ข้อแนะนำในการใช้ยารักษาตนเอง
- 1. ถ้าต้องการใช้ยารักษาตนเอง ควรมีความรู้เรื่องยานั้นดีพอ และควรใช้เฉพาะในช่วงระยะเวลาอันสั้น หากอาการไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์
- 2. ในกรณีที่สงสัยว่าแพ้ยา ควรหยุดยาทันที และรีบไปปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร อย่าเปลี่ยนยาเอง
- 3. อย่าใช้ยาซึ่งไม่มีฉลากระบุตัวยา และวิธีการใช้ยา
- 4. อย่าหลงเชื่อคำแนะนำจากผู้ที่ไม่มีความรู้เรื่องยาดีพอเป็นอันขาด
- 5. ในกรณีต่อไปนี้ อย่ารักษาตนเอง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา
- กำลังกินยาชนิดใดชนิดหนึ่งอยู่ก่อนหน้าเป็นประจำ เช่น ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขข้ออักเสบ ฯลฯ
- อาการของโรคนั้นรุนแรงหรือเรื้อรัง
- มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคหืด เบาหวาน ฯลฯ
- กำลังตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมลูก
- ในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3 ปี และในคนชราอายุเกิน 60 ปี
ยา
หวัดและแพ้อากาศ
- หวัด เกิดจากเชื้อไวรัส อาการต่างๆ จะหายภายใน 3-4 วัน
- แพ้อากาศ เกิดจากการแพ้สารต่างๆ เช่น ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ เชื้อรา ฝ้าย ฯลฯ
การรักษาที่ดีที่สุด คือ การพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และดื่มน้ำมากๆ ควรเลือกใช้ยาที่เฉพาะต่ออาการที่เป็นเท่านั้น
ไม่ควรใช้ยารักษาอาการหวัดและแพ้อากาศด้วยตนเองในกรณีต่อไปนี้
- มีไข้สูง 39 ํC หรือมากกว่า
- มีไข้นานเกิน 3-4 วัน
- มีอาการเจ็บคอ คอแดงมาก
- มีอาการหอบ หายใจเร็ว
- มีผื่นหรือจุดแดงๆ ขึ้นตามตัว
- เป็นโรคหอบหืด โรคปอดเรื้อรัง โรคหัวใจ ฯลฯ
- กำลังตั้งครรภ์
แอนตี้ฮิสตามีน (Antihistamine) คลอเฟนิรามีน (Chlopheniramine)
มีขายในชื่อการค้าว่า ไพริตอน (Piriton) วิธีใช้ ผู้ใหญ่ 1 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง เด็กอายุ 6-12 ปี 1/2 -1 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง
ฮัยดร็อกซิซีน (Hydroxyzine)
มีขายในชื่อการค้าว่า Atarax ใช้บรรเทาอาการคันและลมพิษ
ข้อควรระวัง
- 1. ง่วงซึม ปากแห้ง คอแห้ง
- 2. ผู้ที่มีอาการท้องผูก ปัสสาวะลำบากอยู่แล้ว อาการอาจเป็นมากขึ้น
- 3. ถ้าให้ยานี้แก่เด็กเล็กๆ อาจทำให้นอนไม่หลับ กระสับกระส่ายได้
ยาแก้แพ้ที่ไม่ง่วง หรือง่วงน้อย
- Astemizol มีขายในชื่อการค้าว่า ฮิสมานาล (Hismanal)
- Terfenadine มีขายในชื่อการค้าว่า เทลเดน (Teldane)
ยาแก้ไอ
อาการไอ เป็นปฏิกิริยาที่ร่างกายพยายามขับสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคที่ไปทำให้เกิดความระคายเคืองต่อหลอดคอและหลอดลม มีทั้งไอแบบแห้งๆ ไม่มีเสมหะ และไอบ่อยๆ รวมทั้งไอแบบมีเสมหะและรู้สึกคันคอ
การใช้ยาระงับอาการไอ จำเป็นต้องรู้ว่า ไอแบบไหน
- ยาแก้ไอน้ำดำ (Brown Mixture)
ข้อควรระวัง ห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี และผู้สูงอายุ
- ยาแก้ไอขับเสมหะสำหรับเด็ก (Ammonium Carbonate and Glycyrrhyiza Mixture)
- เด็กอายุ 6-12 ปี ครั้งละ 2 ช้อนชา วันละ 3-4 ครั้ง
- เด็กอายุ 3-6 ปี ครั้งละ 1 ช้อนชา วันละ 3-4 ครั้ง
- เด็กอายุ 1-3 ปี ครั้งละ ครึ่ง ช้อนชา วันละ 3-4 ครั้ง
ท้องเดิน
สิ่งสำคัญในการรักษาอาการท้องเดิน คือ ป้องกันไม่ให้ร่างกายเสียน้ำและเกลือแร่ โดยอาการขาดน้ำ จะทำให้ ตาโหล ผิวหนังเหี่ยว ปากแห้ง ชีพจรเต้นเร็ว ปัสสาวะน้อย ลุกนั่งจะรู้สึกหน้ามืด ในเด็กเล็ก กระหม่อมจะบุ๋มและนอนซึม หรือหายใจหอบ ถ้าเป็นมากอาจไม่มีปัสสาวะเลย ชีพจรเบาและเร็ว ความดันต่ำ ตัวเย็น กระสับกระส่าย และช้อค (shock)
ไม่ควรใช้ยาแก้ท้องเดินรักษาตัวเองในกรณีต่อไปนี้
- 1. อุจจาระมีมูกเลือดปน มีกลิ่นเหม็นผิดปกติ (คล้ายกุ้งเน่า)
- 2. มีอาการคลื่นไส้ อาเจียนรุนแรง
- 3. มีไข้สูงเกินกว่า 38 ํC อ่อนเพลียมาก
- 4. มีอาการท้องเดินนานกว่า 48 ชั่วโมง
- 5. เด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี หรือผู้สูงอายุเกิน 60 ปี
- 6. อยู่ในระยะตั้งครรภ์
- 7. มีอาการท้องเดินเรื้อรัง
- ความผิดปกติของระบบขับถ่าย
- โรคติดเชื้อเรื้อรัง
- มะเร็งทางเดินอาหาร
- การย่อยอาหารผิดปกติ
สิ่งที่ควรดื่ม
ผงน้ำตาลเกลือแร่ชนิดกิน (Oral Rehydration Salts) หรือ โอ อาร์ เอส รวมกับ น้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ เกลือครึ่งช้อนชา ในน้ำสุก 1 ขวดแม่โขง
ข้อควรระวัง
- 1. ผู้เป็นโรคไต หรือโรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
- 2. ถ้าผู้ป่วยยังมีอาการขาดน้ำมาก ความรู้สึกเปลี่ยนแปลงไป ควรนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยด่วน
- 3. เมื่อละลายน้ำแล้ว ไม่ควรเก็บไว้เกิน 24 ชั่วโมง
ยาที่มีคุณสมบัติในการดูดซึมน้ำและสารพิษ
เป็นยาที่เข้าสารบิสธ์มัส (Bisthmus) สารเคาลินและเป็คติน (Kaolin Pectin) ยาพวกนี้จะไปเคลือบเยื่อบุกระเพาะ ไม่ให้สารพิษต่างๆ ไปกระตุ้นให้เกิดอาการท้องเดิน และดูดซึมน้ำที่ออกจากลำไส้ให้น้อยลง ใช้ได้ผลในกรณีที่อาการท้องเดินไม่รุนแรง ไม่ควรใช้ยานานเกินกว่า 2 วัน ห้ามใช้ในผู้ที่มีกระเพาะอาหารและลำไส้อุดตัน
วิธีใช้
รับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ ทุก 4-6 ชั่วโมง ตามความจำเป็น
ยาที่ทำให้การเคลื่อนไหวของลำไส้น้อยลง
เป็นยาประเภทฝิ่น หรือสารสังเคราะห์ที่มีลักษณะคล้ายฝิ่น มีขายในชื่อการค้าว่า โลโมติล (Lomotil) และอิโมเดียม (Imodium) ใช้ในการระงับอาการท้องเดินที่เป็นค่อนข้างมาก
ข้อควรระวัง
- 1. ยาประเภทนี้ หยุดการเคลื่อนไหวของลำไส้ ทำให้เชื้อโรคและสารพิษที่อยู่ในทางเดินอาหาร อยู่ในร่างกายนานขึ้น ทำให้เกิดพิษได้
- 2. ถ้าใช้ยานี้ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้ติดยาได้
- 3. ห้ามใช้ยานี้ในเด็กเล็ก เพราะอาจมีผลไปกดศูนย์การควบคุมการหายใจ ทำให้หยุดหายใจได้
ยาแก้ปวด ลดไข้
แอสไพริน (Aspirin)
วิธีใช้
ผู้ใหญ่ ครั้งละ 1-2 เม็ด ทุก 4-6 ชั่วโมง ให้รับประทานหลังอาหารทันที และดื่มน้ำตามมากๆ
ข้อควรระวัง
- 1. ห้ามใช้ใน เด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี และหญิงมีครรภ์ในระยะใกล้คลอด
- 2. ห้ามใช้ในผู้ป่วยไข้เลือดออก
- 3. ห้ามใช้ในผู้ป่วยซึ่งเป็นโรคแผลในระบบทางเดินอาหาร และโรคหอบหืด
- 4. ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีประวัติเลือดไหลแล้วหยุดยาก
- 5. ในผู้ป่วยที่สงสัยว่าจะแพ้ยา หรือมีอาการแทรกซ้อนจากยา เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ และได้ยินเสียงในหู ให้หยุดใช้ยาทันที
พาราเซตามอล (Paracetamol)
ชนิดเม็ด ขนาดเม็ดละ 500 มก. และ 325 มก. ชนิดน้ำเชื่อมสำหรับเด็ก ขนาดยา 120 มก. ต่อช้อนชา
- เด็กอายุ 3-6 ปี ครั้งละ 1 ช้อนชา ทุก 4-6 ชั่วโมง
- เด็กอายุ 1-3 ปี ครั้งละ ครึ่ง ช้อนชา ทุก 4-6 ชั่วโมง
ข้อควรระวัง
- 1. ไม่ใช้ติดต่อกันนานเกิน 5 วัน เนื่องจากอาจมีพิษต่อตับได้
- 2. ไม่ใช้ในผู้ที่เป็นโรคตับ หรือโรคพิษสุราเรื้อรัง
วิธีลดไข้
เช็ดตัวบริเวณซอกคอ ซอกรักแร้ และขาหนีบบ่อยๆ ประมาณ 15-30 นาที จะช่วยลดไข้ได้เป็นอย่างดี
ยาช่วยย่อยและยาขับลม
การป้องกันอาการแน่นท้อง
- ไม่กินอาหารที่ย่อยยาก งดอาหารที่ทำให้เกิดแก๊สในลำไส้ เช่น เนื้อ นม ถั่วต่างๆ น้ำอัดลมทุกชนิด เหล้า เบียร์
- ออกกำลังกายเบาๆ หรือพยายามเคลื่อนไหวร่างกายประมาณ 15-30 นาทีหลังอาหาร
- งดอาหารที่มีรสเผ็ดจัด
ไม่ควรใช้ยาช่วยย่อยและยาขับลมรักษาตนเองในกรณีต่อไปนี้
มีอาการดีซ่าน (ตัวเหลือง ตาเหลือง) หรือสงสัยว่าเป็นโรคถุงน้ำดี โรคตับ
หากมีอาการแน่นท้อง เสียดท้อง ท้องอืดเรื้อรัง แม้ว่าได้พยายามป้องกันแล้ว ควรใช้
- 1. ยาธาตุน้ำแดง (Mixt. Stomachica)
- คาร์มิเนทีฟ (Mixt. Carminative)
- ซาลอล-เทนทอล (Mixt. Salol Menthol)
ครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ หลังอาหาร
- 2. ยาเม็ดที่ดูดแก๊สในทางเดินอาหาร เช่น
- ยาเม็ดผงถ่าน อุลตราคาร์บอน (Ultracarbon)
- ยาเม็ดแฟลตูแลนซ์ (Flatulance)
ครั้งละ 1-2 เม็ด หลังอาหาร
- 3. ยาลดกรด
เป็นยาที่ใช้แก้อาการปวดท้อง จุกเสียด แน่น เนื่องจากมีแก๊สหรือกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไป หรือใช้รักษาผู้ป่วยด้วยโรคกระเพาะอาหาร หรือลำไส้อักเสบ มีส่วนประกอบของอะลูมิเนียม ไฮดร็อกไซด์ (Aluminium hydroxide) และแมกนีเซียม ไฮดร็อกไซด์ (Magnesium hydroxide) ผสมอยู่ เช่น แอนตาซิล (Antacil), อะลัมมิลค์ (Alum milk), เกลูซิล (Gelusil)
ยาบางชนิดอาจทำปฏิกิริยากับยาลดกรดได้ เช่น
- ยาถ่ายดัลโคแลกซ์ (Dulcolax) ถ้าให้รับประทานร่วมกับยาลดกรด ทำให้ปวดท้องได้
- ยาเตตราซัยคลิน (Tetracycline) ถ้าให้รับประทานร่วมกับยาลดกรด ทำให้ยาเตตราซัยคลินไม่ออกฤทธิ์ ทำให้การรักษาอาการอักเสบหรือติดเชื้อไม่ได้ผล
ไม่ควรใช้ยาลดกรดรักษาตนเองในกรณีต่อไปนี้
- อาการเสียดแน่นรุนแรง และมีอาการแน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก หอบแน่น หายใจลำบากร่วมด้วย
- มีอาการอาเจียนร่วมด้วย หรือถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ
ยาถ่าย ยาระบาย
การป้องกันอาการท้องผูก
- 1. กินอาหารที่มีกากมาก ประเภทผัก ผลไม้ ดื่มน้ำมากๆ ออกกำลังกายพอสมควรสม่ำเสมอ และไม่กลั้นอุจจาระถ้าไม่จำเป็น
- 2. ยาบางชนิดมีส่วนทำให้ท้องผูกมากขึ้น เช่น ยาแก้ปวดที่ผสมสารโคเดอีน ยาแก้ปวดท้องบางชนิด เช่น ดอนนาตาล (Donnatal) ยาระงับประสาท เช่น เมลลารีล (Mellaril)
ไม่ควรใช้ยารักษาตนเองในกรณี
- 1. มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องร่วมด้วย
- 2. กำลังเป็นริดสีดวงทวารหนักในระยะอักเสบรุนแรง
- 3. มีเลือดออกปนกับอุจจาระ
- 4. มีอาการท้องผูก สลับกับอาการท้องเดิน
อาการคลื่นไส้อาเจียน ควรใช้ยาดังต่อไปนี้
- ยาเม็ดไดเมนไฮดริเนต (Dimenhydrinate) มีชื่อการค้าว่า ดรามามีน (Dramamine)
- แผ่นยาแปะหลังหู สโคโปลามีน (Scopolamine) มีชื่อการค้าว่า สโคโปเดิร์ม (Scopoderm TTS) วิตามิน บี 6
- ยาระบายพารัฟฟิน (Liquid Paraffin Emulsion) ซึมผ่านเข้าปอด ทำให้เกิดอาการปอดบวม
- ยาระบายแมกนีเซีย (MOM) ไม่ใช้ในผู้ป่วยโรคไต โรคหัวใจ
- ยาระบายมะขามแขก (Senna) เซนโนกอต (Senokot) ห้ามใช้ในหญิงให้นมบุตร
- ยาผงเมตามิวซิล (Metamucil)
ยาถ่ายพยาธิ
ตรวจหาไข่ หรือตัวพยาธิในอุจจาระ มีเบนดาโซล (Mebendazole) พยาธิตัวกลม ชื่อการค้า ฟูกาคาร์ (Fugacar) 1 X 2 X 3
วิตามิน
เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและการดำรงชีพโดยปกติสุข วิตามิน = วิตา (Vita) + เอมีน (Amine) โดยประเภทของวิตามินมีดังนี้ บีรวม บี1 บี6 บี12 บี2 ซี
- 1. ละลายในไขมัน เช่น วิตามิน เอ ดี อี เค
- 2. ละลายในน้ำ เช่น วิตามิน บี1 บี2 บี6 บี12 ซี ฯลฯ
ใครต้องการวิตามินเพิ่มเติมบ้าง
- 1. ขาดอาหาร โดยผู้ที่ทานปลาร้า จะขาดวิตามิน บี1
- 2. หญิงมีครรภ์ และหญิงให้นมบุตร
- 3. ผู้ที่ได้รับยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะ INH
โทษของวิตามิน
- วิตามิน เอ มากไป ผมร่วง ปวดศีรษะ ตาพร่า ตับโต ทารกในครรภ์รูปร่างผิดปกติ
- วิตามิน ดี มากไป แคลเซียมในเลือดสูง ไตล้มเหลว คลื่นไส้ อาเจียน
ยาที่ใช้รักษาโรคทางผิวหนัง
เช่นยาแก้โรค หิด เหา โลน
- ขี้ผึ้งกำมะถัน (Sulphur Ointment) รักษาหิด อาจเกิดระคายเคืองต่อผิวหนัง ไม่ควรใช้ในเด็กเล็ก อย่าทาบริเวณหน้า ห้ามถูกตา
- ครีมแกมมา-เบนซีน เฮ็กซาคลอไรด์ (Gamma Benzene Hexachloride) ชื่อการค้า ลอเร็กเซน (Lorexane)
- น้ำยาเบนซิลเบนโซเอท (Benzyl Benzoate) เขย่าขวดก่อนใช้ยา เด็กเล็ก ให้แบ่งยาผสมน้ำเท่าตัว
การรักษาหิด
อาบน้ำให้สะอาด ใช้ผ้าหรือแปรงอ่อนๆ ถูตรงบริเวณที่มีผื่นคัน แล้วทายาให้ทั่ว ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง แล้วจึงอาบน้ำ ทำติดต่อกัน 2 วัน
การรักษาเหา โลน
ใส่ยาให้ทั่วศีรษะหรือบริเวณที่มีโลน ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง สระให้สะอาด ทำติดต่อกัน 2 วัน เมื่อครบ 7 วัน ให้ตรวจดูอีกครั้งหนึ่ง ถ้ายังไม่หายให้ทำซ้ำวิธีเดิม
การรักษากลาก เกลื้อน
- ขี้ผึ้งวิทฟิลด์ (Whitfield Ointment) ทาวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น หลังอาบน้ำ ติดต่อกัน 2-3 สัปดาห์
- น้ำยาโซเดียมไธโอซัลเฟท 20-25% ใช้ภายใน 2 สัปดาห์หลังผสมแล้ว ทาวันละ 2 ครั้ง จนกว่าจะหาย หลังจากนั้นทาสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ประมาณ 2-3 สัปดาห์
- ครีมทราโวเจน (Travogen) โทนาฟ (Tonaf)
- ดาคทาริน (Dactarin) คาเนสเทน (Canesten)
ยาใส่แผล ยาล้างแผล
1. น้ำเกลือ (Normal Saline Solution) ล้างแผล ประคบแผล 2. ยาน้ำเยนเชียนไวโอเลต (Gential Violet) ฆ่าเชื้อ รักษากระพุ้งแก้มและลิ้นเป็นฝ้าขาว ใช้สำลีชุบยาทาวันละ 2-3 ครั้ง หยุดใช้ยาทันทีเมื่อเกิดการระคายเคืองหรือแพ้ยา 3. น้ำยาโพวิโดน-ไอโอดีน (Povidone-Iodine Solution) ไม่ควรใช้กับผิวหนังที่อ่อนนุ่ม 4. อัลกอฮอล์ 70% Ethyl Alcohol หรือ Isopropyl Alcohol
ยาหยอดตา ป้ายตา
- ยาหยอดตา ซัลฟาเซตามายด์ (Sulfacetamide Eye Drops) เป็นยาฆ่าเชื้อโรค รักษาอาการอักเสบของเยื่อบุตาที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
- ยาป้ายตา เตตราซัยคลิน (Tetracycline Eye Ointment)
ยาหยอดตาที่เป็นอันตราย
- 1. มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ Prednisolone, Hydrocortisone, Dexamethasone จะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน
- เป็นต้อหิน
- สายตามัวลง เลนส์นัยน์ตาขุ่น
- ตาติดเชื้อได้ง่าย
- 2. มีส่วนผสมของตัวยาที่ทำให้ม่านตาขยาย
- ม่านตาอักเสบ
- รูม่านตาโตขึ้น ตาดำขึ้น
- กระตุ้นให้เกิดต้อหินเฉียบพลันได้
|