อนุทินล่าสุด


นิติพล มากกำเหนืเ
เขียนเมื่อ

มีชายสองคนเป็นเพื่อนรักกันร่วมเดินทางด้วยกันจนไปเจอขวานเล่มหนึ่ง ซึ่งตกอยู่

“ขวานเล่มนี้ต้องเป็นของข้า เพราะข้าพบก่อน”

ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับก้มลงไปหยิบขวานขึ้นมาถือเอาไว้

“ไม่เราสองคนเจอพร้อมกัน เจ้าจะบอกว่าเจ้าพบก่อนได้อย่างไรกันเล่า”

ในขณะนั้นเองชายผู้เป็นเจ้าของขวานผ่านมาจึงได้เอ่ยขึ้นว่า

“ขวานของข้าอยู่นั่นนี่เอง พวกเจ้าเป็นขโมยที่เอาขวานของข้าไป”

“แย่เเล้วหละพวกเรา” ชายที่ถือขวานร่ำร้อง

เพื่อนเกลอของเขาจึงรีบกล่าวขึ้นว่า

“อย่าพูดว่า “พวกเรา” สิ ข้าไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลยนะ”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

คนเรามักอยากมีส่วนร่วมแต่สิ่งที่ดีๆ ไม่อยากร่วมรับโทษ รับภัยด้วย






ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
นิติพล มากกำเหนืเ
เขียนเมื่อ

วัวหนุ่มมักจะทำงานอย่างขยันขันเเข็งและอดทนทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา วัวสาวจึงกล่าวขึ้นมาว่า

“ชีวิตของท่านช่างน่าเบื่อยิ่งนัก ดูนี่ซิ ดูชีวิตข้าสิได้วิ่งเล่นอย่างสบายในทุ่งหญ้า ทุกๆวันเลย”

ครั้นเมื่อถึงฤดูเทศกาล วัวหนุ่มก็ได้มีเวลาที่จะได้หยุดจากการทำงาน ในขณะที่ วัวสาวถูกนำมาฆ่าเพื่อบูชาเทพยดา

วัวหนุ่มจึงคิดขึ้นในใจว่า

“หากมีชีวิตที่มีเเต่เที่ยวเล่นจะต้องพบจุดจบเช่นนี้ ข้าขอทำงานหนักตลอดทั้งชีวิตดีกว่า”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ผู้ที่รู้จักทำงานย่อมมีคุณค่ากว่า





ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
นิติพล มากกำเหนืเ
เขียนเมื่อ

ครั้งหนึ่งนานมาแล้วยังมีวัวสามตัวได้ทำการตกลงสัญญากันว่าจะเป็นเพื่อนตายต่อกัน

ดังนั้นวัวทั้งสามตัวจึงมักจะออกไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเวลา เเละคอยระวังภัยให้ซึ่งกันและกันด้วย

แต่ได้มีสิงโตจ้องจะหาทางที่จะกินวัวอยู่ สิงโตจึงเเอบไปบอกกับวัวตัวที่หนึ่งว่า วัวตัวที่สองกับที่สามนั้นนินทาด่าว่าลับหลังท่าน

เเล้วสิงโตก็ไปยุเเหย่ตัวที่สองว่า วัวตัวที่หนึ่งกับที่สามคิดทำร้ายท่าน

เเล้วยุเเหย่วัวตัวที่สามในทำนองเดียวกัน

ต่อมาไม่นานวัวทั้งสามจึงเริ่มเกิดการเเตกคอกัน และเกิดความไม่ไว้ใจกันเเละกัน แล้วต่างฝ่ายก็ต่างออกไปหากินกันตามลำพัง จนสิงโตมีโอกาสที่จะจับกินวัวทีละตัว ได้อย่างสบาย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

เมื่อแตกสามัคคี เมื่อนั้นความหายนะจะมาถึง






ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
นิติพล มากกำเหนืเ
เขียนเมื่อ

วัวนั้นเป็นสัตว์ที่ตัวใหญ่เเละก็มีพละกำลังมหาศาล เเต่เมื่อมีสัตว์ตัวเล็กๆ อย่างเเมลงหวี่มาก่อกวน แถมท้าทายเเทนที่วัวจะวางตนนิ่งเฉย แต่วัวกลับเข้าทะเลาะต่อตีไม่ยอมให้เเมลงหวี่คุยข่มตนซึ่งตัวใหญ่กว่า

เเมลงหวี่จึงได้ท้าต่อสู้กัน ถ้าใครชนะก็เเสดงว่าผู้นั้นยิ่งใหญ่กว่า เก่งกว่า และแข็งแรงกว่า

เมื่อวัวได้ยินดังนั้นก็ตอบตกลงไปในทันที เเมลงหวี่ก็ได้บินตอมวนเวียนอยู่รอบๆ เขาเเละเหนือหัวของวัวแต่วัวไม่สามารถจะขวิดหรือทำอะไรเเมลงตัวน้อยตัวนั้น ได้เลยแม้แต่น้อย

วัวได้เเต่ต้องทนอับอายกับบรรดาสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลาย ที่มามุงดูกันเป็นจำนวนมากในบริเวณนั้น

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ถ้าวางตนนิ่งเฉยไม่วุ่นวายกับสิ่งที่ไม่คู่ควร ก็ไม่ต้อง อับอายเปลืองตัว






ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
นิติพล มากกำเหนืเ
เขียนเมื่อ

ชาวประมงวางอวนลงในเเม่น้ำเเล้วก็พากันกลับไปหุงหาอาหารกินกัน ที่กระท่อม

มีลิงอยู่ตัวหนึ่งนั่งดูชาวประมงอยู่บนต้นไม้ตั้งเเต่เช้าก็คิดว่าตนเองสามารถทำได้ อย่างที่ชาวประมงทำ

“ไม่น่าจะยากอะไรเลย เเค่วางอวนไว้เพื่อดักปลาก็เพียงเท่านั้น”

ลิงคิดได้ดังนั้นลิงจอมซนก็ลงจากต้นไม้แล้วหยิบเอาอวนอีกปากหนึ่งแล้วนำไปที่ ริมน้ำ

เเต่ด้วยความที่ตนเองนั้นไม่รู้จริงว่าควรทำอะไรอย่างไรอวนจึงได้พันตัวเอง แล้วลิงก็กลิ้งตกลงไปในน้ำ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

หาญทำในสิ่งที่ไม่รู้ ย่อมได้รับความเสียหาย





ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
นิติพล มากกำเหนืเ
เขียนเมื่อ

จักจั่นมักจะร้องเพลงที่ไพเราะกันอยู่ตลอดเวลา

ลาจึงเอ่ยถามจักจั่นขึ้นมาว่า

“เพื่อนเอ๋ย เจ้ากินสิ่งใดกันหรือ จึงได้มีเสียงที่ไพเราะกันขนาดนี้”

จักจั่นยิ้มเเล้วจึงตอบว่า

“อ๋อ อาหารของพวกข้านั้นก็คือน้ำค้างไงล่ะ”

ลาจึงเข้าใจว่าเพราะจักจั่นกินเเต่น้ำค้างกันอย่างเดียว จึงได้มีเสียงที่ไพเราะกันเช่นนี้ ถ้าตนกินน้ำค้างบ้าง ตนก็คงจะสามารถร้องเพลงได้อย่างไพเราะอย่างเช่นจักจั่นอย่างแน่นอน

ตั้งเเต่วันนั้นเป็นต้นมาลาก็กินเเต่น้ำค้างมาตลอดทุกๆวัน ไม่แตะต้องหญ้าที่เป็นอาหาร ของตน ในไม่ช้า ลาก็ตายไปเพราะ ความหิวโหยไป

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้อื่นอาจเป็นสิ่งที่เเย่ที่สุดสำหรับเรา





ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
นิติพล มากกำเหนืเ
เขียนเมื่อ

ลูกอีสาน เป็นหนังสือซีไรต์เล่มแรกของไทย และได้รับรางวัลอีกมากมาย ถ่ายทอดสดจากปลายปากกาของ คำพูน บุญทวี ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ได้รับการยกย่อง เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2544

เรื่อง ราวของ ลูกอีสานนั้น เป็นการนำเสนอเกร็ดชีวิตของผู้เขียน (คำพูน บุญทวี) สะท้อนความเป็นอยู่ตามธรรมชาติ สังคม และประเพณีของชาวที่ราบสูงดินแดนอีสาน ผ่านตัวละคร เด็กน้อยที่ชื่อว่า "คูน" และพ่อ พร้อมทั้งการดำเนินชีวิตของชาวชุมชนที่ต้องดิ้นรนต่อสู้กับความแร้นแค้น ที่หล่อหลอม พวกเขาให้เป็น "ลูกอีสาน" อย่างแท้จริง และจากการที่ผมได้รับชมหลายครั้ง สิ่งที่ได้มองเห็นคือ การรักถิ่นฐานบ้านเกิดของพ่อของคูณ เพราะ ณ ช่วงเวลานั้น ภาคอีสานได้เกิดความแห้งแล้งเป็นอย่างมาก ผู้คนก็มีการอพยพถิ่นฐานกันเป็นจำนวนมากเพื่อไปแสวงหาถิ่นฐานแห่งใหม่ เพื่ออนาคตที่ดีของครอบครัวตนเอง แต่พ่อคุณกลับไม่ยอมย้ายถิ่นฐานตามผู้คนเหล่านนั้นไป



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
นิติพล มากกำเหนืเ
เขียนเมื่อ

เล่าเรื่องผ่านเด็กชายปานที่มีนิ้ว มือ ๑๑ นิ้ว มีปานสีแดงน่าเกลียดที่แก้มซ้ายและพูดติดอ่าง เด็กฅนที่ ๒๕ จาก จำนวน ๔๙ ฅน ในสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าแห่งหนึ่ง ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ของเด็กๆ ที่มีต่อเหตุการณ์ต่างๆ ความคิดต่อบุคคลที่เข้ามาเกี่ยวข้องใน ชีวิต ถ้อยคำ และการแสดงออกของผู้ใหญ่ที่มีต่อเด็ก

เป็นเพียงเรื่องของเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง จากพ่อแม่ ซึ่งอาจไม่ต้องการหรือไม่พร้อมที่จะมี แล้ว 'แม่หมอเพ็ญ' จำเป็น ต้องบอกเด็กๆ ที่ตนเก็บมาเลี้ยงดูว่าพวกเขามาจากดาวดวงอื่น เพื่อตัดปัญหา ทางจิตใจของเด็กที่ยังเล็กเกินกว่าจะเข้าใจ ก่อนที่จะเปิดเผยความจริงให้ ทราบเมื่อพวกเขาโตมากพอ

ในโลกนี้และสังคมนี้ มีเด็กประเภทที่ 'มาจาก ดาวอื่น' เป็นจำนวนมาก ถึงแม้จะยังไม่สามารถทำให้ 'รัก' พวกเขาได้ ก็ขอให้ ทำตัวเป็น 'เทวดานางฟ้า' สักครั้งหนึ่งในชีวิตก็ยังดี เพราะแม้พวกเขาจะ 'มา จากดาวอื่น' แต่ความจริงก็คือ ในขณะนี้ทุกฅนต่างอยู่บนดาวดวงเดียวกัน และ ถ้าหากตัวเองต้องกลายเป็น 'เด็กจากดาวอื่น' บ้าง จะรู้สึกอย่างไร



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
นิติพล มากกำเหนืเ
เขียนเมื่อ

มีลูกกวางตัวหนึ่งมีตาเพียงข้างเดียว มันรู้ตัวดีว่าตัวเองไม่สามารถที่จะระวังภัยได้ตลอดเวลา เพราะถ้ามีภัยเข้ามาทางด้านตาข้างที่บอดของตน มันก็จะไม่สามารรถรู้ได้เพราะมันมองไม่เห็น

ลูกกวางตาเดียวจึงออกเดินทางไปที่ทะเล เเละหันข้างตาที่บอด ไปทางทะเลเพื่อที่ตาข้างดีจะได้หันไปทางป่า เพราะถ้าหากมีภัยมามันก็จะสามารถมองเห็น เเละ หลบหนีได้ในทันที ขณะนั้นได้มีเรือลำเล็กๆ ลำหนึ่งเเล่นเข้ามาใกล้ชายฝั่ง เมื่อคนที่อยู่ในเรือเห็นลูกกวางเข้า จึงเอาปืนยิงใส่หลายนัด จนลูกกวางขาดใจตาย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

บางครั้ง ภัยอัตรายก็เกิดขึ้นจากสิ่งที่เราคิดไม่ถึง






ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
นิติพล มากกำเหนืเ
เขียนเมื่อ

สาระสำคัญที่ได้จากการอ่าน

ปริมาณความรักคงไม่สามารถวัดด้วยหน่วยวัดน้ำหนักได้ เพราะความรักเป็นเรื่องนามธรรมจับต้องไม่ได้ แต่สามารถสัมผัสรับรู้ความรู้สึกได้ รักแค่ไหนถึงเรียกว่าพอดี จึงไม่สามารถกะเกณฑ์เป็นตัวเลขได้ มีเพียงคนสองคนเท่านั้นที่จะรู้ดีว่ารักแค่ไหนถึงจะพอดี

รักแบบพอดีมันต้องอาศัยองค์ประกอบของความรักและเหตุผล รักแบบพอดีของคนๆหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องเท่ากับของอีกคนเสมอไปและไม่มีใครสามารถรกำหนดแทนกันได้ เพราะอย่างนี้คนที่รักในวัยเรียนต้องเป็นผู้กำหนดเอง โดยดูจากปัจจัยต่างๆเช่น ความรับผิดชอบมากน้อยแค่ไหน ผลการเรียนอยู่ระดับไหน ควาสัมพันธ์ของคนรอบข้างเป้นอย่างไร และอื่นๆ ถ้าปัจจัยเหล่านี้อยู่ในขั้นตอนพอใจ มีความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ การเรียนอยู่ในขั้นดี ก็ไม่มีอะไรต้องน่าเป็นห่วง ความรักแบบพอดีของคนเหล่านี้จึงสามารถเลยครึ่งแก้ว(น้ำ)มาได้




ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท