ่อค้าแม่ค้ามือใหม่ได้มาทดลองทำการค้าขายเพื่อขยายธุรกิจกันอีกด้วย ทำให้ตลาดแห่งนี้ได้รับความนิยมและความสนใจจากผู้คนเป็นอย่างมาก ผู้คนต่างก็มาเดินเที่ยวกันมากมายร่วมทั่งบุคคลวัยทำงานที่เลือกสถานที่แห่งนี้ให้เป็นที่ที่ทำให้ตนเองรู้สึกผ่อนคลายอย่างดิฉันเองค่ะ 

                                   

                                               

 

 

          เมื่อได้ไปเดินชิวๆช็อปของ เพื่อคลายความเครียดกันมาแล้ว เราคงจะรู้สึกหิวเราไปหาอะไรอร่อยๆทานกันดีกว่าเพื่อให้หัวใจชุ่มฉ่ำ ก่อนที่จะกลับบ้านไปอาบน้ำนอนกัน one fine day แวะชิมในวันนี้เราขอเอาใจคนที่ชอบทานสเต็กนะคะ ซึ่งดิฉันเองก็เป็นอีกคนที่ชอบทานสเต็กและสลัดมากคะ และร้านที่จะแนะนำในวันนี้ นั้นก็ คือ ร้านสลัดสวนหลวง นั้นเอง

     ซึ่งเมนูที่ฉันจะแนะนำในวันคือ สเต็กไก่ สลัดทูน่า และมันบดคะ เป็นเมนูอร่อยๆที่ฉันแนะนำขอบอกว่าเนื้อสเต็กนุ่มน่าทานมากเพิ่มซอสพริกนิดนึงขอบอกว่าอร่อยกลมกล่อม ส่วนสลัดทูน่าก็แซบผักสดกรอบถึงน้ำถึงเนื้อกันเลยทีเดียวจิบน้ำแตงโมปั่นสักหน่อยแล้วตามด้วยมันบดหอมพริกไทยดำอร่อยเต็มคำ นอกจากนี้ทางร้านยังมีเมนูต่างๆ มากมาย อาทิ เช่น สเต็กหมู สเต็กเนื้อ ถ้าไม่อยากทานของหนักๆ แต่อยากทานสเต็กนะคะขอแนะนำสเต็กปลาเซลมอลย่างรับรองอร่อยสบายท้องค่ะ นอกเหนือจากสเต็กแล้ว ก็มี สลัดผัก สลัดไข่ สปาเก็ตตี้ แซนด์วิส มักกะโรนี เมนูยำต่างๆ จำพวกน้ำก็จะเป็นน้ำผลไม้ปั่น ชาเย็น ชาดำ พ่อค้าแม่ค้าก็หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส และให้บริการเป็นอย่างดีเหมาะสำหรับทุกท่านที่ต้องการมาหาอะไรทานหลังเลิกงาน

 

                   

 

       ร้านสลัดสวนหลวงก็เป็นอีกร้านที่ลูกค้าต่างพากันมานั่งทานกันมากมายซึ่งจะเปิดร้านประมาณ 6 เย็นเป็นต้นไปจนถึงเที่ยงคืนสามารถมาลองชิมกันได้นะคะและเป็นอีกที่หนึ่งในการผ่อนคลายได้อีกเช่นกัน สำหรับคนที่ชอบทานพวกสเต็กและสปาเก็ตตี้คะเมื่อทานอิ่มแล้วคราวนี้ก็กลับบ้านไปอาบน้ำนอนพัก พร้อมที่จะตื่นเช้าขึ้นมาทำงานในวันใหม่..

 

                                                                                                                                                       

 

2
0
kantima bunc
เขียนเมื่อ

ME

 

 

   ใจกลางเมืองที่มีแต่ความวุ่นวายของประชาการที่หนาแน่น การจราจรที่ติดขัด สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย เสียงแตรรถประจำทางดังจนไม่ได้ยินเสียงพูดของคนข้างๆ นี่หรือเมืองทีใครล้วนใฝ่ฝันอยากจะมาใช้ชีวิตที่นี่ ฉันนั่งจิบมะนาวปั่น เพื่อหาแรงบันดาลใจในการเขียนเรื่องของตัวเอง เชื่อมั้ย??? ว่ามันไม่ง่ายเลยนะ เอาล่ะ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า….

      

             ฉันเกิดมาในเมืองหลวงที่แออัดที่พึ่งว่าไปข้างต้นนี่แหละ ในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง และถูกเลี้ยงมาโดยพ่อและแม่ที่เลี้ยงลูกแบบสมัยใหม่ ตั้งแต่จำความได้ครอบครัวของเราทำธุรกิจส่วนตัวมาตลอด และมันก็ไม่คงที่จะเปลี่ยนไปตามสภาพเศรษฐกิจ ตอนที่ฉันเกิดมาจำได้ว่าครอบครัวเราทำ “ธุรกิจขาย จิวเวอร์รี่” เครื่องประดับที่เป็นอัญมณี และนั้นเป็นที่มาของชื่อของฉัน “แพรว” เป็นชื่อที่แม่ของฉันตั้งให้มันเป็นทั้งชื่อเล่นและชื่อจริง ฉันเคยถามแม่ว่าทำไมต้องมีชื่อจริงกับชื่อเล่นเหมือนกันด้วย แม่ตอบว่า”มันเรียกง่ายดี จำง่ายด้วย” ใช่มันจำง่ายมาก ง่ายเกินไปไหมคะแม่ ?? ฉันยอมรับตรงนี้เลยว่าเป็นคนติดแม่มาก เราไม่เคยจะห่างกันเลย เราตัวติดกันตลอดเวลา ลูกไปไหนแม่ไปด้วย แม่ไปไหนลูกไปด้วย แถมหน้าตาชั้นกับแม่ก็ดันเหมือนกันเป๊ะ เรียกว่าถอดกันมาเลยล่ะ

             

             ฉันเป็นคนที่มีนิสัยค่อนข้างตามใจตนเอง เอาแต่ใจ คุยเก่ง ขี้โม้ไปเรื่อย เป็นคนชอบกิน(enjoy eating)กินได้ทุกที่ทุกเวลา ยิ้มง่าย โกรธง่ายหายเร็ว จะตลกและสนุกสนานกับคนที่สนิท ถ้าไม่สนิทก็จะเงียบ หลายคนมองว่าฉันเป็นคนหยิ่งแต่ความจริงที่เงียบที่เชิ่ดเพราะปิดบังความขี้ อายของฉันต่างหาก ฉันเป็นคนที่เรียนอยู่ในเกณฑ์ปานกลางมาตลอด วิชาที่ฉันทำได้ดีที่สุดคงเป็น อังกฤษ ตอนเด็กๆ ฉันยังจำได้ดี แม่พาฉันไปเรียนสถาบันกวดวิชาแห่งหนึ่ง เพื่อฝึกทักษะทางภาษา แต่แม่คงลืมไปว่าหนูเพิ่ง 7 ขวบเองนะค่ะ หนูยังไม่สามารถแยกประสาทระหว่างบทเรียนกับร้านขนมแสนอร่อยที่อยู่ติดกับ สถานที่แห่งนี้ แม่คงคิดว่าฉันต้องเก่งเหมือนพี่พลอยและเพชร ใช่!! ฉันลืมบอกไปว่าฉันมีพี่น้องร่วมสายเลือด ด้วยกัน 3 คน พลอย แพรว เพชร ที่มาของชื่อพวกเราก็คงรู้กันนะค่ะ พี่พลอยและเพชร เป็นเด็กฉลาดมาตั้งแต่เกิดเลยก็ว่าได้ สอบได้ที่หนึ่งและเป็นนักเรียนดีเด่นมาตลอด จนทำให้แรงกดดันทั้งหมดมาตกอยู่ที่ฉัน พี่พลอยและเพชร สอบติดมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยที่ใครหลายๆคนใฝ่ฝันรวมทั้งฉัน แต่แล้วฉันก็ต้องตัดใจเพราะความสามารถที่มีมันคงมีไม่พอจริงๆ ฉันจึงเบนเข็มมุ่งมั่นและตั้งใจกับการสอบเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย และเป้าหมายต่อไปของฉันคือ “วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ” วิชาเอก การแสดงและกำกับการแสดงภาพยนตร์ คะแนนของฉันสามารถที่จะไปสอบตรงที่นี่ได้ ในการสอบตรงครั้งแรกฉันจำได้ว่าก่อนวันสอบ 3 วัน ฉันอ่านหนังสือ ตั้งแต่ 9 โมงเช้ายัน 5 โมงเย็น ทำจนมันเป็นเหมือนกิจวัตร แต่ฉันก็ต้องผิดหวังเมื่อผลที่ออกมามันไม่เป็นที่คาด เพียง 10 คะแนน ฉันค่อนข้างเสียใจและจิตตกอยู่พักหนึ่งอาจเป็นเพราะเราตั้งใจและทุ่มเทกับ มันมากจนเราไม่เหลือพื้นที่ให้สำหรับความผิดหวัง หลังจากนั้นฉันก็เบี่ยงความสนใจไปทำอย่างอื่นโดยสนใจการเรียนน้อยลง ไม่ได้สนใจเรื่องการสอบอีกต่อไป และมุ่งไปที่มหาวิทยาลัยเอกชนใกล้บ้าน สิ่งนี้ถือเป็นสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของฉัน ซึ่งพอตอนนี้มานั่งคิดเรื่องในตอนนั้นถ้าฉันตั้งใจเรียนและลองสอบอีกครั้ง ฉันอาจจะสอบติดมหาลัยในฝันก็ได้ ฉันรู้สึกเสียดายโอกาสและเวลาไปอย่างมากที่ฉันปล่อยให้มันผ่านไปโดยที่ไม่ทำอะไรกับมันเลย แต่คงไม่สามารถและย้อนกลับไปได้ พ่อของฉันปลอบใจฉันและสอนฉันเสมอว่า “การนึกถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วเป็นเรื่องที่โง่มาก”ฉันก็เชื่อแบบนั้น ฉันเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วล้วนแต่เป็นสิ่งที่ดี ถึงมันจะทำให้เราเสียใจแต่มันเป็นเหมือนบาดแผลและทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้เพื่อ ให้รู้ว่าเราเคยเจ็บขนาดไหน และทำไมถึงเจ็บ และสิ่งเดียวที่ทำได้คือการปล่อยวาง

 

 

จากที่เล่ามาดูเหมือนฉันไม่มีข้อดีเลยใช่ไหม อย่าเพิ่งด่วนสรุปกันไป ฉันกำลังจะพูดถึงความสามารถพิเศษของฉันที่ติดตัวมาตั้งแต่เล็กจนถึงปัจจุบัน เพื่อลบล้างความห่วยของตัวเอง ก็อย่างที่บอกตอนเด็กๆแม่มักจะพาไปเรียนนู้นนี่เหมือนเด็กทั่วไปเพื่อเป็น อาวุธติดตัว แม่พาฉันไป เรียนไวโอลีน เปียโน รำไทย ภาษาจีน และอีกอย่างคือกีต้าร์

 

 

 

ซึ่งความสามารถอันนี้ฉันได้มาด้วยตัวของฉันเองมันเกิดจากความพยายามและแรง บันดาลใจ ฉันกำลังจะโยงเรื่องนี้ไปยัง Poppy love ของฉัน ฉันเริ่มเล่นกีต้าร์ครั้งแรกตอนอยู่ ม.4 แล้วอะไรคือแรงบันดาลใจของฉันหน่ะหรือ…..เช้าวันอาทิตย์ของวันปิดเทอมฉันไป โบสต์กับแม่เพื่อ ปฏิบัติพิธีทางศาสนาในระหว่างที่ร้องเพลงฉันมองไปบนเวทีและเห็น ผู้ชายคนนึง กำลังเล่นเปียโน ฉันจำได้ว่าเป็นเพลง “As the deer” ด้วยเขาเล่นความชำนาญและไพเราะ ฉันมองเขาอย่างไปละสายตา เสมือนนั้นคือ “รักแรกพบ” พอเสร็จพิธีเราก็แยกย้ายกันไป หลังจากนั้น 2 อาทิตย์วันเปิดเทอมก็มาถึง ในช่วงเวลาพักเที่ยงในขณะที่โรงอาหารมีคนเต็มไปหมดจนไม่มีที่นั่งสำหรับนั่งกินข้าวเลยฉันและเพื่อนเดินหาที่สำหรับกินข้าวอยู่พักหนึ่ง“……..อยู่มาจนวันนี้เพื่อเจอเธอ จะอยู่เพื่อเธอตลอดไป” ฉันก็ได้ยินเสียงกีต้าร์ดังมาจากปีกโบสต์ใช่แล้ว ผู้ชายคนที่เล่นเปียโนในวันนั้น เขานั่งร้องเพลง และดีดกีต้าร์ เขาดูมีเสน่ห์มาก ฉันยืนจ้องหน้าพี่เขาและถือจานข้าวในมือ อารมณ์หิวของฉันที่ว่าหน่ะหรือ หายเป็นปลิดทิ้ง ฉันยืนจ้องมองเขาอยู่นานเสมือนฉันถูกสะกดด้วยมนต์อะไรสักอย่าง นับตั้งแต่วันนั้นฉันก็เริ่มหัดเล่นกีตาร์และเพลงที่ฉันหัดเล่นเป็นเพลงแรกคือเพลง “เพื่อเธอตลอดไป” ทำให้สิ่งนี้ กลายเป็นความสามารถพิเศษของฉันจนถึงปัจจุบัน ฉันคิดว่าว่าบางทีการที่เรามีความสามารถหลายๆอย่างมันบอกถึงคุณภาพของความเป็นคน และฉันก็เชื่ออีกอย่างหนึ่งว่าถ้าเรามีแรงจูงใจหรือแรงบันดาลใจ มันอาจเปรียบเสมือนแรงผลักดันทำให้เราไปสู่ จุดมุ่งหมายนั้นๆได้ ฉันเชื่อเช่นนั้นตลอดมา

อีก     อย่างที่ฉันคิดว่าเป็นข้อดีของฉันคือฉันเป็นคนที่ชอบให้กำลังใจคนอื่นไม่ว่าในสถานการณ์ใดๆ แต่สิ่งที่แปลกก็คือ เวลาที่เพื่อนฉันมีปัญหาเขาก็มักจะนึกถึงฉันเพื่อปรับทุกข์ เขาบอกฉันเหมือนชักโครก ที่คอยรับฟังตลอด เพื่อนๆมักเรียกฉันว่า “ศิราณี” เพราะส่วนใหญ่เพื่อนจะเข้ามาปรึกษาฉันในเรื่องของความรัก ฉันไม่ใช่คนที่มีประสบการณ์ความรักมากมายนัก พูดง่ายๆตัวฉันเองฉันก็ยังเอาตัวไม่รอด แต่ฉันเป็นคนที่นับถือในความรักมาก ฉันเคยผ่านการอกหักที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตมาครั้งหนึ่ง ซึ่งนั้นคือรักแรกของฉัน ช่วงแรกๆที่ฉันอกหัก ฉันร้องไห้คร่ำครวญอยู่เป็นเดือน ข้าวปลาก็แทบจะตกถึงท้อง การงานการเรียนตกต่ำลง โทรมผอม ร่างกายอ่อนแอลง สภาพของฉันไม่ต่างจากมัมมี่ หลังจากนั้น 2 เดือน ก็ได้รู้ว่าเขามีคนรักใหม่ ฉันยังจำภาพนั้นได้ดีฉันดิ้นทุรนทุรายกับพื้นเหมือนคนสิ้นสติ และภาพที่เจ็บปวดที่สุดและเป็นตราบาปของฉันจนมาถึงทุกวันนี้ คือแม่ของฉัน ร้องไห้และโผเข้ามากอดฉันในอ้อมแขน น้ำตาแม่หยดลงมาที่แก้มของฉัน พร้อมกับบอกว่า “ไม่เป็นไร” ฉันเงยหน้ามองแม่กับน้ำตาที่อาบแก้ม นี่ฉันทำให้แม่ร้องไห้ ฉันทำให้แม่เสียใจ หรอนี่ นับจากนั้นฉันก็ไม่ร้องไห้ เสียใจให้แม่เห็นอีกเลย (ฉันแอบไปร้องในห้องหน่ะ ฮ่าๆ)ฉันรู้เลยว่าวันไหนที่เราเสียใจและเสียน้ำตายังมีคนๆนึงที่เจ็บไปกว่าเรานั้นก็คือ “แม่” แม่บอกฉันว่า อย่าไปโกรธหรือแค้นที่เขาทำให้เราเจ็บปวดมากขนาดนี้ ให้อภัยเขาและนึกถึงสิ่งดีๆ มีคำพูดหนึ่งที่แม่บอกกับฉันว่า “ในทุกๆความเจ็บปวด ย่อมมีความทรงจำที่สวยงามเสมอ” กับบทเรียนครั้งนั้นมันทำให้ฉันรู้ว่าความรักของคนที่เป็นพ่อและแม่มันยิ่งใหญ่เกินจะอธิบายและมันยังทำให้ฉันรู้ว่า ความคิดเรานี่แหละที่มีอิทธิพลต่อเรามากที่สุด ฉันต้องขอบคุณคนที่จากฉันไปนะเพราะเขาทำให้ฉันรู้ถึงสัจธรรมของมนุษย์ที่ว่า “เกิดคนเดียว ตายคนเดียว” และความรักครั้งนั้นก็ทำให้ฉันมีภูมิคุ้มกัน และบทเรียนที่เจ็บปวดเพื่อนำไปปรับปรุงกับรักครั้งใหม่ที่ดีขึ้น และมันยังทำให้ฉันมองว่า”ความรักมันเป็นรอยสัก” ถึงรู้ว่ามันเจ็บแค่ไหน คนส่วนใหญ่ก็ยินดีที่เจ็บปวดเพื่อให้ได้มันมา มันเปรียบเสมือนความเจ็บปวดที่งดงาม แต่สำหรับฉันถึงแม้ความรักจะทำให้เราเสียน้ำตามากแค่ไหน ทุ่มเทมากเพียงใด เจ็บปวดกับมันมากเท่าไหร่ ฉันก็ยังมองว่ามันเป็นสิ่งที่วิเศษและสวยงามเสมอ

นี่คือ “ME” ที่ฉันถ่ายทอดออกมาผ่านตัวหนังสือฉันยอมรับว่าเป็นคนที่เรียบเรียงคำพูดไม่ เก่ง สิ่งที่ฉันคิดอยู่ในสมองมันเยอะมากและอยากจะถ่ายทอดออกมาให้ท่านผู้อ่านรู้ แต่มันกลั่นกรองออกมาได้ยังไม่ค่อยดีเท่าที่ควร แต่หวังว่าบทความนี้มันจะทำให้ ผู้อ่านรู้จักฉันในระดับหนึ่งนะคะ……………….

 

5
0
kantima bunc
เขียนเมื่อ

          

 

 

 

   "เมื่อคุณสอบตก อกหัก หรือผิดหวังครั้งหนักๆในชีวิต คุณเคยรู้สึกอยากจะหนีไปให้ไกลจากสภาพเดิมๆ เหล่านี้ไหม ?"

 

          

 

                  นี่คือคำถามของ “นุ่น” เด็กสาวที่ร่าเริง น่ารัก แสนงอน ก่อนหน้านี้เธอได้ถูก “ตั้ม” แฟนหนุ่มที่คบกันตั้งแต่เขาและเธอเขามาศึกษาที่มหาวิทยาลัย “นุ่น”ถูกบอกเลิกและขอเปลี่ยนสถานะ มาเป็น “เพื่อน”ในวันที่ ใกล้จะจบการศึกษาเพียงไม่กี่วัน นุ่นรับไม่ได้กับการร้องขอของ “ตั้ม” ในครั้งนี้ เธอจึงตบปากรับคำชวนของ “เชอร์รี่” ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเธอตั้งแต่ มัธยมและได้ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันคือ เชอร์รี่โดนพักการเรียน 1 ปี เหตุผลเพราะปลอมลายเซ็นอาจารย์เพื่อขอใช้ห้องเขียนแบบนั่นเอง

              สองสาวจึงตัดสินใจหนีจากสถานที่เกิดเหตุของปัญหา จูงมือกันมุ่งหน้าสู่ “ยุโรป” บินข้ามเส้นรุ้งและอีกหลายเส้นแวง ปลดแอกตัวเองจากแรงดึงดูดของโลก แผนของทั้งคู่นั้นง่ายแสนง่าย คือ เสิร์ฟ –เก็บตังค์-เที่ยว เป้าหมายของทั้งคู่นั้นก็คือ “BIG THREE OF EUROPE” ลอนดอน- ปารีส-เวนิส สโตนเฮนจ์,ทางเวอร์ บริดจ์,หอ ไอเฟล,พิพิธภัณธ์ลูฟร์,โคลอสเซียม,เรือกอนโดล่า และหอเอนปิซ่า แลนมาร์คสำคัญๆของโลกถูกมาร์คไว้ลงในใจของ”นุ่นและเชอร์รี่” ก่อนออกเดินทางทั้งคู่ได้ทำสัญญาใจกันว่า “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ห้ามทิ้งกัน” แต่อย่างไรก็ตามลงท้ายก็เป็นอย่างที่เขาว่ากัน ชีวิตเต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์สารพัด ทั้งสองคาดไม่ถึงหรอกว่าบางครั้งคำสัญญาเป็นหมั้นเป็นเหมาะก็สั่นคลอนเสียง่ายๆเมื่อเจ้าของสัญญาทั้งสองเริ่มเหน็ดเหนื่อย อ่อนล้า จากภาระหน้าที่ในชีวิตประจำวัน พวกเธอคาดไม่ถึงหรอกว่ามิตรภาพอันยาวนานก็ถึงกาลแตกหักด้วยเหตุผลที่ดูไม่เหมือนเหตุผลว่า “กูเบื่อขี้หน้ามึง” ในการเดินทางครั้งนี้ “นุ่น”ก็คาดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับ “ตั้ม”อีกตั้มหนึ่งและกลายเป็นความรักครั้งใหม่ กับแฟนใหม่ที่ชื่อเหมือนแฟนเก่า เช่นเดียวกับเชอร์รี่ที่พบกับงานที่เธอใฝ่ฝัน และเธอก็ได้มาด้วยความสามารถของเธอเอง โดยไม่ต้องใช้ใบปริญญาสักใบ

       

              ตัวละครที่สำคัญในเรื่องความจริงมีอยู่ 2 ตัวละครนะค่ะ ทั้งนุ่นและเชอรี่ แต่ที่ฉันกำลังจะกล่าวถึงและมีลักษณะนิสัยส่วนใหญ่ที่คล้ายกับฉันมาก(จนรู้สึกเหมือนเป็นตัวฉันเอง ฮ่าๆ)  ก็คือ “นุ่น” บุคลิกภายนอกนุ่นเป็นคน ร่าเริง ยิ้มง่าย สนุกสนาน ดูเป็นสาวหวาน คุณหนูๆ ลักษณะนิสัย เป็นคนขี้งอน(แสนงอน) ช่างฝัน อ่อนไหว(แต่ไม่อ่อนแอ)เป็นคนที่จริงจังและให้ความสำคัญกับคนรอบข้างและบูชาความรักมาก ภายนอกดูเหมือนเป็น คุณหนูง๊องแง๊ง แต่แท้ที่จริง เธอมีลูกบ้าซ่อนอยู่พอสมควร เป็นคนเข้ากับคนยาก แต่ถ้ารู้จักก็จะรู้ว่า เธอเป็นคนตลก สนุกสนาน คิดอะไรก็พูดออกมาบางครั้งก็ไม่ได้คิด ความโดดเด่นของ “นุ่น” เป็นคนร่าเริง มองโลกในแง่ดี มีความมุ่งมั่นและความตั้งใจในทุกเรื่องเอ๊ะ!!! หรือบางเรื่อง แต่กับเรื่องที่ตนสนใจหรือชอบ นุ่นจะลงมือทำมันอย่างเต็มที่ ใส ซื่อ รักครอบครัว ชอบมองหาสิ่งใหม่มาให้ตัวเองเสมอ รักการผจญภัย ชอบการเดินทางถึงไหนถึงกัน ข้อเสียของตัวละคร ตัวนี้ เป็นคนขี้งอน และอ่อนไหวกับบางเรื่องโดยเฉพาะเรื่องความรัก เป็นคนจำฝังใจแต่ไม่อาฆาตแค้น “ใครทำเรารักเราหลง ใครทำเราเจ็บเราจำ” นี่คือคติประจำใจของ นุ่นนั่นเอง มีอยู่ฉากหนึ่งในหนัง ก่อนที่นุ่นจะตัดสินใจไปร่วมเดินทางกับเชอร์รี่ครั้งนี้ เธอกล่าวถึงคนรักเก่าว่า “มีตั้มที่ไหน ที่นั้นต้องไม่มีนุ่น” เป็นคนปากแข็ง บ่อยครั้งที่นุ่นนั่งดูรูปคนรักเก่าแล้วเผลอร้องไห้ออกมาคนเดียว เป็นเพราะนุ่นเป็นคนที่จริงจังและซีเรียส กับทุกๆเรื่อง มากเกินไป บางครั้งเวลาผิดหวังหรือสุญเสียอะไรบางอย่างไปเป็นเรื่องธรรมดาที่นุ่นจะรับไม่ได้

          เหตุการณหรือฉากที่ประทับใจของตัวละคร ต้องขอบอกเลยว่าทุกฉาก ทุกตอนในหนังเรื่องนี้ สร้างความประทับใจให้ตัวฉันพอสมควร ทั้ง Location(สถานที่) บท และการถ่ายทอดอารมณ์ผ่านตัวนักแสดง แต่ฉากที่ชอบที่สุดคงเป็นฉากที่ “นุ่น”เริ่มท้อกับชีวิตต่างแดน เงินก็เริ่มหมด ร่างกายแย่ลงและค่อนข้างปรับกับสภาพอากาศไม่ได้ จึงชวน เชอร์รี่กลับบ้าน เชอร์รี่บอกกับนุ่นว่า “ไม่ ถ้าแกอยากกลับก็กลับไปคนเดียว” นุ่นรู้สึกเสียใจและโกรธกับคำพูดของเชอร์รี่ ทำให้นุ่นระบายความในใจทุกอย่างที่อัดอั้นมานาน จึงทำให้ทั้งสองทะเลอะกันอย่างหนัก และไม่คุยกันเป็นอาทิตย์ จนมีเหตุการณ์ที่ทำให้ทั้งคู่ต้องอยู่ด้วยกัน และมีเวลาปรับความเข้าใจกัน เป็นฉากที่นุ่นไม่สบายเป็นลมหมดสติไปบนพื้นถนน เชอร์รี่แบกร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของนุ่นกลับที่พัก ดูแล และดูอาการของนุ่นอยู่ไม่ห่าง จนนุ่นรู้สึกตัวก็เห็นว่ามี เชอร์รี่อยู่ข้างๆ ทำให้ทั้งสองรู้ว่า “ไม่มีใครทิ้งใครจริง” ทั้งสองพยายามปรับความเข้าใจและปรับปรุงข้อเสียของตัวเอง ทั้งคู่เอ่ยปากขอบคุณเหตุการณ์ในวันนั้นที่ทำให้ต่างฝ่ายต่างกล้าพูดสิ่งที่ควรจะพูดออกมา ซึ่งสิ่งเหล่านั้นทำให้วันนี้เธอทั้งคู่เข้าใจกันและรักกันมากขึ้น และเหตุการณ์นี้ก็ตรงกับชีวิตของฉันเช่นกัน มีอยู่ครั้งหนึ่งฉันได้ทะเลาะกับเพื่อน เพื่อนที่ฉันรักและคบกันมากว่า 7 ปี ด้วยเหตุผลไร้สาระที่ว่า “ฉันลืมจ่ายค่ารถเมย์ให้” ท่านผู้อ่านคงไม่เชื่อว่าเหตุการณ์นี้ทำให้เราไม่ได้คุยกันถึง 1 ปีเต็ม ด้วยศักดิ์ศรีที่ค้ำคอ จึงไม่มีใครยอมพูดขอโทษ จากนั้นไม่นาน ฉันก็ได้ยินข่าวร้ายว่า “เพื่อนของฉันอุบัติเหตุทางรถยนต์และเสียชีวิต ฉันร้องไห้คร่ำครวญเหมือนเสียของรักที่สุดไป ไม่มีแล้วใช่ไหม เพื่อนที่รักเราที่สุด หลังจากนั้นฉันได้รับบทเรียนอันยิ่งใหญ่และปรับปรุงตัวเอง ปัจจุบัน ฉันเอ่ยขอโทษอยู่เสมอและเมื่อรู้ว่าตัวฉันเองผิด และแม่ฉันอีกเช่นเคยที่สินฉันว่า "คำว่าขอบคุณและขอโทษ เป็นคำที่ไม่มีวันหมดอายุ เราจขะใช่มันเมื่อไหร่ก็ได้"

         คำพูดที่ประทับใจ คงเป็นคำพูดของ “ตั้ม” ที่สอน “เชอร์รี่” เสมือนพี่ชายสอนน้องสาวว่า “เราจะไม่สนใจคนที่ล้มแล้วเจ็บ แต่เราจะสนใจคนที่ล้มแล้วลุกขึ้นแล้วเดินต่อมากกว่า” คำพูดนี้มีความสำคัญต่อฉันมาก ฉันเก็บมันมาคิดทุกครั้งเวลาที่ฉันท้อหรือหมดกำลังใจ เชื่อไหม.. ว่ามันช่วยได้ดีมากเลยทีเดียว

       ความใกล้เคียงของฉันกับตัวละครตัวนี้ ค่อนข้างที่จะเหมือนกันแทบทุกอย่าง ใช่แล้ว !!! ฉันเป็นคน ร่าเริง สนุกสนานมาก (เกินไป) ทำให้บางครั้งดูเป็นคนไร้สาระ มองโลกในแง่ดี เพื่อนๆมักเรียกฉันว่าเป็น “คนโลกสวย” ฉันเป็นคนให้ความสำคัญกับคนรอบข้างมากและจริงจังกับทุกสถานการณ์ แต่สิ่งที่น่าจะใกล้เคียงกันที่สุดคงเป็นเรื่องความรัก เพื่อนสนิทที่รู้จักฉันดี มักบอกกับฉันเสมอว่า “ฉันเป็นคนบูชา ความรักมาก”และเหตุผลหนึ่งที่ฉันเลือกจะมาใช้ชีวิตที่นี่ส่วนหนึ่งก็เพราะฉันอกหัก นั้นเอง ฉันเดูภายนอกฉันเป็นคนติดหรูนะแต่จริงฉันเป็นคนลุยๆไปไหนไปกัน และชอบการผจญภัยพอสมควรและนี้ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ฉันเลือกเป็นไกด์ จนถึงปัจจุบัน

    “ไม่ว่าจะอย่างไร ไม่ว่าจะหนีไปไกลแค่ไหน ทุกๆต่างต้องอยู่บนพื้นฐานเดียวกันที่ว่า เราไม่ใช่ศูนย์กลางของโลก เช่นเดียวกับที่โลกไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล” อย่างที่กาลิเลโอได้กล่าวเอาไว้

4
0
kantima bunc
เขียนเมื่อ

 

หนึ่งวันสบายคล้ายร้อนที่"ในยาง"(ความสุขอยู่แค่เอื้อม)

 

       “คุณเป็นอีกคนหนึ่งไหม ที่ทำงานจนไม่มีเวลาไปไหน ทำงานจนไม่มีเวลาได้พักผ่อน หรืออยู่กับคนใกล้ตัว ทำงานจนลืมไปว่าเราอยู่ในเมืองที่มีความสวยงามทางธรรมชาติอันดับต้นๆของโลก ที่ๆใครๆต่างบอกว่ามันเป็นเกาะสวรรค์ มันถูกใครเรียกกันว่า “เกาะภูเก็ต”นั่นเอง

       “ระวังคนกำลังเหงาถ้ามันถูกใจเข้า ให้ทำยังไง.......” เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือคู่ใจดังขึ้นฉันบิดขี้เกียจอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง โอ้ย !!!! นี่มันพึ่ง 9.00 โมงเช้า ห๊า !!! 9 โมง ฉันต้องเข้างาน 9.30 หนิ คงเป็นเพราะเช้านี้ฝนตกลงมาทำให้ชุ่มฉ่ำและมีความสุขกับการนอนมากไป ฉันรีบทำภารกิจของฉันอย่างเร่งรีบ วันนี้เป็นวันที่อากาศไม่ค่อยเป็นใจในการทำงานเท่าไหร่ การทำงานของฉันเงียบเหงา และน่าเบื่อ ฉันเฝ้ารอเวลาให้ถึง 4 โมงเย็นเร็วๆ เพราะวันนี้ฉันมีนัดกับครอบครัวเราจะไปสถานที่ๆนึ่งด้วยกันที่นั่น อยู่ไม่ไกลจากบ้านของฉันมากนัก ฉันขอบอกไว้ก่อนเลยว่าตั้งแต่ที่ฉันย้ายมาอยู่ ภูเก็ต จนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลา 6 เดือนแล้ว ฉันยังไม่มีโอกาสได้ไปสัมผัสน้ำทะเลกับคนอื่นๆเขาเลย วันนี้ถือเป็นโอกาสดีจริงๆ เหมือนสภาพอากาศจะเป็นใจ เมือถึงเวลาที่ฉันเลิกงานฝนที่ตกอย่างหนักเมื่อคู่ก็ ฟ้าที่ปิดสนิท กลับมีแสงแดดอ่อนๆลอดผ่านก่อนเมฆมาให้อุ่นใจ เอาละเราเริ่มเดินทางกันเลย ........

            

        จุดหมายปลายทางของเราในวันนี้ก็คือ “หาดในยาง” ซึ่งถ้าออกเดินทางจากบ้านของฉันก็ใช่เวลาไม่เกิน 30 นาทีเท่านั้น ฉันขอบอกก่อนเลยว่าก่อนหน้านี้ฉันวางแผนจะไปทัวร์เมืองกรุง(กรุงเทพมหานคร)แต่ด้วยสถานการณ์เมืองที่ค่อนข้างจะตรึงเครียด จึงทำให้การเดินทางครั้งนี้ถูกเลือนไปอย่างไม่มีกำหนด ทำให้เราต้องเปลี่ยนแผนมาเที่ยวสถานที่ใกล้บ้านที่มีความสวยงามและยังถูกตั้งให้เป็นอุทยานแห่งชาติด้วย ระหว่างทางก่อนถึงที่หมาย มีโรงแรมขนาดกลางขนานทั้ง 2 ข้างถนน มากมายมองแล้วค่อนข้างจะเพลินตากับดีไซน์การตกแต่งที่สวยงามและแปลกตา ........เย้!!!!! เรามาถึงที่หมายแล้ว “อุทยานแห่งชาติ สิรินาถ” หรือ” “ หาดในยาง” นั้นเอง ทันทีที่ก้าวลงจากรถก็สัมผัสได้ถึงความเงียบสงบ และสิ่งที่ฉันชอบที่สุดอีกอย่างและคิดว่าสิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ดึงดูดนักเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติคือ “ต้นสน” ที่นี่มีต้นสนที่ใหญ่อยู่เป็นร้อยๆต้นถนนแถวจนสุดหาด บวกกับพื้นหญ้าที่เขียวขจี ตัดกับหาดทรายขาว มันช่างเข้ากันจริงๆ และตลอดริมหาดก็มีร้านอาหารทะเลให้เลือกอยู่หลายร้านเลยที่เดียวสงสัยเย็นนี้พวกเราคงต้องฝากท้องไว้ที่นี่แล้วล่ะ

           ฉันไม่รอช้ารีบตรงดิ่งไปยังทะเลเพื่อให้เท้าสัมผัสน้ำทะเลให้หายยากจากที่อดทนรอวันนี้มานาน ฉันทิ้งตัวลงบนคลื่นที่จะลังจะเคลื่อนตัวมาใกล้ฉันในชุดทำงาน จนเปียกไปทั้งตัว จากนั้นพ่อ,น้า และน้องสาวตัวแสบ พวกเราลงเล่นน้ำทะเลกันอย่างมีความสุขและรอยยิ้ม

       นอกเรื่องว่าเยอะเรามาทำความรู้จักกับหาดนี้ให้มากขึ้นกันดีกว่า “หาดในยาง”อยู่ทางฝั่งตะวันตกค่อนไปทางเหนือของเกาะ เป็นที่ตั้งที่ทำการอุทยานฯ ชายหาดมีบรรยากาศเงียบสงบ เป็นที่นิยมในการผักผ่อนย่อนใจของชาวภูเก็ตเป็นส่วนใหญ่ มีบ้านพักของ อุทยานฯ และเต็นท์สนาม ไว้ค่อยบริการนักท่องเที่ยวในราคาย่อมเยาและจุดเด่นของที่นี่คงเป็นบรรยากาศที่เย็นสบายและความเงียบสงบที่ได้ยินเพียงเสียงลมและเสียงคลื่นร่มเงาจากต้นสนที่คอยบังแดด ฉันเล่นน้ำทะเลราวกับได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ฉันหยิบเปลือกหอยมาวาดรูปบนทรายเนื้อละเอียด พ่อนั่งมองฉันแล้วยิ้มที่มุมปาก พร้อมกับเอ่ยว่า “นี่แหละคือของขวัญวันเกิดปีนี้” ใช่!!! ฉันคงลืมบอกไปวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของพ่อฉัน มันช่างเป็นช่วงเวลาที่ประจวบเหมาะจริงๆ

            พอเริ่มเหนื่อยจากการเล่นน้ำทะเลมาราวๆ เกือบ 2 ชั่วโมง เราก็เริ่มเดินไปหาของกินที่ร้านอาหารทะเลแถวนั้นเราคัดสรรอยู่หลายร้านแต่สุดท้ายเราก็ตกลงปลงใจ เลือกจะฝากท้องกับร้าน “ป้าแดง ซีฟู้ด” ที่มีเมนูในเลือกสรรมากมาย ป้าแดงผู้เป็นเจ้าของร้านเดินมาต้อนรับและแนะนำเมนูแสนอร่อยด้วยตัวเอง ร้านนี้มีอาหารที่น่าสนใจมากมาก แต่ที่เป็นจุดขายของที่นี่คงเป็น “ส้มตำปูม้า และยำ ไข่แมงดา” ในเมื่อป้าแดงแกแนะนำขนาดนี้มีหรือที่เราเมินเฉย เราสั่งสองสิ่งที่มาสนองท้องที่หิวโหย คำแรกที่ได้ชิมส้มตำปูม้า ฉันรู้เลยว่าปูที่ป้าแดงแกเลือกมานั้นสดไม่คาว รสชาติ กลมกล่อม อุ้ย!!!! อูมามิ มาก แต่อย่างที่ 2 นี่ climax เลย ฉันเป็นคนไม่กินแมงดาเลยนะ แต่ป้าแดงอีกนี่แหละ “กินเถอะหนู ลองดูแล้วจะติดใจ” อื้ม ... แค่คำเดียวเท่านั้นแหละ ....ไม่มีคำบรรยาย ร้านป้าแดง ยังมีอาหารอร่อยๆอีกมากมายให้ชวนชิมบวกกับบริการที่เป็นกันเองของเจ้าของร้านแถมราคาก็สบายกระเป๋าเป็นแบบนี้ใครล่ะจะอดใจไหว

 

         เหมือนที่ใครบางคนได้บอกไว้ว่า “เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ” วันนี้ถึงมันอาจจะเป็นช่วงเวลาสั้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่มันก็เป็นวันที่ดีอีกวันหนึ่งของคนๆนี้ วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่ทำให้ฉันได้รู้ว่าการพักผ่อนหรือการผ่อนคลายจากการเหนื่อยล้าจากการทำงานไม่จำเป็นต้องไปนวดที่สปาแพงเสมอไป ไม่ต้องไปเดินตากแอร์ในห้างหรูๆ ไม่ต้องจัดสรรวลาและเงินจำนวนหนึ่งไปสถานที่ไกล บางทีที่ๆอยู่ใกล้ตัวเราจนเรามองข้าม อาจเป็นสถานที่ที่ทำให้พบกับความสุข ความสงบและผ่อนคลายได้เหมือนกัน ขอบคุณงานชิ้นได้มาเหยียบน้ำทะเลสักทีและที่ทำให้เรามีวันเวลาดีๆที่ได้อยู่ด้วยกัน สำหรับการเดินทาง “หาดในยาง” ห่างจากตัวเมืองภูเก็ตประมาณ 30 ก.ม. สามารถเดินทางมาโดยรถยนต์หรือจักรยนต์ก็ได้ สำหรับเพื่อนๆคนไหนที่มีเวลาและงบประมาณในการเที่ยวหรือพักผ่อนที่จำกัด “หาดในยาง” อาจเป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ ลองหน้าเวลาว่างออกมาเที่ยวตามสโลแกน ของ ททท.(การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) ที่ว่า “เที่ยวหน้าฝน ค้นหาความสุข” กันนะค่ะ

5
0
kantima bunc
เขียนเมื่อ

             

  กิน เที่ยวใน มหาวิทยาลัย ราชภัฏภูเก็ต

 

           "โรงเรียนของเราน่าอยู่ คุณครูใจดีทุกคน...ชอบไปๆโรงเรียน...."ฉันเชื่อว่าเกือบทุกคนเคยฟังเพลงนี้ เพลงที่ได้ยินตีหูมาเป็นทศวรรษ แต่คงสงสัยว่าทำไมฉันถึงร้องเพลงนี้ เพราะ บทเพลงดังกล่าวทุกประโยค ตรงกับมหาวิทยาลัยของฉัน "มหาวิทยาลัย ราชภัฎภูเก็ต" ตั้งแต่ก้าวแรกที่ฉันได้มายืนอยู่ที่นี้ ฉันเห็นถึงความเป็นธรรมชาติและความยิ่งใหญ่ของเนื้อที่กว่าหลายร้อยไร่ มองไปสุดลูกตา เป็นเหมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูเก็ต ข้างทางขนานด้วยต้นไม้ใหญ่ที่ให้ความร่มรื่น และความยิ่งใหญ่ทำให้ฉันงุนงงหลงทางอยู่ครู่หนึ่งและมาหยุดยัง"แปด เหลี่ยม"ซึ่งเป็นที่นัดหมายยอดฮิตของที่นี่

          แต่ที่เป็นดั่งที่โปรด เงียบ สงบ เย็น แถมอิ่มท้องคงเป็นที่ใดไปไม่ได้นอกจาก...ห้องสมุดมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต สงสัยไหมว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้ฉันรู้จักสถานที่แห่งนี้..... ต้องขอย้อนไปเมื่อวันปฐมนิเทศ อาจารย์ท่านหนึ่งได้กล่าวแนะนำมหาวิทยาลัยว่า มีห้องสมุดที่มี coffee shop มาม่า ขนมคบเคี้ยว ไว้ในบริการ ได้ยินดังนั้นฉันก็รู้สึกอย่างมาที่ห้องสมุดแห่งนี้ทันที พอมาถึงจึงได้รู้ว่าเราอยากจินตนาการสูงไป แต่ห้องสมุดที่นี่ใหญ่โต น่าหนังสูงถึง 4 ชั้น จัดวางหนังสือได้น่าสนใจ และที่สำคัญ มีโซฟาให้ฉันได้นั่งหลีบ เอ้ย!!!! อ่านหนังสือ พร้อมบริการ wifi และแอร์ที่เย็นกำลังดี ในช่วงเวลาเที่ยงๆของทุกวันที่ระหว่างรอเรียนวิชาต่อไป เราจะมาแอบงีบกันที่นี่ (อาจารย์คงได้คำตอบแล้วนะค่ะว่าทำไมพวกเราถึงเข้าเรียนสาย) พอฉันมาถึงทีนี่บอกเลยมันทำให้ฉันไม่อยากลุกไปไหน

         แต่ก่อนที่จะมาถึงห้องสมุดเราก็คงต้องฝากท้องกับร้านอาหารที่ถ้า ณ ช่วงเวลานั้นเป็นตอนเที่ยงร้านทุกร้านก็จะเต็มไปด้วยนักศึกษาที่ต่อแถวยาวเหยียดจนน่าเบื่อ แต่ความหิวและกระเพาะของฉันมันก็คงทำงานได้ดี มันร้องออกมาดังลั่น โอ้ย!!!! แต่แล้วก็เหมือนสวรรค์เข้าข้างเมื่อฉันเหลือบไปเห็นร้านอาหารร้านหนึ่ง “ชายสี่หมีเกี๊ยว”ที่เป็นของรุ่นพี่นักศึกษา วิชาการตลาด ที่ดูแสนจะน่ากิน แต่ทำไมไม่มีคนเลยนะ ฉันและเพื่อนตรงดิ่งเข้าไปทันที สั่ง “หมี่เกี๊ยวหมูแดงพิเศษ” รอไม่นานนัก บะหมี่ก็มาเสิร์ฟ ช่างน่ากินเสียจริง ฉันไม่รอช้ารีบตักเข้าปาก และในคำแรกมันก็ทำให้ฉันพบว่า “เหตุใดร้านนี้ถึงไม่มีคนต่อแถวซื้อ” รสชาติของมัน จืด เส้นแข็ง และให้น้อยมาก ฉันจำใจกินจนหมดไม่ใช่ด้วยความหิวแต่เป็นเพราะสายตาของรุ่นพี่ที่มองดูผลงานของพวกเขาว่าเรามีการตอบรับกับอาหารจานนี้ที่ดีหรือไม่ !! ฉันยกนิ้วส่งสัญญาณเป็นการบอกว่า “มัน อู มา มิ มากคะพี่” รุ่นพี่ยิ้มรับและก้มตัวเล็กน้อยเป็นการขอบคุณ แต่ก็น่าแปลกถึงบะหมี่ชานี้รสชาติมันจะ เอ่อ....... นั่นแหละอย่างที่ดิฉันกล่าวไปข้างตน แต่แทบทุกวัน ดิฉันและเพื่อนก็ฝากท้องไว้ที่ดี เพราะบริการที่เป็นกันเองของรุ่นพี่ และบะหมี่ที่ได้เร็วทันใจ ทำให้ดิฉันและเพื่อนอดใจไม่ไหวที่ต้องอุดหนุน วันไหนที่เราไปกินข้างนอกหรือร้านที่อร่อยกว่ารู้สึกว่าเหมือนขาดอะไรไปในชีวิต ฮ่าๆ มันขนาดนั้นจริงๆ และนี่คือสิ่งที่ฉันอยากจะเล่าถึงความพอเศษของมหาวิทยาลัยของฉัน ฉันรักที่สถาบันของฉัน ที่ยี่ทำให้ฉันมีความสุขที่จะได้มา ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน และครู อาจารย์ ที่น่ารัก เข้าใจ บรรยากาศ สิ่งอำนวยความสะดวก แล้วอย่างนี้จะไม่ทำให้ฉันรักที่นี่ได้อย่างไร……

2
0
kantima bunc
เขียนเมื่อ

                         หนึ่งวันในฤดูหนาว ที่ดูเหงาๆแต่ก็ O.K.

             “เพราะ...อากาศมันหนาวคนที่ขี้เหงาก็เลยต้องทำใจ คอยระวังไม่ให้เปล่าเปลี่ยวใจ” เพลงนี้เป็นเพลงที่เปิดบ่อยที่สุดในช่วงนี้เลยก็ว่าได้ มันช่างเป็นเพลงที่ตอกย้ำความเหงาของคนโสดไร้คู่เคียงข้างอย่างฉันเสียจริงๆ ถึงแม้ช่วงเดือนธันวาคมอากาศจะเริ่มเย็นอาจจะหนาวเล็กน้อย และค่อนข้างจะเป็นอุปสรรคต่อการอาบน้ำและการตื่นเป็นอย่างมาก

              ถึงอากาศเย็น ในฤดูหนาวจะทำให้คนเหงาอย่างฉัน เหงาขึ้นเป็นทวีตรีคูณ แต่ฉันก็ชอบเดือนธันวาคมมากที่สุด เพราะอะไรหน่ะหรือ เพราะมันเป็นเดือนที่มีเทศกาลแห่งความสุข ใช่แล้ว คริสมาส และ ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เหมือนเดือนนี้เป็นเดือนที่หลายๆคนรอคอยเหมือนฉันเหมือนเป็นเดือนแห่งความหวัง หวังว่าจะได้โบนัสท้ายปี ได้ของขวัญจากซานต้าครอส และการเตรียมตัวเริ่มต้นใหม่ในปีหน้า ต้องยอมรับเลยว่าคริสมาสปีนี้เป็นคริสมาสที่เหงาที่สุดในชีวิต ปีก่อน ครอบครัวเราจะย่างไก่งวงและแบ่งชิ้นส่วนของไก่ให้กับเด็กๆ และเราก็มีปาร์ตี้เล็กๆกับครอบครัว แต่ปีนี้ฉันไม่ได้อยู่กับครอบครัว ทำให้ฉันซื้อ ต้นคริสมาส มาตกแต่งห้องนอน และมองแสงไฟระยิบระยับอยู่คนเดียวในคืนแห่งความสุข

 

 

                                                             

               อย่างที่ฉันได้กล่าวไปข้างต้นว่าคริสมาสที่ผ่านมาทำให้ฉันคิดถึงครอบครัวจับใจ ปีใหม่นี้ถือเป็นโชคดีที่เจ้านายของฉันก็อนญาตให้พนักงานไปพักผ่อน ว้าวววๆ มันช่างเป็นช่วงเวลาที่เป็นใจจริง แม่และพี่สาวของฉันทำงานอยู่ที่เกาะสมุยเรามีธุรกิจที่ วิลล่า ขนาดกลางมีบ้านพักกว่า 26 หลังให้ลูกค้าได้เลือกพัก วิลล่าของเราชื่อ “CHAWENG MODERN VILLAS” ถึงเราจะเป็น โรงแรม (วิลล่า)ที่ไม่ใหญ่ แต่ทุกๆเทศ กาลโรงแรมของเราก็จะมีลูกค้าชาวต่างชาติมาใช้บริการอย่างไม่ขาดสาย และเป็นเสมือนประเพณีของที่นี่คือเราจะมีอาหารเช้า WELCOME BREAKFASTเพื่อเป็นการ ต้อนรับลูกค้าใหม่ และ HAPPY NEW YEAR ไปในตัว พวกเราตื่นเช้าตรู และช่วยกันเข้าครัวทำอาหารเช้าสำหรับเมนูก็จะมี น้ำส้มคั่นสด แพนเค้กช็อกโกแลต แพนเค้กกล้วยหอม ออมเล็ท(ไข่เจียว) ไส้กรอก มันฝรั่งเผา มะเขือเทศเผา และซีเรียลกรอบ วันนี้ถือว่าเป็นการทำหารครั้งแรกในรอบปีของฉันก็ว่าได้และที่สำคัญวันนี้ทำให้ฉันได้เห็นการร่วมมือร่วมใจกันของคนในองค์กรและครอบครัว ทุกอย่างผ่านชะลุ่ย เสร็จออกมาหน้าตาน่ารับประทาน

 

            หลังจากที่เสร็จสิ้นภารกิจในตอนเช้า พอตกเย็นเราก็นั่งครุ่นคิดกันว่าเราจะไป countdown ที่ไหนกันดี ต่างคนต่างออกความเห็นต่างๆนาๆ แต่เราสรุปกันว่าวันนี้เพื่อเป็นการเริ่มต้นสิ่งดีๆในชีวิต เราจะไปสวดมนต์ข้ามปีกันที่วัดใกล้บ้าน ประมานสี่ทุ่มเศษๆ เราเริ่มออกเดินทาง เพื่อมุ่งหน้าไปเขาหัวจุก วัดที่อยู่บนยอดภูเขามีพระสงค์จำพรรษาอยู่ 8 รูป ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า และพอเดินไปถึงชั้นสูงสุดของเจดีย์ก็จะเห็นวิวของเกาะสมุย 360 องศาเลยทีเดียว แต่ทุกอย่างที่เราวางไว้ก็พังสลายเมือวัดทุกวัดมีประชาชนให้ความสนใจกับการสวดมนต์ข้ามปีนี้เป็นอย่างมาก มากจนไม่มีที่ให้เดิน ใจหนึ่งฉันก็ค่อนข้างหงุดหงิดเล็กน้อยที่มาไม่ทันคนอื่น แต่อีกใจหนึ่งก็ประทับใจที่คนในสังคมที่นี่ก็มีธรรมมะเป็นที่พึ่งอยู่พอสมควร เอาล่ะๆไหนๆก็ไหนแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้เราคงต้องเปลี่ยนแผนการกะทันหัน เราตกลงกันใหม่ว่าจะไปดู พลุที่หาดเฉวง ซึ่งเป็นเสมือนประเพณีอีกเช่นกันที่พอใกล้จะถึงเวลา countdown ทุกๆที่จะมีการจุดพลุประชันความสวยงาม เอาล่ะวันนี้เราจะได้เห็นใกล้สักที .....ว่าแต่ ตอนนี้เริ่มจะหิวอีกแล้วสิหน่า ถึงเวลาแล้ว 5 4 2 3 1.......... HAPPY NEW YEAR 2014 พลุจากโรงแรมต่างบริเวณชายหาด ต่างจุดประชันความงดงาม จนฉันและครอบครัวตัดสินใจไม่ได้เลือกไม่ลูกว่าเราจะมองอันไหน มองไปรอบ ทุกๆคนต่างมีความสุขใบหน้าเปื้อนไปด้วยสีทาหน้า และรอยยิ้มเสียงหัวเราะ ฉันไม่อยากให้ช่วงวันเวลาเหล่านี้ผ่านไปเลยจริงๆ

สวัสดี ปี ๒๕๕๗

1
0
Kamolpan Promtong
เขียนเมื่อ

Me

        สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อ กมลพรรณ พรมทอง เป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัวบ้านเกิดอยู่จังหวัดตรังค่ะ คุณแม่เป็นคนจังหวัดพังงาที่จังหวัดตรังคือบ้านของคุณพ่อ เกิดเมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ 2536 เป็นคนที่ไม่ติดพ่อติดแม่เพราะไม่ได้อยู่กับท่านทั้งสองตั้งแต่ตอนเด็กๆ เพราะเมื่อฉันคลอดและกลับมาอยู่บ้าน พ่อก็ต้องกลับไปทำงานที่ภูเก็ตและให้แม่กับยายเป็นคนดูแลแทน   แต่เมื่อฉันอายุประมาณแค่สามเดือนแม่ก็ทิ้งฉันไปก่อนไปแม่ก็บอกกับยายไว้ว่า จะขอกลับไปต่อบัตรประจำตัวประชาชนและจะไป2-3 วันและจะรีบกลับมา เมื่อเวลาผ่านไปสามวันก็ยังไม่เห็นแม่กลับมาและก็ไม่ได้ติดต่ออะไรกลับมาเลย ยายจึงโทไปบอกพ่อว่าแม่ยังไม่กลับมาไม่รู้มีอะไร รึเปล่าพ่อจึงไปตามแม่ที่พังงาเมื่อไปถึงพ่อก็ถามแม่ว่าทำไมไม่รีบกลับไปหาลูก มีอะไรรึเปล่าแม่ก็เงียบและก็ไม่พูดอะไรเพียงแต่บอกกับพ่อว่าจะไม่กลับไปแล้วพ่อจึงถามถึงเหตุผลแต่แม่ก็บอกว่าไม่มีอะไร แล้วพ่อก็กลับไปบอกกับยายว่าแม่ไม่กลับมาแล้วนะแต่ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรทำให้แม่คิดเช่นนั้นแล้วพ่อก็ฝากฉันไว้ให้ยายดูแลส่วนพ่อก็กลับไปทำงานเป็น ร.พ.ภ ยุที่อ่าวมะขามจังหวัดภูเก็ตแล้วพ่อก็จะกลับมาหาฉันเดือนละสองครั้งและยาย ตา และน้าก็เป็นคนที่ดูแลฉันมาจนโต

         เมื่อเข้าเตรียมอนุบาลตาจะยายก็จะไปรับไปส่งที่โรงเรียนทุกวันเมื่อคุณครูถามว่าวันนี้ใครมาส่งฉันก็จะบอกกับคุณครูว่า พ่อกับแม่มาส่ง ฉันจะเรียกตากับยายว่า พ่อ และแม่ เป็นคนเลี้ยงฉันมาตั้งแต่เด็กๆและมีความผูกพันกับท่านเป็นอย่างมากตากับยายมีลูกสาวสองคนและลูกชายหนึ่งคนซึ่งทั้งสามคนก็เป็นอาของหนูอาก็ช่วยดูแลหนูเหมือนกัน

     เมื่ออายุประมาณ7 ขวบพ่อฉันก็เสียชีวิตเนื่องจากมีโรคประจำตัว คือเป็นลมชัก พ่อเป็นลมและตกลงไปในทะเลที่อ่าวมะขามตรงที่พ่อทำงานและใบพัดหางเรือก็โดนศรีษะลึกมากทำให้พ่อเสียชีวิต แบะทางบริษัทก็ส่งศพพ่อมาบำเพ็ญกุศลที่ตรัง  ตอนนั้นฉันกำลังเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนเมื่อเลิกเรียนน้าก็เป็นคนไปรับตอนนั้นศพพ่อกำลังจะมาถึง เมื่อน้าไปรับและระหว่างขับรถน้าก็บอกว่าพ่อเสียแล้วนะ ความรู้สึกตอนนั้นถึงฉันจะไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกับพ่อ แต่ก็ทำให้ฉันกลับอึ่งอย่างบอกไม่ถูก เมื่อไปถึงที่วัดศพของพ่อก็มาถึงพอดีแล้วน้าก็ให้ฉันเดินไปที่ศพของพ่อแต่ฉันกลับยืนนิ่งไม่กล้าเข้าไปเพราะรู้สึกว่ารับไม่ได้กับสิ่งที่จะเห็นแล้วน้าก็เดินเข้าไปก่อนและฉันก็ยังยืนดูอยู่แบบ ห่างๆอย่างห่วงๆเมื่อถึงวันงานคุณครูและเพื่อนที่โรงเรียนก็ต่างมาให้กำลังใจมากมายรวมทั้งหัวหน้างานของพ่อก็มาให้กำลังใจด้วย พร้อมทั้งมอบทุนการศึกษาให้เดือนละ 1700 บาท เป็นเวลา 9ปี

          เมื่อตอนอยู่ชั้นประถมฉันได้เป็นเด็กกิจกรรมด้วยเพราะเป็นคนชอบเต้นชอบรำ เลยได้เป็นเด็กกิจกรรมของโรงเรียนตั้งแต่เด็กๆ ได้ออกงานต่างมากมายและมีความใฝ่ฝันว่าอยากจะไปแข่งเต้นในรายการ ชิงช้าสวรรค์เป็นรายการที่ชอบมาก

ฉันได้มีโอกาสไปแข่งขันในหลายๆจังหวัดทั่วภาคใต้และได้รางวัลกลับมาซึ่งเป็นที่น่าภูมิใจมาก คุ่มค่ากับการที่ซ้อมทุกวันหลังเลิกเรียนซ้อมเสร็จตากับยายก็จะมารับ บางครั้งก็นอนโรงเรียนกับคุณครูและเพื่อนๆ

ลักษณะนิสัยใจคอของดิฉัน คือ

        เป็นคนที่นิสัย โก๊ะๆ คุยเก่งสนุกสนาน ชอบการแต่งตัว แต่งหน้าทาก ชอบใส่รองเท้าส้นสูง เป็นคนที่อัธยาสัยดี

นอบน้อมเข้ากับสังคมได้เป็นอย่างดี เป็นคนที่พูดคุยตลก ขี้น้อยใจ ชอบการแต่งตัว ชอบเที่ยว เป็นคนรักอิสระมาก มีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูงไม่ชอบความรุ่นแรง

ความโดดเด่นของตัวเอง

        ลักษณะนิสัยที่ เป็นมิตรกับทุกๆคน นิสัยโก๊ยๆพูดจาตลก เป็นตัวของตัวเอง

ข้อด้อยของตนเองคือ                                                                                               

        เอาแต่ใจ ดื้อ อารมณ์ร้อน ใช้เงินเก่ง ซื้อทุกอย่างที่อยากได้ โลกส่วนตัวสูง

การใช้ชีวิตในเวลาว่างๆ

        ฟังเพลง เต้นบางครั้งก็ไปเดินห้างไปดูเสื้อผ้ารองเท้า กิ๊บช็อป หาของกินบ้างก็มานั่งวาดภาพเป็นคนชอบวาดภาพบรรยากาศหรือไม่ก็จะจัดบ้านจัดห้อง ขัดหน้านวดหน้า

สิ่งที่ประทับใจที่สุด คือ

        การที่ได้มาอยู่ในครอบครัว ตา ยาย และน่าซึ่งเป็นสิ่งที่ประทับใจที่สุดในชีวิต ดิฉันได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างอบอุ่นตากับยายก็เปรียบเสมือน พ่อแม่ที่ให้ความรักกับลูก คอยดูแลและเป็นห่วง คอยตักเตือนส่งให้เรียนหนังสือฉันอยากได้อะไรก็จะพยายามหาให้ทุกอย่าง

สิ่งที่เสียใจหรือความผิดพลาดที่น่าจดจำ

          คือชีวิตนี้ยังไม่เคยได้บอกรักพ่อเลยสักครั้ง ซึ่งมันก็เป็นอะไรที่สายไปแล้วด้วย โอกาสตรงนั้นคงไม่มีอีกแล้วซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่พ่อต้องการจากฉันมากที่สุด พ่อถามทุกครั้งที่กลับมาหาแต่ฉันไม่เคยบอกพ่อเลย แม้แต่ใจก็ไม่ค่อยให้กอดมัวแต่กลัวว่าพ่อจะเป็นลมชักใส่เราอีกจนมาในวันนึงเราก็มาเสียโอกาสตรงนั้นไปและไม่สามารถที่จะย้อนกลับไปได้อีก

มุมมองของตนเองและเพื่อนร่วมโลก

            สำหรับตัวของดิฉันเองคิดว่าปัจจุบันการที่ได้รู้จักและพบปะกับผู้คนมากมายไม่ว่าจะเป็นเพื่อน หรือคนร่วมงานเราควรที่จะใช้วิจารณญาณเป็นอย่างมาก เพราะคนสมัยนี้มองแต่ภายนอกเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้ขนานคนที่รู้จักกันมานาน และคิดว่าเขาดีกับเรา แต่สุดท้ายเกลับมาทำร้ายเราทีหลัง เพราะทุกอย่างบนโลกใบนี้ต่างต้องทำทุกอย่างเพื่อการอยู่รอดของตนเอง

เป้าหมายความมุ่งมั่นในชีวิต

        คือเรียนจบสูงๆ ได้ทำงานดีๆและเพื่อนร่วมงานที่ดี ได้เงินเดือนเยอะๆเพราะเป็นคนชอบช็อป ชอบเที่ยว ชอบกิน และมีครอบครัวที่อบอุ่น

2
0
sirirat jankeaw
เขียนเมื่อ

 

 

 

 

ME

 

 สวัสดีค่ะ นางสาวศิริรัตน์ จันทร์แก้ว เรียกสั้นๆว่า ปลา ชื่อนี้พ่อตั้งให้ชอบมากเลย หนูเกิดในวันสำคัญค่ะ นั้นก็คือวันที่หวยออก วันที่ 16 ตุลาคม 2536 ปัจจุบันก็ 20 ปีบริบูรณ์ หนูเกิดที่จังหวัดมหาสารคาม เป็นจังหวัดที่อยู่ทางภาคอีสานของไทย แต่ว่าหนูไม่ใช่คนอีสานนะเพราะพ่อกับแม่หนูเป็นคนภาคใต้ หนูมีพี่น้องรวมกันก็ 3 คน หนูเป็นลูกคนกลางและยังเป็นลูกสาวคนเดียวอีกด้วย ตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบันหนูเดินทางไปมาระหว่างภาคอีสานกับภาคใต้บ่อยมาก เพราะว่าต้องเรียนที่มหาสารคามแต่พ่อกับแม่กลับมาอยู่ที่ภาคใต้ กว่าจะได้เจอพ่อแม่ก็ปีละครั้ง แต่ครอบครัวของหนูก็อบอุ่นมากไม่มีปัญหาอะไรเลย

 

หนูจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนผดุงนารี จังหวัดมหาสารคาม แอดมิดชั่นได้ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม วิทยาลัยการเมืองการปกครอง เอกรัฐศาสตร์การเมืองการปกครอง เป็นความภาคภูมิใจของตัวหนูแต่พ่อกับแม่ภูมิใจมากกว่าอีก เรื่องราวมันมีมากกว่านั้นคือ 1 ปี ในรั้วมหาวิทยาลัย เรียน 4 วัน หยุด 3 วัน กิจกรรมในระหว่างเรียนเยอะมากกลับบ้านดึก การเรียนหนัก แต่มันเป็นประสบการณ์ของชีวิตที่สนุกมาก ผลการเรียนของหนูออกมาดี ส่วนเวลาวันหยุดหนูก็จะอยู่ร้านนิยายบ้าง ไปช่วยลุงขายของบ้างเพราะว่าลุงให้ค่าจ้างสูง ชีวิตในตอนนั้นสนุกมากเพื่อนเยอะการเงินไม่ขัดการเรียนก็ไปได้สวย และแล้วเรื่องมีอยู่ว่าหนูเก็บเงินได้ก้อนใหญ่ตั้งใจว่าจะใช้เที่ยวในตอนปิดเทอมเลยลงความเห็นกับพี่สาวว่ามาเที่ยวภูเก็ตกันแต่ว่าการเที่ยวของหนูเป็นการเที่ยวแบบหัวการค้ามากนั้นคือทำงานไปเที่ยวไป แรกๆของการมาอยู่ภูเก็ตสนุกมากทำงานเป็นพนักงานตอนรับของโรงแรม ทั้งได้เที่ยวทั้งได้ทำงานที่ได้พบเจอกับผู้คนหลากหลาย ผ่านไปเป็นเวลาสามเดือนถึงเวลาต้องกลับไปเรียนเพราะมหาวิทยาลัยเริ่มเปิดเทอม หนูได้ทำการลาออกจากโรงแรมแต่เจ้าของโรงแรมขอร้องเพราะไม่ต้องการให้ลาออก หนูเลยเริ่มคิดว่าจะอยู่ที่ภูเก็ตต่อหรือกลับบ้านโดยการใช้เหตุผลในการตัดสิน สุดท้ายเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เพราะหนูเลือกที่จะเรียนภูเก็ตต่อ เหตุผลนะหรอ ถึงจะเรียนใหม่ช้ากว่าเพื่อนแต่เชื่อสิว่าประสบการณ์ของเพื่อนไม่เท่าหนูหรอก ภาษาเป็นอีกเหตุผลเพราะถ้าทำงานที่นี้ต่อและเรียนไปด้วยหนูต้องพูดภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่นเก่งกว่าเพื่อนในมหาวิทยาลัยอย่างแน่นอน คือหนูเปรียบเทียบว่าเพื่อนไม่สามารถสื่อสารกับชาวต่างชาติได้เท่าหนู โดยส่วนตัวแล้วชอบค่ะได้พบปะกับคนมากมายหลายเชื้อชาติ หลายภาษา

หนูได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเรื่องเรียนที่นี้ไปพร้อมๆกับการทำงาน หนูเลือกเรียนนิเทศศาสตร์ เริ่มต้นด้วยสมัครเรียน รายงานตัว จ่ายเงิน (กู้มา) ถึงตอนแรกบอกว่ามีเงินเก็บเพื่อมาเที่ยวแน่นอนค่ะเที่ยวคือเที่ยวไม่เหลือ ไปกู้เงินคนรู้จักมาจ่ายค่าเทอมและก็ผ่านไปด้วยดีไม่มีปัญหาอะไร วันแรกของการเข้าเรียนรู้สึกเฉยๆเป็นปกติแต่พอเข้ามาอาทิตย์ที่สองของการเรียนตกใจมากค่ะ เพื่อนๆในห้องบางคนเกิดอาการแปลกๆเสียงดังเวลาเรียน ยอมรับเลยว่าแรกๆหนูปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนในห้องค่อนข้างยาก พอนานๆไปเริ่มเข้ากับคนอื่นๆได้บ้าง ทุกคนในห้องเรียนรักกันมากช่วยเหลือกันทุกอย่างต่างในมหาวิทยาลัยเดิมทุกคนเรียนพอเรียนเสร็จต่างคนต่างแยกย้ายไป(เล่าถึงตอนนี้แล้วนั่งหัวเราะคนเดียวหน้าคอมฯเลยค่ะ) หนูไม่ค่อยชอบออกไปเที่ยวข้างนอกค่ะ เวลาว่างส่วนมากก็จะอ่านนิยาย ฟังเพลง เล่นคอมฯ ถ้าออกไปข้างนอกก็คงไปสระว่ายน้ำเพราะหนูชอบเล่นน้ำหรือไม่ก็ไปเฝ้าร้านให้ลุงเพราะได้ผลประโยชน์ เรื่องราวจากวันที่เคยใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวจนมาถึงวันที่เราต้องก้าวออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวของเราเองทำให้หนูรู้จักคำว่า ‘ไม่มีคำว่าแน่นอนเสมอไป’

 

โดยนิสัยส่วนตัวแล้ว หนูเป็นคนชอบคิด คิดถึงอดีตที่ผ่านมา คิดถึงอนาคตที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง คิดถึงเรื่องราวที่มันไม่มีวันเป็นจริงขึ้นมา (มโนไปเอง ชอบคิดบ่อยๆ) ขี้น้อยใจมากเป็นบ่อยเลยแก้ไม่หาย ชอบทำตัวเป็นผู้ใหญ่เกินไปแต่จริงๆแล้วหนูเป็นเด็กแก่แดดเท่านั้นเองค่ะ ชอบฟังเรื่องราวของผู้อื่น ฟังแล้วก็ย้อนนึกถึงตัวเองค่ะ บางครั้งหนูนอนร้องไห้เพราะเรื่องที่ตัดสินใจมาเรียนที่ภูเก็ตเหตุเกิดเพราะมีเพื่อนบางคนกล่าวหาเราว่า ‘ปลาโดนมหาวิทยาลัยเชิญออก’ แต่ก็ต้องทำใจในเมื่ออธิบายไปก็เปล่าประโยชน์ การใช้ชีวิตที่ไม่มีผู้ใหญ่ค่อยดูแลมันทรหดมากค่ะ เราต้องเอาตัวเราให้รอดใช้ชีวิตบนการต่อสู้กับตัวเอง เรื่องของความรักหนูยังไม่เคยมีแฟนเลยค่ะ คงเพราะว่าหนูเป็นคนโลกส่วนตัวสูงไม่ออกไปไหนกับเพื่อนเลยไม่ค่อยรู้จักกับใคร

สุดท้ายนี้ถ้าให้หนูกลับไปชีวิตเหมือนเดิมคงจะไม่กลับไปอีกแล้ว เพราะหนูก้าวมาไกลเกินว่าจะกลับไป เส้นทางนี้ต่อให้มันยากเย็นขนาดไหนหนูคงต้องสู้แบบไม่ถอยแต่ก็คงอยู่บนความถูกต้องด้วย เพียงแค่ว่าเดินก้าวหน้าอย่างไรให้ดีให้ถูก คติประจำใจ “บทเรียนชีวิตมีอีกเยอะเพียงแค่เราต้องรับมือมันให้ได้”

 

นางสาว ศิริรัตน์ จันทร์แก้ว เลขที่ 42

 5620052142  นิเทศศาสตร์ กศ.บป 56 

2
0
สัญญา ยุคุณธร
เขียนเมื่อ

แหล่งกินเที่ยวง่ายๆ ในรั้ว PKRU

1
0
สัญญา ยุคุณธร
เขียนเมื่อ

One Fine Day หนึ่งวันสบายๆคลายร้อนกับ Sanya

2
0
สัญญา ยุคุณธร
เขียนเมื่อ

วันหนึ่งในฤดูหนาว กับคืน countdown รับปี 2014

2
0
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท