ดอกไม้


kantima bunc
เขียนเมื่อ

             

  กิน เที่ยวใน มหาวิทยาลัย ราชภัฏภูเก็ต

 

           "โรงเรียนของเราน่าอยู่ คุณครูใจดีทุกคน...ชอบไปๆโรงเรียน...."ฉันเชื่อว่าเกือบทุกคนเคยฟังเพลงนี้ เพลงที่ได้ยินตีหูมาเป็นทศวรรษ แต่คงสงสัยว่าทำไมฉันถึงร้องเพลงนี้ เพราะ บทเพลงดังกล่าวทุกประโยค ตรงกับมหาวิทยาลัยของฉัน "มหาวิทยาลัย ราชภัฎภูเก็ต" ตั้งแต่ก้าวแรกที่ฉันได้มายืนอยู่ที่นี้ ฉันเห็นถึงความเป็นธรรมชาติและความยิ่งใหญ่ของเนื้อที่กว่าหลายร้อยไร่ มองไปสุดลูกตา เป็นเหมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูเก็ต ข้างทางขนานด้วยต้นไม้ใหญ่ที่ให้ความร่มรื่น และความยิ่งใหญ่ทำให้ฉันงุนงงหลงทางอยู่ครู่หนึ่งและมาหยุดยัง"แปด เหลี่ยม"ซึ่งเป็นที่นัดหมายยอดฮิตของที่นี่

          แต่ที่เป็นดั่งที่โปรด เงียบ สงบ เย็น แถมอิ่มท้องคงเป็นที่ใดไปไม่ได้นอกจาก...ห้องสมุดมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต สงสัยไหมว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้ฉันรู้จักสถานที่แห่งนี้..... ต้องขอย้อนไปเมื่อวันปฐมนิเทศ อาจารย์ท่านหนึ่งได้กล่าวแนะนำมหาวิทยาลัยว่า มีห้องสมุดที่มี coffee shop มาม่า ขนมคบเคี้ยว ไว้ในบริการ ได้ยินดังนั้นฉันก็รู้สึกอย่างมาที่ห้องสมุดแห่งนี้ทันที พอมาถึงจึงได้รู้ว่าเราอยากจินตนาการสูงไป แต่ห้องสมุดที่นี่ใหญ่โต น่าหนังสูงถึง 4 ชั้น จัดวางหนังสือได้น่าสนใจ และที่สำคัญ มีโซฟาให้ฉันได้นั่งหลีบ เอ้ย!!!! อ่านหนังสือ พร้อมบริการ wifi และแอร์ที่เย็นกำลังดี ในช่วงเวลาเที่ยงๆของทุกวันที่ระหว่างรอเรียนวิชาต่อไป เราจะมาแอบงีบกันที่นี่ (อาจารย์คงได้คำตอบแล้วนะค่ะว่าทำไมพวกเราถึงเข้าเรียนสาย) พอฉันมาถึงทีนี่บอกเลยมันทำให้ฉันไม่อยากลุกไปไหน

         แต่ก่อนที่จะมาถึงห้องสมุดเราก็คงต้องฝากท้องกับร้านอาหารที่ถ้า ณ ช่วงเวลานั้นเป็นตอนเที่ยงร้านทุกร้านก็จะเต็มไปด้วยนักศึกษาที่ต่อแถวยาวเหยียดจนน่าเบื่อ แต่ความหิวและกระเพาะของฉันมันก็คงทำงานได้ดี มันร้องออกมาดังลั่น โอ้ย!!!! แต่แล้วก็เหมือนสวรรค์เข้าข้างเมื่อฉันเหลือบไปเห็นร้านอาหารร้านหนึ่ง “ชายสี่หมีเกี๊ยว”ที่เป็นของรุ่นพี่นักศึกษา วิชาการตลาด ที่ดูแสนจะน่ากิน แต่ทำไมไม่มีคนเลยนะ ฉันและเพื่อนตรงดิ่งเข้าไปทันที สั่ง “หมี่เกี๊ยวหมูแดงพิเศษ” รอไม่นานนัก บะหมี่ก็มาเสิร์ฟ ช่างน่ากินเสียจริง ฉันไม่รอช้ารีบตักเข้าปาก และในคำแรกมันก็ทำให้ฉันพบว่า “เหตุใดร้านนี้ถึงไม่มีคนต่อแถวซื้อ” รสชาติของมัน จืด เส้นแข็ง และให้น้อยมาก ฉันจำใจกินจนหมดไม่ใช่ด้วยความหิวแต่เป็นเพราะสายตาของรุ่นพี่ที่มองดูผลงานของพวกเขาว่าเรามีการตอบรับกับอาหารจานนี้ที่ดีหรือไม่ !! ฉันยกนิ้วส่งสัญญาณเป็นการบอกว่า “มัน อู มา มิ มากคะพี่” รุ่นพี่ยิ้มรับและก้มตัวเล็กน้อยเป็นการขอบคุณ แต่ก็น่าแปลกถึงบะหมี่ชานี้รสชาติมันจะ เอ่อ....... นั่นแหละอย่างที่ดิฉันกล่าวไปข้างตน แต่แทบทุกวัน ดิฉันและเพื่อนก็ฝากท้องไว้ที่ดี เพราะบริการที่เป็นกันเองของรุ่นพี่ และบะหมี่ที่ได้เร็วทันใจ ทำให้ดิฉันและเพื่อนอดใจไม่ไหวที่ต้องอุดหนุน วันไหนที่เราไปกินข้างนอกหรือร้านที่อร่อยกว่ารู้สึกว่าเหมือนขาดอะไรไปในชีวิต ฮ่าๆ มันขนาดนั้นจริงๆ และนี่คือสิ่งที่ฉันอยากจะเล่าถึงความพอเศษของมหาวิทยาลัยของฉัน ฉันรักที่สถาบันของฉัน ที่ยี่ทำให้ฉันมีความสุขที่จะได้มา ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน และครู อาจารย์ ที่น่ารัก เข้าใจ บรรยากาศ สิ่งอำนวยความสะดวก แล้วอย่างนี้จะไม่ทำให้ฉันรักที่นี่ได้อย่างไร……

2
0
kantima bunc
เขียนเมื่อ

 

หนึ่งวันสบายคล้ายร้อนที่"ในยาง"(ความสุขอยู่แค่เอื้อม)

 

       “คุณเป็นอีกคนหนึ่งไหม ที่ทำงานจนไม่มีเวลาไปไหน ทำงานจนไม่มีเวลาได้พักผ่อน หรืออยู่กับคนใกล้ตัว ทำงานจนลืมไปว่าเราอยู่ในเมืองที่มีความสวยงามทางธรรมชาติอันดับต้นๆของโลก ที่ๆใครๆต่างบอกว่ามันเป็นเกาะสวรรค์ มันถูกใครเรียกกันว่า “เกาะภูเก็ต”นั่นเอง

       “ระวังคนกำลังเหงาถ้ามันถูกใจเข้า ให้ทำยังไง.......” เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือคู่ใจดังขึ้นฉันบิดขี้เกียจอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง โอ้ย !!!! นี่มันพึ่ง 9.00 โมงเช้า ห๊า !!! 9 โมง ฉันต้องเข้างาน 9.30 หนิ คงเป็นเพราะเช้านี้ฝนตกลงมาทำให้ชุ่มฉ่ำและมีความสุขกับการนอนมากไป ฉันรีบทำภารกิจของฉันอย่างเร่งรีบ วันนี้เป็นวันที่อากาศไม่ค่อยเป็นใจในการทำงานเท่าไหร่ การทำงานของฉันเงียบเหงา และน่าเบื่อ ฉันเฝ้ารอเวลาให้ถึง 4 โมงเย็นเร็วๆ เพราะวันนี้ฉันมีนัดกับครอบครัวเราจะไปสถานที่ๆนึ่งด้วยกันที่นั่น อยู่ไม่ไกลจากบ้านของฉันมากนัก ฉันขอบอกไว้ก่อนเลยว่าตั้งแต่ที่ฉันย้ายมาอยู่ ภูเก็ต จนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลา 6 เดือนแล้ว ฉันยังไม่มีโอกาสได้ไปสัมผัสน้ำทะเลกับคนอื่นๆเขาเลย วันนี้ถือเป็นโอกาสดีจริงๆ เหมือนสภาพอากาศจะเป็นใจ เมือถึงเวลาที่ฉันเลิกงานฝนที่ตกอย่างหนักเมื่อคู่ก็ ฟ้าที่ปิดสนิท กลับมีแสงแดดอ่อนๆลอดผ่านก่อนเมฆมาให้อุ่นใจ เอาละเราเริ่มเดินทางกันเลย ........

            

        จุดหมายปลายทางของเราในวันนี้ก็คือ “หาดในยาง” ซึ่งถ้าออกเดินทางจากบ้านของฉันก็ใช่เวลาไม่เกิน 30 นาทีเท่านั้น ฉันขอบอกก่อนเลยว่าก่อนหน้านี้ฉันวางแผนจะไปทัวร์เมืองกรุง(กรุงเทพมหานคร)แต่ด้วยสถานการณ์เมืองที่ค่อนข้างจะตรึงเครียด จึงทำให้การเดินทางครั้งนี้ถูกเลือนไปอย่างไม่มีกำหนด ทำให้เราต้องเปลี่ยนแผนมาเที่ยวสถานที่ใกล้บ้านที่มีความสวยงามและยังถูกตั้งให้เป็นอุทยานแห่งชาติด้วย ระหว่างทางก่อนถึงที่หมาย มีโรงแรมขนาดกลางขนานทั้ง 2 ข้างถนน มากมายมองแล้วค่อนข้างจะเพลินตากับดีไซน์การตกแต่งที่สวยงามและแปลกตา ........เย้!!!!! เรามาถึงที่หมายแล้ว “อุทยานแห่งชาติ สิรินาถ” หรือ” “ หาดในยาง” นั้นเอง ทันทีที่ก้าวลงจากรถก็สัมผัสได้ถึงความเงียบสงบ และสิ่งที่ฉันชอบที่สุดอีกอย่างและคิดว่าสิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ดึงดูดนักเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติคือ “ต้นสน” ที่นี่มีต้นสนที่ใหญ่อยู่เป็นร้อยๆต้นถนนแถวจนสุดหาด บวกกับพื้นหญ้าที่เขียวขจี ตัดกับหาดทรายขาว มันช่างเข้ากันจริงๆ และตลอดริมหาดก็มีร้านอาหารทะเลให้เลือกอยู่หลายร้านเลยที่เดียวสงสัยเย็นนี้พวกเราคงต้องฝากท้องไว้ที่นี่แล้วล่ะ

           ฉันไม่รอช้ารีบตรงดิ่งไปยังทะเลเพื่อให้เท้าสัมผัสน้ำทะเลให้หายยากจากที่อดทนรอวันนี้มานาน ฉันทิ้งตัวลงบนคลื่นที่จะลังจะเคลื่อนตัวมาใกล้ฉันในชุดทำงาน จนเปียกไปทั้งตัว จากนั้นพ่อ,น้า และน้องสาวตัวแสบ พวกเราลงเล่นน้ำทะเลกันอย่างมีความสุขและรอยยิ้ม

       นอกเรื่องว่าเยอะเรามาทำความรู้จักกับหาดนี้ให้มากขึ้นกันดีกว่า “หาดในยาง”อยู่ทางฝั่งตะวันตกค่อนไปทางเหนือของเกาะ เป็นที่ตั้งที่ทำการอุทยานฯ ชายหาดมีบรรยากาศเงียบสงบ เป็นที่นิยมในการผักผ่อนย่อนใจของชาวภูเก็ตเป็นส่วนใหญ่ มีบ้านพักของ อุทยานฯ และเต็นท์สนาม ไว้ค่อยบริการนักท่องเที่ยวในราคาย่อมเยาและจุดเด่นของที่นี่คงเป็นบรรยากาศที่เย็นสบายและความเงียบสงบที่ได้ยินเพียงเสียงลมและเสียงคลื่นร่มเงาจากต้นสนที่คอยบังแดด ฉันเล่นน้ำทะเลราวกับได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ฉันหยิบเปลือกหอยมาวาดรูปบนทรายเนื้อละเอียด พ่อนั่งมองฉันแล้วยิ้มที่มุมปาก พร้อมกับเอ่ยว่า “นี่แหละคือของขวัญวันเกิดปีนี้” ใช่!!! ฉันคงลืมบอกไปวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของพ่อฉัน มันช่างเป็นช่วงเวลาที่ประจวบเหมาะจริงๆ

            พอเริ่มเหนื่อยจากการเล่นน้ำทะเลมาราวๆ เกือบ 2 ชั่วโมง เราก็เริ่มเดินไปหาของกินที่ร้านอาหารทะเลแถวนั้นเราคัดสรรอยู่หลายร้านแต่สุดท้ายเราก็ตกลงปลงใจ เลือกจะฝากท้องกับร้าน “ป้าแดง ซีฟู้ด” ที่มีเมนูในเลือกสรรมากมาย ป้าแดงผู้เป็นเจ้าของร้านเดินมาต้อนรับและแนะนำเมนูแสนอร่อยด้วยตัวเอง ร้านนี้มีอาหารที่น่าสนใจมากมาก แต่ที่เป็นจุดขายของที่นี่คงเป็น “ส้มตำปูม้า และยำ ไข่แมงดา” ในเมื่อป้าแดงแกแนะนำขนาดนี้มีหรือที่เราเมินเฉย เราสั่งสองสิ่งที่มาสนองท้องที่หิวโหย คำแรกที่ได้ชิมส้มตำปูม้า ฉันรู้เลยว่าปูที่ป้าแดงแกเลือกมานั้นสดไม่คาว รสชาติ กลมกล่อม อุ้ย!!!! อูมามิ มาก แต่อย่างที่ 2 นี่ climax เลย ฉันเป็นคนไม่กินแมงดาเลยนะ แต่ป้าแดงอีกนี่แหละ “กินเถอะหนู ลองดูแล้วจะติดใจ” อื้ม ... แค่คำเดียวเท่านั้นแหละ ....ไม่มีคำบรรยาย ร้านป้าแดง ยังมีอาหารอร่อยๆอีกมากมายให้ชวนชิมบวกกับบริการที่เป็นกันเองของเจ้าของร้านแถมราคาก็สบายกระเป๋าเป็นแบบนี้ใครล่ะจะอดใจไหว

 

         เหมือนที่ใครบางคนได้บอกไว้ว่า “เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ” วันนี้ถึงมันอาจจะเป็นช่วงเวลาสั้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่มันก็เป็นวันที่ดีอีกวันหนึ่งของคนๆนี้ วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่ทำให้ฉันได้รู้ว่าการพักผ่อนหรือการผ่อนคลายจากการเหนื่อยล้าจากการทำงานไม่จำเป็นต้องไปนวดที่สปาแพงเสมอไป ไม่ต้องไปเดินตากแอร์ในห้างหรูๆ ไม่ต้องจัดสรรวลาและเงินจำนวนหนึ่งไปสถานที่ไกล บางทีที่ๆอยู่ใกล้ตัวเราจนเรามองข้าม อาจเป็นสถานที่ที่ทำให้พบกับความสุข ความสงบและผ่อนคลายได้เหมือนกัน ขอบคุณงานชิ้นได้มาเหยียบน้ำทะเลสักทีและที่ทำให้เรามีวันเวลาดีๆที่ได้อยู่ด้วยกัน สำหรับการเดินทาง “หาดในยาง” ห่างจากตัวเมืองภูเก็ตประมาณ 30 ก.ม. สามารถเดินทางมาโดยรถยนต์หรือจักรยนต์ก็ได้ สำหรับเพื่อนๆคนไหนที่มีเวลาและงบประมาณในการเที่ยวหรือพักผ่อนที่จำกัด “หาดในยาง” อาจเป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ ลองหน้าเวลาว่างออกมาเที่ยวตามสโลแกน ของ ททท.(การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) ที่ว่า “เที่ยวหน้าฝน ค้นหาความสุข” กันนะค่ะ

5
0
Napasorn
เขียนเมื่อ

                                                             สบาย ๆ ไม่ ไกล ม. 

             มหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ต เป็นสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ท่ามกลางแหล่งชุมชน มีการค้าขาย อาหาร สินค้า ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า ร้านอาหารทั่วไป , ตลาด หรือแม้กระทั่งห้างสรรพสินค้า Big C SuperCenter ทำให้นักศึกษามีหลากหลายตัวเลือกในการใช้เวลาว่าง

             เนื่องด้วยวัยส่วนใหญ่ เป็นวัยรุ่นอายุ 18 – 26 เป็นวัยกำลังเจริญเติบโตและทุ่มเทเวลาให้กับการรับประทานอาหาร การช็อปปิ้ง จับจ่ายใช้สอย สนุกสนานกันตามประสา  ทั้งนี้ยังต้องใช้ชีวิตแบด้วยตัวเอง มีหอพักมากมายรอบๆมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ทำให้กลายเป็นแหล่งชุมชนที่เจริญรุ่งเรือง ในช่วงเย็นๆ นักเรียน นักศึกษาออกมาจ่ายตลาดกันเยอะแยะ  ในช่วงพักเที่ยงก็มีร้านอาหารมากมายหลายตัวเลือกเพื่อรอรับนักศึกษาที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศ จากในมหาลัยไปทานข้างนอก  ที่ฉันอยากจะแนะนำก็คือ ร้านข้าวมันไก้เจ้าเก่า (เจ้สาว) ซึ่งเปิดมานานมากเท่าที่ฉันจำได้ ที่นี่มีทั้งข้าวมัน , ข้าหมกไก่ย่าง , ไก่ต้ม , ไก่ทรงเครื่อง หมูย่าง ไก่ทอด หมูทอด  ลูกค้าร้านนี้เยอะมาตลอด เพราะรสชาติอาหารที่ถูกปาก ที่ฉันชอบมากขาดไม่ได้เลยคือ น้ำซุปของทางร้าน ซึ่งมีทั้งน้ำซุปต้มยำ และ น้ำซุปธรรมดา ฉันชอบน้ำซุปต้มยำมาก คิดว่าวัยรุ่นส่วนใหญ่น่าจะชอบกันเพราะเวลาฉันไปกินกับเพื่อนๆทีไร ฉันต้องโดนแย่งน้ำซุปตลอดเลย  ข้าวมันไก่ต้มก็อร่อยมาก ฉันติดใจในเนื้อไก่ต้ม ที่ทำออกมาได้พอดีมาก นุ่มๆ ไม่แข็งหรือคาวจนเกินไป  เวลาฉันสั่งข้าวมันไก่ต้มฉันชอบราดซอสซีอิ๊วดำ , เต้าเจี้ยว และน้ำสีแดง (น้ำสีแดงน่าจะเป็นน้ำจากไก่เครื่อง) เพื่อนๆมักจะตกใจเสมอ แต่ฉันอยากบอกว่า ทำแบบนี้แล้วรู้สึกว่ามันอร่อยมาก  อันที่จริงวิธีนี้พ่อฉันเป็นคนสอนมาค่ะ พ่อบอกเสมอเลยว่า ราดเยอะๆแล้วมันอร่อยมาก

             ข้าวหมกไก่เครื่องของที่นี้ก็จัดได้ว่าเป็นเมนูเด็ดของร้านเลยค่ะ รับประกันได้เลยค่ะว่าไม่ผิดหวัง ที่ร้านมีผักเครื่องเคียงเป็นผักกาดแก้ว พริก แตงกวา ซึ่งเป็นผักสด น่ารับประทาน เข้ากันได้ดีกับข้าว เครื่องดื่มที่นี่ที่พิเศษก็มีเป็นน้ำผลไม้สดปั่น ปั่นสดๆกันหน้าร้านเลยค่ะ มีทั้งแตงโม กล้วย มะเขือเทศ แครอท มะนาว ส้ม ละมุด และผลไม้อื่นๆอีกมากมาย  นอกจากนี้มี นมเย็น ชาดำเย็น ชาเย็น เก๊กฮวย กระเจี๊ยบ และอื่นๆ แต่ถ้าให้ฉันแนะนำ  คงเป็นน้ำผลไม้ปั่นค่ะ เพราะราคาไม่แพงมาก แถมอร่อยด้วย

             เวลาว่างระหว่างรอคาบเรียน ฉันกับเพื่อนๆมักชอบมาอยู่ในห้องสมุดค่ะ เพราะฉันคิดว่าที่นี่สงบ มีโซฟา แอร์เย็น มีหนังสือมากมายให้เลือกอ่าน ถ้าขึ้นไปอีกหน่อยเป็นชั้น 4 ก็สบายมี WiFi – Innternet ให้เล่น สะดวกมากเลยค่ะ วัยอย่างเราขอแค่เป็นสถานที่ที่มีอินเตอร์เน็ต ก็สามารถอยู่ได้ทั้งวันแล้วค่ะ ด้านล่างของห้องสมุดก็มีมุมให้พักผ่อนทานขนมนมเนย พบปะ พูดคุยกันกับเพื่อนๆ

             ตกเย็นสถานที่ที่ฉันไปกับเพื่อนๆอยู่เสมอหลังเลิกเรียน คือ ร้าน Mellow Yellow สาขาสามกอง ใกล้ๆกับมหาวิทยาลัยของเรานี่เองค่ะ ที่ชอบไปเพราะร้านนี้มีบรรยากาศดี สบายๆเหมาะกับทุกวัย มีเค้กและเครื่องดื่มชาไข่มุกหลายรสชาด มีให้เลือกมากกว่า 40 รายการ และทอปปิ้งมากมาย  ที่เป็นเอกลักษณ์ของร้านเลยฉันคิดว่าเป็น เมลโล่ป๊อป ซึ่งเป็นเม็ดเล็กๆใสๆคล้ายไข่มุก พอกัดเมล-โล่ป๊อปข้างในจะมีน้ำเป็นรสแอปเปิ้ล สตรอเบอร์รี่ ลิ้นจี่ แตกข้างในปาก ฉันรู้สึกประหลาดใจมากในวันที่ลองทานครั้งแรกซึ่งไม่เคยทานที่ไหนมาก่อน

           ทั้งหมดนี้ฉันได้แนะนำแหล่งที่กิน ที่เที่ยวของฉันในระแวกมหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ตไปบางส่วนแล้ว ซึ่งยังไม่ทั้งหมด  มีสถานที่เที่ยวและร้านอาหารอื่นๆอีกมากมาย ฉันคิดว่าบทความนี้คงเป็นประโยชน์กับผู้อื่น สามารถแนะนำผู้ที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศในการใช้เวลาว่างเพื่อการพักผ่อน.

 

                                                           

4
0
Napasorn
เขียนเมื่อ

วันหนึ่งในฤดูหนาว 

              เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวสิ่งที่นึกถึงคงเป็นอากาศหนาวเย็นที่มาพร้อมกับวันหยุดพักผ่อน ที่มีมากกว่าเดือนอื่นๆในปีหนึ่งไม่ว่าจะเป็นวันหยุดราชการของไทยหรือวันหยุดสากลของหลายๆประเทศ ที่เด่นชัดมีการจัดเทศกาลไปทั่วโลกเลยคือ วันปีใหม่นั่นเอง

               วันปีใหม่ถือเป็นเทศกาลที่มีในทั่วทุกมุมโลก มีการเฉลิมฉลองจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ต้อนรับปีใหม่กันอย่างคึกครื้น  รวมทั้งในจังหวัดภูเก็ตของเราเองก็ได้รับการสนับสนุนจากทางองค์กรต่างๆภายในจังหวัดภูเก็ต เพื่อช่วยผลักดันทางด้านการท่องเที่ยวภายในจังหวัดมีการจัดงานโชว์สินค้า  เวทีการแสดงต่างๆมากมาย ในวันปีใหม่ที่ผ่านมานี้ฉันเองก็ได้มีโอกาสไปร่วมเที่ยวชมงานต่างๆเหล่านี้ เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2556 ฉันและแม่ได้พาน้องชาย ซึ่งกลับมาจากหาดใหญ่เนื่องจากไปศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยที่นั่น ไปเดินเที่ยวชมงานกาชาดจังหวัดภูเก็ตที่เวทีกลางสะพานหินมีเสื้อผ้า สินค้าราคาถูกเยอะแยะมากมาย ส่วนใหญ่ที่ไปเดินในงานก็มีเป็นชาวต่างชาติทั้งนั้นเลยค่ะทีแรกก็ตกใจ เอ๊ะ!! นี่เราเผลอเดินออกมาประเทศพม่าหรือเปล่า? นึกไปก็ขำไปเพราะพม่าเดินว่อนกันทั้งงานเลยค่ะหน้าตาฉันก็ละม้ายคล้ายคลึงกันซะด้วย (= =^)

           เดินเข้าไปในซอยข้างเวทีการแสดงจนถึงบริเวณหลังเวทีก็มีซุ้มปาลูกโป่ง ยิงลูกดอก ปาลูกดอกต่างๆนานามากมายให้เลือกเล่นกัน ฉันก็ไปเจอกับซุ้มๆหนึ่งซึ่งแบล็คกราวด์เป็นตารางหมากฮอสมีเลข 6 กับ 9 ในช่องแต่ละช่อง ดูแล้วก็ตาลายกันเลยทีเดียวค่ะ กติกาคือมีลูกดอกลูกละ 20 บาท 3 ดอก 50 บาท ปาให้โดนเฉพาะเลข 9 แล้วพ่อค้าบอกให้เลือกตุ๊กตาตัวไหนก็ได้ในร้าน ฉันก็รู้สึกอยากได้มากเลยค่ะฝันอยู่เสมอว่าอยากเดินถือตุ๊กตาตัวใหญ่กลับบ้านสักครั้ง แต่เนื่องจากตัวเองไม่มีโชคทางด้านนี้เลยแต่ครั้งนี้ฉันรู้สึกมั่นใจมากค่ะว่าจะได้ถือตุ๊กตากลับบ้านเพราะมีน้องชายมาด้วย ฉันเลยขอแม่ ลองเล่นกันดูค่ะ เราซื้อกันแค่ลูกดอกเดียวค่ะ 20 บาท พ่อค้าขายลูกดอกเสร็จก็ไม่ได้สนใจอะไรขายดอกอื่นต่อไป และแล้วน้องชายของฉันก็ปาโดนเลข 9 โดยลูกดอกเพียงลูกเดียวที่ซื้อมานั่นแหละค่ะ ฉันดีใจมากลูกๆของพ่อค้าก็ดูดีใจไปกับฉันด้วยตามภาษาเด็กน่ะค่ะ   

        สุดท้ายฉันก็ได้หมอนตุ๊กตาตัวใหญ่กลับบ้าน วันถัดมาฉัน แม่และน้องก็ได้ไปไหว้พระที่ศาลเจ้าฮกหงวนก้ง  ซึ่งเหมือนกับไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่เนื่องจากตอนที่น้องเรียนอยู่ชั้นประถมนั้นเกิดปวดท้องอยู่หลายวันนอนโรงพยาบาลเป็นสัปดาห์ น้ำเกลือปาเข้าไป 10 ถุงก็ยังไม่หายปวดรุนแรงถึงขั้นชักก็มีค่ะ จนในที่สุดพ่อต้องไปไหว้พระจ้อซือก้งที่ศาลเจ้านี้หลังจากนั้นน้องจึงมีอาการดีขึ้นเราจึงมาไหว้ นำผลไม้มาไหว้อยู่บ่อยครั้ง และครั้งนี้จึงไม่ลืมที่จะพาน้องไปไหว้ท่านก่อนจะเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้น

                                                

      ในคืนวันที่ 31 ธันวาคม ของปี 2556 นั้น ฉันออกไปเที่ยวงานปีใหม่นอกบ้าน อยากบอกมากๆเลยค่ะว่าไม่มีใครเชื่อฉันเลยว่าอาจารย์ที่เคารพมีคำสั่งการบ้านให้ไปเก็บภาพบรรยากาศงานปีใหม่ข้างนอก ทุกคนหาว่าฉันใช้เป็นข้ออ้างเพื่อออกไปเที่ยวจนในที่สุดฉันก็ต้องหยิบใบงานมาให้ดูเพื่อเป็นการยืนยัน หลังจากนั้นถึงจะเชื่อค่ะ ช่างเป็นการออกจากบ้านที่ยากลำบากเหลือเกินค่ะ แต่ปกติวันปีใหม่ของทุกๆปีที่ผ่านมาฉันจะอยู่เคาท์ดาวน์ที่บ้านมากกว่าออกไปสังสรรค์ข้างนอก  เพราะกลัวว่าถ้าออกไปจะมีแต่อันตรายทั้งอุบัติเหตุคนเมาแล้วขับ หรือ โจร เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่เราจะเห็นข่าวราวๆนี้บ่อยในช่วงเทศกาล ครั้งนี้ออกไปเพราะความจำเป็นแต่ก็คุ้มค่ากันค่ะ ได้ประสบการณ์อะไรใหม่ๆ  วันนั้นสถานที่ที่ฉันเลือกไปคืองาน “ Phuket Colorful Countdown 2014 ” ซึ่งจัดขึ้นโดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ตร่วมกับหลายๆองค์กร ตั้งแต่วันที่ 28 –31 ธันวาคม 2556 ณ สนามชัยอำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ภายในงานมีการจัดกิจกรรมต่างๆมากมายอาทิเช่น  การแสดงวงดนตรี / การแสดงเต้นประกอบเพลง การประกวดร้องเพลงไทยสากล การประกวด Miss City Girl Phuket Colorful Countdown Phuket 2014 การแสดงจากศิลปินดารานักร้อง การจัดการแสดงโคมไฟรูปร่างต่างๆ และภายในงานมีโต๊ะเพื่อรองรับผู้ที่มาเที่ยวชมได้ซื้อสินค้าอาหารภายในงานได้นั่งรับประทานอย่างสะดวกสบาย อาหารก็มีให้เลือกซื้อหลายอย่างราคาพอประมาณไม่แพงจนเกินไป ผู้คนที่มาก็มีทั้งคนในท้องถิ่นและชาวต่างชาติที่มาเดินเล่น ถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน

             เมื่อเดินมาถึงด้านหน้างานสิ่งที่เราจะเห็นเป็นอันดับแรกเลยนั้น คือ โคมไฟสีสัน รูปร่างต่างๆของในแต่ประเทศที่เป็นอาเซียนไม่ว่าจะเป็นโคมไฟประจำชาติญี่ปุ่น ลาว พม่า เวียดนาม จีน เป็นต้น ซึ่งแขวนเรียงรายกันเป็นทางยาวเหมือนอุโมงค์ทางเข้า ที่ส่องแสงสวยงามเป็นอย่างมาก มีผู้ที่สนใจถ่ายรูปกับโคมไฟกันมากมายรวมถึงฉันด้วยเช่นกัน ซึ่งเมื่อฉันเห็นครั้งแรกก็รู้สึกชอบและประทับใจมาก ต้องเก็บภาพสวยๆเหล่านั้นไว้เป็นที่ระลึก ด้านในของงานยังมีการจัดแสดงโคมไฟเป็นรูปร่างอื่นอีกมาก เช่น โคมลอย รูปว่าวจุฬา  นอกจากนี้ยังมีป้ายแบล็คกราวด์เป็นภาพสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของหลายๆประเทศ ที่จำได้ก็มีเป็นภาพ Universal Studio Singapore และภาพวัดพระแก้ว ของไทยเรานี่เอง

          บริเวณด้านหน้าเวที ส่วนกลางของงานมีการจัดใต้ท้องทะเลจำลองขนาดเล็กซึ่งทั้งหมดนี้เป็นโคมไฟ มีทั้งปลาน้อยใหญ่ ปะการัง แมงกะพรุน ตั้งเป็นซุ้มขนาดกลาง ด้านบนของซุ้มตกแต่งไปด้วยหลอดไฟดวงเล็กๆสีฟ้าปูเป็นหลังคาของใต้ท้องทะเลจำลองนี้ มีสีสันสวยงามเป็นอย่างมาก บางส่วนถูกแขวนด้วยเจ้าปลาน้อยใหญ่เหมือนกับว่ามันกำลังแหวกว่ายอยู่  ด้านข้างของงานมีการจัดกิจกรรมซึ่งเป็นบู๊ธของเอไอเอส มีกิจกรรมแจกของรางวัลสำหรับลูกค้าเอไอเอส และบุคคลทั่วไป เด็กๆที่มาเที่ยวงานนั้นชอบและเล่นกิจกรรมของทางเอไอเอสกันอย่างสนุกสนานได้ตุ๊กตาน้องอุ่นใจกลับบ้านกันคนละตัว  บรรยากาศของบู๊ธนั้นตกแต่งได้น่ารักสะดุดตาผู้ที่เดินผ่านไปมามาก มีน้องอุ่นใจซึ่งเป็นมาสคอตของทางบริษัทนั่งอยู่บนตัวม้าขนาดใหญ่ ฉันเห็นว่ามันน่ารักมาก จึงเข้าไปดูและถ่ายรูปมาบางส่วน

                               

            ฉันยังคงอยู่ภายในงาน เก็บภาพบรรยากาศไปเรื่อยจนไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนั้นเป็นเวลาที่ค่อนข้างดึกมากแล้ว จริงๆฉันไม่ได้ตั้งใจออกมาเคาท์ดาวน์นับถอยหลังเพื่อนเริ่มเข้าสู่วันใหม่ปีใหม่อะไรกับเขาหรอกตั้งใจจะมาทำงานเท่านั้น แต่บรรยากาศ การแสดงต่างๆของที่นี่ทำให้ฉันลืมสิ่งเหล่านั้นไปเลยจริงๆค่ะถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมาก ดนตรีที่เล่นอยู่ในตอนนั้นเป็นวงดนตรีของวง ซูเปอร์แดนซ์สามกองค่ะ เด็กๆร้องเพราะมากเต้นเก่งด้วยค่ะ ทำเอาคนดูมันส์จนต้องเต้นตามไปด้วยเลยทีเดียว (คนๆนั้นคือฉันกับเพื่อนที่ไปด้วยกันเองค่ะ) เดินถ่ายรูปกันสักพักจนเริ่มหิวกันบ้างแล้วบริเวณรอบมีร้านขายอาหาร เสื้อผ้าบาติก และขนมต่างๆ หนึ่งในนั้นคือ ขนมสายไหม น้ำตาลสีสันสวยหน้าตาคล้ายกับสำลีนั่นล่ะค่ะ ไม้ละ 10 บาท โดยส่วนตัวฉันไม่ได้ชอบของหวานหรอกค่ะ แต่ได้ถือแล้วมันดูน่ารักดี เข้ากับบรรยากาศในงาน

                       

              ในระหว่างที่เดินหาอะไรรองท้อง ในตอนนั้นเองพิธีกรบนเวทีได้ประกาศชื่อนักร้องที่กำลังจะขึ้นมาแสดงเป็นลำดับต่อไป ที่ฉันรู้สึกประหลาดใจและดีใจมากเพราะชื่อที่ถูกกล่า  ขึ้นนั้นเป็นชื่อของนักร้องที่ฉันชื่นชอบมากและไม่คิดว่าจะได้ชมการแสดงสดจากเธอคนนี้มา ก่อนเธอคนนั้นก็คือ โรส ศิรินทิพย์ ค่ะ จริงๆ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่างานนี้มีการเชิญศิลปินที่มีชื่อเสียงมาแสดงในงาน พี่โรสเปิดตัวด้วยเพลง ก้อนหินก้อนนั้น ซึ่งเป็นเพลงที่ดัง และเก่าพอสมควรแต่ถึงยังไงก็คงไพเราะอยู่เหมือนเดิม หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยเป๊ก ผลิตโชค นักร้องขวัญใจวัยรุ่นอีกหนึ่งคนที่ถือว่าออกมาเอนเตอร์-เทรนคนดูได้เป็นอย่างดี ทำให้บรรยากาศในงานสนุกครึกครื้นมากขึ้น

 

       หลังจากการแสดงบนเวทีจบลง ก็ได้เวลาสมควรในการนับถอยหลังเพื่อก้าวเข้าสู่ปี 2557  และแล้วพิธีกรบนเวทีก็เริ่มต้นนับ

 10.. 9.. 8.. 7.. 6.. 5.. 4.. 3.. 2.. 1.. สิ้นสุดเสียงการนับก็มีเสียงพลุดังขึ้นดังขึ้นตามกันมาเรื่อยๆ

พลุที่จุดนั้นฉันคิดว่ามีมากว่า 100 นัด ซึ่งมีลวดลายสีสันแตกต่างกันไป ฉันยืนมองด้วยความชื่นชอบ ยืนดูอยู่นานพอสมควรและพลุก็หมดลง หลังจากนั้นผู้คนก็ต่างเริ่มทยอยกันกลับบ้าน

 

                             

 

       เช้าวันที่ 1 มกราคมของปี พ.ศ 2557 ฉันตื่นแต่เช้ามาเพื่อร่วมทำบุญถวายข้าวสารอาหารแห้งซึ่งเป็นกิจกรรมในหมู่บ้าน ที่จัดขึ้นโดยนิมนต์พระ 5 รูปมา มีสมาชิกในหมู่บ้านหลายคนออกไปยืนรอเพื่อที่จะถวายสังฆทาน นับเป็นวันดีอีกหนึ่งวันที่ทำให้สมาชิกในหมู่บ้านนั้นออกมารวมตัวเพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน ได้พบปะพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เมื่อถวายสังฆทานเสร็จเรียบร้อยทุกคนก็มานั่งรวมกันเพื่อรับพรจากพระสงฆ์ทั้ง 5 รูป

                 ปีใหม่ครั้งนี้ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีของฉันอย่างมากเลยล่ะค่ะ ได้ออกมาเคาท์ดาวน์ข้างนอกซึ่งแตกต่างจากการอยู่แต่ในบ้านมาก บรรยากาศต่างกันลิบลับเลยค่ะ และก็ไม่อันตรายอย่างที่คิดไว้ ยิ่งตอนที่จุดพลุเฉลิมฉลองกันรู้สึกมีความสุขและปิติมากกว่านอนดูพลุในจอแก้วที่บ้าน หรือชะเง้อออกมาดูทางประตูรั้วหน้าบ้านอีกค่ะ ได้ดูแสงสีเสียงกับคนเป็นร้อยเป็นพันมันรู้สึกดียิ่งกว่า ประสบการณ์ในครั้งนี้ต้องขอขอบคุณอาจารย์เป็นอย่างมากที่ทำให้ได้ไปเจออะไรใหม่ๆมากกว่าที่ฉันคิดไว้ ความสุขครั้งนี้ฉันจะไม่ลืมเลยค่ะ กับการเคาท์ดาวน์นอกบ้านครั้งแรกในชีวิตของฉัน

                   

                                                                                              

4
0
Napasorn
เขียนเมื่อ

                    One Fine Day    หนึ่งวันสบายๆ 

         สำหรับฉันถ้ามีเวลาหยุดจากงาน การเรียน หรือกิจกรรมใดๆก็แล้วแต่ ฉันอยากจะนำร่างเล็กๆของตัวเองโผบินไปยังที่ๆเป็นธรรมชาติ มีป่า มีภูเขา ลำธารโดยทันที  แต่ก็ได้เพียงแค่คิดค่ะ เอาเข้าจริงๆแล้วฉันจะใช้เวลานั้นอยู่กับห้องนอนสี่เหลี่ยมเล็กๆซะมากกว่า เพราะร่างกายเหนื่อยล้า รวมกับเสียงในสมองตะโกนบอกว่า “ฉันขอพักงีบก่อนละกัน ไม่มีแรงจะทำอะไรแล้ว” ช่างเป็นเหตุผลได้ดีสำหรับคนขี้เกียจนัก    

          งานที่ฉันได้รับมอบหมายครั้งนี้ถือเป็นเรื่องดีเลยค่ะ  ทำให้ฉันได้ออกจากบ้านไปทำตามความต้องการของตัวเองสักที สำหรับวันสบายๆแบบนี้ของฉัน  แน่นอนฉันเลือกสถานที่ที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวเมืองนี่เองค่ะ เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติในภูเก็ตที่ค่อนข้างเงียบสงบ  สถานที่แรกที่ฉันไปนั้น คือ น้ำตกกะทู้ค่ะ

         น้ำตกกะทู้ เป็นน้ำตกที่มีขนาดเล็ก เงียบสงบ ร่มรื่นด้วยต้นไม้ดอกไม้นานาพรรณ   อยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอกะทู้ 4 กิโลเมตร  มีบันไดชมน้ำตกกระทู้ ตลอดทางระยะทาง 130 เมตร ค่อนข้างชันเป็นบันไดขึ้นตลอด ซึ่งสำหรับฉันแล้วเรื่องนี้ไม่เป็นอุปสรรคแม้แต่น้อยเพราะระหว่างที่เดินไป สองข้างทางนั้นมีพรรณไม้ แมลงต่างคอยต้อนรับและรอให้ฉันเก็บภาพความประทับใจอยู่ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้น แปลกตามาก ฉันรู้สึกได้ว่าตัวเองไม่เหน็ดเหนื่อยกับการเดินขึ้นบันไดสูงชันนี้เลย มีสิ่งที่ทำให้อยากรู้อยากเห็นเต็มไปหมด  ในระหว่างทางนั้นก็มีศาลาให้นั่งพักเรื่อยๆ มีทางแยกออกไปยังน้ำตกชั้นต่างๆ โดยหลักๆแล้วมี 3 ชั้น 2 ชั้นแรกเป็นบันไดทางเดิน ส่วนช่วงสุดท้ายเดินไปชั้นต้นน้ำตกกระทู้จะเป็นทางเดินป่าสั้นๆ

                                                         

            

                                                         

        อย่างที่ฉันบอกไปเมื่อสักครู่ ที่นี่มีเพื่อนใหม่ (แมลงต่าง) หน้าตาแปลกๆหลายชนิด ที่ฉันไม่เคยพบเจอและฉันก็ได้เก็บภาพที่ระลึกมาฝากด้วยค่ะ ตัวแรกนั้น เป็นอะไรก็ไม่ทราบจากที่สังเกตมันมีลักษณะเหมือนตะขาบเลยค่ะ ตัวยาวประมาณ หนึ่งข้อศอกของฉันได้ค่ะ น่ากลัวมาก แต่ฉันก็ชอบค่ะแปลกประหลาดดี

        เดินขึ้นมาเรื่อยๆจนถึงน้ำตกชั้นที่หนึ่ง ค่อนข้างเงียบมาก ไม่มีนักท่องเที่ยวเลยสักคน ดีเลยค่ะ ฉันชอบบรรยากาศแบบนี้ ยืนลำพังท่ามกลางธรรมชาติที่ดูเหมือน ณ ช่วงเวลานั้นจะเป็นของฉันเพียงคนเดียวแล้ว^^ ระหว่างที่กำลังนั่งกินลมชมบรรยากาศคนเดียวอยู่สักพัก ฉันก็ได้เจอกับเพื่อนใหม่ตัวที่สองและสามพร้อมกัน ตัวที่สอง เป็นตัวทาก ลำตัวอ้วนยาวเท่าฝ่ามือคน ผิวหนังด้านบนเป็นตุ่มๆ มีสีดำ บริเวณสองข้างใต้ท้องมันเป็นสีชมพูอ่อนค่ะ ดูดีๆหน้าตามันก็น่ารักดีนะคะ ;)     เพื่อนใหม่ตัวสุดท้ายสำหรับการชมธรรมชาติที่น้ำตกกะทู้แห่งนี้  เป็นแมงมุมตัวใหญ่ยักษ์ ที่กำลังยืนอยู่บนใยของตนเองซึ่งทักทออย่างสวยงามและมีขนาดใหญ่ พอที่จะสามารถดักนกตัวเล็กๆได้เลย แมงมุมตัวนี้มีขาที่ยาวสีดำสนิท ลำตัวเป็นสีเหลืองมีจุดดำๆ สองข้างเปรียบเสมือนดวงตาคู่หนึ่ง มีเขี้ยวที่ยาวและคมสีแดง ตรงก้นมีสีดำและสีเหลืองเป็นทางยาว สีสันของแมงมุมยักษ์ตัวนี้ดูสวยงามแต่แฝงไปด้วยอันตราย แม้ฉันจะตัวใหญ่กว่าเยอะก็เถอะ ฉันขอดูเพื่อนใหม่คนนี้อยู่ห่างๆตรงนี้ก็น่าจะพอแล้ว บรึ๋ย~~~~

                                                         

                       

                                                         

            ฉันยังคงยืนเก็บบรรยากาศของน้ำตกกะทู้แห่งนี้ไปเรื่อยๆ ดื่มด่ำกับความเป็นธรรมชาติของที่นี่ ฉันคิดว่า นี่แหละมัน ใช่! สำหรับฉันจริงๆการได้มาพักผ่อนในที่แบบนี้ก็นับว่าดีที่สุดแล้ว ยิ่งได้สัมผัสพื้นที่รอบข้าง ที่ให้ความรู้สึกว่าเป็นป่าจริงๆ ไม่ใช่ป่าที่สร้างขึ้น ฉันยิ่งรู้สึกชอบมากเลยค่ะ ติดใจที่นี่มาก สักวันฉันต้องกลับมาที่นี่อีกครั้งแน่นอน

      เสร็จจากน้ำตกกะทู้แล้วยังมีอีกสถานที่หนึ่งที่ฉันใฝ่ฝันอยากจะไปถ่ายรูปที่นี่สักครั้ง ณ ที่นี้

นั่นก็คือ.. เขื่อนบางวาดนั่นเองค่ะ

       เขื่อนบางวาดนั้นตั้งอยู่ที่ ตำบลกะทู้ อำเภอกะทู้ จังหวัดภูเก็ต เป็นเขื่อนดิน สูง 24 เมตร ยาว 887 เมตร ความจุเก็บกัก 8.5 ล้านลูกบาศก์เมตร ทางเทศบาลภูเก็ต ขาดแคลนแหล่งน้ำจืดเพื่อการประปา ต้องของใช้น้ำจากอ่างบางวาดของบริษัทอนุภาษและบุตร ซึ่งสร้างไว้สำหรับฉีดเหมือง แต่ก็ยังไม่เพียงพอ และไม่มีแหล่งน้ำใต้ดินในบริเวณเกาะภูเก็ตเลย ทางเทศบาลเห็นว่า อาจจะปรับปรุงอ่างเก็บน้ำดังกล่าวให้เก็บน้ำมากขึ้นได้ กรมชลประทานได้ดำเนินการสำรวจรายละเอียดภูมิประเทศบริเวณอ่างและหัวงาน ในปี 2514 พบว่า มีลู่ทางจะสร้างอ่างเก็บน้ำได้ แต่ได้เลื่อนที่ตั้งทำนบจากจุดที่กำหนดไว้เดิม ลงไปทางตอนใต้เล็กน้อย(ที่มา::http://www.touronthai.com/%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%94">http://www.touronthai.com/เขื่อนบางวาด)

     สิ่งที่ทำให้เขื่อนบางวาดนั้นกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้นั่นก็คือ วิวทิวทัศน์ ของบริเวณรอบๆพื้นที่เขื่อนซึ่งสวยงามมาก และเขื่อนบางวาดยังเป็นที่ออกกำลังกายสำหรับคนรักสุขภาพไม่ว่าจะเป็นชายหญิงเดี่ยวหรือจะมาออกกำลังกายกันทั้งครอบครัว และด้านขวาของเขื่อน ทิศตะวันตก สามารมาชมพระอาทิตย์ตกได้อีกแห่งหนึ่งของภูเก็ต

 

                             

 

       มาถึงเรื่องอาหารการกินสำหรับวันนี้บ้าง ฉันเลือกที่จะออกไปทานอาหารข้างนอกในช่วงหัวค่ำค่ะ เพราะร้านที่นี่เปิดเฉพาะเวลา 6 โมงเย็น ถึง เที่ยงคืน สำหรับร้านที่ฉันกำลังจะแนะนำให้รู้จักนั่นก็คือ  ร้าน “สลัดสวนหลวง” ค่ะ ร้านสลัดสวนหลวงเปิดขายมาหลายปีแล้ว เริ่มต้นจากการขายสลัด ถุงละ 40 บาท ในบริเวณที่ขายอาหารด้านหลังสวนหลวง ทำมาเรื่อยๆจนกระทั่งได้มาเริ่มขายสเต็ก ผลตอบรับของคนในพื้นที่ดีมาก เนื่องจากรสชาติที่อร่อยถูกปาก ทั้งคนไทยหรือแม้กระทั่งคนต่างประเทศที่มาทานที่ร้านนี้ยังต้องยกนิ้วให้         รวมทั้งราคาก็เป็นราคาระดับมาตรฐานไม่แพงเกินไป วัตถุดิบที่ใช้ก็มีคุณภาพดีเช่นกัน ร้านสลัดสวนหลวง เป็นร้านธรรมดาๆข้างถนน มีโต้ะเหล็ก อุปกรณ์ในการขายสเต็ก และเต้นท์ 2 หลัง เติบโตมาเรื่อยๆจนกระทั่งปัจจุบัน ได้เปิดเป็นห้องแถว 2 ห้องติดกัน อยู่เยื้องกับโรงเรียนอบจ.บ้านตลาดเหนือ(วันครู2502) และร้านสลัดสวนหลวงก็ยังคงความอร่อยได้ดีเหมือนเดิม

              

 

         จบลงแล้วสำหรับทริปการท่องเที่ยวแบบสบายๆในวันหยุดของฉัน หวังว่าคุณคงจะได้รับความสุขเล็กๆน้อยๆที่ฉินบรรจงถ่ายทอดเป็นเรื่องราว ณ ที่นี้   การเดินทางครั้งนี้ ธรรมชาติได้ให้สิ่งล้ำค่าทางจิตใจกับฉันมากมาย เมื่อฉันได้เป็นผู้รับแล้ว ฉะนั้นฉันขอเป็นคนให้กลับไปบ้าง โดยการไม่ทำลายธรรมชาติไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตามค่ะ ..

                                                                                                     

                                                                                                  BYE. 

4
0
Napasorn
เขียนเมื่อ

                                     

 

                                              สวัสดีค่า ดิฉันชื่อ นภสร ฝ้ายเพ็ชร์ หรือแนน ค่ะ 

                              สำหรับการเริ่มต้นครั้งนี้ ฉันขาดความพร้อมนิดหน่อยด้านการเขียนประวัติ

                                                     คราวหลังฉันจะมาอัพเดตเพิ่มเติมนะคะ

 

                                                                                                       

5
1
Napasorn
เขียนเมื่อ

                                                                                ME  .

  สวัสดีค่ะฉันชื่อ นางสาว นภสร นามสกุล ฝ้ายเพ็ชร์  ปัจจุบันฉันศึกษาอยู่ปี 1 ภาค กศ.บป คณะวิทยาการจัดการ มรภ.ภูเก็ต สาขา นิเทศศาสตร์บัณฑิต เกิดวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2536 ตอนนี้ อายุ 20 ปีบริบูรณ์แล้วค่ะ 

                                                           

                ฉันเป็นคนร่าเริง พูดจาไม่ค่อยมีสาระ เฮฮา ยกเว้นเวลามีเหตุการณ์ที่ค่อนข้างจริงจัง ให้โอกาสคนอื่นได้แสดงความคิดเห็น เพื่อนๆส่วนใหญ่จึงมักจะมาระบายความในใจกับฉันเวลามีเรื่องทุกข์ใจ และมาขอคำปรึกษาบ้าง ฉันก็ไม่รู้จะให้คำปรึกษาเขาอย่างไร เพราะชีวิตตัวเองยังจัดการไม่ค่อยได้เลยล่ะค่ะ แต่ก็พยายามปลอบใจและชี้แนวทางการแก้ปัญหาจากประสบการณ์ที่เคยประสบด้วยตัวเองหรือที่เคยได้ยินจากหลายคนเล่ามา ดีใจนะคะที่อย่างน้อยน่าจะพอช่วยเหลือเขาได้ โดยส่วนตัวฉันเป็นคนชอบอ่านหนังสือมากค่ะ เพราะที่บ้านพ่อแม่ปลูกฝังให้รักการอ่านตั้งแต่เด็กแล้ว เริ่มจำความได้ฉันก็จำได้ว่าแม่ชอบนำหนังสือนิทานเกี่ยวกับวิถีชีวิตของคนในชนบทมาให้อ่าน ชื่อหนังสือ ชีวิตบ้านนา    ผลงานของ อ. ทำนุ อ้นประเสริฐ อ่านแล้วสนุกค่ะได้จินตนาการ แล้วก็มีหนังสือนิทานอีสปที่ชอบอ่านมากตั้งแต่เด็ก

                                                       

 

                  ตอนนี้ฉันมีสัตว์เลี้ยงด้วยค่ะ ฉันเป็นคนรักสัตว์มากเช่นกัน ชื่นชอบสัตว์ต่างๆ ฉันอยากเลี้ยงสัตว์ที่มีขนาดเล็กแต่สามารถเล่น โต้ตอบกิริยาต่างๆกับเราได้เหมือนกับสัตว์เลี้ยงทั่วไป( เช่น สุนัข ) ทำให้ฉันรู้สึกสนใจมากโดยเฉพาะสัตว์เลี้ยงแปลกใหม่ ( Exotic Pets ) ซึ่งสัตว์พวกนี้จะต่างจาก หมา แมว ที่คนเลี้ยงกันค่ะ ส่วนใหญ่เป็นสัตว์นำเข้ามาจากต่างประเทศ เช่น

  ชูการ์ไกลเดอร์         เมียร์แคท

  ลิงมาโมเสท            เฟอร์เรท   

        และยังมีอีกมากมายเลยค่ะ ฉันคิดว่าสัตว์เหล่านี้มีความฉลาด ซุกซนเขามีความน่ารักคล้ายๆกับพวกหมา แมวเลยค่ะ ที่ฉันเลี้ยงอยู่ก็คือ ชูการ์ไกลเดอร์ค่ะ ไกลเดอร์นะคะ ไม่ใช่ ไรเดอร์ คนส่วนใหญ่มักจะเรียกผิดค่ะ ที่เรียกชูการ์ไกลเดอร์เพราะ สัตว์ชนิดนี้มีความสามารถพิเศษคือมีผังผืดที่สามารถกางออก และร่อนไปยังที่ต่างๆได้ค่ะ คำว่าไกลเดอร์ ก็มาจากภาษาอังกฤษ Glider ที่แปลว่า การร่อน นั่นเองค่ะ 

                                            

                  ฉันตั้งชื่อให้เขาว่า พอตเตอร์ ค่ะ จริงๆชื่อนี้แม่เป็นตั้งให้ค่ะ เพราะไม่รู้จะให้ชื่ออะไรดี ฉันกับน้องชอบดูเรื่องแฮร์รี่        พอตเตอร์มาก แม่คงจะนึกขึ้นได้แล้วตั้งชื่อให้  เจ้าตัวเล็กค่ะ ฉันซื้อพอตเตอร์มาจากตลาดเจ้าฟ้าวาไรตี้ นาคาค่ะ เพราะก่อนจะซื้อฉันถามข้อมูลจากคนที่เขาเลี้ยงอยู่ในตอนนั้น เขาก็แนะนำร้านนี้มาให้ค่ะ เพราะส่วนใหญ่พ่อค้าแม่ค้าร้านอื่นจะไม่ใส่ใจสัตว์เลี้ยงต้องการเพียงแค่ขายอย่างเดียว ร้านนี้แม่ค้าน่ารักมาก ไม่ได้ขายสัตว์เพียงเพราะต้องการเงิน ขายเพราะด้วยใจรัก และเขายังดูแลสัตว์ของร้านเขาเป็นอย่างดี แม่ค้าเองก็เป็นคนสนใจสัตว์ exotic pets เหมือนกันค่ะ โชคดีเลยเจอคนที่มีความสนใจคล้ายๆกัน

           ฉันรับพอตเตอร์มาตั้งแต่อายุเพียง 2.5 เดือนเองค่ะ เนื่องจากตอนนี้เหมาะกับการหย่าจากท้องแม่ และสามารถปรับตัว         เขากับเราได้ตอนที่ยังเด็กอยู่ ตอนเจอกันครั้งแรกฉันรับรู้ได้ถึงพรหมลิขิตของเราสองคน เอ๊ะ! หรือตัว นั่นล่ะค่ะ แค่เจอกันครั้งแรกฉันก็รู้สึกผูกพันและเอ็นดูตัวนี้เป็นพิเศษเขาเกาะนิ่งและเงียบมากต่างจากอีกตัวที่แม่ค้าเอามาให้ดูตัวนั้นร้องตลอดเลยค่ะจับแล้วดิ้นตลอด ซึ่งจริงๆเวลาเลือกซื้อควรเลือกตัวที่ร้องเก่งๆดูซนๆนะคะจากการศึกษาข้อมูลก่อนหน้าที่จะซื้อ ทั้งๆที่ตอนนั้นฉันก็รู้ข้อมูลข้อนี้แต่แปลกที่กลับสนใจตัวนี้มากกว่าจะเลือกอีกตัวหนึ่งมันก็รู้สึกไม่อยากปล่อยตัวนี้ไป ฉันคิดว่าชาติที่แล้วหรือบุญนำพาให้เรามาพบกันแน่เลยค่ะ  รับมาครั้งแรก เขาตัวเล็กมาก ต้องป้อนนมเขา ฉันกลัวมาก กลัวจะจับเขาแรงเกินไป กลัวนมจะทะลักเข้าหน้าเขา ตื่นเต้นมากค่ะช่วงนั้นเหมือนแม่ลูกอ่อน ดึกๆก็ต้องตื่นมาป้อนนม พอตเตอร์เป็นชูการ์ที่แปลกจากตัวอื่นๆฉันแอบคิดอย่างนั้นค่ะ เพราะเขาไม่ค่อยร้องตอนกลางคืนเลยตั้งแต่รับมา มีร้องขู่ตอนช่วงแรกๆเวลาป้อนนม แต่เป็นแค่วันสองวัน ก็นิ่งแล้วค่ะ ยิ่งทำให้รู้สึกรักเข้าไปอีก จนตอนนี้พอตตเตอร์โตเป็นหนุ่มแล้วค่ะ อายุปีกว่าแล้ว อ้วนจ้ำม่ำเลย ยังน่าฟัดเหมือนเดิม ฉลาด เอาแต่ใจด้วยค่ะ แอบเหมือนเจ้าของนิดหน่อย ฮ่าๆ

             สมัยเรียนปวช. ฉันเริ่มจับกลุ่มเริ่มซ้อมเล่นๆกันกับเพื่อนที่โรงเรียน เวลามีงานโรงเรียนก็ไปลงชื่อแสดง หางานนอกเต้นมาเรื่อยๆ แต่เราก็ยังเต้นแบบกะโหลกกะลาค่ะ เพราะไม่มีทุนไปเรียนหรือซ้อมในห้องกระจกส่วนใหญ่จะซ้อมกันเอง จนมีรุ่นพี่มาแนะนำให้ไปเรียนกับโรงเรียนสอนเต้นชื่อว่า PIDA (Phuket International Dance Academy) ซึ่งในตอนนั้นทางโรงเรียนเพิ่งจะมาเปิดสอนที่บิ๊กซีเป็นครั้งแรก และมีคอร์สเรียนฟรีให้ผู้ที่สนใจประมาณ 2 อาทิตย์ฉันและเพื่อนก็มาเรียนจนครบกำหนดค่ะและดูเหมือนว่าคุณครูที่โรงเรียนสอนเต้นเห็นแวว และพวกเรากำลังจะมีการไปเข้าร่วมแข่งขันการเต้นของ อีซูซุดีแม็กซ์แดนซ์คอนเทสต์ในอีกไม่นานนี้จึงมีการเปิดคอร์สที่สองเป็นคอร์สราคาถูกค่ะ พวกเราจึงลงสมัครและใช้เวลาเรียนรู้ให้ได้มากที่สุด จนกระทั่งวันแข่ง คุณครูสอนเต้นก็ไปดูด้วยค่ะถือว่าเป็นการประสบความสำเร็จอย่างมากสำหรับฉันและเพื่อนๆ ซึ่งพวกเราแข่งมาหลายเวทีไม่เคยชนะหรือได้รับรางวัลเลยค่ะ แต่ครั้งนี้เราได้รับรางวัลเป็นอันดับสามของการแข่งขันค่ะ แถมยังได้ถ่ายรูปใกล้ชิดกับพี่ชิน ชินวุฒด้วยค่ะ

                                                     

         นอกจากนี้ ฉันยังเคยเป็นเชียร์หลีดเดอร์ของสาขาท่องเที่ยวรุ่น 54 มหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ตด้วยนะคะ มีการแข่งขันเชียร์หลีดด้วย ทำให้ตอนนั้นซ้อมหนักมากอยู่เป็นเดือนมีคุณครูสอนเต้นจากโรงเรียน PIDA มาเทรนให้ฉันและเพื่อนๆ กลับบ้านดึกทุกวันถือได้ว่าช่วงนั้นฉันรู้สึกมีเวลาอยู่มหาลัยมากกว่าอยู่บ้านอีกค่ะ ผลที่ได้ออกมาดีมากค่ะการประกวดครั้งนี้ทำให้ทีมชนะเลิศได้ที่ 1 ค่ะ ฉันดีใจมากในตอนนั้น

             และเมื่อมาเรียนนิเทศศาสตร์ฉันก็ได้เลือกเป็นเชียร์หลีดเดอร์อีกแล้ว แต่ซ้อมไม่หนักเท่าตอนเป็นหลีดท่องเที่ยวค่ะ มีการแข่งกีฬาสีของคณะเมื่อไม่นานมานี้ ผลปรากฏว่าทีมของฉันชนะอีกแล้วค่ะ ฉันดีใจมาก ถือว่าครั้งนี้ฉันและเพื่อนมีเวลาซ้อมน้อยรวมทั้งอุปสรรคต่างๆอีก ครั้งนี้ฉันได้ขึ้นไปรับถ้วยรางวัลด้วยตัวเอง เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยค่ะ ฉันดีใจและภูมิใจมากที่ได้ทำประโยชน์ให้กับสาขาที่ฉันได้ศึกษาอยู่รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่ามากขึ้นแม้จะเหนื่อยแต่ได้ทำเพื่อส่วนรวมแล้วผลออกมาดีขนาดนี้ ฉันก็ยอมค่ะ

แรงบันดาลใจที่ทำให้ฉันได้มาศึกษาในสาขาวิชานิเทศศาสตร์ จริงๆแล้วฉันเป็นคนชอบการร้องเพลง การแสดง มาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ แต่ไม่ค่อยได้มีโอกาสทำกิจกรรมเหล่านี้ เนื่องจากที่บ้านไม่ค่อยมีเงิน และฉันขี้อายมากตอนเด็กๆ แต่ก็ได้ขึ้นแสดงบ้างในบางโอกาส นั่นก็ทำให้ฉันชอบศิลป์ด้านนี้มากค่ะใฝ่ฝันตั้งแต่เด็ก   แต่แรกๆดูเหมือนที่บ้านจะไม่ชอบ ฉันเลยไม่กล้าเลือกเรียนนิเทศในตอนแรกค่ะ ฉันเลือกเรียนท่องเที่ยว ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้ชอบเป็นคนนำเที่ยวมากนักหรอก ฉันแค่ชอบพูดภาษาอังกฤษ ชอบพูดกับคนต่างชาติและชอบท่องเที่ยวเท่านั้น ก็ฝืนเรียนมาเรื่อยๆ

                      ในขณะนั้นเอง ฉันได้รับงานเป็นพนักงานเสิร์ฟที่โรงแรมรอยัลซิตี้ภูเก็ต ในส่วนห้องจัดเลี้ยง ส่วนใหญ่เป็นงานแต่งงานค่ะ   เวลามีพรีเซนเทชั่นฉันรู้สึกว่า เฮ้ย! วันแต่งงานทั้งทีทำไมทำแค่นี้ล่ะ!! ซึ่งส่วนมากมันเป็นแค่ภาพสไลด์ของคู่บ่าวสาว ซึ่งฉันคิดว่ามันน่าจะทำให้ได้ดีกว่านี้ เพราะวันแต่งงานมันคือวันพิเศษมากในชีวิตๆหนึ่ง ฉันอยากให้มีการเล่าเรื่องราวความรักของคนทั้งสองมากกว่านี้ เพราะมันจะสามารถเก็บรวบรวมความทรงจำของทั้งสองได้ตลอดไปทั้งชีวิตของกันและกัน เพื่อที่จะได้สื่อถึงความรักให้คนในงานรวมถึงทั้งสองได้สัมผัสที่มาของความรักของคนทั้งสองอย่างซาบซึ้ง นี่คือจุดเริ่มต้นของสิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกอยากเรียนนิเทศจริงๆจังๆค่ะ และในตอนนั้นฉันรู้สึกล้าจากการเรียนท่องเที่ยวมาก เกรดที่ได้ก็ลดลงๆ จนในที่สุดฉันก็มาเริ่มเรียนนิเทศศาสตร์ กศ.บป นี่แหละค่ะ ก่อนเข้ามาเรียนก็แอบกลัวจะไปไม่รอดอีก และเพราะคำดูถูกของคนรอบข้างบางส่วนว่า ฉันจะทำได้จริงเหรอ? คนอย่างฉันทำไม่ได้หรอก เอาฉันไปเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ  สุดท้ายคงเป็นเพราะความชอบและความพยายามของฉันทำให้เกรดที่ได้นั้นออกมาเป็นที่พอใจสำหรับฉันมากค่ะ

               และทั้งหมดนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวในชีวิตฉันค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะคะ 

 

                                        

5
0
kantima bunc
เขียนเมื่อ

          

 

 

 

   "เมื่อคุณสอบตก อกหัก หรือผิดหวังครั้งหนักๆในชีวิต คุณเคยรู้สึกอยากจะหนีไปให้ไกลจากสภาพเดิมๆ เหล่านี้ไหม ?"

 

          

 

                  นี่คือคำถามของ “นุ่น” เด็กสาวที่ร่าเริง น่ารัก แสนงอน ก่อนหน้านี้เธอได้ถูก “ตั้ม” แฟนหนุ่มที่คบกันตั้งแต่เขาและเธอเขามาศึกษาที่มหาวิทยาลัย “นุ่น”ถูกบอกเลิกและขอเปลี่ยนสถานะ มาเป็น “เพื่อน”ในวันที่ ใกล้จะจบการศึกษาเพียงไม่กี่วัน นุ่นรับไม่ได้กับการร้องขอของ “ตั้ม” ในครั้งนี้ เธอจึงตบปากรับคำชวนของ “เชอร์รี่” ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเธอตั้งแต่ มัธยมและได้ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันคือ เชอร์รี่โดนพักการเรียน 1 ปี เหตุผลเพราะปลอมลายเซ็นอาจารย์เพื่อขอใช้ห้องเขียนแบบนั่นเอง

              สองสาวจึงตัดสินใจหนีจากสถานที่เกิดเหตุของปัญหา จูงมือกันมุ่งหน้าสู่ “ยุโรป” บินข้ามเส้นรุ้งและอีกหลายเส้นแวง ปลดแอกตัวเองจากแรงดึงดูดของโลก แผนของทั้งคู่นั้นง่ายแสนง่าย คือ เสิร์ฟ –เก็บตังค์-เที่ยว เป้าหมายของทั้งคู่นั้นก็คือ “BIG THREE OF EUROPE” ลอนดอน- ปารีส-เวนิส สโตนเฮนจ์,ทางเวอร์ บริดจ์,หอ ไอเฟล,พิพิธภัณธ์ลูฟร์,โคลอสเซียม,เรือกอนโดล่า และหอเอนปิซ่า แลนมาร์คสำคัญๆของโลกถูกมาร์คไว้ลงในใจของ”นุ่นและเชอร์รี่” ก่อนออกเดินทางทั้งคู่ได้ทำสัญญาใจกันว่า “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ห้ามทิ้งกัน” แต่อย่างไรก็ตามลงท้ายก็เป็นอย่างที่เขาว่ากัน ชีวิตเต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์สารพัด ทั้งสองคาดไม่ถึงหรอกว่าบางครั้งคำสัญญาเป็นหมั้นเป็นเหมาะก็สั่นคลอนเสียง่ายๆเมื่อเจ้าของสัญญาทั้งสองเริ่มเหน็ดเหนื่อย อ่อนล้า จากภาระหน้าที่ในชีวิตประจำวัน พวกเธอคาดไม่ถึงหรอกว่ามิตรภาพอันยาวนานก็ถึงกาลแตกหักด้วยเหตุผลที่ดูไม่เหมือนเหตุผลว่า “กูเบื่อขี้หน้ามึง” ในการเดินทางครั้งนี้ “นุ่น”ก็คาดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับ “ตั้ม”อีกตั้มหนึ่งและกลายเป็นความรักครั้งใหม่ กับแฟนใหม่ที่ชื่อเหมือนแฟนเก่า เช่นเดียวกับเชอร์รี่ที่พบกับงานที่เธอใฝ่ฝัน และเธอก็ได้มาด้วยความสามารถของเธอเอง โดยไม่ต้องใช้ใบปริญญาสักใบ

       

              ตัวละครที่สำคัญในเรื่องความจริงมีอยู่ 2 ตัวละครนะค่ะ ทั้งนุ่นและเชอรี่ แต่ที่ฉันกำลังจะกล่าวถึงและมีลักษณะนิสัยส่วนใหญ่ที่คล้ายกับฉันมาก(จนรู้สึกเหมือนเป็นตัวฉันเอง ฮ่าๆ)  ก็คือ “นุ่น” บุคลิกภายนอกนุ่นเป็นคน ร่าเริง ยิ้มง่าย สนุกสนาน ดูเป็นสาวหวาน คุณหนูๆ ลักษณะนิสัย เป็นคนขี้งอน(แสนงอน) ช่างฝัน อ่อนไหว(แต่ไม่อ่อนแอ)เป็นคนที่จริงจังและให้ความสำคัญกับคนรอบข้างและบูชาความรักมาก ภายนอกดูเหมือนเป็น คุณหนูง๊องแง๊ง แต่แท้ที่จริง เธอมีลูกบ้าซ่อนอยู่พอสมควร เป็นคนเข้ากับคนยาก แต่ถ้ารู้จักก็จะรู้ว่า เธอเป็นคนตลก สนุกสนาน คิดอะไรก็พูดออกมาบางครั้งก็ไม่ได้คิด ความโดดเด่นของ “นุ่น” เป็นคนร่าเริง มองโลกในแง่ดี มีความมุ่งมั่นและความตั้งใจในทุกเรื่องเอ๊ะ!!! หรือบางเรื่อง แต่กับเรื่องที่ตนสนใจหรือชอบ นุ่นจะลงมือทำมันอย่างเต็มที่ ใส ซื่อ รักครอบครัว ชอบมองหาสิ่งใหม่มาให้ตัวเองเสมอ รักการผจญภัย ชอบการเดินทางถึงไหนถึงกัน ข้อเสียของตัวละคร ตัวนี้ เป็นคนขี้งอน และอ่อนไหวกับบางเรื่องโดยเฉพาะเรื่องความรัก เป็นคนจำฝังใจแต่ไม่อาฆาตแค้น “ใครทำเรารักเราหลง ใครทำเราเจ็บเราจำ” นี่คือคติประจำใจของ นุ่นนั่นเอง มีอยู่ฉากหนึ่งในหนัง ก่อนที่นุ่นจะตัดสินใจไปร่วมเดินทางกับเชอร์รี่ครั้งนี้ เธอกล่าวถึงคนรักเก่าว่า “มีตั้มที่ไหน ที่นั้นต้องไม่มีนุ่น” เป็นคนปากแข็ง บ่อยครั้งที่นุ่นนั่งดูรูปคนรักเก่าแล้วเผลอร้องไห้ออกมาคนเดียว เป็นเพราะนุ่นเป็นคนที่จริงจังและซีเรียส กับทุกๆเรื่อง มากเกินไป บางครั้งเวลาผิดหวังหรือสุญเสียอะไรบางอย่างไปเป็นเรื่องธรรมดาที่นุ่นจะรับไม่ได้

          เหตุการณหรือฉากที่ประทับใจของตัวละคร ต้องขอบอกเลยว่าทุกฉาก ทุกตอนในหนังเรื่องนี้ สร้างความประทับใจให้ตัวฉันพอสมควร ทั้ง Location(สถานที่) บท และการถ่ายทอดอารมณ์ผ่านตัวนักแสดง แต่ฉากที่ชอบที่สุดคงเป็นฉากที่ “นุ่น”เริ่มท้อกับชีวิตต่างแดน เงินก็เริ่มหมด ร่างกายแย่ลงและค่อนข้างปรับกับสภาพอากาศไม่ได้ จึงชวน เชอร์รี่กลับบ้าน เชอร์รี่บอกกับนุ่นว่า “ไม่ ถ้าแกอยากกลับก็กลับไปคนเดียว” นุ่นรู้สึกเสียใจและโกรธกับคำพูดของเชอร์รี่ ทำให้นุ่นระบายความในใจทุกอย่างที่อัดอั้นมานาน จึงทำให้ทั้งสองทะเลอะกันอย่างหนัก และไม่คุยกันเป็นอาทิตย์ จนมีเหตุการณ์ที่ทำให้ทั้งคู่ต้องอยู่ด้วยกัน และมีเวลาปรับความเข้าใจกัน เป็นฉากที่นุ่นไม่สบายเป็นลมหมดสติไปบนพื้นถนน เชอร์รี่แบกร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของนุ่นกลับที่พัก ดูแล และดูอาการของนุ่นอยู่ไม่ห่าง จนนุ่นรู้สึกตัวก็เห็นว่ามี เชอร์รี่อยู่ข้างๆ ทำให้ทั้งสองรู้ว่า “ไม่มีใครทิ้งใครจริง” ทั้งสองพยายามปรับความเข้าใจและปรับปรุงข้อเสียของตัวเอง ทั้งคู่เอ่ยปากขอบคุณเหตุการณ์ในวันนั้นที่ทำให้ต่างฝ่ายต่างกล้าพูดสิ่งที่ควรจะพูดออกมา ซึ่งสิ่งเหล่านั้นทำให้วันนี้เธอทั้งคู่เข้าใจกันและรักกันมากขึ้น และเหตุการณ์นี้ก็ตรงกับชีวิตของฉันเช่นกัน มีอยู่ครั้งหนึ่งฉันได้ทะเลาะกับเพื่อน เพื่อนที่ฉันรักและคบกันมากว่า 7 ปี ด้วยเหตุผลไร้สาระที่ว่า “ฉันลืมจ่ายค่ารถเมย์ให้” ท่านผู้อ่านคงไม่เชื่อว่าเหตุการณ์นี้ทำให้เราไม่ได้คุยกันถึง 1 ปีเต็ม ด้วยศักดิ์ศรีที่ค้ำคอ จึงไม่มีใครยอมพูดขอโทษ จากนั้นไม่นาน ฉันก็ได้ยินข่าวร้ายว่า “เพื่อนของฉันอุบัติเหตุทางรถยนต์และเสียชีวิต ฉันร้องไห้คร่ำครวญเหมือนเสียของรักที่สุดไป ไม่มีแล้วใช่ไหม เพื่อนที่รักเราที่สุด หลังจากนั้นฉันได้รับบทเรียนอันยิ่งใหญ่และปรับปรุงตัวเอง ปัจจุบัน ฉันเอ่ยขอโทษอยู่เสมอและเมื่อรู้ว่าตัวฉันเองผิด และแม่ฉันอีกเช่นเคยที่สินฉันว่า "คำว่าขอบคุณและขอโทษ เป็นคำที่ไม่มีวันหมดอายุ เราจขะใช่มันเมื่อไหร่ก็ได้"

         คำพูดที่ประทับใจ คงเป็นคำพูดของ “ตั้ม” ที่สอน “เชอร์รี่” เสมือนพี่ชายสอนน้องสาวว่า “เราจะไม่สนใจคนที่ล้มแล้วเจ็บ แต่เราจะสนใจคนที่ล้มแล้วลุกขึ้นแล้วเดินต่อมากกว่า” คำพูดนี้มีความสำคัญต่อฉันมาก ฉันเก็บมันมาคิดทุกครั้งเวลาที่ฉันท้อหรือหมดกำลังใจ เชื่อไหม.. ว่ามันช่วยได้ดีมากเลยทีเดียว

       ความใกล้เคียงของฉันกับตัวละครตัวนี้ ค่อนข้างที่จะเหมือนกันแทบทุกอย่าง ใช่แล้ว !!! ฉันเป็นคน ร่าเริง สนุกสนานมาก (เกินไป) ทำให้บางครั้งดูเป็นคนไร้สาระ มองโลกในแง่ดี เพื่อนๆมักเรียกฉันว่าเป็น “คนโลกสวย” ฉันเป็นคนให้ความสำคัญกับคนรอบข้างมากและจริงจังกับทุกสถานการณ์ แต่สิ่งที่น่าจะใกล้เคียงกันที่สุดคงเป็นเรื่องความรัก เพื่อนสนิทที่รู้จักฉันดี มักบอกกับฉันเสมอว่า “ฉันเป็นคนบูชา ความรักมาก”และเหตุผลหนึ่งที่ฉันเลือกจะมาใช้ชีวิตที่นี่ส่วนหนึ่งก็เพราะฉันอกหัก นั้นเอง ฉันเดูภายนอกฉันเป็นคนติดหรูนะแต่จริงฉันเป็นคนลุยๆไปไหนไปกัน และชอบการผจญภัยพอสมควรและนี้ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ฉันเลือกเป็นไกด์ จนถึงปัจจุบัน

    “ไม่ว่าจะอย่างไร ไม่ว่าจะหนีไปไกลแค่ไหน ทุกๆต่างต้องอยู่บนพื้นฐานเดียวกันที่ว่า เราไม่ใช่ศูนย์กลางของโลก เช่นเดียวกับที่โลกไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล” อย่างที่กาลิเลโอได้กล่าวเอาไว้

4
0
kantima bunc
เขียนเมื่อ

ME

 

 

   ใจกลางเมืองที่มีแต่ความวุ่นวายของประชาการที่หนาแน่น การจราจรที่ติดขัด สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย เสียงแตรรถประจำทางดังจนไม่ได้ยินเสียงพูดของคนข้างๆ นี่หรือเมืองทีใครล้วนใฝ่ฝันอยากจะมาใช้ชีวิตที่นี่ ฉันนั่งจิบมะนาวปั่น เพื่อหาแรงบันดาลใจในการเขียนเรื่องของตัวเอง เชื่อมั้ย??? ว่ามันไม่ง่ายเลยนะ เอาล่ะ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า….

      

             ฉันเกิดมาในเมืองหลวงที่แออัดที่พึ่งว่าไปข้างต้นนี่แหละ ในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง และถูกเลี้ยงมาโดยพ่อและแม่ที่เลี้ยงลูกแบบสมัยใหม่ ตั้งแต่จำความได้ครอบครัวของเราทำธุรกิจส่วนตัวมาตลอด และมันก็ไม่คงที่จะเปลี่ยนไปตามสภาพเศรษฐกิจ ตอนที่ฉันเกิดมาจำได้ว่าครอบครัวเราทำ “ธุรกิจขาย จิวเวอร์รี่” เครื่องประดับที่เป็นอัญมณี และนั้นเป็นที่มาของชื่อของฉัน “แพรว” เป็นชื่อที่แม่ของฉันตั้งให้มันเป็นทั้งชื่อเล่นและชื่อจริง ฉันเคยถามแม่ว่าทำไมต้องมีชื่อจริงกับชื่อเล่นเหมือนกันด้วย แม่ตอบว่า”มันเรียกง่ายดี จำง่ายด้วย” ใช่มันจำง่ายมาก ง่ายเกินไปไหมคะแม่ ?? ฉันยอมรับตรงนี้เลยว่าเป็นคนติดแม่มาก เราไม่เคยจะห่างกันเลย เราตัวติดกันตลอดเวลา ลูกไปไหนแม่ไปด้วย แม่ไปไหนลูกไปด้วย แถมหน้าตาชั้นกับแม่ก็ดันเหมือนกันเป๊ะ เรียกว่าถอดกันมาเลยล่ะ

             

             ฉันเป็นคนที่มีนิสัยค่อนข้างตามใจตนเอง เอาแต่ใจ คุยเก่ง ขี้โม้ไปเรื่อย เป็นคนชอบกิน(enjoy eating)กินได้ทุกที่ทุกเวลา ยิ้มง่าย โกรธง่ายหายเร็ว จะตลกและสนุกสนานกับคนที่สนิท ถ้าไม่สนิทก็จะเงียบ หลายคนมองว่าฉันเป็นคนหยิ่งแต่ความจริงที่เงียบที่เชิ่ดเพราะปิดบังความขี้ อายของฉันต่างหาก ฉันเป็นคนที่เรียนอยู่ในเกณฑ์ปานกลางมาตลอด วิชาที่ฉันทำได้ดีที่สุดคงเป็น อังกฤษ ตอนเด็กๆ ฉันยังจำได้ดี แม่พาฉันไปเรียนสถาบันกวดวิชาแห่งหนึ่ง เพื่อฝึกทักษะทางภาษา แต่แม่คงลืมไปว่าหนูเพิ่ง 7 ขวบเองนะค่ะ หนูยังไม่สามารถแยกประสาทระหว่างบทเรียนกับร้านขนมแสนอร่อยที่อยู่ติดกับ สถานที่แห่งนี้ แม่คงคิดว่าฉันต้องเก่งเหมือนพี่พลอยและเพชร ใช่!! ฉันลืมบอกไปว่าฉันมีพี่น้องร่วมสายเลือด ด้วยกัน 3 คน พลอย แพรว เพชร ที่มาของชื่อพวกเราก็คงรู้กันนะค่ะ พี่พลอยและเพชร เป็นเด็กฉลาดมาตั้งแต่เกิดเลยก็ว่าได้ สอบได้ที่หนึ่งและเป็นนักเรียนดีเด่นมาตลอด จนทำให้แรงกดดันทั้งหมดมาตกอยู่ที่ฉัน พี่พลอยและเพชร สอบติดมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยที่ใครหลายๆคนใฝ่ฝันรวมทั้งฉัน แต่แล้วฉันก็ต้องตัดใจเพราะความสามารถที่มีมันคงมีไม่พอจริงๆ ฉันจึงเบนเข็มมุ่งมั่นและตั้งใจกับการสอบเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย และเป้าหมายต่อไปของฉันคือ “วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ” วิชาเอก การแสดงและกำกับการแสดงภาพยนตร์ คะแนนของฉันสามารถที่จะไปสอบตรงที่นี่ได้ ในการสอบตรงครั้งแรกฉันจำได้ว่าก่อนวันสอบ 3 วัน ฉันอ่านหนังสือ ตั้งแต่ 9 โมงเช้ายัน 5 โมงเย็น ทำจนมันเป็นเหมือนกิจวัตร แต่ฉันก็ต้องผิดหวังเมื่อผลที่ออกมามันไม่เป็นที่คาด เพียง 10 คะแนน ฉันค่อนข้างเสียใจและจิตตกอยู่พักหนึ่งอาจเป็นเพราะเราตั้งใจและทุ่มเทกับ มันมากจนเราไม่เหลือพื้นที่ให้สำหรับความผิดหวัง หลังจากนั้นฉันก็เบี่ยงความสนใจไปทำอย่างอื่นโดยสนใจการเรียนน้อยลง ไม่ได้สนใจเรื่องการสอบอีกต่อไป และมุ่งไปที่มหาวิทยาลัยเอกชนใกล้บ้าน สิ่งนี้ถือเป็นสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของฉัน ซึ่งพอตอนนี้มานั่งคิดเรื่องในตอนนั้นถ้าฉันตั้งใจเรียนและลองสอบอีกครั้ง ฉันอาจจะสอบติดมหาลัยในฝันก็ได้ ฉันรู้สึกเสียดายโอกาสและเวลาไปอย่างมากที่ฉันปล่อยให้มันผ่านไปโดยที่ไม่ทำอะไรกับมันเลย แต่คงไม่สามารถและย้อนกลับไปได้ พ่อของฉันปลอบใจฉันและสอนฉันเสมอว่า “การนึกถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วเป็นเรื่องที่โง่มาก”ฉันก็เชื่อแบบนั้น ฉันเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วล้วนแต่เป็นสิ่งที่ดี ถึงมันจะทำให้เราเสียใจแต่มันเป็นเหมือนบาดแผลและทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้เพื่อ ให้รู้ว่าเราเคยเจ็บขนาดไหน และทำไมถึงเจ็บ และสิ่งเดียวที่ทำได้คือการปล่อยวาง

 

 

จากที่เล่ามาดูเหมือนฉันไม่มีข้อดีเลยใช่ไหม อย่าเพิ่งด่วนสรุปกันไป ฉันกำลังจะพูดถึงความสามารถพิเศษของฉันที่ติดตัวมาตั้งแต่เล็กจนถึงปัจจุบัน เพื่อลบล้างความห่วยของตัวเอง ก็อย่างที่บอกตอนเด็กๆแม่มักจะพาไปเรียนนู้นนี่เหมือนเด็กทั่วไปเพื่อเป็น อาวุธติดตัว แม่พาฉันไป เรียนไวโอลีน เปียโน รำไทย ภาษาจีน และอีกอย่างคือกีต้าร์

 

 

 

ซึ่งความสามารถอันนี้ฉันได้มาด้วยตัวของฉันเองมันเกิดจากความพยายามและแรง บันดาลใจ ฉันกำลังจะโยงเรื่องนี้ไปยัง Poppy love ของฉัน ฉันเริ่มเล่นกีต้าร์ครั้งแรกตอนอยู่ ม.4 แล้วอะไรคือแรงบันดาลใจของฉันหน่ะหรือ…..เช้าวันอาทิตย์ของวันปิดเทอมฉันไป โบสต์กับแม่เพื่อ ปฏิบัติพิธีทางศาสนาในระหว่างที่ร้องเพลงฉันมองไปบนเวทีและเห็น ผู้ชายคนนึง กำลังเล่นเปียโน ฉันจำได้ว่าเป็นเพลง “As the deer” ด้วยเขาเล่นความชำนาญและไพเราะ ฉันมองเขาอย่างไปละสายตา เสมือนนั้นคือ “รักแรกพบ” พอเสร็จพิธีเราก็แยกย้ายกันไป หลังจากนั้น 2 อาทิตย์วันเปิดเทอมก็มาถึง ในช่วงเวลาพักเที่ยงในขณะที่โรงอาหารมีคนเต็มไปหมดจนไม่มีที่นั่งสำหรับนั่งกินข้าวเลยฉันและเพื่อนเดินหาที่สำหรับกินข้าวอยู่พักหนึ่ง“……..อยู่มาจนวันนี้เพื่อเจอเธอ จะอยู่เพื่อเธอตลอดไป” ฉันก็ได้ยินเสียงกีต้าร์ดังมาจากปีกโบสต์ใช่แล้ว ผู้ชายคนที่เล่นเปียโนในวันนั้น เขานั่งร้องเพลง และดีดกีต้าร์ เขาดูมีเสน่ห์มาก ฉันยืนจ้องหน้าพี่เขาและถือจานข้าวในมือ อารมณ์หิวของฉันที่ว่าหน่ะหรือ หายเป็นปลิดทิ้ง ฉันยืนจ้องมองเขาอยู่นานเสมือนฉันถูกสะกดด้วยมนต์อะไรสักอย่าง นับตั้งแต่วันนั้นฉันก็เริ่มหัดเล่นกีตาร์และเพลงที่ฉันหัดเล่นเป็นเพลงแรกคือเพลง “เพื่อเธอตลอดไป” ทำให้สิ่งนี้ กลายเป็นความสามารถพิเศษของฉันจนถึงปัจจุบัน ฉันคิดว่าว่าบางทีการที่เรามีความสามารถหลายๆอย่างมันบอกถึงคุณภาพของความเป็นคน และฉันก็เชื่ออีกอย่างหนึ่งว่าถ้าเรามีแรงจูงใจหรือแรงบันดาลใจ มันอาจเปรียบเสมือนแรงผลักดันทำให้เราไปสู่ จุดมุ่งหมายนั้นๆได้ ฉันเชื่อเช่นนั้นตลอดมา

อีก     อย่างที่ฉันคิดว่าเป็นข้อดีของฉันคือฉันเป็นคนที่ชอบให้กำลังใจคนอื่นไม่ว่าในสถานการณ์ใดๆ แต่สิ่งที่แปลกก็คือ เวลาที่เพื่อนฉันมีปัญหาเขาก็มักจะนึกถึงฉันเพื่อปรับทุกข์ เขาบอกฉันเหมือนชักโครก ที่คอยรับฟังตลอด เพื่อนๆมักเรียกฉันว่า “ศิราณี” เพราะส่วนใหญ่เพื่อนจะเข้ามาปรึกษาฉันในเรื่องของความรัก ฉันไม่ใช่คนที่มีประสบการณ์ความรักมากมายนัก พูดง่ายๆตัวฉันเองฉันก็ยังเอาตัวไม่รอด แต่ฉันเป็นคนที่นับถือในความรักมาก ฉันเคยผ่านการอกหักที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตมาครั้งหนึ่ง ซึ่งนั้นคือรักแรกของฉัน ช่วงแรกๆที่ฉันอกหัก ฉันร้องไห้คร่ำครวญอยู่เป็นเดือน ข้าวปลาก็แทบจะตกถึงท้อง การงานการเรียนตกต่ำลง โทรมผอม ร่างกายอ่อนแอลง สภาพของฉันไม่ต่างจากมัมมี่ หลังจากนั้น 2 เดือน ก็ได้รู้ว่าเขามีคนรักใหม่ ฉันยังจำภาพนั้นได้ดีฉันดิ้นทุรนทุรายกับพื้นเหมือนคนสิ้นสติ และภาพที่เจ็บปวดที่สุดและเป็นตราบาปของฉันจนมาถึงทุกวันนี้ คือแม่ของฉัน ร้องไห้และโผเข้ามากอดฉันในอ้อมแขน น้ำตาแม่หยดลงมาที่แก้มของฉัน พร้อมกับบอกว่า “ไม่เป็นไร” ฉันเงยหน้ามองแม่กับน้ำตาที่อาบแก้ม นี่ฉันทำให้แม่ร้องไห้ ฉันทำให้แม่เสียใจ หรอนี่ นับจากนั้นฉันก็ไม่ร้องไห้ เสียใจให้แม่เห็นอีกเลย (ฉันแอบไปร้องในห้องหน่ะ ฮ่าๆ)ฉันรู้เลยว่าวันไหนที่เราเสียใจและเสียน้ำตายังมีคนๆนึงที่เจ็บไปกว่าเรานั้นก็คือ “แม่” แม่บอกฉันว่า อย่าไปโกรธหรือแค้นที่เขาทำให้เราเจ็บปวดมากขนาดนี้ ให้อภัยเขาและนึกถึงสิ่งดีๆ มีคำพูดหนึ่งที่แม่บอกกับฉันว่า “ในทุกๆความเจ็บปวด ย่อมมีความทรงจำที่สวยงามเสมอ” กับบทเรียนครั้งนั้นมันทำให้ฉันรู้ว่าความรักของคนที่เป็นพ่อและแม่มันยิ่งใหญ่เกินจะอธิบายและมันยังทำให้ฉันรู้ว่า ความคิดเรานี่แหละที่มีอิทธิพลต่อเรามากที่สุด ฉันต้องขอบคุณคนที่จากฉันไปนะเพราะเขาทำให้ฉันรู้ถึงสัจธรรมของมนุษย์ที่ว่า “เกิดคนเดียว ตายคนเดียว” และความรักครั้งนั้นก็ทำให้ฉันมีภูมิคุ้มกัน และบทเรียนที่เจ็บปวดเพื่อนำไปปรับปรุงกับรักครั้งใหม่ที่ดีขึ้น และมันยังทำให้ฉันมองว่า”ความรักมันเป็นรอยสัก” ถึงรู้ว่ามันเจ็บแค่ไหน คนส่วนใหญ่ก็ยินดีที่เจ็บปวดเพื่อให้ได้มันมา มันเปรียบเสมือนความเจ็บปวดที่งดงาม แต่สำหรับฉันถึงแม้ความรักจะทำให้เราเสียน้ำตามากแค่ไหน ทุ่มเทมากเพียงใด เจ็บปวดกับมันมากเท่าไหร่ ฉันก็ยังมองว่ามันเป็นสิ่งที่วิเศษและสวยงามเสมอ

นี่คือ “ME” ที่ฉันถ่ายทอดออกมาผ่านตัวหนังสือฉันยอมรับว่าเป็นคนที่เรียบเรียงคำพูดไม่ เก่ง สิ่งที่ฉันคิดอยู่ในสมองมันเยอะมากและอยากจะถ่ายทอดออกมาให้ท่านผู้อ่านรู้ แต่มันกลั่นกรองออกมาได้ยังไม่ค่อยดีเท่าที่ควร แต่หวังว่าบทความนี้มันจะทำให้ ผู้อ่านรู้จักฉันในระดับหนึ่งนะคะ……………….

 

5
0
kantima bunc
เขียนเมื่อ

            ช่วงสายของวัน พฤหัสบดี ที่ 31 กรกฎาคม 2552 ณ ห้องสมุด มหาวิทยาลัยเกษมบัณทิต ในขณะที่ฉันก้มหน้าก้มตาสนใจอยู่ที่กระเป๋าใบโปรดเพื่อหาปากกามาจดข้อความ ของหนังสือที่กองเรียงกันอยู่บนโต๊ะ เพื่อที่จะเตรียมตัวสอบกลางภาคของนักศึกษา ปีที่ 1 หรือเฟรชชี่อย่างฉัน เชะ!!!! ฉันได้ยินเสียงชัตเตอร์จากโทรศัพย์มือถือของชายคนหนึ่งที่มานั่งตรงข้าม ฉันมองหน้าชายคนนั้นด้วยความงุงงง ก็เราไม่รู้จักหนิ !!!! ฉันมองเขาอย่างตั้งใจ อยู่พักหนึ่ง เขาเป็นชายหนุ่ม ผิวขาว(มาก)ตาโต ใส่ชุดนักศึกษา รองเท้า nike สีขาวสลับดำ "นี่เรารู้จักกันหราค่ะ??" ฉันเอ่ยถามเขาด้วยความสงสัย "ก็กำลังรู้จักแล้วนี่ไง " นี่คือคำตอบที่ชวนหัวจากปากขอเขา แหละมันคือจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้

 

6
0
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท