ดอกไม้


kritchaon saisema
เขียนเมื่อ

AAR ครั้งที่ 3 รายวิชาการศึกษาเพื่อพัฒนาสังคมแห่งการเรียนรู้ (102611)

โดย นางสาวกฤชอร สายเสมา สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน

เรื่อง การอบรมทิศทางการวิจัยและพัฒนาด้านหลักสูตรและการสอนในศตวรรษที่ 21

1.การเตรียมตัวล่วงหน้า

คาดหวังว่าจะได้รับความรู้ในเรื่องการพัฒนาหลักสูตรและการสอนในศตวรรษที่ 21 ว่าควรมีวิธีการอย่างไร และใช้รูปแบบใดเข้ามาพัฒนาหลักสูตรการสอนของตนเอง

2. ได้เรียนรู้อะไรในวันนี้

ได้ทราบว่า ครูต้องมีความตื่นตัวและเตรียมพร้อมในการจัดการเรียนรู้เพื่อเตรียมความพร้อมให้นักเรียนมีทักษะสำหรับการออกไปดำรงชีวิตในโลกในศตวรรษที่ 21 ที่เปลี่ยนไปจากศตวรรษที่ 20 และ 19 โดยทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ที่สำคัญที่สุด คือ ทักษะการเรียนรู้ (Learning Skill) ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงการจัดการเรียนรู้เพื่อให้เด็กในศตวรรษที่ 21 นี้ มีความรู้ ความสามารถ และทักษะจำเป็น ซึ่งเป็นผลจากการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงรูปแบบการจัดการเรียนการสอน ตลอดจนการเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ

ทักษะของคนในศตวรรษที่ 21 ที่ทุกคนจะต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต คือ การเรียนรู้ 3R x 7C

3R คือ Reading อ่านออก, Writing เขียนได้, และ Arithemetics คิดเลขเป็น

7C ได้แก่

Critical Thinking and Problem Solving (ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และทักษะในการแก้ปัญหา)

Creativity and Innovation (ทักษะด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม)

Cross-cultural Understanding (ทักษะด้านความเข้าใจความต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์)

Collaboration, Teamwork and Leadership (ทักษะด้านความร่วมมือ การทำงานเป็นทีม และภาวะผู้นำ)

Communications, Information, and Media Literacy (ทักษะด้านการสื่อสารสารสนเทศ และรู้เท่าทันสื่อ)

Computing and ICT Literacy (ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร)

Career and Learning Skills (ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้)

การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ต้องก้าวข้าม “สาระวิชา” ไปสู่การเรียนรู้ “ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21”  ซึ่งครูจะเป็นผู้สอนไม่ได้ แต่ต้องให้นักเรียนเป็นผู้เรียนรู้ด้วยตนเอง โดยครูจะออกแบบการเรียนรู้ ฝึกฝนให้ตนเองเป็นโค้ช (Coach) และอำนวยความสะดวก ในการเรียนรู้แบบ PBL  ของนักเรียน ซึ่งสิ่งที่เป็นตัวช่วยของครูในการจัดการเรียนรู้คือ ชุมชนการเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์เกิดจากการรวมตัวกันของครูเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำหน้าที่ของครูแต่ละคนนั่นเอง

สมรรถนะที่ครูไทยในศตวรรษที่21 พึงจะมีคือ CIAC

C Curriculum Competency : สมรรถนะด้านพัฒนาหลักสูตร รายวิชา หน่วยการเรียนรู้

และแผนการจัดการเรียนรู้

I Instructional Competency : สมรรถนะด้านการจัดการเรียนการสอนเน้นเด็กเป็นส าคัญ

ด้วยการใช้หลากหลายวิธีสอน

A Assessment Competency : สมรรถนะด้านการประเมินผลการเรียนรู้สู่การท าวิจัย

C Classroom Management Competency : สมรรถนะด้านการจัดการชั้นเรียน เพื่อสร้าง

บรรยากาศเชิงบวกในการพัฒนาสมรรถนะดังกล่าว

3. จะนำไปประยุกต์ใช้

  • จะนำสิ่งที่เรียนรู้จากการอบรมเรื่องกระบวนการออกแบบหลักสูตรออกแบบและการสอนในศตวรรษที่21 และเทคนิคการสอนมาประยุกต์ใช้ในการในการจัดการเรียนการสอนของตนเอง เพื่อให้เกิดคุณภาพที่ดีต่อผู้เรียน
1
0
pattamawan jantorn
เขียนเมื่อ

วันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทางราชการได้กำหนดให้เป็นวันหยุดราชการหนึ่งวัน เพื่อให้ประชาชนชาวไทย ได้ร่วมกันเฉลิมฉลองในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและถือเป็นวันพ่อแห่งชาติ อีกวันหนึ่งด้วย


วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือวันพ่อแห่งชาติ มีความเป็นมาของวันสำคัญ คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ โรงพยาบาล เมาท์ ออเบิร์น นครบอสตัน สหรัฐอเมริกา โดยนายแพทย์วิทท์มอร์เป็นผู้ถวายการประสูติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 9 แห่งบรมจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์ ทรงประกอบพระราชกรณียกิจและเจริญพระราชจริยาวัตรเป็นเอนกประการจำเนียรกาลผ่านมาถึงปัจจุบันที่สุดจะพรรณนาให้ครบถ้วนได้ท่ามกลางมหาสมาคมวันพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกทรงมีกระแสพระราชดำรัสที่ พสกนิกรทุกคนยังจดจำได้ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม” อันคำว่าโดย “ธรรม” นั้น ทรงหมายถึง ธรรมอันล้ำเลิศที่เรียกว่า “ทศพิธราชธรรม” หรือที่เรียกกันโดยสามัญว่า “ราชธรรม 10 ประการ”

ราชธรรม 10 ประการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยึดมั่นทรงปฏิบัติโดยเคร่งครัด และส่งผลถึงพสกนิกรทั่วพระราชอาณาจักรนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเหนือเกล้าฯ ห่วงใยตั้งแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งพระเจ้าหลานเธอทุกพระองค์ต่างซาบซึ้งและปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณอย่างมิรู้ลืม พระองค์ทรงเป็น “พ่อ” ตัวอย่างของปวงชนชาวไทยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา ทรงห่วงใยอย่างหาที่เปรียบมิได้

14
0
wichita walaipan
เขียนเมื่อ

ประวัติวันแม่แห่งชาติ

แต่เดิมนั้น วันแม่ของชาติได้กำหนดเอาไว้วันที่ 15 เมษายนของทุก ๆ ปี ทั้งนี้เป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรีประกาศรับรอง เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2493 ซึ่งได้พิจารณาเห็นว่าการจัดงานวันแม่ของสำนักวัฒนธรรมฝ่ายหญิง สภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้รับมอบหมายให้จัดงานวันแม่ มาตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2493 เป็นครั้งแรกเป็นต้นมานั้นได้รับความสำเร็จด้วยดี ด้วยประชาชนให้การสนับสนุน จนสามารถขยายขอบข่ายของงานให้กว้างขวางออกไป

โดยในงานวันแม่สมัยก่อนนั้น จะมีการจัดพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา การประกวดคำขวัญวันแม่ การประกวดแม่ของชาติ เพื่อให้เกียรติและตระหนักในความสำคัญของแม่ และเพื่อเพิ่มความสำคัญของวันแม่ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ด้วยเหตุนี้งานวันแม่จึงเป็นวันแม่ประจำปีของชาติตามประกาศของรัฐบาลฯ พณฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม แต่โดยทั่วไปเรียกกันว่าวัน แม่ของชาติ

ต่อมาถึง พ.ศ. 2519 ทางราชการได้เปลี่ยนใหม่ให้ถือเอาวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ คือ วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ เริ่มในปี พ.ศ. 2519 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน 

9
0
adisa sonsiri
เขียนเมื่อ

                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                      

ควรรับประทานปลาปริมาณเท่าไรถึงจะพอดี

ในแต่ละวันคนเราใน วัยทำงานจะต้องการโปรตีนวันละ 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เช่น ถ้ามีน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม จะต้องการโปรตีนวันละ 50 กรัม เป็นต้น ปริมาณโปรตีนในเนื้อปลาสุกมีค่าอยู่ระหว่าง 16-30 กรัมต่อ 100 กรัม (หรือ 9 –17 กรัมต่อ 1/3 ถ้วยตวง) ดังนั้นคนที่หนัก 50 กิโลกรัม แล้วต้องการโปรตีนจากปลาเพียงอย่างเดียวก็คงต้องรับประทานจำนวนเพิ่มขึ้น เกือบ 2 เท่าตัว ปกติปลามีส่วนที่รับประทานได้ประมาณร้อยละ 55-80 ในบรรดาปลาชนิดต่างๆ แนะนำว่าปลาสลิดตากแห้ง มีโปรตีนมากกว่าชนิดอื่น เมื่อเทียบกับแหล่งโปรตีนจากเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ ปลาดิบ ปลาต้ม และปลานึ่งทุกชนิดมีไขมันและพลังงานต่ำ ซึ่งปลาย่างและปลาทอดจะมีไขมันและพลังงานสูงกว่าอีกหน่อย                                                                                                                                                                             

9
0
ยายธี
เขียนเมื่อ

มีอาหาร..จานด่วน..มาฝาก..ทำง่ายๆ..ไม่สิ้นเปลืองพลังงาน(สำหัรับ)..สำหรับคนเมือง..รึแม้จะอยู่นอกเมืองที่ใช้ฟืน...และมีครอบครัว..อาหารประเภทนึ่ง..น่าจะลดการใช้น้ำมัน..ชนิดต่างๆที่เป็นสาเหตุของโรค..หลายชนิด..(อ้ะะ)...ผักก็ไม่ต้องผัด..ใส่รวมกันไปเลย..๕...บ้านเรายังมีปลาทั้งทะเลและแม่น้ำลำคลอง..ที่ยังไม่มีสารพิษ..ที่แพร่กระจายอยู่เวลานี้...(ที่ควรสังวรกันเป็นอย่างมั้กๆอิอิ...)...

ก็ได้แต่หวัง...และร่วมด้วยช่วยกัน..ปลดแอกธรรมชาติ..ให้ดำรงอยู่ได้..โดยไม่มีการรังควานจาก(มนุษ์)สักที..

คิดว่าจะเอาอาหารมาฝาก..ไหงกลายเป็น..เรื่อง..ธรรมชาติไปได้..(ยาย..เอง)...

6
0
นฤเบศร์ พรมพันนา
เขียนเมื่อ
ฟุตบอล (Football) หรือซอคเก้อร์ (Soccer) เป็นกีฬาที่มีผู้สนใจที่จะชมการแข่งขันและเข้าร่วมเล่นมากที่สุดในโลก ชนชาติใดเป็นผู้กำเนิดกีฬาชนิดนี้อย่างแท้จริงนั้นไม่อาจจะยืนยันได้แน่นอน เพราะแต่ละชนชาติต่างยืนยันว่าเกิดจากประเทศของตน แต่ในประเทศฝรั่งเศสและประเทศอิตาลี ได้มีการละเล่นชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "ซูเลอ" (Soule) หรือจิโอโค เดล คาซิโอ (Gioco Del Calcio) มีลักษณะการเล่นที่คล้ายคลึงกับกีฬาฟุตบอลในปัจจุบัน ทั้งสองประเทศอาจจะถกเถียงกันว่ากีฬาฟุตบอลถือกำเนิดจากประเทศของตน อันเป็นการหาข้อยุติไม่ได้ เพราะขาดหลักฐานยืนยันอย่างแท้จริง ดังนั้น ประวัติของกีฬาฟุตบอลที่มีหลักฐานที่แท้จริงสามารถจะอ้างอิงได้ เพราะการเล่นที่มีกติกาการแข่งขันที่แน่นอน คือประเทศอังกฤษเพราะประเทศอังกฤษตั้งสมาคมฟุตบอลในปี พ.ศ. 2406 และฟุตบอลอาชีพของอังกฤษเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2431

วิวัฒนาการด้านฟุตบอลจะเป็นไปพร้อมกับความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์ตลอดมา ต้นกำเนิดกีฬาตะวันออกไกลจะได้รับอิทธิพลมาจากสงครามครั้งสำคัญๆ เช่น สงครามพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ได้นำเอา "แกลโล-โรมัน" (Gello-Roman) พร้อมกีฬาต่างๆ เข้ามาสู่เมืองกอล (Gaul) อันเป็นรากฐานส่วนหนึ่งของกีฬาฟุตบอลในอนาคต และการเล่นฮาร์ปาสตัม (Harpastum) ได้ถูกดัดแปลงมาเป็นกีฬาซูเลอ
10
0
Piyanut Thanhaburut
เขียนเมื่อ

สวดเจริญพระพุทธมนต์ของ มจร.วข.อุบลราชธนี

ทุกๆวันอังคาร

รายการสำหรับสวดเจริญพระพุทธมนต์ของ มจร.วข.อุบลราชธนี

อาราธนาพระปริตร

บทชุมนุมเทวดา
นะมะการะสิทธิคาถา
สัมพุทเธ
นะโมการะอัฏฐะกะ
มังคะละสุตตัง
ระตะนะสุตตัง
กะระณียะเมตตะสุตตัง
ขันธะปะริตตะคาถา
โมระปะริตตัง
วัฏฏะกะปะริตตัง
อาฏานาฏิยะปะริตตัง
อังคุลิมาละปะริตตัง
โพชฌงคะปะริตตัง
อะภะยะปะริตตัง
สักกัตตะวา – นัตถิ เม
เทวตาอุยโยชะนะคาถา

4
0
นคร ครับ
เขียนเมื่อ

ประวัติของท่านสุนทรภู่ ท่านเป็นกวีเอกคนหนึ่งของกรุงรัตนโกสินทร์ เกิดเมื่อวันจันทร์ เดือน 8 ขึ้น 1ค่ำ ปีมะเมีย ตรงกับวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ.2329 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ 1) บิดาเป็นชาวบ้านกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง มารดาเป็นคนจังหวัดไหนไม่ปรากฏ ตั้งแต่สุนทรภู่ยังเด็ก บิดากลับไปบวชที่เมืองแกลง ส่วนมารดามีสามีใหม่มีลูกผู้หญิงอีก 2 คน ชื่อฉิมกับนิ่ม ต่อมามารดาได้เป็นแม่นมของพระองค์เจ้าจงกล พระธิดาของกรมพระราชวังหลัง สุนทรภู่จึงเข้าไปอยู่ในวังกับมารดา ตอนยังเป็นเด็ก สุนทรภู่ได้เล่าเรียนที่วัดชีปะขาว (วัดศรีสุดาราม) โตขึ้นก็เข้ารับราชการเป็นนายระวางพระคลังสวน ไม่นานก็ลาออกเพราะไม่ชอบงานนี้ ชอบแต่การแต่งกลอน และแต่งสักวาเท่านั้นต่อมาสุนทรภู่มีสัมพันธ์รักกับสาวชาววังชื่อจัน จึงถูกจองจำทั้งคู่ ครั้นพ้นโทษ แล้วก็ได้แต่งงานกัน และถวายตัวเป็นมหาดเล็กของพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ พระโอรสของพระราชวังหลัง สุนทรภู่มีบุตรชายกับจันชื่อพัด ชีวิตคู่ของสุนทรภู่ไม่ราบรื่นเลยมักระหองระแหงกันเสมอ จนในที่สุดก็เลิกร้างกัน แล้วสุนทรภู่ก็ได้เข้ารับราชการกับพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) เป็นที่โปรดปรานมากจดได้รับการแต่งตั้งให้เป็น ขุนสุนทรโวหาร เวลาที่ทรงพระราชนิพนธ์บทกลอนติดขัดก็มักให้ สุนทรภู่แต่งต่อให้ ระยะนี้เองสุนทรภู่ก็ได้ภรรยาใหม่ชื่อนิ่ม มีบุตรด้วยกันชื่อตาบ นิ่มเสียชีวิตไปตั้งแต่ตาบยังเล็กอยู่ 4 คราวหนึ่งสุนทรภู่เมาสุรา แล้วทำร้ายญาติผู้ใหญ่จนบาดเจ็บจึงถูกจำคุก ในระหว่างต้องโทษนี้เอง ที่สุนทรภู่แต่งนิทานเรื่อง พระอภัยมณี เพื่อขายเอาเงินมาเลี้ยงชีวิต จำคุกได้ไม่นานก็พ้นโทษออกมารับราชการตามเดิม

พอสิ้นราชการที่ 2 สุนทรภู่ก็ออกจากราชการเพราะไม่เป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ออกจากราชการแล้วสุนทรภู่ก็บวชเป็นพระภิกษุอยู่ในวัดราชบูรณะ บวชได้ราว 3 พรรษา ก็ต้องอธิกรณ์ (โทษ) ถูกขับไล่ออกจากวัดในข้อหาเสพสุรา จึงไปอยู่ที่วัดอรุณราชวราราม ไม่นานก็ย้ายไปที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ และวัดสุดท้ายคือวัดเทพธิดาราม แล้วก็สึกออกมา รวมเวลาบวชเป็นพระภิกษุประมาณ 18-20 ปี จากนั้นก็ตกยากจนไม่มีบ้านอยู่ต้องลอยเรือร่อนเร่แต่งกลอนขาย

ปลายรัชกาลที่ 3 เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์โปรด ฯ ให้สุนทรภู่ไปอยู่ที่ราชวังของพระองค์ ครั้นได้รับสถาปนาเป็นพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ก็โปรดเกล้าให้สุนทรภู่เข้ารับราชการเป็นเจ้ากรมอาลักษณ์ มีบรรดาศักดิ์เป็นพระสุนทรโวหาร รับราชการเพียง 5 ปีก็ถึงแก่กรรม พ.ศ. 2398 รวมอายุได้ 69 ปี

6
0
ณัฐนันท์ แซ่ลี้
เขียนเมื่อ

โรงเรียนบ้านสัตหีบ เดิมชื่อ “โรงเรียนบั๊กเส็งเศรษฐนุกูล”ตั้งอยู่ในพื้นที่ของวัดสัตหีบเปิดทำการสอนเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๖ โดยใช้อาคารหลังคามุงจากในบริเวณวัดสัตหีบ เป็นอาคารเรียน มีนายสันต์ ศิริมาก เป็นครูใหญ่ เปิดทำการสอนตั้งแต่ชั้นเตรียมประถมศึกษา ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๗๑ นายบั๊ก แซ่ตั้ง บิดาของขุนเจริญพานิช (นายเส็ง มั่งมี) คหบดีของ สัตหีบในสมัยนั้น ได้ไปปรึกษากับหลวงพ่ออี๋ และขออนุญาตปลูกเรือนสำหรับบำเพ็ญกุศลศพ เพื่อรับรองพระสงฆ์และญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือที่จะมาร่วมงานหลวงพ่ออี๋ได้อนุญาตให้ปลูก ได้ตามความประสงค์

ในพิธีบำเพ็ญกุศลศพ พระยาพิพิธอำพลวิมลราชภักดี ซึ่งเป็นเจ้าเมืองชลบุรี อยู่ในขณะนั้น
เป็นที่เคารพนับถือของ นายบั๊ก แซ่ตั้ง ผู้ถึงแก่กรรม ได้เดินทางด้วยเรือกลไฟจากจังหวัดชลบุรี เพื่อมาร่วมพิธีบำเพ็ญกุศลศพด้วย เมื่อเห็นเรือนรับรองสำหรับบำเพ็ญกุศลศพแล้ว ได้ให้คำแนะนำว่า “โรงเรียนบั๊กเส็งเศรษฐนุกูลที่เปิดทำการอยู่ภายในวัดสัตหีบนี้เป็นอาคารเรียนที่มุงหลังคาด้วยจากเป็นอาคารเรียนไม่มั่นคงถาวร เรือนสำหรับบำเพ็ญกุศลหลังนี้ เป็นอาคารที่แข็งแรงกว้างขวาง เมื่อบำเพ็ญกุศลทำการฌาปนกิจศพเรียบร้อยแล้วสมควรที่จะปรับปรุงให้เป็นอาคารเรียนของเด็กนักเรียนต่อไป” นายเส็ง มั่งมีพร้อมด้วยญาติมิตรทั้งหลายเห็นดีด้วย เมื่อทำการฌาปนกิจศพ
ของนายบั๊ก แซ่ตั้ง เรียบร้อยแล้ว นายเส็ง มั่งมี พร้อมญาติมิตรได้บริจาคทรัพย์ทำการปรับปรุงเรือนรับรองดังกล่าวด้วยการกั้นฝาห้องเรียนจนสำเร็จเรียบร้อยสวยงามเพื่อเป็นอาคารเรียนของลูกหลานชาวสัตหีบต่อไป เมื่อปรับปรุงอาคารเรียนเรียบร้อยแล้ว จึงแจ้งข่าวเจ้าเมืองชลบุรีทราบ
ในปีพ.ศ. ๒๔๗๒ พระยาพิพิธอำพลวิมลราชภักดี ซึ่งเป็นเจ้าเมืองชลบุรีได้เดินทางมาที่สัตหีบ เพื่อรับมอบและเป็นประธานประกอบพิธีเปิดป้ายอาคารเรียนหลังใหม่ “โรงเรียนบั๊กเส็ง เศรษฐนุกูล” โดยมีคณะลูกเสือชาวบ้านจากจังหวัดชลบุรี เดินทางมาร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิดด้วย และหลวงพ่ออี๋ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ในการเปิดป้ายอาคารเรียนหลังนี้ เมื่อเสร็จพิธีเปิดทำการแล้วได้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ในกาลต่อมา เจ้าเมืองชลบุรี ได้กรุณาขอพระราชทานชั้นยศให้ นายเส็ง มั่งมี เป็น “ขุนเจริญพานิช” เพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่วงศ์ตระกูลมั่งมี และในเวลาต่อมา กระทรวงธรรมการ ได้มอบเข็มเป็นรูปธรรมจักรให้เป็นเกียรติแก่ขุนเจริญพานิชอีกครั้ง ในฐานะบุคคลผู้บำเพ็ญประโยชน์ต่อชุมชน โรงเรียนบั๊กเส็งเศรษฐนุกูล จึงเป็นโรงเรียนที่มีอาคารเรียนมั่นคงถาวรแห่งแรกของลูกหลานชาวสัตหีบ
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ นายใช้ นางผิว มั่งมี ซึ่งเป็นน้องชายของขุนเจริญพานิช ( เส็ง มั่งมี ) ได้มอบที่ดิน จำนวน ๘ ไร่ ๓ งาน ๗๓ ตารางวา บริเวณด้านทิศตะวันออกของบ้านสัตหีบ เพื่อให้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนบั๊กเส็งเศรษฐนุกูลแทนโรงเรียนหลังเดิมที่อยู่ภายในวัดสัตหีบ การย้ายโรงเรียนมาตั้งและทำการ ณ ที่แห่งใหม่นี้ เพื่อรองรับความเจริญเติบโตของโรงเรียนและพื้นที่ของอำเภอสัตหีบ โดยกระทรวงศึกษาธิการ ได้จัดสรรงบประมาณร่วมกับทหารเรือ เพื่อจัดสร้างอาคารเรียนหลังใหม่ และได้เปลี่ยนชื่อโรงเรียนบั๊กเส็งเศรษฐนุกูล เป็น “โรงเรียนประชาบาลตำบลสัตหีบ ๑” ( ทหารเรือสงเคราะห์ ) แต่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า “โรงเรียนบ้านนา” เนื่องจากบริเวณโดยรอบที่ตั้งโรงเรียนขณะนั้นมีสภาพเป็นทุ่งนา ชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพทำนาปลูกข้าว ต่อมาภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็น “โรงเรียนบ้านสัตหีบ” ตามชื่อของหมู่บ้านสัตหีบ จนถึงปัจจุบันนี้ นายอังกาย อินทราคม เป็นครูใหญ่คนแรกของโรงเรียนบ้านสัตหีบ

5
0
เพชรน้ำหนึ่ง
เขียนเมื่อ

-ลานตาก....นวัตกรรมใหม่.....

-เช้าวันนี้"แม่นันทา"ได้จัดเตรียมสถานที่ตากข้าวเหนียวที่เหลือจากวันก่อน

-เห็นแล้วถึงกับ"อึ้ง....ทึ่ง....เสียว....ไปเลยล่ะคร้าบ!!!!5555


8
1
ทรรศนีย์ ทองบัว
เขียนเมื่อ

ปัจจุบัน  ทำการสอนอยู่โรงเรียนบ้านสัตหีบ

7
0
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท