อนุทินล่าสุด


marine
เขียนเมื่อ

Module 5: Quality Assurance (QA) in Health Care ณ โรงแรมโคราชรีสอร์ท นครราชสีมา 

สิ่งที่ได้จากการอบรม

QA:  ระบบการบริหารจัดการที่กำกับกระบวนการดำเนินงาน (การผลิต การบริการ) เพื่อให้เกิดความมั่นใจและรับรองได้ว่าผล/ผลลัพธ์จากการดำเนินงานบรรลุเป้าหมาย และจุดประสงค์ที่กำหนดไว้

ตัวอย่าง QA ในภาคธุรกิจ: การผลิตไก่แปรรูปเพื่อการส่งออกของบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อีสาน จำกัด

บริษัทมีการดำเนินธุรกิจครบวงจรตั้งแต่ฟาร์ม โรงฟัก การขนส่งและโรงงานแปรรูป ทำให้สามารถควบคุมการผลิตทุกขั้นตอนแบบเบ็ดเสร็จ มีการนำระบบมาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัยหลายระบบมาใช้ เช่น GMP ระบบวิเคราะห์อันตรายและควบคุมจุดวิกฤต (HACCP) ระบบคุณภาพและความปลอดภัยด้านอาหารของสหราชอาณาจักร (BRC) ระบบคุณภาพ ISO9100/22000 ที่สำคัญมีระบบตรวจสอบทวนกลับสายการผลิตและมีการจัดการด้านสวัสดิภาพสัตว์ที่ผ่านการรับรองคุณภาพ ACP

QA ในระบบสาธารณสุข

Medical error: ข้อผิดพลาดทางการแพทย์ หรือผลเสียที่เกิดขึ้นกับตัวผู้ป่วย อันเนื่องมาจากขั้นตอน หรือกระบวนการรักษาพยาบาล ไม่ว่าจะเกิดจากการลงมือกระทำสิ่งที่ผิดพลาด หรือเกิดจากการละเว้นไม่ได้ทำตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ รวมไปถึงความผิดพลาดจากเครื่องมืออุปกรณ์ที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของมนุษย์ สุดท้ายแล้ว Medical error ก็คือความผิดพลาดที่เกิดจาก Human error ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถควบคุมได้ ดังนั้นการทำ QA ในทางการแพทย์ก็คือการป้องกันการเกิด medical error โดยใช้กระบวนการสร้างระบบ/สร้างมาตรฐาน การตรวจสอบและการปรับปรุงนั่นเอง

ตัวอย่างการทำ QA ของ CUP เมืองย่า ที่เป็น CUP split แยกมาจากโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา มาอยู่ภายใต้การดูแลของ สสอ. และ สสจ. ซึ่งถือว่าเป็นกรณีที่แตกต่างจากการดำเนินการปกติ โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อลดความแออัดของผู้ป่วยในโรงพยาบาลมหาราชฯ CUP เมืองย่าประกอบด้วย 4 CUP ย่อย ในการบริหารจัดการด้านคุณภาพบริการมีการส่งแพทย์ไปประจำในทุก CUP มีการจัดทำ CPG 9 โรคในเขตเมือง มีการใช้ Central Lab และเครือข่ายทันตกรรมเอกชน ส่วนด้านการบริหารนั้น สสอ.และ สสจ. แบ่งกันดูแลแห่งละ 2 CUP โดย สสจ.ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางประสานเรื่องการเงิน

ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนระหว่างการทำ QA ของภาคเอกชนกับภาครัฐ (การบริการสาธารณสุข) คือ QA มีผลต่อความอยู่รอดของธุรกิจ ผลกำไรและโบนัสสำหรับพนักงานตอนสิ้นปีแต่ไม่ใช่ในภาครัฐ ดังนั้นการตระหนักในความสำคัญหรือแรงจูงใจจึงต่างกัน ภาคเอกชนมีการบรรจุพนักงานตามหน้าที่เฉพาะทำงานเพื่อผลกำไรสูงสุด แต่ในภาครัฐมักมีพนักงานตำแหน่งเดียวแต่หลายหน้าที่การวัดผลสำเร็จของการทำงานไม่ชัดเจน จึงถือว่าเป็นความท้าทายของภาครัฐในการสร้างและคงไว้ซึ่งระบบคุณภาพที่อาจต้องมีการแข่งขันมากขึ้นในอนาคตเพราะการเปิดเสรีทางการค้า



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

marine
เขียนเมื่อ

การอบรมเชิงปฏิบัติการ Human Resource Management for Productivity

ณ โรงแรมอมารี เอเทรียม กรุงเทพ

สิ่งที่ได้จากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ

การพัฒนาหรือการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลัก คือ มนุษย์ และเครื่องมือต่างๆที่นำมาใช้

ในส่วนของมนุษย์ คือ การพัฒนาตนเองระดับปัจเจก โดยการใช้ประโยชน์จากหลักแห่งวิถีพุทธะ ในการฝึกจิตให้มีสติ ตื่นอยู่ตลอดเวลาจากการฝึกปฏิบัติสมาธิอย่างสม่ำเสมอ การปรับมุมมองของตนเองโดยการอุปมาอุปมัยอยากเห็นอะไรก็หยิบแว่นตาแบบนั้นมาใส่ เช่นอยากเห็นโลกนี้เป็นสีเขียวแทนที่จะปรับทุกอย่างให้เป็นสีเขียวก็แค่หยิบแว่นตาที่มีเลนส์สีเขียวมาใส่ อยากเห็นแต่สิ่งสวยงาม ก็หยิบแว่นที่มีเลนส์สวยงามมาใส่ นั่นก็คือให้พยายามปรับที่จิตตนเองให้เป็นไปอย่างที่ต้องการ ฝึกที่จะคิดบวกอยู่เสมอ รู้จักสร้างกำลังใจให้ตนเองแทนที่จะไปคาดหวังกับสิ่งภายนอกที่อาจอยู่นอกเหนือการควบคุม สำหรับการพัฒนาระดับองค์กรให้ประสบความสำเร็จนั้น ผู้นำจะต้องมีวิสัยทัศน์ มีนโยบายที่ชัดเจน สามารถ เลือกใช้วิธีการ Approach ที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลและเป็น Role model 

ในด้านเครื่องมือนั้นมีหลากหลายแล้วแต่การนำมาปรับใช้ให้เหมาะกับบริบทของตนเอง ตัวอย่างของโรงพยาบาลชุมชนก็ใช้ตามหลักและองค์ประกอบของ HA ทั้งในส่วนเครื่องมือและโครงสร้างซึ่งมักมีข้อจำกัดในเรื่องบุคลากรที่จะปฏิบัติงาน HRD หรือแม้กระทั่งงบประมาณ ส่วนโรงพยาบาลเอกชนนั้นมักไม่มีข้อจำกัดในเรื่องดังกล่าว และจากตัวอย่างที่ได้ศึกษาในครั้งนี้ได้ให้ความสำคัญค่อนข้างมากกับงาน HRD&HRM มีนโยบาย มีงบประมาณ มีแผนกที่รับผิดชอบชัดเจน (ทำอยู่เรื่องเดียวซึ่งเป็นงานฝากในโรงพยาบาลชุมชน) มีการจ้างผู้เชี่ยวชาญมาให้คำปรึกษาโดยเฉพาะ มีการbenchmarking โดยวิธีมาตรฐานกับโรงพยาบาลในภูมิภาคใกล้เคียง สิ่งที่น่าสนใจและสามารถนำมาเป็นแนวทางในโรงพยาบาลชุมชนที่ไม่ยากแต่ต้องทำอย่างจริงจังคือการใช้ competency และ training need  เป็นแนวทางในการวางแผนพัฒนาทรัพยากรมนุษย์แทนที่จะใช้ข้อกำหนดการพัฒนา/ฝึกอบรม 10 วัน/คน/ปี หรือ 2 ครั้ง/คน/ปีแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

การเข้าร่วมการอบรมใน module นี้นอกจากสิ่งที่กล่าวข้างต้นแล้วก็คือความประทับใจในตัววิทยากรที่มากความสามารถ ที่จะขอเอ่ยนามในที่นี้คือ ศ ดร อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ที่มีวิธีการสอนที่ทำให้ 3 ชั่วโมงผ่านไปแบบไม่รู้ตัวและยังไม่อยากให้จบ นพ.ประสิทธิ์ชัย มั่งจิตร ที่นำวิธีการปฏิบัติจริงของท่านมาบอกเล่าอย่างจริงใจ และขอบคุณทีมงานที่เชิญวิทยากรมาให้ความรู้ในครั้งนี้

 

 

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท