อนุทินล่าสุด


ปจิตรา
เขียนเมื่อ

คู่มือประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
ปจิตรา
เขียนเมื่อ

ในช่วงที่ทำหน้าที่หัวหน้างานประกันคุณภาพภายใน ได้ทำคุู่มือประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา ตามกระบวนการทำงาน PDCA ซึ่งคู่มือก็คือ P การวางแผน เป็นการวางแผน การทำงานทั้งปีการศึกษาใน ประเด็น ต่างๆ เหล่านี้ พร้อมทั้งกำหนด ผังงาน (Flowchart) การดำเนินงานประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา ตั้งแต่ ขั้นตอนที่ 1 การกำหนดมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา ขั้นตอนที่ 2 การจัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา ขั้นตอนที่ 3 การจัดระบบบริหารและสารสนเทศ ขั้นตอนที่ 4 การดำเนินงานตามแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา ขั้นตอนที่ 5 การจัดให้มีการติดตามตรวจสอบคุณภาพการศึกษา ขั้นตอนที่ 6 การจัดให้มีการประเมินคุณภาพภายในตามมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา ขั้นตอนที่ 7 การจัดทำรายงานประจำปี ขั้นตอนที่ 8 การพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่องภาระงานตามองค์ประกอบระบบประกันคุณภาพการศึกษาที่สถานศึกษาต้องดำเนินการแล้วก็จัดทำคู่มือการประกันคุรภาพภายในของสถานศึกษา ทุกกลุ่มภาระงานมีการกำหนดติดตาม AUDIT จากคณะกรรมการติดตม AUDIT ซึ่งได้แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับการรับรองจากต้นสังกัด และก็ลงตรวจงานฝ่ายบริหารวิชาการ ฝ่ายบริหารกิจการนักเรียน ฯลฯ อย่างเป็นระบบ ผ่านปฏิทินการปฏิบัติงานของสถานศึกษา คณะกรรมการทุกคนจะมีคู่มือการประกันคุณภาพ และเกณฑ์การพิจารณา ตามตัวชี้วัดตามขอบข่ายภาระงาน มีการสรุปผลการติดตาม AUDIT อย่างชัดเจน แต่น่าเสียดายที่ต้องพ้นภาระหน้าที่ไป แต่ก็วางแผนว่าจะกลับมาทำฉบับสมบุรณ์ให้ได้ การจัดทำคู่มือการประกันคุณภาพประกันคุณภาพภายในให้เสร็จสมบูรณ์ในโอกาสข้างหน้า เพื่อเป็นแนวทางการในการวางแผนการประกันคุณภาพภายใน ตามกระบวนการ PDCA และนำไปสู่การสรุปสารสนเทศที่สามารถใช้ได้จริง เพื่อนำปัญหา และแนวทางพัฒนาไปใช้ ไปปรับปรุงในการพัฒนาปีต่อไป แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ยังเป็นวงจรที่สถานศึกษาต้องทำเพื่อพัฒนาการศึกษา และค้นหานวัตกรรมใหม่ๆ มาปรับปรุง การจัดการบริหาร การเรียนการสอน และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างเข้าใจและมีความสุข



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
ปจิตรา
เขียนเมื่อ

กิตติยาณีย์/ศูนย์ข่าวหาดใหญ่

หน้า 2

 

ประสบการณ์จริง

บทเรียนแซทแก๊งไนจีเรีย หลอกลวงเงินจากหญิงไทย

 

นี่คือข้อความล่าสุดจาก Peter Brown เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2556 ที่ผ่านมา

Good now you talk very well That is why i love you so much...yes darling i want us to start another family together and make the world better. i swear i want us to start another family but darling i will not lie to you i have nothing and i need money to take care of you and our unborn baby,,,i told you before the government is owning me and i need some money to open an account so that they can pay me back my money..and i can start coming to Thailand...darling i don't have your number and you don't care to give your number to me why..

เมื่อเรานำมาแปลความหมายกับ Google ระบุว่า

ดีตอนนี้คุณพูดคุยเป็นอย่างดีนั่นคือเหตุผลที่ผมรักคุณมาก ... ใช่ที่รักฉันต้องการให้เราเริ่มต้นครอบครัวอื่นร่วมกันและทำให้โลกดีขึ้น ฉันสาบานฉันต้องการให้เราเริ่มต้นชีวิตครอบครัวกับคุณ แต่รักฉันจะไม่ได้อยู่กับคุณมันจะเป็นไปไม่ได้เพราะฉันจำเป็นต้องใช้เงินในการดูแลของคุณและลูกน้อยในครรภ์ของเราฉันบอกคุณก่อนที่รัฐบาลจะเป็นเจ้าของฉันและฉันต้องการเงิน จะเปิดบัญชีเพื่อให้พวกเขาสามารถจ่ายเงินให้ฉันกลับเงินของฉัน .. และฉันสามารถเริ่มต้นการมาเมืองไทย ... ที่รักฉันไม่ได้มีจำนวนของคุณและคุณไม่สนใจที่จะให้หมายเลขของคุณให้ฉันทำไม ..

        อ่านแล้วก็รู้สึกตลกกับการหากินของคนต่างประเทศ โดยเฉพาะแก๊งไนจีเรียที่ตำรวจไทยพยายามจับไปเท่าไหร่ก็ไม่หมดเสียที

        ผู้เขียนเองก็ไม่เคยคิดว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นกับตนเอง แต่ต้องการนำมาเขียนเพื่อเป็นอุทาหรณ์สำหรับสาวๆ ว่าเมื่อเจอเหตุการณนี้ให้ระมัดระวังและใช้ดุลพิจารณา เพราะแก๊งไนจีเรียจะใช้ผู้ชายหน้าตาดีมากๆ มาสร้างเพจปลอม และสวมรอยเป็นเจ้าตัว

        แต่สิ่งหนึ่งที่แก๊งนี้มักจะพลาดก็คือ แก๊งไนจีเรียเหล่านี้ใช้เวลาสานสัมพันไม่นานก็จะเริ่มบอกว่าตัวเองมาปัญหาเรื่องการเงินให้เราส่งเงินให้ และมีผู้หญิงซึ่งสามารถใช้ภาษาไทยได้ติดต่อโทรศัพท์คุยกับเรา

        สำหรับผู้เขียนเองนั้นทราบว่าแก๊งนี้เป็นแก๊งหลอกลวง จึงได้แชทพูดคุยกับ คน ใช้นามว่าPeter Bjorn sanger Brown  jetf Alxe และWilliams Bent

        ทั้ง 3  คนมีรูปแบบการเล่นละครที่แตกต่างกัน อย่างPeter นั้นบอกว่าพ่อเป็นเยอรมันมาทำงานให้รัฐบาลมาเลเซียที่รัฐซาราวัก และพ่อเสียชีวิตกะทันหัน จะเดินทางมาเที่ยวเมืองไทย

        วันเดินทางก็โทรมาหาผู้เขียนจะมาลงเครื่องหาดใหญ่ แต่แล้วก็มีปัญหาเรื่องเอกสาร มีปัญหาเรื่องเงิน ให้ผู้หญิงไทยคุยกับผู้เขียน

        ในช่วงเดียวกันคนชื่อ Jetf ก็มามุกเดียวกัน และบังเอิญผู้หญิงไทยคนเดียวกันที่Jetf ส่งโทรศัพท์ให้คุยกับผู้เขียน ตอนนั้นอยากจะหัวเราะใส่เธอ แต่ก็ไม่ได้ทำเพราะคิดว่าแก๊งนี้อาจจะอยู่ในหาดใหญ่ก็ได้

        ผู้เขียนไม่โอนเงินไปให้ ปรากฎว่าต่อมาก็มีการยกเลิกการเป็นเพื่อนไปที่ละคน

        ล่าสุดกลับมาหาเราซึ่งเป็นเหยื่อรายเก่า แล้วก็เปลี่ยนชื่อมาใหม่ 

        ต่อมาได้ปรึกษากับตำรวจท่องเที่ยวหาดใหญ่ แต่ตำรวจไม่สามารถดำเนินการอะไรได้ เนื่องจากเราไม่ได้โอนเงิน ไม่มีหลักฐานความเสียหาย

การกลับมาใหม่ของ Peter Bjorn sanger Brown ได้เปลี่ยนชื่อใหม่มาเป็น Peter Brown มาaddเป็นเพื่อนอีกครั้งเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2556

        แต่ก่อนหน้านั้นตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2556 เป็นต้นมา เพจ Fack book ของผู้เขียนโดยแฮกมาโดยตลอด จึงได้เข้าแจ้งความกับตำรวจสภ.อ.หาดใหญ่ และสภ.อ.คอหงส์ พร้อมทั้งขอความอนุเคราะห์ไปยังบริษัททีโอที บริษัททรู และ 3BB บรอดแบร์ดให้ช่วยเช็คเลขIP ที่มีการรายงานโดยyahoo

        ผู้เขียนได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษานายสุรินทร์ นุ่นแก้ว ครูใหญ่โรงเรียนไทยคอม ซึ่งก็แนะนำว่าต้องแจ้งความ พร้อมกับระบุว่าการแฮกเข้ามาของแก๊งไนจีเรียครั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่ และมีการระบุIPอย่างชัดเจน แต่คนที่มีความรู้ หรือตำรวจไทยที่เก่งเรื่องนี้ยังมีน้อย ในบ้านเราก็ยังต้องอาศัยการเรียนรู้ และถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใหม่มาก

        อย่างไรก็ตามครูใหญ่ได้แนะนำให้ไปปรึกษานายตำรวจท่านหนึ่งที่โรงพักหาดใหญ่ ซึ่งนายตำรวจท่านนี้ก็ให้ข้อมูลว่า การเช็คนั้นยากมาก พร้อมกับได้ประสานบริษัททีโอทีให้ ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่บอกว่าต้องทำเรื่องเข้ากรุงเทพฯ

อย่างไรก็ตามแหล่งข่าวจากสภ.อ.หาดใหญ่ท่านนี้เล่าให้ฟังว่าแก๊งนี้ระบาดหนักมากทุกพื้นที่ประเทศไทยและที่หนักและเป็นข่าวก็แถวภาคอีสาน  พื้นที่หาดใหญ่ก่อนหน้านี้ก็มีผู้เสียหายเข้ามาปรึกษานับ 10 รายโดยตำรวจได้แนะนำให้แจ้งผ่านดีเอสไอโดยตรง เนื่องจากปัจจุบันทางดีเอสไอ ได้มีมาตรการรวมทั้งมีรูปแบบที่ชัดเจนสำหรับผู้เสียหายให้ดำเนินการแจ้งความเพื่อดำเนินคดี

        ท่านยกตัวอย่างกรณีนักศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ที่เข้ามาแจ้งความ โดยแก๊งหลวงให้ซื้อตุ๊กตามาจำหน่าย ปรากฏว่าโอนเงินไปแล้วไม่ส่งของจึงได้มาแจ้งความ และหลังจากนั้นทางแก๊งก็ได้คืนเงินให้ ส่วนการดำเนินคดีนั้นกฎหมายก็ยังล้าหลังและก้าวไม่ทัน อีกทั้งในปัจจุบันตำรวจส่วนหนึ่งก็ไม่มีความรู้ด้านไอที และไม่ยอมปรับตัวที่จะเรียนรู้ทำให้การดำเนินการกับแก๊งเหล่านี้ยังเข้าไปไม่ถึง และการดำเนินการยังไม่สามารถทำได้เนื่องจากกฎหมายยังไม่เอื้อ และความร่วมมือระหว่างตำรวจไทยกับมาเลเซียยังต้องอาศัยการสร้างความเข้าใจที่ตรงกัน

        หลังจากนั้นผู้เขียนได้ไปติดต่อบริษัททีโอที และมีการตรวจสอบจากกรุงเทพฯ ปรากฏว่า IP ที่ใช้แฮกเข้ามาเป็นของบริษัททรู และ  BB บรอดแบร์ด

        ก็ได้ไปแจ้งความที่สภ.อ.คอหงส์ อีกครั้ง ร้อยเวรให้ความสนในกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมา บอกว่าเคยมีมาแจ้งความก่อนหน้านี้เครสเดียว และได้ทำหนังสือถึงบริษัททรู และ 3BBบอรดแบร์ดให้กับผู้เขียนไปยื่น

ผู้เขียนได้นำหนังสือไปยื่นบริษัททรู แต่หน้าที่แนะนำแบบไม่สนใจให้ความร่วมมือว่า ต้องให้ตำรวจเป็นคนประสานงานเอง พร้อมกับยื่นเอกสารแผ่นหนึ่งให้มาด้วย แล้วก็เดินหนีไปไม่สอบถามอะไรใดๆ อีก ซึ่งก็นึกน้อยใจว่าเราเองก็ใช้บริการอินเตอร์เน็ตอยู่ เมื่อหมดสัญญาก็คงจะไม่ไปใช้บริการอีก

ต่อมาก็ไปบริษัท 3BB บอรดแบร์ด ส่งหนังสือให้เจ้าหน้าที่รับเรื่องไป ต่อมามีเจ้าหน้าที่ติดต่อกับมาขอให้ตำรวจประสานเป็นทางลับโดยตรงกับบริษัท และจนวันนี้ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า

        หลังจากนั้นผู้เขียนได้กลับไปที่สภ.อ.คอหงส์ เอากติกาของบริษัททรูฯไปให้ ซึ่งในวันนั้นร้อยเวรก็ได้ทำหนังสือส่งไปทางไปรษณีย์ให้ทันที เช่นกัน แต่จนบัดนี้ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า

การดำเนินการเช็คเลขIP ที่ล่าช้า ทำให้ตำรวจทำงานไม่ได้ และสิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะอันตรายกับผู้เขียนหรือคนที่เกี่ยวข้อง 

อย่างไรก็ตามร้อยเวรก็แนะนำว่าหากรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยให้แจ้งความซ้ำ เพราะให้ตำรวจได้รับทราบข้อมูล

        ผู้เขียนนำเรื่องนี้มาลง เป็นแนวทางสำหรับคนที่กำลังเจอปัญหา แต่ก็ติดต่อผ่านบริษัทเพื่อเช็คเลขIP บริษัทเอกชนมีกติกาว่าต้องให้ตำรวจเท่านั้นที่ติดต่อเข้าไปได้ ก็น่าเสียดาย

หากแก๊งไนจีเรียอยู่ในเมืองไทยก็คงได้ตายอย่างเขียดแน่ๆ

                อย่างไรก็ตามเราได้หาข้อมูลผ่านสื่อต่างๆ ที่รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับแก๊งไนจีเรียหลอกเงินสาวไทย โดยวิธีที่เทคนิคและวิธีการหลอกลวงนั้นมีหลากหลายรูปแบบ เช่น เว็บไซต์หาแฟนชาวต่างชาติหลายแห่ง นำประสบการณ์ที่โดนแก๊ง 18 มงกุฎข้ามชาติหลอกลวงมาโพสต์ไว้เพื่อเป็นอุทาหรณ์...

มุกเด็ด 
เจ้าชาย” ตามหา "เจ้าหญิง"

เขาทำทีว่าเป็นเจ้าชายลี้ภัยจากประเทศที่เราไม่รู้จักชื่อ อ้างว่าโดนโค่นล้มบังลังก์ต้องหนีออกนอกประเทศ จะใช้คำหวานบอกว่ารักเรามาก คิดถึงมาก อยากใช้ชีวิตด้วย มีเงินและสมบัติมากมาย อยากใช้ชีวิตกับสาวไทยมีเงินให้ลงทุน พวกนี้จะชอบใช้คำว่าเจ้าชาย ตามหาเจ้าหญิง เรียกเราว่าเจ้าหญิงของฉัน บอกว่าจะโอนเงินมาเข้าบัญชีของเรา 30 หรือ 300 ล้านบาท แล้วแต่มันจะโกหก ให้เราบอกหมายเลขบัญชี ถ้าหลงเชื่อให้มันไป สัก 2-3 วันจะมีเมลหรือโทรศัพท์มาบอกว่าให้โอนเงินเสียภาษีไปให้ก่อน ไม่เช่นนั้นเงินจะไม่เข้าบัญชีธนาคารของเรา

หลุมรัก-หลุมพราง

ผู้หญิงไทยบางคนหลงเชื่อว่าฝรั่งตกหลุมรัก อาทิตย์หน้าจะมาหาที่เมืองไทย พอผ่านไปได้อาทิตย์มีโทรศัพท์มาบอกว่ามันติดอยู่ที่ด่านกงสุลมาเลเซีย มีของฝากมาให้ แต่เจอด่านตรวจและต้องเสียภาษี พกแต่บัตรเครดิตไม่มีเงินสดติดตัว ขอให้ผู้หญิงไทยโอนเงินค่าภาษีไปให้ก่อน แล้วถ้าออกมาได้จะเอาเงินมาคืนให้ หรือบางรายบอกว่ากระเป๋าเดินทางบ้าง อะไรสารพัดที่พวกนี้จะกุเรื่องขึ้นมาหลอกให้โอนเงินไปให้มัน ถ้าบางคนไม่รู้โอนเงินไปให้ หลังจากมันได้เงินไปแล้ว จะหายหัวเงียบไป...

“1แสน” แลก “1ล้าน

เขาชื่อ wilson felix พูดคุยกันธรรมดา รับรู้ เห็นอกเห็นใจกัน ตกลงจะใช้ชีวิตร่วมกัน จนกระทั่งเขาส่งของขวัญมาให้ มีทั้งชุดสร้อยเพชร ทอง ไอแพด ไอโฟน กระเป๋าแบรนด์เนม ดอกไม้ ตุ๊กตา และเงิน ส่งมาจากต่างประเทศโดยบริษัท world express courier มีตั๋วส่งมา เพื่อให้ดูข้อมูลว่าในกล่องมีอะไรบ้าง จากนั้น 2-3 วันบอกว่าของมาถึงแล้ว แต่ต้องชำระภาษี จากนั้นมีเจ้าหน้าที่โทรบอกว่าของมาแล้วต้องชำระภาษี 25,000 บาท เราก็ชำระไปและของจะถึงเราในวันนี้ตอนเย็น
 
ตกเย็นเราก็รอ ไม่นานเขาบอกว่าฝรั่งส่งเงินมาในกล่องด้วยเป็นเงินจำนวนมาก ต้องไปคำนวณภาษีใหม่ คราวนี้เงินเยอะต้องเสียภาษีเพิ่มอีก หมื่นบาท เราทำตามที่เขาบอกไปโอนเงินให้ จากนั้นบอกว่าเอกสารต้องทำใหม่หมดไม่สามารถมาส่งของเราได้ต้องรอพรุ่งนี้ โมงเช้าจึงจะได้รับของ...สองโมงเช้าเจ้าหล่อนก็โทรมาบอกว่า ศุลกากรเรียกไปคุยเพราะเงินจำนวนมาก (เป็นเงินสดประมาณ แสนดอลลาร์ ประมาณ 1.2 ล้านบาท) ต้องจ่ายค่าเอกสารอีก 1.5 แสนบาท
 
ตอนนี้เราไม่มีเงินแล้ว wilson บอกว่าฉันส่งของไปให้เธอมูลค่ามากมาย แค่เงิน 1.5 แสนบาทไม่กล้าจ่าย เธอคงไม่รักฉัน แล้วก็ทำทีร้องไห้ ตัดพ้อเราสารพัด ให้เราไปจ่ายเงินให้เรียบร้อย ตอนนี้ใช้คำพูดแย่มาก ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้พูดดีสารพัด

บริษัทที่ส่งของมีตัวตนจริง แต่ด้านเอกสารการรับการส่งของการส่งเงินดูดีๆ จะมีการตัดต่อภาพ หลังจากสิ้นสุดว่าเราไม่ส่งเงินให้ wilson ก็จะปิดเมลของตัวเอง ลบข้อมูลต่างๆ หายไปอย่างไร้ตัวตน...
        ก็ถือว่าเป็นบทเรียนดีๆ ให้ระมัดระวังตัวกันในยุคเศรษฐกิจขาลง



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ปจิตรา
เขียนเมื่อ

กิตติยาณีย์/ศูนย์ข่าวหาดใหญ่

 

แก๊งผิวหมึกลวงเงินสาวไทยอาละวาดไม่เลิก

ขยายฐานปักหลักหัวเมืองใหญ่รุกจับหญิงไทยตัวเป็นๆ

 

หาดใหญ่-แก๊งผิวหมึกอาละวาดไม่เลิก ล่าสุดพัฒนาขยายฐานมาอยู่ในประเทศไทย จับหญิงไทยตัวเป็นๆ ผ่านร้านอินเตอร์เน็ต อยู่เป็นคู่แบบสามี ภรรยา เกาะเป็นปลิง หาผลประโยชน์ และอาศัยความเสรีประเทศไทย สร้างธุรกิจให้กับตัวเอง  จับตาเริ่มขยายฐานมาหาดใหญ่ และเมืองใหญ่ตามภูมิภาคต่างๆ

 

รายงานแก๊งหลอกลวงผ่านFace book ฉบับนี้ก็ขอหาข้อมูลมาให้อ่านกันต่อ

แหล่งข่าวจากสภ.อ.หาดใหญ่เปิดเผยว่าแก๊งนี้ระบาดหนักมากทุกพื้นที่ประเทศไทยและที่หนักและเป็นข่าวก็แถวภาคอีสาน  เฉพาะหาดใหญ่ก่อนหน้านี้ก็มีผู้เสียหายเข้ามาปรึกษานับ 10 รายโดยตำรวจได้แนะนำให้แจ้งผ่านดีเอสไอโดยตรง เนื่องจากปัจจุบันทางดีเอสไอ ได้มีมาตรการรวมทั้งมีรูปแบบที่ชัดเจนสำหรับผู้เสียหายให้ดำเนินการแจ้งความเพื่อดำเนินคดี

            และที่ยกตัวอย่างก็คือมีนักศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ที่เข้ามาแจ้งความ โดยแก๊งหลวงให้ซื้อตุ๊กตามาจำหน่าย ปรากฏว่าโอนเงินไปแล้วไม่ส่งของจึงได้มาแจ้งความ และหลังจากนั้นทางแก๊งก็ได้คืนเงินให้ ส่วนการดำเนินคดีนั้นกฎหมายก็ยังล้าหลังและก้าวไม่ทัน อีกทั้งในปัจจุบันตำรวจส่วนหนึ่งก็ไม่มีความรู้ด้านไอที และไม่ยอมปรับตัวที่จะเรียนรู้ทำให้การดำเนินการกับแก๊งเหล่านี้ยังเข้าไปไม่ถึง และการดำเนินการยังไม่สามารถทำได้เนื่องจากกฎหมายยังไม่เอื้อ และความร่วมมือระหว่างตำรวจไทยกับมาเลเซียยังต้องอาศัยการสร้างความเข้าใจที่ตรงกัน

            อย่างไรก็ตามเราได้หาข้อมูลผ่านสื่อต่างๆ ที่รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับแก๊งไนจีเรียหลอกเงินสาวไทย โดยวิธีที่เทคนิคและวิธีการหลอกลวงนั้นมีหลากหลายรูปแบบ เช่น เว็บไซต์หาแฟนชาวต่างชาติหลายแห่ง นำประสบการณ์ที่โดนแก๊ง 18 มงกุฎข้ามชาติหลอกลวงมาโพสต์ไว้เพื่อเป็นอุทาหรณ์...

มุกเด็ด 
“เจ้าชาย” ตามหา "เจ้าหญิง"

“เขาทำทีว่าเป็นเจ้าชายลี้ภัยจากประเทศที่เราไม่รู้จักชื่อ อ้างว่าโดนโค่นล้มบังลังก์ต้องหนีออกนอกประเทศ จะใช้คำหวานบอกว่ารักเรามาก คิดถึงมาก อยากใช้ชีวิตด้วย มีเงินและสมบัติมากมาย อยากใช้ชีวิตกับสาวไทยมีเงินให้ลงทุน พวกนี้จะชอบใช้คำว่าเจ้าชาย ตามหาเจ้าหญิง เรียกเราว่าเจ้าหญิงของฉัน บอกว่าจะโอนเงินมาเข้าบัญชีของเรา 30 หรือ 300 ล้านบาท แล้วแต่มันจะโกหก ให้เราบอกหมายเลขบัญชี ถ้าหลงเชื่อให้มันไป สัก 2-3 วันจะมีเมลหรือโทรศัพท์มาบอกว่าให้โอนเงินเสียภาษีไปให้ก่อน ไม่เช่นนั้นเงินจะไม่เข้าบัญชีธนาคารของเรา”

หลุมรัก-หลุมพราง

“ผู้หญิงไทยบางคนหลงเชื่อว่าฝรั่งตกหลุมรัก อาทิตย์หน้าจะมาหาที่เมืองไทย พอผ่านไปได้อาทิตย์มีโทรศัพท์มาบอกว่ามันติดอยู่ที่ด่านกงสุลมาเลเซีย มีของฝากมาให้ แต่เจอด่านตรวจและต้องเสียภาษี พกแต่บัตรเครดิตไม่มีเงินสดติดตัว ขอให้ผู้หญิงไทยโอนเงินค่าภาษีไปให้ก่อน แล้วถ้าออกมาได้จะเอาเงินมาคืนให้ หรือบางรายบอกว่ากระเป๋าเดินทางบ้าง อะไรสารพัดที่พวกนี้จะกุเรื่องขึ้นมาหลอกให้โอนเงินไปให้มัน ถ้าบางคนไม่รู้โอนเงินไปให้ หลังจากมันได้เงินไปแล้ว จะหายหัวเงียบไป...”

“1แสน” แลก “1ล้าน”

“เขาชื่อ wilson felix พูดคุยกันธรรมดา รับรู้ เห็นอกเห็นใจกัน ตกลงจะใช้ชีวิตร่วมกัน จนกระทั่งเขาส่งของขวัญมาให้ มีทั้งชุดสร้อยเพชร ทอง ไอแพด ไอโฟน กระเป๋าแบรนด์เนม ดอกไม้ ตุ๊กตา และเงิน ส่งมาจากต่างประเทศโดยบริษัท world express courier มีตั๋วส่งมา เพื่อให้ดูข้อมูลว่าในกล่องมีอะไรบ้าง จากนั้น 2-3 วันบอกว่าของมาถึงแล้ว แต่ต้องชำระภาษี จากนั้นมีเจ้าหน้าที่โทรบอกว่าของมาแล้วต้องชำระภาษี 25,000 บาท เราก็ชำระไปและของจะถึงเราในวันนี้ตอนเย็น

 

ตกเย็นเราก็รอ ไม่นานเขาบอกว่าฝรั่งส่งเงินมาในกล่องด้วยเป็นเงินจำนวนมาก ต้องไปคำนวณภาษีใหม่ คราวนี้เงินเยอะต้องเสียภาษีเพิ่มอีก 6 หมื่นบาท เราทำตามที่เขาบอกไปโอนเงินให้ จากนั้นบอกว่าเอกสารต้องทำใหม่หมดไม่สามารถมาส่งของเราได้ต้องรอพรุ่งนี้ 2 โมงเช้าจึงจะได้รับของ...สองโมงเช้าเจ้าหล่อนก็โทรมาบอกว่า ศุลกากรเรียกไปคุยเพราะเงินจำนวนมาก (เป็นเงินสดประมาณ 4 แสนดอลลาร์ ประมาณ 1.2 ล้านบาท) ต้องจ่ายค่าเอกสารอีก 1.5 แสนบาท

 

ตอนนี้เราไม่มีเงินแล้ว wilson บอกว่าฉันส่งของไปให้เธอมูลค่ามากมาย แค่เงิน 1.5 แสนบาทไม่กล้าจ่าย เธอคงไม่รักฉัน แล้วก็ทำทีร้องไห้ ตัดพ้อเราสารพัด ให้เราไปจ่ายเงินให้เรียบร้อย ตอนนี้ใช้คำพูดแย่มาก ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้พูดดีสารพัด


บริษัทที่ส่งของมีตัวตนจริง แต่ด้านเอกสารการรับการส่งของการส่งเงินดูดีๆ จะมีการตัดต่อภาพ หลังจากสิ้นสุดว่าเราไม่ส่งเงินให้ wilson ก็จะปิดเมลของตัวเอง ลบข้อมูลต่างๆ หายไปอย่างไร้ตัวตน...
หากใครกำลังเป็นเช่นเรา จงรู้ไว้ว่า "ท่านกำลังโดนหลอก!!

            อย่างไรก็ตามการหลอกลวงได้พัฒนาไปมาก ล่าสุด

เว็บไซต์ Thai Anti Scam (สาวไทยรู้ทันกลลวง) ได้เขียนบทความ แชร์ผ่านFace book ระบุว่า คนดำที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมีเยอะเหลือเกินในประเทศไทย อาจจะด้วยประเทศเราค่อนข้างเสรีมากๆ สำหรับนักท่องเที่ยว และเราก็ติดอันดับประเทศที่ "อยู่ง่าย กินง่าย" สำหรับนักท่องเที่ยวที่สุด บรรดาชาวต่างชาติไม่ว่า ดำ ขาว ตี๋ แขก แห่มากินอยู่แบบยาวๆ ในไทยมากขึ้น การกินอยู่นั้นไม่ได้กินแค่อาหารอย่างเดียว ยังรวมไปถึงการกินสาวๆ ตามโลกออนไลน์ ไปด้วย!!!!

คนดำนั้นส่วนใหญ่มารวมตัวกันอยู่ที่ถนนรามคำแหงเป็นส่วนใหญ่ และเริ่มกระจายไปในหลายๆ พื้นที่ เช่น ลาดพร้าว สุขุมวิท(บางซอย) ศรีนครินทร์ ฯลฯ จากที่หาข้อมูลจากหลายๆ ที่พบว่า คนดำส่วนใหญ่มักจะหาสาวๆ ตามอินเตอร์เน็ต พวกนี้ ตั้งเป้าที่จะหาคู่ ซึ่งการหาคู่นั้นเป็นคู่แบบถาวร อยู่กินแบบผัวเมีย แต่รู้หรือไม่ว่า พวกนี้มันหลอกกันแบบซึ่งๆ หน้า พวกนี้จะจับผู้หญิงไทยที่มีลักษณะเจ้าเนื้อ ไปถึงอ้วน มีฐานะ รวย เพื่อเกาะกิน และหวังผลประโยชน์ ผู้หญิงไทยพวกนี้จะไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของฝรั่งผิวขาว และไม่ใช่ที่หมายปองของคนไทย จึงมักจะใจอ่อนต่อการหว่านล้อม จ่ายได้ทั้งหมดไม่ว่าค่าอพาตเมนท์ ซื้อรถให้ใช้ ให้ค่าใช้จ่ายประจำวัน

อาชีพคนดำเหล่านี้มักทำอาชีพส่งออกสินค้ากลับไปบ้านเกิด ขายเสื้อ ขายอีเล็คทรอนิค ถ้าบอกขายเสื้อจะไปสุมหัวกันที่ประตูน้ำ พวกนี้ทำตัวแบบปลิง ดูดไม่ปล่อย ขอไม่เลิก ได้เงินไปก็ไม่ต้องหวังจะได้คืน หลังจากสูบไปหมดตัวแล้วก็จะหาเหยื่อรายใหม่ พวกคนดำนี้มักจะพูดคุยกันและอวดความรวยของผู้หญิงที่ตนคบ อวดของที่ผู้หญิงให้ สร้างความหวือหวา ร่ำรวยให้ตัวเอง เชื่อว่าเรื่องนี้เราไม่สามารถเตือนอะไรได้มันเป็นความประสงค์ของฝ่ายหญิงเองที่จะมอบให้เค้า

แต่เราก็ต้องการสื่อให้รู้ว่า การมามือเปล่าของเค้านั้นไม่ได้มาด้วยความรัก เค้ามาเพราะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ต้องการที่ยึดเหนี่ยวเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง บางรายพยายามให้ได้ลูกกับผู้หญิงไทยเพียงเพื่อจับให้ผู้หญิงจ่าย หรือใช้ประโยชน์จากเธอเท่านั้นคุณค่าของเราสูงกว่านั้นค่ะ การใช้จ่ายไปกับพวกนี้ก็ไม่ต่างอะไรจาก สแกรมเมอร์ มันหลอกทั้งๆ ที่เจอกันตัวเป็นๆๆเขียนโดย...........แอดมิน R

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อไปว่า ในขณะนี้หาดใหญ่ก็มีสภาพไม่แตกต่างกัน ตามย่านใจกลางเมืองถนนนิพัทธ์อุทิศ 2 และ3 ขณะนี้ได้มีฝรั่งผิวดำเดินทางเข้ามาปักหลักอาศัยกันจำนวนมากขึ้นทุกปี โดยเฉพาะหากสังเกตในช่วงเทศกาล คนกลุ่มนี้จะถือโอกาสเข้ามาในคราบของนักท่องเที่ยว และถือโอกาสอยู่ต่อ ซึ่งพฤติกรรมของการหลอกลวงหญิงไทย ยังไม่ชัดเจน แต่ปริมาณที่เข้ามาขณะนี้ถือว่าผิดสังเกตอยู่มาก



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ปจิตรา
เขียนเมื่อ

ร้าน “ก๋วยเตี๋ยวหมี่เบตง” ชื่อนี้ยังขายได้ถ้าอร่อยด้วยมีสิทธิรวย

“อร่อย” อย่างเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้คนที่ชอบกิน ดั้นด้นไปหา แม้จะอยู่ไกลแสนไกล เข้าซอกเข้าซอยลำบากแค่ไหนก็ไม่ยอมตกกระแส ก็ ร้านเส้นหมี่เบตง ซึ่งย้ายมาจากภูเก็ต มาเปิดใหม่ในซอยหลังสำนักงานขนส่งหาดใหญ่ในซอยขำอุทิศ 1 ถนนทุ่งตำเสา ประมาณสัก 3 เดือนที่ผ่านมา แม้วันนี้คนจะรู้จักไม่มาก แต่ก็มากพอที่บ้างครั้งต้องทำให้ต้องคอยเหมือนกัน

    เจ้าของร้านชื่อเจ๊จู หรือพี่พรพรรณ แซ่ลิ่ม และพี่กำพล ว่องไวพาณิชย์ มีโอกาสไปทานร้านนี้แค่ครั้งเดียวก็ติดใจความอรอย ก็เส้นหมี่เบตงที่ขึ้นชื่อนั้นเส้นเหนี่ยวนุ่ม อร่อย ยิ่งทราบว่าเป็นสูตรตระกูลดั้งเดิมเบตงขนานแท้ที่ทำสดๆ ให้กินกันไม่เจือสีสังเคราะห์ คัดสรรธรรมชาติล้วนๆ มาปรุง เครื่องปรุงอื่น ทั้งสองสามีทำเองหมด ตั้งแต่เส้น หมูกรอบก็ทอดเอง หมู่แดงก็ย่างเอง ผักคัดมาจากสวนที่เจ้าของสวนปลูกเอง ทำให้มั่นใจว่าทานไปแล้วไม่มีปัญหาในอนาคตแน่
    เจ๊จูเล่าให้ฟังว่าตนเองและสามีนั้นขายก๋วยเตี๋ยวหมี่เบตงมาประมาณ 30 ปีแล้ว จุดเด่นก็เส้นหมี่นี่แหละเพราะครอบครัวสามีเป็นตระกูลที่ทำเส้นหมี่เบตงขายมาประมาณ 50  ปีแล้ว ปัจจุบันลูกๆ ในตระกูลก็ยังขายหมี่ เช่นหมี่แห้งโรงงานศรีพงศ์หมี่เบตง สูตรเป็นความลับที่ไม่สามารถถ่ายทอดได้ แต่ตนเองก็ได้บอกสูตรนี้กับลูกซึ่งเป็นไกด์อยู่ภูเก็ต แต่เขาก็ยังไม่คิดจะมาเปิดร้าน เพราะอาชีพนี้เหนื่อยต้องอดทน
    ที่ขายทุกวันนี้ทำเองใช้ไข่เป็ด 7 ฟองต่อแป้งยี่ห้อกุหลาบ 1 กิโลกรัม กระบวนการกว่าจะมาเป็นเส้นหมี่ให้ลวกรับประทานกันได้ก็ใช้เวลา 3 วัน อยู่ภูเก็ตขายอยู่ที่ยี่เต็งคอมเพล็กซ์ เฉพาะเป็ดวันหนึ่งก็หลายสิบตัว หมี่ก็หลายสิบกิโลกรัม ตอนย้ายมาลูกค้าก็บ่นว่าพี่ย้ายไปแล้วผมจะไปทานที่ไหน ลูกค้าที่ภูเก็ตมีทุกกลุ่ม ตั้งแต่ตำรวจ ทหารเรือ หรือแม้กระทั่งดารา  คนดังมาทานที่ร้านเยอะ อย่างที่ร้านคุณปัญญา นิรันกุลให้ถ่ายรูปไว้ เราไม่มีปัญหาจ้าง เพราะจ้างอาจจะใช้เงินหลายบาท แต่ที่เขาให้ถ่ายติดไว้ที่ร้านเพราะเขายอมรับว่าอร่อยจริง
    การันตีกันขนาดนี้แล้วไม่ลองไม่รู้  เส้นนุ่มจริงๆ  เหนียว รสชาติที่ปรุงแตกต่างจากที่อื่น ถูกปากอร่อยมากๆๆ นอกจากแป้งหมี่ที่ทำเอง กลายเป็นหมี่เบตงให้คนสงขลาและจากที่อื่นสัญจรไปมาได้ลิ้มลองเพราะไม่ห่างจากขนส่งหาดใหญ่เท่าไหร่นัก ก็มีพวกหมูแดง  ลูกชิ้นหมู หรือเกี้ยวเจ๊จูแกลงทุนทำเองหมด 
    แต่มาเปิดร้านที่หาดใหญ่ถือว่านับ 1 ใหม่เพราะลูกค้ารู้จักน้อย แต่มั่นใจว่าจะสามารถเป็นที่นิยมอีกครั้งแน่นอน และในอนาคตร้านหมี่เบตงก็มีแผนที่จะทำเมนูอื่นตามมา รวมทั้งเป็ดไว้เจ้าในเทศกาลต่างๆ อีกด้วย
    เธอบอกว่าอาชีพนี้ใครๆ ก็ทำได้เพราะร้านก๋วยเตี่ยวมีทั่วไป แต่ต้องอดทน แต่ที่เป็นจุดขายของร้านคือหมี่เบตง ที่เจ๊จูบอกว่าแม้แต่การลวกเส้นก็มีเคล็ดลับว่าจุ่มน้ำร้อนกี่ครั้งแล้วจึงนุ่มอร่อย น่าจะจริงเพราะคนอื่นลวกอาจจะไม่นุ่มเหมือนที่เธอทำให้
    ธุรกิจร้านก๋วยเตี๋ยวกำไรไม่มาก เพราะปัจจุบันต้นทุนข้าวของทุกอย่างแพงหมด เช่นลงทุนไปสัก 2000 บาทอาจจะขายได้ 3,000-4,000 บาท แต่ที่หนักคือเหนื่อยเอาการสำหรับคนที่ขาย ต้องมีใจรัก และชอบจริงๆ ที่นี้ราคาถูกว่าที่อื่นชามหนึ่ง 35 บาทเองในขณะที่เจ้าอื่นอาจจะ 45 หรือ50 บาทไปแล้ว
    แต่สำหรับคนที่อยากจะขายก๋วยเตี๋ยวเส้นหมี่เบตงสดๆ อาจจะไปติดต่อที่ร้านได้ เพราะเธอปรุงเองทุกวัน และเป็นสูตรดั้งเดิม เบตง 100 % ซึ่งเส้นหมี่ปัจจุบันที่วางขายส่วนใหญ่ใส่สีเวลาลวกจึงทำให้หม้อลวกเป็นสีเหลือง แต่ที่ร้านนี้หม้อลวกเส้นสีเหลืองอ่อนๆ เท่านั้นเอง 
    ก็เป็นข้อมูลที่ต้องพิจารณาสำหรับผู้บริโภค เพราะยุคปัจจุบันหากินของแท้ ของธรรมชาติยากจริงๆ  
    หาดใหญ่เปิดขายที่บ้านตนเองไม่ต้องจ่ายค่าเช่าอย่างภูเก็ตเดือนหนึ่งหลายหมื่นสู้ไม่ไหว ทำเท่าไหร่ค่าเช่ากินหมด มานับ 1 หาดใหญ่แม้จะเปิดตัวใหม่ก็ต้องอดทน แต่ที่ดีใจก็คือว่าลูกค้าที่ภูเก็ตบ้างคนโทรมาหาและเขามาหาดใหญ่ก็แวะมารับประทาน 
    อาชีพร้านก๋วยเตี๋ยวเบตงอาจจะยากสำหรับคนที่สนใจ แต่หากอยากจะขายก๋วยเตี๋ยว เน้นเส้นหมี่เบตง ก็อาจจะไปลองคุยกันได้ อาจจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการสร้างอาชีพไหม่ หรือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับลูกค้าได้รับประทานกัน


ความเห็น (1)

บันทึกดีๆเรื่องแบบนี้น่าเขียนเป็นบันทึกแบบมีคำสำคัญเก็บไว้นะคะ จะได้ง่ายต่อการค้นหาและเป็นประโยชน์ในวงกว้างในอนาคตด้วยนะคะ

ปจิตรา
เขียนเมื่อ

“สยามไทยนู๊ดเดิ้ล”เฟรนไซส์ผัดไทยรูปแบบใหม่

ทางเลือกคนอยากมีอาชีพลงทุนครั้งเดียวขายได้ตลอดชีวิต

 

ในโลกของคนชอบกินเส้น นอกจากก๋วยเตี๋ยวแล้วผัดไทยก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ให้สารอาหารครบถ้วน และถือว่าเป็นอาชีพที่รายได้ดี มีลูกค้าได้ตลอดทั้งวัน หากตระเวนไปในห้างสรรพสินค้าอย่างโลตัส บิ๊กซี หรือแม้กระทั่งห้างท้องถิ่นเราจะพบร้านผัดไทยสยามนู๊ดเดิ้ล ซึ่งปักหลักอยู่ แต่จริงๆผัดไทยแบร์ดนี้ กำลังจะแตกไลนเพื่อให้เป็นทางเลือกกับคนที่ต้องการสร้างอาชีพด้วยรถเข็นผัดไทยในแบร์ดน หรือยี่ห้อ “เส้นจันทร์ By สยามไทยนู๊ดเดิล” คนที่อยากมีอาชีพมาตัวเปล่าได้เลยพร้อมเงินลงทุนประมาณ 50,000 บาทก็สามารถที่จะมีรายได้เลี้ยงชีพไม่ยาก

                “คุณธมนวรรณ แก้วมีแสง เจ้าของธุรกิจเฟรนไซส์ สยามไทยนู๊ดเดิล หรือที่เรารู้จักกันในนามพี่ทราย เล่าถึงที่มาของธุรกิจให้ฟังว่าตนเองเป็นคนหาดใหญ่ หลังจากจบการศึกษาที่รามคำแหงเมื่อปี 2528 แล้ว ก็ไปเป็นลูกจ้างร้านขายผ้าแถวพระโขนง ขายผ้าจนเจ้าของร้านยกร้านให้ แต่ต่อมาเศรษฐกิจไม่ดีก็เอาเสื้อผ้าในร้านไปเร่ขายตามตลาดนัดจังหวัดทางภาคเหนือ   ในช่วงดังกล่าวก็แต่งงาน เมื่อมีลูกก็หยุดงานทั้งหมดเลี้ยงลูกอยู่ 4-5 ปี

                ปี 2540 สามีตกงานก็ต้องย้ายกลับมาหาดใหญ่ มาเปิดร้านมินิมาร์ท ขายได้ไม่ถึง 3 ปี  2543 ทุกคนคงจำได้น้ำท่วมหนักหาดใหญ่ทุกสิ่งทุกอย่างหายไปกับน้ำ ตอนนั้นพ่อบุญธรรมสามีก็ถามว่าแล้วจะทำอะไรต่อ เราก็คิดไม่ออก คุณพ่อบุญธรรมสามีก็เลยยกร้านผัดไทยแบร์ดหนึ่งให้ดูแล ซึ่งขณะนั้นเขาก็กระจายอยู่ในทุกห้าง เราก็ทำหน้าที่ดูแลคนที่ซื้อเฟรนไซส์แบร์ดนดังกล่าวทั่วภาคใต้ 8 สาขา 5 จังหวัดร่วม10 ปี

                ต่อมาธุรกิจได้ส่งต่อให้กับลูกชายบริหาร เงื่อนไขของผู้บริหารคนใหม่ก็คือส่งวัตถุดิบทุก2 อาทิตย์  พี่ทรายบอกว่า การที่ผู้บริหารคนใหม่เข้ามาบริหาร เขาไม่เคยอยู่หน้าร้านจึงไม่เข้าใจปัญหา อย่างในช่วงไฮซีซั่น เซ็นทรัลภูเก็ต ห้างที่สมุย เทศกาลวัตถุดิบผลิตไม่พอ เราแจ้งไปเขายึดหลักการเดิมคือ 2 อาทิตย์ส่งวัตถุดิบ ห้างที่ลูกค้าเราซื้อเฟรนไซส์ไปอยู่เขาก็ไม่พอใจ เพราะเขากินยอดขาย เราก็โทรถามพ่อบุญธรรมจะเอาอย่างไร เขาก็บอกสูตรให้เราทำที่ห้างแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน ปรากฏว่าที่เราทำอร่อยกว่าสูตรเดิมเสียอีก  เจอปัญหาแบบนี้บ่อยเข้าเราก็ขอลาออกไม่เอา คนที่ซื้อเฟรนไซส์ไปก็ต้องทนแบกภาระเขาเดือดร้อน พอเราลาออกเจ้าของเฟรนไซส์เดิมไม่มีคนดูแลก็มีปัญหา

                ห้างเขาก็ติดต่อเราให้เราดูแลต่อ แบร์ดนเดิมไม่มีใครดูแลกลายเป็นปัญหา คนที่ซื้อเฟรนไซส์ไปแล้วเขาก็โวยวาย ก็เลยต้องช่วยรับผิดชอบ ทำอย่างไรไม่ให้มีปัญหาก็ต้องเปลี่ยนแบร์ด จะใช้แบร์ดเขาต่อไปก็คงไม่ได้  คุณพ่อบุญธรรมก็อนุญาตเพราะเราต้องแก้ปัญหาในทุกสาขา ในที่สุดก็เปลี่ยนเป็น “สยามไทยนู๊ดเดิล” และรับผิดชอบห้างในภาคใต้ทั้งโลตัส บิ๊กซี เซ็นทรัล

                ปัจจุบันมีลูกค้าซื้อเฟรนไซส์อยู่แทบทุกห้างทุกสาขา ในภาคใต้ และกำลังต้องการผู้ที่กำลังมองหาอาชีพ และมีใจรักเรื่องของผัดไทยที่ต้องการสร้างลงร้านที่บิ๊กซีสาขาสตูล โลตัสท่าศาลานครศรีธรรมราช สยามนครินทร์หาดใหญ่  เซ็นทรัลหาดใหญ่ที่กำลังจะเปิด ค่าลิขสิทธิ์ 150,000-200,000 บาท โดยทางสยามฯเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมทุกอย่างมาแต่ตัวสามารถทำได้เลย โดยวัตถุดิบนั้นก็ต้องรับจากสยามฯ คือน้ำจิ้มหอย น้ำผัดไทย แป้งทอดหอย ซึ่งจะส่งให้อย่างต่อเนื่อง น้ำจิ้มตกแกลลอนละ 250 บาท ต่อ5 ลิตร  แป้งทอดหอย ครึ่งกิโลกรัมละ 30 บาท

                พี่ทรายบอกว่าการส่งอย่างโลตัสหาดใหญ่ซึ่งไม่ไกลมากผู้ซื้อเฟรนไซส์ไม่จำเป็นต้องสั่งซื้อไปสต็อกมากนัก แต่อย่างสาขาภูเก็ตส่งครั้งละ 50 ถุง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับปริมาณการขายภูเก็ตขายวันหนึ่งประมาณ 10 ถุง ก็ส่งต่อเนื่อง น้ำจิ้ม น้ำผัดไทย และแป้งทอดหอยเป็นสูตรที่ผสมขึ้นมาเฉพาะ เช่นหอยทอดสมุนไพรเมื่อใช้กับแป้งที่เราผสมจะไม่อมน้ำมันแห้ง อร่อย และนอกจากผัดไทยขณะนี้หอยทอดสมุนไพรกำลังขึ้นชื่อ และที่สำคัญคือสูตรนี้ได้รับมาตรฐานฮาลาล ซึ่งมุสลิมสามารถทานได้อย่างสบายใจ

                พี่ทรายเล่าต่อว่า คนที่ซื้อเฟรนไซส์อาจจะปรุงผัดไทยไม่เป็น ทางร้านก็จะสอนให้ โดยลูกค้าสามารถไปเรียนในสาขาที่ใกล้ที่สุด ซึ่งจะต้องนัดหมาย โดยพี่ทรายจะลงไปสอนให้ด้วยตนเอง

                สำหรับราคาขายก็ขึ้นกับห้างกำหนด คือผัดไทยธรรมดา 35 บาท ผัดไทยห่อไข่ 50 บาท หอยทอดสมุนไพรขณะนี้กำลังขึ้นชื่ออยู่ที่ 60 บาท หอยนางรมทอดจานละ 50 บาท หอยแมลงภู่ทอด 40บาท ซีฟู๊ดจานละ 60 บาท

                สำหรับผู้ที่ไม่ได้มองทำเลห้าง ก็อาจจะซื้อเฟรนไซส์ในลักษณะรถเข็น ซึ่งราคาอยู่ที่ 50,000 บาท ก็สามารถหาทำเลของตัวเองที่เหมาะสมได้ และสามารถขายผัดไทยในสูตรนี้ซึ่งไม่ยุ่งยาก และเป็นที่ยอมรับมากกว่า 10 ปี

                หากสนใจก็ลองติดต่อคุณธมนวรรณ แก้วมีแสง ที่เบอร์ 080-5495781 หรือ 090-1598979

 

 



ความเห็น (1)

บันทึกดีๆเรื่องแบบนี้น่าเขียนเป็นบันทึกแบบมีคำสำคัญเก็บไว้นะคะ จะได้ง่ายต่อการค้นหาและเป็นประโยชน์ในวงกว้างในอนาคตด้วยนะคะ

ปจิตรา
เขียนเมื่อ

เส้นทางสร้างธุรกิจ "ฉลอง เตชะภัทรกุล" จากยี่ปั๊วซื้อยางตามสวนสู่เถ้าแก่ฉลองอุตสาหกรรมน้ำยางข้น

ไม่บ่อยนักที่เราจะได้เข้าไปพูดคุยกับเจ้าของโรงงานขนาดใหญ่ โดยเฉพาะบ้างโรงงานนั้นไม่เปิดโอกาสให้สื่อเข้าไปด้วยซ้ำ แต่ครั้งนี้ถือว่าโชคดี เพราะหลังจากเจอคุณฉลอง เตชะภัทรกุล ในงานสวดมหาชาติที่มหาวิทยาลัยราชภัฎสงขลาก็ได้แนะนำตัวตั้งใจว่าจะขออนุญาตเข้าเยี่ยมชมโรงงานและสัมภาษณ์ถึงที่มาธุรกิจ ก็บริษัท ฉลองอุตสาหกรรมน้ำยางข้น จำกัด ภายใต้การบริหารงานของ คุณฉลอง เตชะภัทรกุล นักบริหารผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกลท่านนี้ถือว่าเป็นโรงงานน้ำยางข้นรายแรกของจังหวัดสงขลาเลยก็ว่าได้ เริ่มดำเนินธุรกิจด้วยทุนจดทะเบียนเพียง 10 ล้านบาท และปัจจุบันเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 50 ล้านบาท บนเนื้อที่กว่า 200 ไร่ ปัจจุบันบริษัทแห่งนี้สามารถส่งออกยางแท่งและน้ำยางข้น กว่าร้อยละ 80 ไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก อาทิ ประเทศในทวีป อเมริกาเหนือ ทวีปยุโรป เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ถือว่าไม่ธรรมดา!! บรรยากาศแรกต้องบอกว่าประทับใจกับสวนภายในบ้านซึ่งจัดได้โดนใจสำหรับคนชอบน้ำตก และสายน้ำ โดยเฉพาะในช่วงที่ภาคใต้ฝนตกหนักแบบนี้ดูเหมือนธรรมชาติยิ่งกว่าสร้างสรรค์ด้วยมือจริงๆ คุณฉลองเล่าให้เราฟังหลังจากเราไปถึงตัวบ้านว่าตัวท่าน ตนเองเป็นคนจะนะ จบประถมที่โรงเรียนศรีนครและต่อมาไปเรียนด้านบัญชีจบที่โรงเรียนเอกชนบีบุนนาค หลังโรงแรมเจ.บี แต่ปัจจุบันโรงเรียนแห่งนี้ไม่มีแล้ว

    ครอบครัวนั้นไม่ได้ร่ำรวยอะไร พ่อแม่ทำอาชีพยี่ปั๊วรับซื้อยางหลังจากจบ ปี 2503 ก็ทำงานทำหมดมาตั้งแต่ขายผลไม้ ขับรถบรรทุก รับจ้างขนยาง หลังจากมาช่วยงานพ่อแม่ และช่วยงานพี่ชายรับซื้อยาง  ก็ทำเรื่องยางมาตลอด  จนกระทั่งมาหยุดทำสวนยางของที่บ้านอยู่พักหนึ่ง
    หลังจากนั้นก็ได้กลับมาทำร้านรับซื้อยางเองนช่วงนี้ไม่มีต้นเวลาวิ่งรับซื้อยางก็ต้องวิ่งหยิบยืมเงิน คนรู้จัก บ้างครั้งไปซื้อยางเจ้าของสวนก็ขอให้เราช่วยจ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างไปก่อน เมื่อขายได้แล้วก็มาจ่ายเจ้าของสวน ซึ่งคนสมัยนั้นอัธยาศัยน่ารัก ช่วยเหลือกันและกัน ทำอยู่ประมาณ 5 ปี  ด้วยความที่เราต้องสู้เมื่อได้เงินมาแล้วก็เก็บหอบรอมริบ
    ต่อปี ปี 2529 เพื่อมาชวนทำโรงงานน้ำยางข้นก็ลงทุนไป 5 ล้านบาท ส่วนหนึ่งก็เป็นเงินเก็บอีกส่วนก็เป็นเงินกู้จากธนาคาร เริ่มต้นทำธุรกิจซื้อเครื่องปั่นน้ำยางมา 5 ตัว จากไม่รู้อะไรทำให้ต้องเรียนรู้งานทุกอย่างด้วยตนเอง และโชคดีหน่อยว่าในเรื่องการติดต่อประสานงานกับลูกค้า ได้ภรรยา คือคุณลัดดาวัลย์ ซึ่งเป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยเทคนิคเข้ามาช่วยในเรื่องเอกสาร  ซึ่งเขาเก่งเรื่องภาษา ในตอนแรกก็ซื้อที่ดินไป 16 ไร่ 
    ทำในช่วงแรกชาวบ้านก็บ่อนว่าโรงงานปล่อยน้ำเสียเหม็น ต่อมาทำให้เราเห็นว่า บ่อบำบัดน้ำเสียจำเป็นก็เลยซื้อที่ดินข้างหลังซึ่งเจ้าของที่ดินขายให้จนปัจจุบันมีที่ดิน 200 ไร่  มีเครื่องปั่นน้ำยาง 30 ตัว และมีเตาอบยาง 2 เตา 
    คุณฉลองเล่าต่อว่าในการทำธุรกิจนี้ต้องใช้เงินหมุนเวียนค่อนข้างสูง เนื่องจากต้องซื้อน้ำยางใหม่ทุกวัน และเมื่อราคาน้ำยางผันผวนโรงงานได้รับผลกระทบมากเพราะสินค้าที่ส่งให้กับต่างประเทศเป็นราคาที่ตกลงกันล่วงหน้า บ้างปีส่งมอบยางให้ลูกค้าขาดทุน40-50 ล้านบาท แต่ก็ต้องยอม เพราะลูกค้านั้นติดต่อกันมาตั้งแต่เริ่มตั้งโรงงาน เรานั้นไม่เบี้ยวลูกค้า แต่ลูกค้ามีเหมือนกันที่เบี้ยวเรา 
    ขณะเดียวกันธนาคารเจ้าหนี้ไม่เข้าใจทำให้การทำธุรกิจต้องชะลอ บ้างครั้งก็ถึงชะงัก เพราะไม่ยอมปล่อยสินเชื่อปัจจุบันเปลี่ยนการใช้บริการมาถึง3 ธนาคารแล้ว การทำธุรกิจของเราเป็นลักษณะเอากำไรมาลงทุนต่อ แต่เงินหมุนเวียนก็สูง และค่อนข้างจะไม่นิ่ง อย่างยางกิโลกรัมละ 160 บาทจากเดิมที่เราเคยลงทุน 80-90 บาทก็เพิ่มขึ้นสูงมากเกือบเท่าตัวเป็นต้น สถานการณ์ในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา 
    เมื่อถามถึงวิกฤติชีวิตคุณฉลองบอกว่าน่าจะเป็นช่วงปี 2532-2533 ตอนนั้นส่งมอบยางซื้อแพง แต่ส่งมอบราคาต่ำกว่าขาดทุนไปถึงกับต้องหยุด และในช่วงนั้นเราเพิ่งนำเข้าเครื่องจักรอีก 7 ตัวเข้ามา  เครียดแต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร คิดแต่ว่านอนให้หลับผ่านพ้นไปแต่ละคืนๆไป รุ่งขึ้นวันใหม่ค่อยแก้ปัญหา และได้บทเรียนได้ประสบการณ์  และในที่สุดสถานการณ์เลวร้ายนั้นก็ผ่านพ้นไป เพราะเราไม่ท้อเดินไปข้างหน้า

ปี 2538 ในช่วงนั้นมีทุนจากอินโดนีเซียและมาเลเซียมาชวนทำโรงงานถุงมือยางมาดูทำเลที่ตั้งโรงงานแล้ว แต่ก็ต้องพับโครงการไปเพราะปี 2540 เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ฉลองน้ำยางข้นก็เดินหน้ามาเรื่อยๆ เมื่อถามถึงหุ้นส่วนคุณฉลองบอกว่าเมื่อทำมาสักพักหนึ่งหุ้นส่วนมองว่าไม่ได้เข้ามามีส่วนในการดูแล เพราะเขาไม่มีเวลาก็เลยขายหุ้น เราก็ซื้อมาตั้ง 2 บริษัท มาถึงวันนี้คุณฉลองบอกว่าภาคภูมิใจในการสร้างธุรกิจ เพราะไม่เคยคิดเลยว่ามาถึงวันนี้จะกลายเป็นโรงงานใหญ่ปัจจุบันมีกำลังผลิตอยู่ที่ 200-300ตันต่อวัน และได้ส่งมอบกิจการต่อให้กับคุณอภิชาตลูกชายสานต่อ ซึ่งคุณอภิชาตซึ่งนั่งอยุ่ไกล้ๆ ก็บอกกับเราว่านอกจากสานต่อธุรกิจแล้วก็อาจจะแตกไลน์ธุรกิจเพิ่มเข้ามาในเร็วๆนี้ซึ่งกำลังศึกษาอยู่และก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับยาง ก่อนจากกันคุณฉลองพาเราไปดูโรงงาน บอกย้ำว่าในการทำธุรกิจปรัชญาที่ตนเองยึดมาตลอดชีวิตคือซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน และทำงานกินกำไรน้อยๆ แต่ทำให้มาก จะดีกว่าทำกำไรมากๆ แต่ของน้อย ตรงนี้เราจะได้ใจลูกค้า และเพื่อนคู่ค้า ภายในโรงงานช่วงฝนตกน้ำยางเข้ามาในโรงงานน้อย เสียดายไม่ได้เห็นกระบวนการทำงานเต็มรูปแบบ แต่ทว่าเราได้เห็นว่าน้ำยางข้นที่ฉลองส่งออกนั้นมีสต็อกไว้อยางเพียงพอ และยางแท่งที่จะต้องส่งมอบลูกค้าในช่วงเดือนฝนตกก็มีอย่างเพียงพอ นี่คือคำมั่นระหว่างฉลองกับลูกค้า การวางแผนล่วงหน้า ไม่ขาดแคลนวัตถุดิบยากวิกฤติมาถึง

    ก่อนจบการสัมภาษณ์คุณฉลองบอกกับเราว่าต้นปี 2555 จะเพิ่มการลงทุนอีก 50 ล้านบาท ขยายพื้นที่เตาเผาซึ่งสั่งเข้ามาอีก 2 หัวในเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ ยางราคาตกจริงหรือไม่ จะแย่ขนาดไหน แต่คุณฉลองบอกว่ากำลังซื้อในตลาดต่างประเทศยังมี และมั่นใจว่าจะดีขึ้นหลังจากนี้ และเชื่อมั่นว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ถูกน้ำท่วมสำหรับนักธุรกิจไทยจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว


ความเห็น (1)

บันทึกดีๆเรื่องแบบนี้น่าเขียนเป็นบันทึกแบบมีคำสำคัญเก็บไว้นะคะ จะได้ง่ายต่อการค้นหาและเป็นประโยชน์ในวงกว้างในอนาคตด้วยนะคะ

ปจิตรา
เขียนเมื่อ

เส้นทางชีวิตหญิงเก่ง “สิริภัทร กรัณกิติกร” พลิกชีวิตจากร้านขายผ้า สู่ธุรกิจทำไร่ปาล์มและ อสังหาฯ มูลค่านับพันๆ ล้าน

      คนเราจะรวยได้ต้องวิริยะ อุตสาหะ มุ่งมั่น ตั้งใจ ขยัน อดทน อดกลั่น  อดออม ขึ้นกับจังหวะและโอกาส คนรวยๆหลายคนไม่ได้เกิดมาในตระกูล    ที่ร่ำรวย แต่เพราะเขาสู้ และคอยหาโอกาส จังหวะที่เขาเรียกว่าน้ำขึ้นให้รีบตัก
      หากพูดถึง  ห้างลินลี่  แทบจะไม่มีใคร ไม่รู้จัก เพราะห้างผ้าแห่งนี้ เกิดขึ้นมานานและเป็นเจ้าแรกๆที่  นำผ้าแฟชั่นมาขายที่หาดใหญ่เลยก็ว่าได้  เรามีโอกาสเข้าไปพูดคุยถึงการสร้างธุรกิจของ คุณสิริภัทร ลินลี่ กรัณกิติกร เจ้าของห้างลินลี่ ซึ่งวันนี้ได้ขยายไลน์ หันไปทำอสังหา ซึ่งดำเนินธุรกิจอยู่ที่ จ.สุราษฎร์ธานี และยังมีบริษัทไร่ปาล์มกรัณกิติกร จำกัด ซึ่งปลูกปาล์มกว่า 2,500 ไร่ ที่สุราษฎร์ธานีเช่นกัน  นอกจากนี้  ยังมีที่ดินทำเลทองที่กำลังจะขึ้นโครงการ ทั้งที่หาดใหญ่ กระบี่ สตูล  สุราษฎร์ธานี
    แต่กว่าจะมาถึงวันนี้เส้นทางไม่ได้โรยด้วย กลีบกุหลาบ คุณลินลี่เล่าให้ฟังว่าเธอเองเป็นคนหาดใหญ่ จบประถมศึกษาที่โรงเรียนกอบกาญจน์ ต่อมาก็ได้ศึกษาต่อมัธยมและปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฎ จ.สุราษฎร์ธานี  ในช่วงวัยเด็กนั้นครอบครัวก็ไม่ได้ร่ำรวย มีพี่น้องด้วยกัน 5 คน แต่ด้วยความเป็นลูกผู้หญิงครอบครัวคนจีนไม่อยากได้ลูกผู้หญิงมาก ประกอบกับหมอดูเคยทำนายทายทักว่า ถ้าเด็กคนนี้ให้ผู้อื่นเลี้ยง ต่อไปภายหน้าเด็กผู้หญิงคนนี้ จะโชคดีมีบารมีและบุญวาสนา เพราะเธอเป็นลูกผู้หญิงคนที่ 3  คุณพ่อจึงได้ยกให้แม่นมไปเลี้ยง  ซึ่งแม่นมเองนั้นก็ได้นำเด็กผู้ชายมาเลี้ยงไว้เป็นลูกบุญธรรมแล้วคนหนึ่ง เมื่อเรามาอยู่ด้วย ท่านก็มีลูกชาย 1 หญิง 1
    คุณลินลี่ กล่าวว่า ในสมัยนั้น ที่บ้านคุณพ่อผู้ให้กำเนิด นั้นรับซื้อยางพารา เป็นยี่วปั้วรายแรกๆ ของหาดใหญ่ ซึ่งใครๆ ก็รู้จักร้านยางลิ่มหลีฮง ใต้สะพานลอยหาดใหญ่ แต่เมื่อตนเองถูกยกให้พ่อและแม่บุญธรรม ก็ต้องติดตามครอบครัวพ่อและแม่บุญธรรม ตอนที่อยู่หาดใหญ่ อายุยังน้อยมาก รู้แต่ว่าพ่อแม่ ลำบาก และต้องขายผักและผลไม้ ในหาดใหญ่ อยู่ได้ไม่นาน จึงย้ายไปอยู่ จ.ยะลา ตอนแรกๆ ก็ลำบาก อยู่ได้ไม่นานพ่อบุญธรรม ได้รับการแนะนำจากเพื่อนให้  ประกอบธุรกิจ ด้วยการปลูกส้มโชกุน บนเนื้อที่ 25 ไร่ ใน อ.ลำใหม่ จ.ยะลาทำได้ไม่นาน และมีอยู่ช่วงหนึ่งราคาตกต่ำมาก อีกทั้งถูกลักขโมย จนคุณพ่อต้องตัดสินใจขายสวน 

หลังจากนั้น โชคดีที่ได้รู้จักพ่อค้า ในปากคลองตลาดเขาค้าผักสด โดยการแนะนำของญาติที่กรุงเทพฯ คุณพ่อคุณแม่ก็ตัดสินใจขายส่งผักสด ทำให้ธุรกิจของคุณพ่อคุณแม่ใน จ.ยะลา ดีขึ้น และมีชื่อเสียง เพราะผักสดที่มาจากปากคลองตลาดเป็นที่ยอมรับ นอกจากนี้ก็ได้เปิดร้านขายผลไม้และผักสดที่ตลาดใหม่ ถ.สิโรรส จ.ยะลา ชื่อร้านนายเจียง ขายส่งผักสดและผลไม้ซึ่งส่งมาจากปากคลองตลาด ส่งมาเป็นตู้รถไฟคอนเทเนอร์ให้ และถ้าเป็นฤดูผลไม้ต่างๆ ของภาคใต้เราจะต้องจัดส่งไปขายที่กรุงเทพ ปากคอลงตลาด แลกเปลี่ยนสินค้ากัน ในส่วนตัวเราช่วงปิดเทอมก็ไปช่วยงานคุณพ่อและคุณแม่บุญธรรม ที่ จ.ยะลา แต่ก็ช่วยได้ไม่นานนัก ต้องกลับมาเรียนหนังสือที่หาดใหญ่ต่อ ในความดูแลของคุณยาย จนกระทั่งจบมัธยมศึกษา จึงได้ย้ายไปอยู่ยะลา กับคุณพ่อและคุณแม่บุญธรรม อยู่กันนาน 4 ปี

    คุณพ่อบุญธรรมเห็นว่าดิฉันเป็นคนมุ่งมั่นในการค้า และขยันจึงตัดสินใจซื้อบ้านให้ เพื่อทำธุรกิจที่ อ.หาดใหญ่  ในช่วงนั้น กำลังคิดตัดสินใจ จะทำธุรกิจอะไรดี  ระหว่างที่ตัดสินใจอยู่นั้น ก็ได้รับการแนะนำจากเพื่อนที่กรุงเทพฯ เป็นผู้จัดการร้านผ้า  ก.ไทยสวัสดิ์  เป็นร้านขายส่งผ้าต่างประเทศใน สำเพ็ง  แนะนำให้ขายผ้า พร้อมให้การสนับสนุนแนะนำ   และช่วยค้ำประกันให้ในระยะแรก ในช่วงนั้นดิฉันไม่มีเงินเลย เพราะทราบดีว่า การเปิดร้านผ้า จะต้องใช้เงินทุนมากมาย  เงินสดจริงๆ ที่เหลือก็มีแค่30,000 บาท     จะต้องใช้เครดิตคุณพ่อ และสถาบันการเงิน 

การตัดสินใจเปิดร้านขายผ้าในครั้งนั้นบังเอิญว่า ดิฉันเองมีรสนิยมการแต่งตัว เป็นทุนอยู่แล้ว และด้วยใจรักของสวยของงาม จึงเปิดร้านชื่อ “ห้างลินลี่โตร์” ตอนนั้นอายุประมาณ 22 ปีเห็นได้ ต้องตามสมัยให้ทันกับแฟชั่นใหม่ๆ ในแต่ละเดือน ต้องไปกรุงเทพฯ ซื้อผ้า โดยไปขออาศัยพักที่บ้านของพี่สาว สี่กั๊กพระยาศรี ร้านเพชรกิจเจริญ

    ช่วงแรกที่เปิดร้านขายผ้านั้น แค่คิดว่าถ้าเราได้วันละ 4 – 5 พันบาท เราก็อยู่ได้อย่างสบายแล้ว แต่เกินความคราดหมาย ได้ดีกว่าที่คิด บางวันขายดีมาก วันหนึ่งๆ สามารถขายได้เป็นเงินหมื่นๆ เกินความคาดหมาย และช่วงที่ทำโปรโมชั่นขายลดราคา ขายได้วันละเป็นแสน ได้รับความนิยมจากลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเป็นอย่างมาก จึงได้ขยายธุรกิจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จาก 1 ห้องเป็น 2 ห้อง และเปลี่ยนชื่อมาเป็น “ห้างลินลี่” จำหน่ายผ้าทุกชนิด รวมทั้งผ้าไหมไทย และผ้าลูกไม้จากนานาประเทศ
    ชื่อเสียงในด้านคุณภาพและความซื่อตรงของห้างลินลี่ กระจายไปทั่ว ทั้งใน        อ.หาดใหญ่ จ.สงขลาและใกล้เคียง รวมทั้งชาวต่างประเทศ ทำให้ได้รับความนิยม ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของประเทศมาเลเซีย ถ้ามีโอกาสมาหาดใหญ่ครั้งใด ก็จะแวะมาชมและซื้อผ้าที่   ห้างลินลี่ เป็นประจำ
    ปี พ.ศ.2522  คุณลินลี่บอกว่าก็เริ่มจะมองธุรกิจอื่น เพื่อกระจายความเสี่ยง นอกเหนือจากการขายผ้าแล้ว วันหนึ่งชาวมาเลเซีย ซึ่งรู้จักกันโดยบังเอิญมาชวนปลูกปาล์ม เขาอธิบายว่าการปลูกปาล์มในประเทศไทยยังมีคนปลูกน้อย  ที่ดินก็ยังถูก เขาให้เราร่วมหุ้น   จึงตกลงกันว่า ให้ทางหุ้นส่วนมาเลเซียเป็นผู้บุกเบิกให้ นักธุรกิจท่านนี้ปลูกปาล์มอยู่แล้วที่มาเลเซีย เราก็เชื่อเขาและศรัทธาในตัวเขา จึงตัดสินใจเข้าหุ้นด้วยทั้งๆ ที่ไม่มีความรู้ในเรื่องปาล์มเลย ที่ดินที่ซื้อไว้ปลูกปาล์ม อยู่ในกิ่งอำเภอวิภาวดี สมัยนั้นเป็น อ.ตะกุกเหนือ  ยังไม่เจริญ ถนนหนทาง  เป็นถนนดินแดง  เป็นหลุมเป็นบ่อ รถจะข้ามสะพานแต่ละครั้งหวาดเสียวมาก เพราะใช้ต้นไม้มาวางเป็นสะพาน และต้องใช้ รถกระบะเท่านั้น ที่จะเดินทางและเข้าสวนได้ สภาพถนนแย่จริงๆ ตกเย็นก็ต้องรีบออกมาหาที่พักในเมืองสุราษฎร์ธานี ด้วยความกลัวไม่ปลอดภัย ต่อชีวิต และทรัพย์สิน  เพราะแถวนั้น เป็นพื้นที่สีชมพู ไม่ปลอดภัยมากๆ ใครๆก็ไม่อยากไป พูดถึงไปสวนปาล์มใครๆ ก็กลัว ไปครั้งเดียว ก็ไม่อยากไปแล้ว  เดินทางเข้าสวนใช้เวลา 2 ชั่วโมงกว่าจะถึงสวน ต้องขับช้า ๆ เพราะหนทางไม่อำนวย      
      แต่ละครั้งที่เดินทางไปดูแลสวนปาล์ม ต้องไปพักโรงแรมในตัวเมืองสุราษฎร์ธานี  ทำให้รับทราบถึงความต้องการของชาวสุราษฎร์ธานีว่าต้องการที่พักอาศัย จึงได้ตัดสินใจทำโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่สุราษฎร์ธานี เป็นบ้านทาวเฮาส์ประมาณ 400 ยูนิต  ในขณะเดียวกันก็ดูแลสวนปาล์มไปด้วย  คุณลินลี่บอกว่า ธุรกิจสวนปาล์ม ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนและบริหารจัดการคอนข้างสูงมาก และต้องใช้บุคลากร และแรงงานจำนวนมาก ผลผลิตที่ดี ต้องขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศ ที่เอื้ออำนวย ฝนต้องตก ดินต้องดี อากาศชื้น และยังต้องมีขั้นตอนการดูแล บริหารจัดการ การวิเคราะห์ และการใส่ปุ๋ยแต่ละสูตรปุ๋ยต้องถึง และต้องมีผู้จัดการ และทีมงาน ที่ติดตามและมีความรู้ในเรื่องปาล์ม ทำงานด้วยใจรัก ขยัน ซื่อสัตย์ 
      ในปี 2537-2538 ธุรกิจปาล์มนั้นแย่เอามากๆ          เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นวิกฤติของชีวิตเลยก็ว่าได้  ผลผลิตน้อยไม่คุ้มกับการลงทุน และเกิดสภาวะแห้งแล้ง เกิดเอลนิโญ่ ผลผลิตไม่มีลูกปาล์มฝ่อหมดปีนั้นขาดทุนหลายๆล้านบาท ทำให้หุ้นส่วนหมดกำลังใจในการทำธุรกิจปาล์มต่อไป  ต่างคนต่างก็อยากจะขายหุ้นของตัวเอง  เราเองก็พยายามจะบอกขายสวนปาล์มถึงขนาดบนบานศาลกล่าวขอให้ขายสวนปาล์มนี้ให้ได้ เพื่อให้ทุกคนได้เงินที่ลงทุนคืนไป ตอนนั้นอยากจะขายออกไป เพราะไม่อยากจะเป็นภาระเรื่องต่างๆ รวมทั้งเรื่องเงินธนาคาร  ซึ่งเป็นภาระของเราหมด แรกๆ ที่บอกขายมีคนสนใจจะซื้อหลายคน แต่ก็ไม่สำเร็จ  ใจจริงแล้วไม่อยากให้ทุกคนจะต้องขายหุ้น แต่ผลที่สุด ทุกคนอยากขาย ถ้าเราไม่ซื้อเขาสามารถนำหุ้นไปขายให้บุคคลอื่นได้ จนจำใจต้องซื้อหุ้น จากหุ้นส่วนทุกคน  โดยขอเงินสนับสนุน จากสถาบันการเงิน  มาซื้อหุ้นของหุ้นส่วนแต่ละท่าน   
      แม้จะขายไม่ได้ แต่ก็ได้พยายามอดทนดูแลสวนปาล์ม  เพราะเรามีธุรกิจอื่นๆ ที่พอจะมาช่วยชดเชย จนกระทั่ง ปี 2545 ผลผลิตปาล์มดีขึ้นกลายเป็นกำไร อีกทั้งเราโชคดีที่ได้ผู้บริหาร และทีมงานที่ดี บางปีผลผลิตมาก แต่บางปี ก็น้อย ขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศ  ผลผลิตมาก วันนี้ธุรกิจปาล์มกลายเป็นธุรกิจสำคัญของและมั่นคงของครอบครัว 
      และณ วันนี้ ทำเลสวนปาล์มไม่เหมือนเมื่ออดีตแล้ว ที่ดินบริเวณดังกล่าวราคาแพง มีสิ่งอำนายความสะดวก มีสถานที่ราชการต่างๆ  โรงพยาบาล, ธนาคาร, ปั้มน้ำมัน, เซเว่น, ตลาด  และร้านค้ามากมาย 

คุณลินลี่บอกว่าธุรกิจสวนปาล์มไปได้ดีทำให้ต้องเดินทางมาสุราษฎร์บ่อย และการพักในเมืองทำให้ต้องเดินทางไกลอีกทั้ง บรรยากาศในสวย อากาศดี และยังมีทะเลหมอก จึงตัดสินใจสร้างบ้านพักตากอากาศบนเขาสูง เพื่อสะดวกต่อการทำงานในสวนปาล์ม โดยไม่ต้องเสียเวลาขับรถไปพักในเมือง และยังมีโอกาสรับรองแขกผู้ใหญ่ และเพื่อนๆ ใช้เป็นที่สำหรับพักผ่อนใจ ในยามที่เครียด และเหนื่อย นอกจากสวนปาล์มที่สุราษฎร์ธานี แล้วคุณลินลี่บอกว่าประสบการณ์ทำไร่ปาล์มก็ได้มาสร้างสวนปาล์มที่คลองหอยโข่ง จังหวัดสงขลาอีกกว่า 2,000 ไร่ ทุกวันนี้ให้ลูกๆ ช่วยบริหารรวมทั้งสวนยางพาราอีก 200 ไร่ ที่กำลังให้ผลผลิต ซึ่งก็ถือเป็นอีกธุรกิจของครอบครัว

      คุณลินลี่ย้อนกลับไปที่เรื่องของธุรกิจอสังหาฯ ที่มีจุดเริ่มต้นที่จ.สุราษฎร์ธานี โครงการแรกคือบ้าน  “พลเกษม” ช่วงนั้นบ้านจัดสรร ที่ จ.สุราษฎร์ ยังเกิดขึ้นน้อยมาก ธุรกิจอสังหาฯ ไม่มีคู่แข่ง  จึงง่ายต่อการทำธุรกิจในด้านอสังหาฯ  และได้ผลกำไร จาก จ.สุราษฎร์ธานี มาต่อยอด  ธุรกิจอสังหาฯ       ถึง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา          ในโครงการลินลี่วิลล่า, ลินลี่โฮม, ลินลี่ซิตี้โฮม, และยังขยายไปสู่ จ. กระบี่ โครงการบ้านสวยลินลี่ และโครงการลินลี่วัลเล่ย์  เป็นโครงการบ้านเดี่ยว ที่ จ.กระบี่ และคาดว่าจะมีโครงการคอนโดมิเนียม ที่ อ.คลองม่วง จ.กระบี่ โดยได้ลูกสาวคนที่ 4 ซึ่ง จบจากสหรัฐอเมริกา  เป็นผู้บริหารอยู่ 
      จากประสบการณ์และผลสำเร็จของธุรกิจอสังหา คุณลินลี่ไม่หยุดที่จะคิดที่จะทำแม้วันนี้วัยจะเลย 60 ปีแล้วแต่เธอยังลุยไปข้างหน้า ล่าสุดตัดสินใจอีกครั้ง ด้วยแนวคิดแหวกแนวตลาดเพื่อสังคมคนรุ่นใหม่  แตกสไตล์ ทำธุรกิจคอนโดมิเนียมซึ่งได้มีลูกสาวจบจากประเทศอังกฤษ ทำคอนโดมิเนี่ยม ชื่อ “ดิ แอททรีบิวท์ คอนโดมิเนียม” ดูแลอยู่  กำลังจะเปิดเฟส 4 ในต้นปีหน้า และกำลังออกแบบใหม่เฟส 5 ซึ่งจะเปิดตัวในเร็วๆนี้เช่นกัน ด้วยกระแสตลาดที่ตอบรับดีต่อเนื่อง 

และธุรกิจอสังหาฯในเครือบริษัทของคุณลินลี่ก็ไม่จบแค่นี้ เธอวางแผนจะ ขยายธุรกิจ บ้านเดี่ยวและคอนโด ติดถนนใหญ่ ปุณณกัณฑ์ และอีกแปลงอยู่ใกล้กับบิ๊กซีเอ็กซ์ตาร์ ซึ่งสามารถสร้างคอนโดมิเนียมได้อีก 3 เฟส คาดว่าจะขึ้นในอนาคต

    แม้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะดีวันดีคืน ธุรกิจปาล์มน้ำมันจะให้ผลตอบแทนสูงจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นของตลาดโลก คุณลินลี่ บอกว่าธุรกิจห้างลินลี่ ซึ่งสร้างกับมือคุณลินลี่เอง ยังต้องทำต่อไป เพราะธุรกิจผ้าเป็นหนึ่งธุรกิจ ที่มีความสำคัญในครอบครัว ทำให้เรามีฐานะ และมีชื่อเสียงโด่งดัง  เป็นที่รู้จักของชาวหาดใหญ่จนทุกวันนี้  

ก่อนจากกันคุณลินลี่ได้ทิ้งแง่คิด หรือปรัชญาในการทำงานกับเราว่า
“คิดก่อนแล้วต้องตัดสินใจทันที และต้องรู้จังหวะของธุรกิจ จะรุกเมื่อไหร จะถอยเวลาใด คิดแล้วลงมือทำทันทีเมื่อมีโอกาส”

      ธุรกิจใดๆ จะสำเร็จได้ จะต้องมีคุณธรรม จริยธรรม เป็นคนดีของสังคม และประเทศชาติ 

ด้านครอบครัวคุณลินลี่ มีบุตร 5 คนด้วยกัน คือ 1. น.ส.ชาณุกา กรัณกิติกร จบการศึกษาจากประเทศออสเตรเลีย Certficate of Computing Coure ปัจจุบันดูแล บจก.เคโอนเนอร์ 2.นายโอภาส กรัณกิติกร ปริญญาเอก สาขาการตลาด มหาวิทยาลัยรามคำแหง มีครอบครัวแล้ว ดูแลสวนปาล์มที่ อ.คลองหอยโข่ง หาดใหญ่ บจก.เอสแอลซีปาล์ม 3.นายวิศาล กรัณกิติกร จบปริญญาโท รัฐประศาสนศาสตร์ ปัจจุบันดูแลกิจการสวนปาล์ม อ.คลองหอยโข่ง หาดใหญ่ และ โครงการจัดสรร บ้านเนินเขา ควนลัง ของบริษัทฯ ที่หุ้นอยู่ 4.น.ส.ดวงพร กรัณกิติกร ปริญญาโท กฎหมายธุรกิจระหว่างประเทศจากสหรัฐอเมริกา ดูแลโครงการบ้านจัดสรร ที่ จ.กระบี่ บ้านสวยลินลี่, ลินลี่วัลเล่ย์ และมีโครงการจะขึ้นคอนโดมิเนียม ที่ อ.คลองม่วง จ.กระบี่ 5.น.ส.ดวงชนก กรัณกิติกร ปริญญาโท สถาปัตยกรรม จากประเทศอังกฤษ ปัจจุบันดูแลโครงการ ดิ แอททรีบิวท์ คอนโดมิเนียม ในเครือ บริษัท ลินลี่พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด



ความเห็น (1)

บันทึกดีๆเรื่องแบบนี้น่าเขียนเป็นบันทึกแบบมีคำสำคัญเก็บไว้นะคะ จะได้ง่ายต่อการค้นหาและเป็นประโยชน์ในวงกว้างในอนาคตด้วยนะคะ

ปจิตรา
เขียนเมื่อ

กิตติยาณีย์/ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ หน้าอาชีพ

โรตีกรอบ “มุทิตาจิต” แค่เปิดตัวเดือนแรกก็ต้องเพิ่มเตาทอดแล้ว

“โรตีกรอบ”ปัจจุบันมีสูตรออกมามากมาย ผ่านการประยุกต์จนกลายเป็นที่รู้จักและนิยมรับประทานกันโดยทั่วไป ทั้งรับประทานเป็นอาหารเช้า หรืออาหารว่าง รับประทานกันได้ทุกเพศทุกวัย

โรตีกรอบสูตรดั้งเดิมของปัตตานี ซึ่งถูกถ่ายทอดโดยวิทยาลัยอาชีวะปัตตานี กลายเป็นของฝากของขวัญที่เรารู้จักดี โดยเฉพาะโรงแรมต่างๆ ในพื้นที่มักจะนำมาห่อเป็นกล่อง หรือเพ็กเก็จอย่างดี จนกลายเป็นของขึ้นชื่อไป
หาดใหญ่เมื่อเดือนที่ผ่านมามีร้านโรตีกรอบเปิดใหม่ ชื่อ ร้านมุทิตาจิต โรตีกรอบ ในตอนแรกที่ผ่านไปคิดว่าน่าจะเป็นมูลนิธิเพื่อการกุศลอะไรสักอย่าง จึงเข้าไปพูดคุย “คุณมุทิตาจิต วงศ์พรม เจ้าของร้านปฎิเสธว่าที่นี้ไม่ใช่มูลนิธิเพื่อการกุศล แต่ที่ตั้งชื่ออย่างนี้เพราะเป็นชื่อตนเอง และเพราะชื่อนี่เองทำให้ลูกค้าส่วนหนึ่งแวะเข้ามาถามถึงความสงสัยและกลายเป็นลูกค้าประจำกันในเวลาต่อมา
เธอบอกว่าเปิดร้านมาเมื่อต้นเดือนมีนาคม 2555 นี้เอง แต่กระแสความนิยม และลูกค้าที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ทำให้ต้องเพิ่มเตาทอดโรตีกรอบตัวที่ 2 ขึ้นมาและมียอดขายเดือนแรกกว่า 30,000 บาท ซึ่งต้นทุนในการซื้อวัตถุดิบอยู่ที่ประมาณ10,000 ต้นๆ อันนี้ยังไม่รวมค่าแรงลูกน้อง ก็ถือว่ารายได้ใช้ได้ที่เดียว อีกทั้งบ้านก็ไม่ต้องเช่าคือทำในบ้านของตนเอง แต่ในช่วงแรกเหมือนที่เห็นทุกอย่างยังไม่พร้อม ทั้งเพ็กเก็จจิ้ง โลโก้ ยังไม่เต็ม 100 %
แต่ก็มีลูกค้าส่วนหนึ่งที่ไม่สนใจเพ็จเก็จ เพราะเขาอยากให้เงินที่ซื้อโรตีกรอบได้ขนมแบบเต็มๆไม่ต้องไปจ่ายในส่วนของค่ากล่อง แต่ก็มีลูกค้ากลุ่มหนึ่งต้องการซื้อเป็นของฝาก เขาก็อยากได้กล่อง เราก็พยายามจะเร่ง ซึ่งคาดกว่ากลางเมษายน น่าจะเสร็จ
คุณมุทิตาจิต เล่าถึงการตัดสินใจเปิดร้านโรตีกรอบให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้ก็เปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวมานาน ในช่วงเช้าก็ขายซาลาเปาอะไรด้วย รู้สึกเหนื่อยอีกทั้งต้นทุนวัตถุดิบนั้นแพงขึ้นเรื่อยๆ ทำแล้วกำไรไม่มาก และต้องขายทั้งวัน วันหนึ่งเพื่อนชวนไปดูการทำโรตีกรอบที่วิทยาลัยอาชีวะปัตตานี มีค่าคอร์ส 25,000 บาท เรียน 3 วันก็ตัดสินใจเรียน เมื่อเรียนจบก็ตัดสินใจเปิดร้านเลย เพราะเห็นโอกาส และหาดใหญ่ไม่มีร้านที่ขายโรตีกรอบ เซอร์เวย์ดูทั่วแล้วเราเป็นเจ้าแรก 
ตัดสินใจเปิดร้านลงทุนอุปกรณ์เฉพาะเตาทอดก็ประมาณ 50,000 บาท นอกจากนี้ก็เครื่องซีนถุง ทั้งหมดก็เกือบ100,000 บาท แต่ก็เกือบจะหายเหนื่อยแล้วเพราะเดือนแรกก็ยอดขาย30,000 กว่าบาท  และที่สำคัญคือทางอาชีวะปัตตานีเขาไม่มีเงื่อนไขใดๆให้เรากังวล คุณสามารถสร้างแบร์ดของคุณเองได้เลย เขาไม่สนใจคุณจะไปประยุกต์ไปเปลี่ยนแปลงรูปแบบเพื่อให้โดนใจลูกค้าได้อย่างไร อันนี้เป็นไอเดียคุณ ไปต่อยอดเอาเอง
ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นพนักงานออฟฟิค ในย่านตรงนี้ คือทำเลที่ตั้งร้านนั้นไม่ไกลจากโรงแรมซากุระ จากธนาคารต่างๆ ก็ทำให้พนักงานส่วนหนึ่งที่นิยมออกมารับประทานอาหารเที่ยงด้านนอกแวะซื้อกลับไปทานนอกจากนี้ในแต่ละวันเมื่อทำเสร็จ ก็มีบ้างเหมือนกันที่ใส่ตะกร้าไปเร่ขายตามออฟฟิคต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะรู้จักกัน เพราะตนเองเป็นคนดั้งเดิมตรงนี้
และล่าสุดมีร้านค้าบ้างแห่งติดต่อเข้ามา คือเขาขับรถผ่านมาก็อยากจะให้เราไปวางไว้ที่ร้าน  ซึ่งเมื่อกล่องเสร็จก็ตั้งใจว่าจะส่งเขาเช่นกัน
คุณมุทิตาจิต กล่าวอีกว่าสำหรับคนที่สนใจอยากทำธุรกิจนี้หากต้องการจะเรียนเพื่อไปประกอบอาชีพก็ยินดีสอนให้ ซึ่งอาจจะมีคิดค่าคอร์ส ซึ่งก็คิดอยู่ว่าจะเก็บค่าใช้จ่ายเท่าไหร่  ซึ่งอาจจะเท่าอาชีวะปัตตานีและจะส่งพวกอุปกรณ์ให้ด้วย  แต่ขณะนี้เธอเองก็ต้องการเพื่อนร่วมงานเพิ่มหากใครสนใจอยากจะทำงาน หรือ หากสนใจจะเรียนวิธีทำก็ลองติดต่อกันไปดูที่หมายเลข 084-0698163 


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ปจิตรา
เขียนเมื่อ

เปิดใจ “กุล สุนทรวิจิตร”นายกส.มัคคุเทศก์สงขลา จี้รัฐเข้มมาตรการป้องกันระบุบึ๊ม!!อีกลูกท่องเที่ยวหาดใหญ่จบ

หาดใหญ่เป็นศูนย์กลางการค้าทางภาคใต้ เป็นเมืองที่ถูกขับเคลื่อนและหล่อเลี้ยงด้วยธุรกิจการท่องเที่ยว ดังนั้นนักท่องเที่ยวหลักอย่างมาเลเซีย สิงคโปร์จึงมีความสำคัญกับการสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการที่นี้ เหตุการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบทันทีต่อภาพลักษณ์หาดใหญ่ และกลุ่มที่ได้รับความเสียหายอันดับต้นๆ คือบริษัททัวร์ โดยเฉพาะทัวร์อินบาว ซึ่งนำนักท่องเที่ยวหลักดังกล่าวเข้ามาจับจ่ายใช้สอยสร้าง ผลักให้เกิดการหมุนเวียนเงินตรา ไปยังภาคธุรกิจอื่นเชื่อมโยงเป็นลูกโซ่ ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร สปา หรือแม้กระทั่งหมอนวด

กุล สุนทรวิจิตร นายกสมาคมมัคคุเทศก์ จังหวัดสงขลา ซึ่งวันนี้แทบจะไม่ว่างเว้นจากการประชุมกับหน่วยงานต่างๆ ที่ต้องการกู้คืนภาพลักษณ์ของหาดใหญ่ ปลีกเวลาให้สัมภาษณ์กับเราถึงผลกระทบกับบริษัททัวร์และมาตรการในการสร้างความเชื่อมั่น ทางออกในอนาคตสำหรับการท่องเที่ยวหาดใหญ่จังหวัดสงขลา

นักข่าว-อยากให้อาจารย์ประเมินผลกระทบณ วันนี้และอนาคตต้องใช้เวลานานขนาดไหนจึงจะฟื้นตัว อ.กุล- ก็มีการยกเลิกทัวร์ ในกลุ่มบริษัททัวร์ในหาดใหญ่ ซึ่งเป็นสมาชิกของสมาคมขณะนี้กว่า 50 บริษัท เฉพาะช่วงนี้ก็ประมาณ 60 % และไม่ใช่เฉพาะแค่ช่วงเทศกาลสงกรานต์เท่านั้น ยกเลิกยาวไปถึงวันแรงงานผมว่า 3 เดือนหลังจากนี้การท่องเที่ยวแน่นอนโดนแน่ๆ ยกเลิก 50-60 % บ้างบริษัทอย่างของรองนายกสมาคมฯ นิวเฟรนส์ซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มรถบัสก็อาจจะหนักหน่อยโดนไปแล้วประมาณ 80 %

นักข่าว-อาจารย์แต่ก็เห็นนักท่องเที่ยวมาเลเซียอยู่นะวันก่อนหน้าลีการ์เด้นท์ แล้วก็ตามร้านของฝากมีนักท่องเที่ยวมาเลเซียสิงคโปร์มาซื้อของเยอะมาก อ.กุล- ก็เป็นทัวร์ไหว้พระ ซึ่งเขาไปเที่ยวนครศรีธรรมราช และทัวร์กลุ่มนี้เป็นอาซ้อ อาซิมที่อยู่แถวเคดาร์ แถวปีนังที่เขาได้ยินระเบิดใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จนชิน แต่พอเขาเห็นข่าว ซึ่งภาพที่ออกทางทีวีค่อนข้างน่ากลัว ก็เลยกลายเป็นว่าเขาก็ยกเลิกตามๆ กันไป คือนักท่องเที่ยวที่มาแวะหาดใหญ่ในช่วงนี้เขาไปเที่ยวที่อื่นมาแล้วกำลังจะกลับเข้ามาเลเซีย จึงแวะชอปปิ้งก่อนกลับ ซึ่งบริษัททัวร์จะให้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง คือเขาต้องการอยู่ในหาดใหญ่ให้น้อยที่สุด นักข่าว-หน่วยงานราชการและแกนนำภาคเอกชนรอบนี้ทำงานกันหนักเพื่อจะเร่งฟื้นภาพลักษณ์ อ.กุล-จริงๆแล้วท่องเที่ยวปี 2555 มีแนวโน้มดีกว่าทุกปีที่ผ่านมาเราคิดว่าน่าจะกลับมาบูมอีกครั้งแต่พอเกิดระเบิดทุกอย่างเจ๊งไปพร้อมๆ กัน ตอนนี้ในเมืองก็เงียบๆ แม้นักท่องเที่ยวไทยเอง ทุกภาคส่วนไม่ว่าโรงแรม ห้างสรรพสินค้า บริการ หรือแม้กระทั่งสนามบินประชุมกันว่าในช่วงเทศกาลสงกรานต์โรงแรมยกเลิกเซอร์ชาร์จ และบริษัททัวร์ที่มัดจำปก่อนหน้านี้เขาจะไม่คืนเงินแต่จะให้เป็นคูปอง เช่นเชอร์ชาร์จ 400 บาทก็จะออกคูปองวันละ 400 บาทให้คุณทานอาหาร นวด หรือสปา ส่วนกลุ่มใหม่ที่จองเข้ามาก็ไม่มีเชอร์ชาร์จ อย่างลีการ์เด้นท์ที่จะเปิดให้บริการวันที่ 12 เมษายน ก็โทรมาแจ้งผมเมื่อเช้าว่า12-14 เมษายน 2555นี้เขาก็จะไม่มีเซอร์ชาร์จ

นอกจากนี้จังหวัดสงขลา ได้ร่วมกับภาคเอกชนประกอบด้วย 1. โรงแรม  2. ร้านอาหาร 3. ขนส่ง และ4 ร้านบริการ เช่น นวด สปา และ 5. ศูนย์การค้า เราจะทำโปรโมชั่นร่วมกันคือ  “5 ลด 5 สัปดาห์”  เริ่มตั้งแต่ 10 เมษายน 2555 และนับต่อไปหลังจากวันที่ 10 เมษายนไปอีก 5 สัปดาห์  รายการลดเยอะแยะมากมาย แต่ที่เด่นคือ โรงแรมจะลดราคาจากเดิม 10 % การบินไทยจะคิดเที่ยวบินละ 2,200 บาทต่อคนเมื่อคุณมาเที่ยวหาดใหญ่

นักข่าว-มีการประเมินความเสียหายว่าระเบิดครั้งนี้ทำให้หาดใหญ่สูญเสียทันที 800-1,000 ล้านบาท ในสายตาอาจารย์คิดว่าแล้วความสูญเสียโอกาสหลังจากนี้ อ.กุล-ผมว่าเขาประเมินน้อยไป หากรวมสงกรานต์จริงๆ ช่วงนี้เป็นช่วงไฮซีซั่นของหาดใหญ่สงกรานต์ยาวไปถึงวันแรงงานนักท่องเที่ยวมากที่สุดในรอบปี อาจจะมากกว่า 10,000 ล้านบาทด้วยซ้ำ คือเรามองว่าท่องเที่ยวในปีนี้มีแนวโน้มดีกว่าทุกปี แต่มาเกิดเหตุแบบนี้

ขอให้คิดว่าก่อนหน้านี้ช่วงเทศกาลสงกรานต์ จะหาห้องพักในหาดใหญ่ไม่มีทุกที่เต็มหมด แต่ตอนนี้ห้องว่างมีทุกโรงแรม ตอนนี้โรงแรมต้องง้อจังหวัด ง้อผู้ว่าฯให้เข้ามาช่วยเร่งสร้างความเชื่อมั่น เป็นปรากฎการณ์ที่โรงแรมเชื่อฟังผู้ว่าฯครั้งแรกก็ว่าได้ เมื่อก่อนเขาไม่ง้อไม่สนใจเพราะเต็มตลอด และเป็นครั้งแรกที่โรงแรมในหาดใหญ่ออกมาประกาศไม่เชอร์ชาร์จในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ในประวัติศาสตร์เคยมีที่ไหน

นักข่าว-แสดงว่ารอบนี้โรงแรมหาดใหญ่ต้องง้อบริษัททัวร์ด้วย อ.กุล- (หัวเราะ) จริงๆ เรามีประชุมกันตลอดในกลุ่มบริษัททัวร์อินบาว ที่นำนักท่องเที่ยวมาเลเซียเข้ามาและทัวร์โดเมสติก(นำนักท่องเที่ยวหาดใหญ่ไปเที่ยวข้างนอก) ว่าตอนนี้เราวิกฤติอย่างไร คือโดเมสติก อาจจะมองว่าปัญหาน้อยเพราะเขาพาคนหาดใหญ่ไปเที่ยวข้างนอก แต่ได้รับผลกระทบ เพราะสถานการณ์แบบนี้คนไทยเองก็ไม่อยากเดินทาง แต่อินบาวต้องคุยว่าขณะนี้ทิศทางของจังหวัด ของสมาคมโรงแรมออกมาอย่างไร โปรโมชั่นเป็นอย่างไร เที่ยวบินของบริษัทการบินต่างๆ ลดราคาแค่ไหน เพื่อให้ทัวร์อินบาวซึ่งมีอยู่ประมาณ 50 บริษัทไปบอกกับนักท่องเที่ยวว่าขณะนี้เรามีมาตรการอะไรที่จะให้เขามั่นใจ เราจะมีแคมเปญโปรโมชั่นในช่วงนี้อย่างไรเพื่อดึงนักท่องเที่ยวมาเลเซีย-สิงคโปร์กลับมา

นักข่าว-ได้ยินว่าจะไปโรดโชว์มาเลเซีย-สิงคโปร์จะไปกันช่วงไหน อ.กุล-เป็นเรื่องที่น่ายินดีว่าระเบิดคราวนี้เราได้ผู้ว่าฯที่ตั้งใจทำงานและท่านเร็ว อีกทั้งผู้ใหญ่เช่นผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย รองผบ.ตร ให้ความสำคัญลงมาประชุมมาวางมาตรการด้วยตนเองเพื่อป้องกันหาดใหญ่หลังจากนี้ เช่นกันภาคเอกชน และแกนนำภาครัฐก็เห็นว่าภาพที่เกิดขึ้นครั้งนี้เราต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นจึงจะไปโรดโชว์ที่มาเลเซียในวันที่ 19 เมษายน 2555 นี้หลังจากนั้นวันที่ 20 เมษายน ก็จะไปต่อที่สิงคโปร์ ซึ่งทางการท่องเที่ยวที่ประจำKL และที่สิงคโปร์คงต้องเร่งประสานงาน ซึ่งทีมผู้บริหารที่เดินทางก็น่าจะเป็นผู้ว่าฯ รองผู้ว่าฯด้านท่องเที่ยว นายกสมาคมสมาพันธ์ธุรกิจการท่องเที่ยว นายกสมาคมมัคคุเทศก์ นายกอบจ.ก็คงเป็นระดับแกนนำของภาคท่องเที่ยวของหาดใหญ่ เราจะไปแจ้งให้บริษัททัวร์ที่มาเลเซียและสิงคโปร์เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งมั่นใจว่าเราทำขนาดนี้แล้วจะทำให้บริษัททัวร์ และนักท่องเที่ยวหลักมั่นใจที่จะมาหาดใหญ่สัก 90 % นักข่าว-ทำไมอาจารย์เชื่อมั่นตั้ง 90 % ว่านักท่องเที่ยวจะกลับมา อ.กุล- เราคาดว่าการฟื้นตัวในรอบนี้จะเร็วกว่าปี 2549 เพราะระเบิดมันเกิดใต้ดิน นักท่องเที่ยวเข้ามาก็ไม่เห็น เห็นแต่ในข่าว ไม่เห็นของจริง นอกจากนี้ในช่วงที่เกิดเหตุปี 2548 ผู้ใหญ่ไม่ลงมา แต่ครั้งนี้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันในการเรียกความเชื่อมั่นกลับมา ผู้ใหญ่ก็เอาด้วย แต่สิ่งสำคัญอย่างเกิดอีกในช่วงนี้ ถ้ามีมาอีกสัก บึ้ม จบเลย

ดังนั้นตำรวจผู้เกี่ยวข้องด้านความมั่นคงต้องช่วย ซึ่งล่าสุดทางรองผบ.ตรก็มาประชุมร่วมกับหอการค้าวางมาตรการป้องกันหาดใหญ่ทั้งชั้นนอกและชั้นใน ซึ่งเขาเริ่มกันแล้ว ตำรวจอาสาสมัคร ทหารต้องทำงานแล้ว

นักข่าว-แกนนำภาครัฐ-ภาคเอกชนท้องถิ่นทำงานกันหนักขนาดนี้ อาจารย์อยากให้รัฐบาลเข้ามาช่วยอย่างไรบ้าง อ.กุล- เราได้เสนอรัฐบาลไปแล้วว่าหากรัฐบาลกล้าประกันความเสียหาย 10 ล้านบาทต่อคนนักท่องเที่ยวมั่นใจ เขามาเจอเหตุการณ์ลูกเมียทางบ้านไม่เดือดร้อน 2. เราอยากให้รัฐบาลซัพพอร์ตเรื่องการขนส่ง เพราะทุกวันนี้ต้นทุนการเดินทางเพิ่มขึ้น แต่ล่าสุดทางจังหวัดสงขลาก็ได้กู้รัฐบาลไป 3,000 ล้านบาท เพ่อจะมาใช้ฟื้นฟูการท่องเที่ยวหาดใหญ่ 2000 ล้านบาท นอกจากนี้ก็ให้ผู้ประกอบการกู้ ดอกเบี้ยMLR ที่ 2.75 % ปลอดชำระเงินต้น 2 ปี เราเห็นด้วย เพราะบริษัททัวร์ได้จ่ายมัดจำกันไปจำนวนมากในช่วงเทศกาลสงกรานต์แล้วโรงแรมไม่คืน บอกให้เลื่อนนักท่องเที่ยว ตรงนี้ก็เป็นภาระกับบริษัททัวร์ ซึ่งเราได้คุยกับทางคุณสมชาติ นายกสมาคมโรงแรม แต่ส่วนหนึ่งก็ขึ้นกับนโยบายของแต่ละแห่งนอกจากนี้โรงแรมในหาดใหญ่ยังเป็นลักษณะการบริหารแบบครอบครัว ก็เป็นเรื่องที่สมาคมเองก็พูดไม่ได้เหมือนกัน นักข่าว-ตอนนี้นักท่องเที่ยวมาเลเซียยังมีเข้ามาทางด่านสะเดาและปาดังเบซาร์ แต่ข้ามหาดใหญ่ไป อ.กุล-ตอนนี้มียังเข้ามาสำหรับคนที่เขาวางแผนไว้แล้ว อย่างของสมาชิกในสมาคมมีอยู่4-5 บริษัทเข้ามาแล้วไปนอนตรังเข้ากระบี่ เลากลับมาหาดใหญ่ เขาให้เวลาช้อปปิ้งแค่ 3 ชั่วโมงแล้วกลับเลย หลายบริษัททำอย่างนี้ตอนนี้นักท่องเที่ยวไหลไปกระบี่ ภูเก็ต

แต่หาดใหญ่ก็ยังมีกลุ่ม FIT คือครอบครัวขับรถมาเองมาแล้วเที่ยวเสร็จกลับ เพราะหาดใหญ่ยังมีปัจจัยที่เอื้อคือใกล้ อาหารอร่อย โรงแรมถูก นวด สปา ยังเป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวประทับใจ  ยังงัยก็ยังมีส่วนหนึ่ง


ความเห็น (1)

คุณกิตติยาณีย์ น่าจะสร้างบล็อก แล้วเขียนแต่ละข่าวนี้เป็นบันทึกนะคะ จะได้อ้างอิงถึงได้ค่ะ 

ปจิตรา
เขียนเมื่อ

กิตติยาณีย์/ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ สู้แล้วรวยอิสรมาน ดอเลาะ

ชีวิตที่ไม่เคยท้อ “บังอิสรมาน ดอเลาะ” จากชีวิตที่เคยรุ่งสุดขีดกลับคืนสู่ธรรมดาอีกครั้ง

เจอนักธุรกิจท่านนี้ทำให้หวนนึกถึงการบูมอย่างมโหฬารของส้มแขก เพื่อลดความอ้วนเมื่อปี 2540 ที่ผ่านมา ที่ตอนนั้นส้มแขกแห้งที่ขายกันในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จากกิโลกรัมละ 13-14 บาท ทะยานขึ้นเป็นกิโลกรัมเกือบ 200 บาท และเขาคนนี้เป็นหนึ่งในแรงผลักดันในครั้งนั้นเรากำลังพูดถึงคุณอิสรมาน ดอเลาะ เจ้าของผู้ริเริ่มผลิตภัณฑ์ฮูลูบาลัง เฮิร์บ เครื่องสำอางสำหรับสตรีแบร์ดนดังของปัตตานี

อิสรมาน เล่าให้เราฟังว่าตนเองเป็นคนจังหวัดปัตตานี เรียนจบประถมที่โรงเรียนในตัวจังหวัด หลังจากนั้นก็ไปเรียนต่อที่เบญจมราชูทิศ แล้วไปต่อที่มาเลเซีย หลังจากนั้นก็ไปจบ Di

p.c.s Wentorth College Melbourmn Vic. Australia ในช่วงที่เรียนอยู่ต่างประเทศทำให้ได้มีโอกาสศึกษาในเรื่องของเครื่องสำอางค์พบว่าเครื่องสำอางส่วนใหญ่มีส่วนผสมของสารเคมี และราคาขายนั้นแพงมาก และในการไปอยู่ออสเตรเลียไปพบสารกินิเซีย Garcenia Cambogia หรือส้มแขกที่ฝรั่งนำไปอัพราคาขายขวดหนึ่งเป็น 1,000 บาท ซึ่งในขณะที่วัตถุดิบบ้านเราราคาไม่กี่ตังค์ ก็ได้ประสบการณ์และได้ศึกษา

แต่หลังจากจบมาก็มาเป็นอาจารย์อยุ่ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์อยู่ 5 ปี  หลังจากนั้นก็ตัดสินใจลาออก และลงสมัครสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี เพราะในสมัยนั้นคนที่จะเล่นการเมืองต้องทรงอิทธิพล เราไม่มีอิทิพลจะได้ไหมก็ลองสมัคร และก็ได้รับการเลือกตั้ง สัมผัสการเมืองอยู่ 5 ปีก็พบตื้นลึกหนาบางในวางการเมือง ก็คิดว่าไม่เหมาะกับเราก็ออกมาและได้ศึกษาเรื่องเครื่องสำอางอย่างจริงจัง 
ประกอบกับในช่วงปี 2540 ส้มแขกลดความอ้วนบูมมากๆ อย่างที่เล่าคือในส้มแขกหรือกานิเซีย ซึ่งขณะนั้นบริษัทเนเชอวันของอเมริกาเขาขายขวดหนึ่งเป็น 1,000 บาท โรงงานเขาอยุ่ลำปาง โดยใช้ส้มแขกซึ่งมาจากอินเดียผลใหญ่ และเขาขายไปทั่วโลก ขวดหนึ่งประมาณ 60 เม็ด ราคา 1,000 บาท 
นายอิสรมาน เล่าต่อว่าเราก็มาคิดว่าส้มแขกใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้บ้านเรา มีอายุเป็น 100 ปีที่บ้านก็มีอยู่หลายต้น ชาวบ้านก็เอาลูกาหั่นตากแดดขายกิโลกรัมละ 13-14 บาทในสมัยนั้น เราก็เริ่มผลิตโดยส่งไปให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจถึงผลวิจัยและรับรองที่เราค้นพบ ผลิตเป็นโรงงานเริ่มแรกก็มีพนักงาน 30 คน คนในชุมชนนั้นแหละ เราก็กว้านซื้อส้มแขกจากกิโลกรัมละไม่กี่บาทกลายเป็น 40-70 บาท ขาย100 เม็ด 100 บาทต่อขวดก็มีบริษัทเอเชียไลฟ์มาติดต่อให้เราส่งขายเขาแต่ผู้เดียว 
ก็พัฒนาฆ่าเชื้อ บรรจุแคปซูลขออย. อยู่ 7 เดือนก็ผ่าน ก็มีบริษัทต่างๆ ติดต่อเข้ามาเพื่อให้ทางเราส่งให้ ปรากฎว่าจากเดือนหนึ่งไม่กี่หมื่นบาท กลายเป็นว่าเรามียอดขายเดือนหนึ่ง3 ล้าน- 5 ล้านบาท อยู่หลายปี ก็ซื้อรถเบนซ์ วอลโว่มาขับ ซื้อบ้าน3-4 หลัง ที่ดินหลายแปลงที่เดียว ขยายโรงงานใหญ่โตมีพนักงาน  100 กว่าคน  จากทุนที่เราเริ่มต้นครั้งแรกแค่ 20,000 บาท
บังอิสรมาน เล่าต่อว่า การเปิดโรงงานให้คนโน้นเข้ามาดู บริษัทนั้นเขามาชมก็กลายเป็นปัญหาเพราะมาดูแล้ว หลายคนก็เอาไปผลิต ขณะเดียวกันก็มีบริษัทขายยาแผนโบราณจีนเข้ามาแข่งกว้านซื้อส้มแขกด้วย ก็ทำให้ต้นทุนการผลิตสุงถึงกิโลกรัมละ 200 บาท  ส้มแขกตอนนั้นไม่ใช่ยาแต่เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ได้มีการค้นพบว่า ส้มแขก( Garcenia Cambogia) ซึ่

งเป็นพืชพื้นบ้านดั้งเดิมของไทย ที่นิยมใช้ในการประกอบอาหารมาเป็นเวลานานแล้ว มีสาร HCA หรือ Hydroxy-citric acid อยู่เป็นจำนวนมาก โดยพบว่า HCA นี้มีคุณสมบัติในการยับยั้งการสะสมของไขมัน ส่วนเกินในร่างกายและลดความอยากอาหารได้ จึงได้มีบางคนนำผลส้มแขกมาใช้ในการควบคุมน้ำหนัก กลไกการออกฤทธิ์ของ HCA จะออกฤทธิ์โดยการไปยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ ATP Citrate Lyase ในวงจร Kreb's cycle (วงจรการย่อยสลายกลูโคส ของเซลร่างกาย) ทำให้ยับยั้งการนำน้ำตาล จากอาหารประเภท แป้ง ข้าว และน้ำตาล ไม่ให้เปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมตามร่างกายแต่จะนำไป ใช้เป็นพลังงานของร่างกาย ทำให้ร่างกายสดชื่นไม่อ่อนเพลีย และ เมื่อในกระแสเลือดไม่ขาดน้ำตาล ก็จะทำให้ความรู้สึกหิวอาหารลดลง ไปด้วย ขณะเดียวกัน ก็ จะนำไปสะสมเป็นพลังงานสำรองในรูปของไกลโคเจนที่ตับ ทำให้ร่างกายรับรู้ว่ามีพลังงานสำรองเพียงพอทำให้ไม่รู้สึกหิวมาก นอกจากนี้ ยังมีผลไปกระตุ้น ให้มีการดึงเอาไขมันที่สะสมออกมาใช้เป็นพลังงานทำให้ไขมันที่สะสมอยู่ลดลงซึ่งจะมีผล ทำให้รูปร่างดีขึ้น

แต่.... สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น หลังจากนั้นกระแสนี้ก็ตกบริษัทที่เคยซื้อกับเราก็เบี้ยวการจ่ายเงินส่วนใหญ่เป็นบริษัทเล็ก จากน้อยๆ ก็สะสมกลายเป็น เดือนละ 2-3 ล้านบาท เรามีคนงานเป็น 100 คนก็ทยอยขายเบนซ์ ขายวอลโว่ เพื่อมาจ่ายเงินเดือนพนักงาน จ่ายค่าวัตถุดิบ หนักเข้าก็ขายบ้านไปที่ละหลังจนในที่สุดก็ขายที่ดินที่เคยทะยอยสะสมไว้ ทรัพย์สินหลายสิบล้านหมด ต้องกู้แบงค์ หมดตัว บริษัทที่เป็นหนี้เราก็ไปตามแต่ปรากฎว่าบ้างบริษัทก็ปิดตัวหนีไปแล้ว
บังอิสรมาน บอกว่าตอนนั้นเครียดกว่าจะทำใจได้นานที่เดียวและได้ข้อคิดว่าชีวิตคนเรามีขึ้นและมีลงเป็นเรื่องธรรมดา จนกระทั่งปี 2545  ก็ลองมาศึกษาเครื่องสำอางที่วางขายอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งก็มีอยู่หลายตัว ใช้เวลาในการศึกษาอยุ่3 ปี แล้วก็เดินสายออกบูสไปตามงานต่างๆ  ก็ใช้โรงงานเดิมผลิตแต่เปลี่ยนไลน์ ก็ปรากฏว่ากระแสตลาดตอบรับดี คราวนี้ไม่คิดอยากจะโตแบบหวือหวาอีกแล้ว แต่อยากจะโตแบบมั่นคง และผลิตภัณฑ์ที่ผลิตออกมาส่วนใหญ่มาจากธรรมชาติ เช่นนมแพะ น้ำผึ้ง หรือสมุนไพรท้องถิ่น  นำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เช่นสบู่นมแพะ น้ำมันมะรุมซึ่งขณะนี้ก็เริ่มมีกระแสตอบรับที่ดีมาก คนที่ไปใช้จากที่เคยสั่งเป็นขวดก็สั่งเป็นลิตรๆ 
นอกจากนี้เพ็จเก็จจิ้งก็ทำจากแอนเมด คนงานที่เคยเลิกจ้างตอนนี้ก็ให้ภรรยาไปเรียกกลับมาทำงาน เพราะเขาเชื่อมั่นเราไม่ทำให้เสียคือเราหมดตัว แต่ค่าจ้างเราไม่เป็นหนี้เขา เขาจึงมั่นใจที่จะกลับมาทำงานอีกครั้ง
ชีวิตบังอิสรมานถือเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของคนที่ไม่ยอมแพ้ชะตาชีวิต และพร้อมลุกขึ้นสู้ใหม่ และมองว่าชีวิตคนเรานั้นมีขึ้นมีลงเป็นธรรมดา บทเรียนที่เกิดขึ้นทำให้คนเราได้ประสบการณ์ดีๆ เสมอ 


ความเห็น (1)

คุณกิตติยาณีย์ น่าจะสร้างบล็อก แล้วเขียนแต่ละข่าวนี้เป็นบันทึกนะคะ จะได้อ้างอิงถึงได้ค่ะ เป็นเรื่องที่น่าสนใจและน่าเผยแพร่นะคะ

ปจิตรา
เขียนเมื่อ

กิตติยาณีย์/ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ สู้แล้วรวยอิสรมาน ดอเลาะ

ชีวิตที่ไม่เคยท้อ “บังอิสรมาน ดอเลาะ” จากชีวิตที่เคยรุ่งสุดขีดกลับคืนสู่ธรรมดาอีกครั้ง

เจอนักธุรกิจท่านนี้ทำให้หวนนึกถึงการบูมอย่างมโหฬารของส้มแขก เพื่อลดความอ้วนเมื่อปี 2540 ที่ผ่านมา ที่ตอนนั้นส้มแขกแห้งที่ขายกันในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จากกิโลกรัมละ 13-14 บาท ทะยานขึ้นเป็นกิโลกรัมเกือบ 200 บาท และเขาคนนี้เป็นหนึ่งในแรงผลักดันในครั้งนั้นเรากำลังพูดถึงคุณอิสรมาน ดอเลาะ เจ้าของผู้ริเริ่มผลิตภัณฑ์ฮูลูบาลัง เฮิร์บ เครื่องสำอางสำหรับสตรีแบร์ดนดังของปัตตานี

อิสรมาน เล่าให้เราฟังว่าตนเองเป็นคนจังหวัดปัตตานี เรียนจบประถมที่โรงเรียนในตัวจังหวัด หลังจากนั้นก็ไปเรียนต่อที่เบญจมราชูทิศ แล้วไปต่อที่มาเลเซีย หลังจากนั้นก็ไปจบ Di

p.c.s Wentorth College Melbourmn Vic. Australia ในช่วงที่เรียนอยู่ต่างประเทศทำให้ได้มีโอกาสศึกษาในเรื่องของเครื่องสำอางค์พบว่าเครื่องสำอางส่วนใหญ่มีส่วนผสมของสารเคมี และราคาขายนั้นแพงมาก และในการไปอยู่ออสเตรเลียไปพบสารกินิเซีย Garcenia Cambogia หรือส้มแขกที่ฝรั่งนำไปอัพราคาขายขวดหนึ่งเป็น 1,000 บาท ซึ่งในขณะที่วัตถุดิบบ้านเราราคาไม่กี่ตังค์ ก็ได้ประสบการณ์และได้ศึกษา

แต่หลังจากจบมาก็มาเป็นอาจารย์อยุ่ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์อยู่ 5 ปี  หลังจากนั้นก็ตัดสินใจลาออก และลงสมัครสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี เพราะในสมัยนั้นคนที่จะเล่นการเมืองต้องทรงอิทธิพล เราไม่มีอิทิพลจะได้ไหมก็ลองสมัคร และก็ได้รับการเลือกตั้ง สัมผัสการเมืองอยู่ 5 ปีก็พบตื้นลึกหนาบางในวางการเมือง ก็คิดว่าไม่เหมาะกับเราก็ออกมาและได้ศึกษาเรื่องเครื่องสำอางอย่างจริงจัง 
ประกอบกับในช่วงปี 2540 ส้มแขกลดความอ้วนบูมมากๆ อย่างที่เล่าคือในส้มแขกหรือกานิเซีย ซึ่งขณะนั้นบริษัทเนเชอวันของอเมริกาเขาขายขวดหนึ่งเป็น 1,000 บาท โรงงานเขาอยุ่ลำปาง โดยใช้ส้มแขกซึ่งมาจากอินเดียผลใหญ่ และเขาขายไปทั่วโลก ขวดหนึ่งประมาณ 60 เม็ด ราคา 1,000 บาท 
นายอิสรมาน เล่าต่อว่าเราก็มาคิดว่าส้มแขกใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้บ้านเรา มีอายุเป็น 100 ปีที่บ้านก็มีอยู่หลายต้น ชาวบ้านก็เอาลูกาหั่นตากแดดขายกิโลกรัมละ 13-14 บาทในสมัยนั้น เราก็เริ่มผลิตโดยส่งไปให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจถึงผลวิจัยและรับรองที่เราค้นพบ ผลิตเป็นโรงงานเริ่มแรกก็มีพนักงาน 30 คน คนในชุมชนนั้นแหละ เราก็กว้านซื้อส้มแขกจากกิโลกรัมละไม่กี่บาทกลายเป็น 40-70 บาท ขาย100 เม็ด 100 บาทต่อขวดก็มีบริษัทเอเชียไลฟ์มาติดต่อให้เราส่งขายเขาแต่ผู้เดียว 
ก็พัฒนาฆ่าเชื้อ บรรจุแคปซูลขออย. อยู่ 7 เดือนก็ผ่าน ก็มีบริษัทต่างๆ ติดต่อเข้ามาเพื่อให้ทางเราส่งให้ ปรากฎว่าจากเดือนหนึ่งไม่กี่หมื่นบาท กลายเป็นว่าเรามียอดขายเดือนหนึ่ง3 ล้าน- 5 ล้านบาท อยู่หลายปี ก็ซื้อรถเบนซ์ วอลโว่มาขับ ซื้อบ้าน3-4 หลัง ที่ดินหลายแปลงที่เดียว ขยายโรงงานใหญ่โตมีพนักงาน  100 กว่าคน  จากทุนที่เราเริ่มต้นครั้งแรกแค่ 20,000 บาท
บังอิสรมาน เล่าต่อว่า การเปิดโรงงานให้คนโน้นเข้ามาดู บริษัทนั้นเขามาชมก็กลายเป็นปัญหาเพราะมาดูแล้ว หลายคนก็เอาไปผลิต ขณะเดียวกันก็มีบริษัทขายยาแผนโบราณจีนเข้ามาแข่งกว้านซื้อส้มแขกด้วย ก็ทำให้ต้นทุนการผลิตสุงถึงกิโลกรัมละ 200 บาท  ส้มแขกตอนนั้นไม่ใช่ยาแต่เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ได้มีการค้นพบว่า ส้มแขก( Garcenia Cambogia) ซึ่

งเป็นพืชพื้นบ้านดั้งเดิมของไทย ที่นิยมใช้ในการประกอบอาหารมาเป็นเวลานานแล้ว มีสาร HCA หรือ Hydroxy-citric acid อยู่เป็นจำนวนมาก โดยพบว่า HCA นี้มีคุณสมบัติในการยับยั้งการสะสมของไขมัน ส่วนเกินในร่างกายและลดความอยากอาหารได้ จึงได้มีบางคนนำผลส้มแขกมาใช้ในการควบคุมน้ำหนัก กลไกการออกฤทธิ์ของ HCA จะออกฤทธิ์โดยการไปยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ ATP Citrate Lyase ในวงจร Kreb's cycle (วงจรการย่อยสลายกลูโคส ของเซลร่างกาย) ทำให้ยับยั้งการนำน้ำตาล จากอาหารประเภท แป้ง ข้าว และน้ำตาล ไม่ให้เปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมตามร่างกายแต่จะนำไป ใช้เป็นพลังงานของร่างกาย ทำให้ร่างกายสดชื่นไม่อ่อนเพลีย และ เมื่อในกระแสเลือดไม่ขาดน้ำตาล ก็จะทำให้ความรู้สึกหิวอาหารลดลง ไปด้วย ขณะเดียวกัน ก็ จะนำไปสะสมเป็นพลังงานสำรองในรูปของไกลโคเจนที่ตับ ทำให้ร่างกายรับรู้ว่ามีพลังงานสำรองเพียงพอทำให้ไม่รู้สึกหิวมาก นอกจากนี้ ยังมีผลไปกระตุ้น ให้มีการดึงเอาไขมันที่สะสมออกมาใช้เป็นพลังงานทำให้ไขมันที่สะสมอยู่ลดลงซึ่งจะมีผล ทำให้รูปร่างดีขึ้น

แต่.... สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น หลังจากนั้นกระแสนี้ก็ตกบริษัทที่เคยซื้อกับเราก็เบี้ยวการจ่ายเงินส่วนใหญ่เป็นบริษัทเล็ก จากน้อยๆ ก็สะสมกลายเป็น เดือนละ 2-3 ล้านบาท เรามีคนงานเป็น 100 คนก็ทยอยขายเบนซ์ ขายวอลโว่ เพื่อมาจ่ายเงินเดือนพนักงาน จ่ายค่าวัตถุดิบ หนักเข้าก็ขายบ้านไปที่ละหลังจนในที่สุดก็ขายที่ดินที่เคยทะยอยสะสมไว้ ทรัพย์สินหลายสิบล้านหมด ต้องกู้แบงค์ หมดตัว บริษัทที่เป็นหนี้เราก็ไปตามแต่ปรากฎว่าบ้างบริษัทก็ปิดตัวหนีไปแล้ว
บังอิสรมาน บอกว่าตอนนั้นเครียดกว่าจะทำใจได้นานที่เดียวและได้ข้อคิดว่าชีวิตคนเรามีขึ้นและมีลงเป็นเรื่องธรรมดา จนกระทั่งปี 2545  ก็ลองมาศึกษาเครื่องสำอางที่วางขายอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งก็มีอยู่หลายตัว ใช้เวลาในการศึกษาอยุ่3 ปี แล้วก็เดินสายออกบูสไปตามงานต่างๆ  ก็ใช้โรงงานเดิมผลิตแต่เปลี่ยนไลน์ ก็ปรากฏว่ากระแสตลาดตอบรับดี คราวนี้ไม่คิดอยากจะโตแบบหวือหวาอีกแล้ว แต่อยากจะโตแบบมั่นคง และผลิตภัณฑ์ที่ผลิตออกมาส่วนใหญ่มาจากธรรมชาติ เช่นนมแพะ น้ำผึ้ง หรือสมุนไพรท้องถิ่น  นำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เช่นสบู่นมแพะ น้ำมันมะรุมซึ่งขณะนี้ก็เริ่มมีกระแสตอบรับที่ดีมาก คนที่ไปใช้จากที่เคยสั่งเป็นขวดก็สั่งเป็นลิตรๆ 
นอกจากนี้เพ็จเก็จจิ้งก็ทำจากแอนเมด คนงานที่เคยเลิกจ้างตอนนี้ก็ให้ภรรยาไปเรียกกลับมาทำงาน เพราะเขาเชื่อมั่นเราไม่ทำให้เสียคือเราหมดตัว แต่ค่าจ้างเราไม่เป็นหนี้เขา เขาจึงมั่นใจที่จะกลับมาทำงานอีกครั้ง
ชีวิตบังอิสรมานถือเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของคนที่ไม่ยอมแพ้ชะตาชีวิต และพร้อมลุกขึ้นสู้ใหม่ และมองว่าชีวิตคนเรานั้นมีขึ้นมีลงเป็นธรรมดา บทเรียนที่เกิดขึ้นทำให้คนเราได้ประสบการณ์ดีๆ เสมอ 


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ปจิตรา
เขียนเมื่อ

น้องที่เขียนจดหมายมาขอที่อยู่อาอาจารย์โกศลเวทย์ ช่วยโทรกลับมาที่หมายเลข 0815995884 ค่ะแล้วจะแจ้งรายละเอียดให้



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท