อยากตอบครับ
ที่มีอาการอย่างนี้ เป็นเพราะ monitor ติดต่อกับฐานข้อมูลของ GotoKnow ไม่ได้ จึงไม่ได้อัพเดตข้อมูล เพราะเอาข้อมูลมาอัพเดตไม่ได้; เมื่อไม่ได้อัพเดตสักพัก จนข้อมูลล้าสมัยเกินไป มันก็ไม่แสดงข้อมูล (blank) ครับ
ที่ฐานข้อมูลเริ่มมีปัญหา เพราะมีการเปลี่ยนแปลง component สำคัญบางตัว ก็อาจจะต้องเฝ้าดูและปรับแต่งทางฝั่งเครื่องแม่ข่ายบ้างสักพัก แต่เชื่อว่าในที่สุดจะนิ่งเหมือนเดิมครับ (นิ่งหมายความว่าไม่มีปัญหา ไม่ใช่อยู่นิ่งๆไม่ทำอะไร)
สวัสดีครับ ถ้าใช้เบราเซอร์ ก็ล็อกอินและใช้งานตามปกติซิครับ
แจ้งปัญหาไปเมื่อบ่าย ตอนค่ำตรวจสอบกับทีมงานแล้ว เป็นบั๊กครับ มีปัญหากับ browser บางรุ่นเท่านั้น ถ้าโชคดีก็จะใช้ได้
ทีมงานบอกมาว่า พรุ่งนี้หายครับ
อาการเหมือนกับเบราเซอร์ไม่ยอมรันโปรแกรม JavaScript ครับ เรื่องนี้คงต้องดูในตัวเบราเซอร์ครับ
ศูนย์รวมข้อมูลใช้ JavaScript ตรงปุ่ม "แสดง>>"; ส่วน comment ที่เปิดหน้าต่างใหม่ ก็ใช้ JavaScript เช่นกัน
ดังนั้น ท่าน ผอ.คงต้องนึกดูว่าเปลี่ยนแปลงอะไรบนเบราเซอร์เมื่อเร็วๆ นี้หรือไม่ครับ เช่นเรื่องที่เกี่ยวกับ JavaScript หรือเรื่องระดับความปลอดภัย
เริ่มแรกประมาณปี 2003 หรือต้นปี 2004 ผมใช้ wordpress รุ่นดึกดำบรรพ์ครับ เกือบจะเหมือนกับเป็นการเขียนคนเดียว ถึงกระนั้นก็ยังดีที่เป็นช่องทางสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานให้เข้าใจในทิศทางของบริษัทได้โดยไม่ผิดเพี้ยนจากกระบวนการถ่ายทอด
เมื่อเขียนคนเดียวไม่มัน ก็ตั้งระบบที่สอง ใช้ b2evolution ซึ่งเป็นบล๊อกแบบ multi-blog multi-user ตั้งบล๊อกตามฝ่ายตามโครงสร้างองค์กรได้ มีระบบจัดการสมาชิก ซึ่งสมาชิกหนึ่งคน สามารถเป็นสมาชิกของบล๊อกได้หลายบล๊อก การเป็นสมาชิกของบล๊อกหนึ่งทำให้มีสิทธิ์อ่าน private posting ซึ่งเป็นข้อความที่เปิดให้สมาชิกของบล๊อกอ่านได้ (เช่นความคืบหน้าของเรื่องที่ยังไม่สรุป)
มี anecdote (ประวัติ+เหตุการณ์สำคัญของบริษัท) เป็น wiki ที่ใช้ mediawiki ทำครับ ไม่คิดว่าบริษัทจะเป็นบริษัทเฉพาะกิจ จึงต้องช่วยกันเขียน anecdote เพื่อให้คนรุ่นหลังเข้าใจพันธกิจและความยากลำบากว่าคนรุ่นก่อนฝ่าฟันอะไรมาบ้างจนมายืนอยู่ได้ ณ จุดนี้
มีเพื่อนร่วมงานตั้งระบบที่สี่ ใช้ twiki เป็น information portal + blog + wiki ใช้ในเชิงข้อมูลธุรกิจ
ทั้ง wordpress b2evolution mediawiki และ twiki เป็นซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส เขียนด้วย PHP และมีการปรับเปลี่ยนให้ตรงกันความต้องการเฉพาะขององค์กรครับ ตั้งอยู่ในอินทราเน็ตซึ่งบุคคลภายนอกอ่านไม่ได้
การติดตั้งไม่ยุ่งยากครับ เป็น LAMP stack ธรรมดา รัน script ที่ติดตั้ง จากนั้นก็ customize templates และแก้ code ส่วนที่ไม่ชอบ
การอบรมแทบไม่ต้องมีเลยครับ ใช้สามัญสำนึกในการใช้ได้ แต่ต้องคุยกันเรื่องคุณค่าที่แท้จริงของการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นผ่านบล๊อกบ้างเป็นครั้งเป็นครา
อยากช่วยครับ แต่ไม่เห็นมีอาการเลยครับ มีแต่คำบ่น ;-)
บล๊อกไหน บันทึกไหนครับ มีรายละเอียดอื่นไหมครับ
ขอ URL ของบันทึกได้ไหมครับ ขอชื่อบันทึกก็ได้
เท่าที่อ่านจากบันทึกอื่น มีสมาชิกรายงานว่าถ้าเคลียร์แคชในเบราเซอร์ ก็จะใช้ได้ครับ ถ้าเป็นอาการอย่างนี้จริง กด shift+refresh หรือ ctrl+refresh สองสามที ก็คงจะเห็นครับ แต่อย่า refresh เฉยๆ
เป็นบั๊กในระบบครับ เรื่องนี้ได้รายงานให้ผู้พัฒนาระบบ (ดร.ธวัชชัย) ทราบหลายวันแล้วครับ เป็นปัญหา cache ของ feed ไม่อัพเดต แต่ภาระของอาจารย์ตอนนี้เยอะมากครับ ยังมีบั๊กสำคัญอื่นๆในระบบอีกด้วย แล้วโหลดของ GotoKnow ก็เพิ่มขึ้นมาก ทำสถิติ new high อยู่เรื่อยๆ -- สงสัยว่าวันนี้จะมีสถิติใหม่อีกด้วยครับ
สำหรับเรื่อง RSS feed นั้น เท่าที่ได้คุย ผมได้เสนอวิธีีที่จะทำให้ระบบ scale up ได้ดีขึ้น เพื่อรองรับปริมาณการอ่านซึ่งเพิ่มขึ้นตลอดเวลาไปแล้วครับ รวมทั้ง HTML header ที่สามารถ subscribe ได้เลย ในการทำเรื่องนี้ คงจะต้องรื้ออะไรหลายอย่าง ซึ่งคงจะกระทบ cache และ RSS feeds ด้วย ในเมื่อจะต้องรื้อแล้ว อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ยังคาอยู่ในคิวครับ
ยิ่งกว่านั้น บันทึกของผมแต่ละบันทึก ต้องค้นข้อมูลมาก เผอิญช่วงนี้ งานเยอะ ไม่มีเวลาเขียนบันทึกมาหลายวันแล้วครับ ขอบคุณที่คุณจิรพลให้เกียรติติดตามนะครับ -- ผมมีห้าบล๊อก แต่ beingaboss มีคนอ่านเยอะและอาจจะจริงจังแบบกวนประสาทที่สุด
ในช่วงที่ยังไม่มีการแก้ไข RSS feed นี้ สามารถแอบดูกิจกรรมของผมได้ที่ศูนย์รวมข้อมูลของ Conductor (bookmark ได้ครับ) ซึ่งจะเห็นความคิดเห็นที่ผมไปเขียนไว้ตามบันทึกของบล๊อกเกอร์ที่น่าสนใจหลายบล๊อกครับ -- เชื่อว่าถ้าคุณจิรพลชอบบันทึกของผม ก็จะชอบบันทึกที่ผมไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทุกอันครับ และ GotoKnow มีบล๊อกเกอร์มันๆ หลายคนเลยครับ
ยังมีอีกวิธีหนึ่งซึ่งตามอ่านเฉพาะบันทึกล่าสุดได้คือ สร้างไฟล์ข้างล่างนี้ไว้บน desktop แล้วคลิกเพื่อเปิดอ่านครับ
<html>
<meta HTTP-EQUIV="Content-Type" CONTENT="text/html; charset=UTF-8" />
<script src="http://gotoknow.org/planet/Conductor.js?no_style=true" type="text/javascript"></script>
</html>
คุณต่อต้านระบบเครือญาติ ตั้งชื่อคำถามว่า "ทำดีได้ดีมีที่ไหน"
คงต้องตอบว่า ทำดีได้ดีมีถมไป ครับ มีในเวนสาขชาดก ในพระไตรปิฎก
ยาทิสํ วปเต พีชํ ตาทิสํ ลภเต ผลํ กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํบุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น
ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้ผลดี ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมได้ผลชั่ว
แต่เรื่องที่สำคัญกว่านั้น คือคุณต่อต้านระบบเครือญาติทำดีเพื่อความดี หรือทำดีเพื่อให้ได้ดีครับ
ในโลกนี้มีสิ่งที่ไม่ดีอยู่มากมาย แต่ที่รู้สึกปวดหัวคือตัวเราคิดอย่างจริงจังว่ามันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น แต่จะต้องเป็นอย่างที่เราคิดเท่านั้น ตัวเราเป็นผู้แสวงหาความทุกข์เองครับ
สังคมของเรา เรามีส่วนได้เสียอยู่ด้วย ผมเห็นด้วยว่าต้องพยายามทำให้มันดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่หากมันไม่เป็นไปอย่างนั้นไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เราก็ยังมีทางเลือกอย่างอื่นนี่ครับ -- ร้ายที่สุดก็คือไม่ทำอะไรเลย นั่งจมอยู่กับความทุกข์อย่างนั้น ทนต่อไปเรื่อยๆ กับความท้อแท้สิ้นหวังไม่มีทางออก; สุดอีกปลายหนึ่งคือเลือกที่จะเดินไปเสียจากอโคจรสถานอันนี้เสีย วางอุเบกขากับสถานที่นี้ ทิ้งไปแล้ว ผ่านไปแล้ว ก็ไม่ต้องเก็บมาคิดให้รกสมองอีก; และน่าจะยังมีทางเลือกระหว่างสองปลายอีกมากมายครับ
ผมอยากให้ลองพิจารณาบันทึกนี้ครับ กระบวนการเรียนรู้ในกระบวนทัศน์ใหม่ แม้เจ้าของบล๊อกไม่ได้เขียนบล๊อกนี้มาเกือบปีแล้ว แต่คุณค่าของบันทึกก็ยังคงอยู่
ถ้ามาอ่านทัน ไปเวียนเทียนวัดใกล้ๆก็ได้นะครับ วันนี้วันวิสาขบูชา แต่อาจจะดีกว่านั้นอีก ถ้าหาเวลาว่าง นั่งเงียบๆ พิจารณาสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง ขอให้กำลังใจครับ
สวัสดีครับอาจารย์สวัสดิ์
ชื่อ Conductor นี้ ใช้สำหรับงานครับ ดังที่เขียนไว้ในประวัติ ใน blog-tag และในบล๊อกหลักของผมคือ "คนเป็นนาย" -- ความคิดของผมนั้น ผมยังรู้สึกว่าค่อนข้างอิสระ หลีกเลี่ยงบันทึกแบบ assertive ไม่เขียนบันทึก how-to ไม่บังคับใคร ไม่ใช้คำว่า "ต้อง"; ส่วนตัวจริงผมจะเป็นอย่างไรนั้น คงพูดเองไม่ได้ครับ ปล่อยให้คนที่รู้จักได้พิจารณาเอา
แต่อย่างไรก็ตาม เหมือนอย่างที่เขียนไว้ใน "เกี่ยวกับบล๊อก" ของคนเป็นนาย ประเด็นที่เขียนคือประเด็นที่ผมอยากให้คิด ถ้าผมหาประเด็นที่ดีไม่ได้ ผมก็ไม่เขียน ส่วนคิดแล้วได้ประโยชน์-ไม่ได้ประโยชน์-เชื่อ-ไม่เชื่อ ก็สุดแล้วแต่แต่ละคนครับ แต่ละประเด็นก็กลั่นออกมาจากประสบการณ์ ใครรับได้ก็รับไป หากสถานะผมเปลี่ยนแปลงโดยกระทันหัน จะได้ไม่เสียใจ ไม่ต้องพะวงครับ
ขอบคุณในความห่วงใยครับ บางทีคนเราพอมีประสบการณ์ชีวิตมากแล้ว คนไม่ค่อยกล้าเตือน ซ้ำร้ายเมื่อมีคนเตือนกลับไม่ชอบไม่ยอมรับเสียอีก -- แม้ผมยังไม่บรรลุ แต่ก็เชื่อว่าพอจะมีสัมปชัญญะ+สติ+กัลยาณมิตรอยู่บ้างครับ
เรื่องเทียบเชิญ เล่าฮูยินดีน้อมรับ ขอเวลานิดนึงครับ
ขออนุญาตตอบเกี่ยวกับหลักการตรงนี้นะครับ ส่วนรายละเอียดอื่น ถ้าคุณหมออยากถามต่อ ก็สามารถใช้อีเมลถามต่อได้
เมืองไทยมีคนดี-คนเก่งอยู่มากครับ แต่คนพวกนี้ไม่ค่อยได้ออกมาแสดงตัวในสื่อ เพราะถูกจำกัดด้วยพื้นที่และเวลาของสื่อ ทั้งประกอบกับความไม่หวือหวา สื่อจึงไม่ค่อยสนใจ เรื่องนี้ไม่ได้ทำให้คนดี-คนเก่งด้อยค่าลงไป ใน gotoknow นี้ก็มีให้เห็นมากมายนะครับ
บันทึกในคนเป็นนาย เป็นข้อคิด+ประสบการณ์ที่พบมา อ่านแล้วต้องคิดทั้งนั้นครับ ควรจะพิจารณาถึงบริบท+องค์ประกอบ+ข้อจำกัดต่างๆ ก่อนที่จะนำไปปรับใช้ให้เหมาะสม
สำหรับคำถามว่าทำใจได้หรือ ก็เรียนตอบอย่างนี้ครับ ผมคิดว่าคุณค่าของผมที่พยายามจะทำอยู่ที่
ส่วนใครจะคิดอะไรกับเรานั้น จะไปบังคับเขาไม่ได้หรอกครับ คิดไปก็ปวดหัวเปล่าๆ ไม่ได้ตอบสนองต่อ bullet ข้างบน
ความจงรักภักดีเกิดในใจของผู้อื่น เป็นสิ่งที่เขารู้สึกเอง ถ้าเขาไม่รู้สึก เราจะไปบังคับเขาก็ไม่ได้ครับ แต่ผมคิดว่าการจงรักภักดีต่อองค์กร เป็นสิ่งที่ดีกว่าการจงรักภักดีต่อตัวบุคคล; บารมี ความยอมรับนับถือ ความเคารพ ความจริงใจก็เช่นเดียวกันครับ
ทั้งความจงรักภักดีและบารมี ถ้าอยากได้ นอกจากจะต้อง "earn" เอาเองแล้ว ก็ยังขึ้นกับระดับจิตใจของลูกน้องด้วยนะครับ คนบางคนมีความภูมิใจในตัวเองต่ำ ไม่สามารถชื่นชมผู้อื่นได้ก็มีเหมือนกัน กลัวว่าชื่นชมผู้อื่นแล้ว ตัวเองจะด้อยค่าลง -- แม้เฉยๆไม่อยากได้ บางทีมันมาเองโดยไม่ต้องไปขวนขวาย ถ้าหากเราประพฤติตัวถูกต้องนะครับ
ยิ่งใช้อำนาจบริหารนอกเหนือจากการดำเนินการปกติ (executive power) ยิ่งแสดงให้เห็นว่าไม่มีบารมี แต่ต้องไม่ลังเลที่จะใช้อำนาจเมื่อต้องการให้เกิดความเป็นธรรมขึ้น; ส่วนตำแหน่งเป็นเรื่องกระจอกที่ผู้คนที่คิดอย่างผิวเผินในสังคมปัจจุบันมักจะให้ความสำคัญกัน -- ผมคิดว่าตำแหน่งคือบทบาทในงาน แต่กลายเป็นว่าตำแหน่งหมายถึงค่าตอบแทนไปแล้ว มันก็เลยเพี้ยนกันไปหมด มีคนหมุนเวียนมาเสวยตำแหน่งรอฤกษ์ แป๊บเดียวก็เปลี่ยนไป แต่ระหว่างอยู่ก็ไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะรู้ว่าจะอยู่ชั่วคราว
กลับมาในประเด็นของคำถาม ที่สำคัญที่สุดคือผลประโยชน์ที่ให้แก่พนักงานเป็นค่าใช้จ่ายขององค์กร ดังนั้นจึงไม่ได้คิดอะไรเลยที่จะให้แก่ผู้ที่ทำประโยชน์ให้แก่องค์กรได้จริง; ถ้าผมเป็นเจ้าขององค์กรแต่ผู้เดียว-ไม่มีหุ้นส่วนเลย ความคิดนี้ก็ยังน่าจะใช้ได้อยู่เช่นกันครับ
เมื่อทำไปตามแนวคิดนี้แล้ว ลูกน้องจะเห็น จะเข้าใจ จะยินดี แม้แต่นาย/บอร์ดจะชอบหรือไม่ ก็ไม่ใช่ประเด็นครับ ประเด็นอยู่ที่เราทำสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ คุ้มค่าที่องค์กรจ้างหรือไม่
ถ้าทำสิ่งที่เป็นธรรมแล้วเป็นสิ่งผิด องค์กรนี้คงจะเป็นสถานที่อโคจรมั๊งครับ แล้วถ้าเราเลือกอยู่ในสถานที่นั้น ก็อย่าไปโทษใครเลยครับ -- แหล่งเสื่อมโทรมยังมีโอกาสปรับปรุงได้ แต่ว่าต้องหาแนวร่วมมาช่วยกันนะครับ เปลี่ยนสังคมแนววิพากษ์เป็นสังคมแนวปฏิบัติ อย่ารักองค์กรจนสำลักน้ำลายตายเลย ความจงรักภักดีแบบนั้นไม่มีประโยชน์กับใครเลยครับ
ยอดเลยครับอาจารย์ ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ มีคุณ minisiam ที่มีบล๊อกเรื่องนี้โดยตรง ครับ
ส่วนของ OpenCARE เป็นระบบข้อมูล open-source software เกี่ยวกับการเตือนภัย การรายงานสภาพ และการประสานงานเกี่ยวกับการจัดการภัยพิบัติ โดยเชื่อมโยงส่วนราชการ NGO และอาสาสมัครครับ
ส่วนเรื่องบล๊อกเกอร์ในดวงใจ ผมโดนไปแล้วเมื่อปลายเดือนมีนาคม; เขียนไว้ที่นี่ครับ
มีข้อสังเกตว่าผู้ที่ถามคำถามผม มักไม่ค่อยยอมเข้าระบบกัน อาจจะไม่ได้เป็นสมาชิก หรือเป็นสมาชิกที่เข้ามาอ่าน-ไม่ได้ตั้งใจจะเขียน ก็เลยไม่ได้เข้าระบบ
เรื่องนี้ทำให้ผมคาดเดาบริบทของคำถามได้ยาก เนื่องจากไม่แน่ใจว่าถามจากมุมไหนนะครับ เมื่อจะเตรียมคำตอบ ก็ไม่รู้ว่าจะนำไปใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ครับ
ดังนั้นหากไม่อายจนเกินไป ขอความกรุณาช่วยเข้าระบบด้วยครับ จะได้นึกถึงวิธีประยุกต์คำตอบได้ ยกตัวอย่างได้ดีขึ้น
ขอบคุณครับ
ขอบคุณสำหรับคำถามครับ เป็นคำถามแรกเลยตั้งแต่เป็นสมาชิก G2k มา และน่าสนใจจริงๆ ส่วนคำตอบไม่อิงทฤษฎีใดๆนะครับ อ่านแล้วต้องไตร่ตรองก่อนเอาไปประยุกต์ใช้ เพราะสถานการณ์/ข้อจำกัดของแต่ละองค์กรไม่เหมือนกัน แต่ถ้าไม่เห็นด้วย ก็ทิ้งไปเลยครับ
เริ่มที่ประโยคว่า คนเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดขององค์กร ประโยคนี้ เหมือนเป็นปรัชญาศักดิ์สิทธิ์ แต่เราต้องถามตัวเองว่า มีความหมายแท้จริงแค่ไหน เชื่ออย่างนี้จริงหรือไม่ แล้วทำให้เป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่า
พนักงานควรจะได้รับโอกาสให้พัฒนาตนเองได้ตามศักยภาพ แต่เขาได้รับโอกาสมากขนาดไหน หัวหน้าคือตัวเรา เชื่อใจ ให้โอกาส และพร้อมที่จะประคับประคอง-แต่ไม่ใช่ทำงานแทน-เขาแต่ละคนขนาดไหน
ผมเชื่อว่าเมื่อพนักงานได้รับโอกาสให้ค้นหาสิ่งที่ตนชอบและถนัด (ตามแต่โอกาสจะอำนวย) ประสิทธิผลน่าจะดีกว่าการกำหนดโดยคนบนหอคอยงาช้างครับ หัวหน้าก็ไม่ได้รู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับงานหรือพนักงานอยู่ดี ไม่ว่าจะสนิทกันขนาดไหน ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่คนคนเดียวกัน
เรื่อง career path บางทีอาจจะต้องเป็นการหาจุดสมดุลย์ระหว่างสิ่งที่องค์กรต้องการ กับสิ่งที่พนักงานทำได้ดี เมื่อองค์กรต้องการแต่พนักงานทำไม่ได้ ก็ไม่ใช่การ put the right man into the right job จะไม่มีใครได้อะไรเลย
สิ่งที่พนักงานทำได้ดีนั้นสำคัญมาก หัวหน้าจำเป็นต้องรู้ เมื่อคนหนึ่งทำงานหนึ่งได้ดี องค์กรได้ผลโดยตรง ตัวพนักงานเองได้ความมั่นใจ-ได้ผลงาน หัวหน้าก็ได้บรรลุเป้าหมายด้วย ทุกคนได้กันหมด
ตำแหน่งงาน
สำหรับผมซึ่งมีลักษณะลูกทุ่งมาก และไม่ยึดรูปแบบ เห็นว่าเรื่องตำแหน่งซึ่งไขว่คว้ากันมากเหลือเกิน เป็นเพียงความพยายามที่จะเอาไปอวดอ้างกันระหว่างเพื่อน (อย่างไรก็ตามเรื่องนี้สำคัญเหมือนกันสำหรับคนที่ไม่ค่อย mature)
ในองค์กรที่ผมอยู่ เผอิญผมมีอำนาจบางอย่างที่จะทำอย่างนี้ได้ คือพูดแล้วคนเชื่อ ก็เลยประกาศไปเลยว่าตำแหน่งไม่สำคัญ ใครอยากได้ตำแหน่ง ผมก็สามารถตั้งตำแหน่งเทพอสูรมารฟ้า-เจ้าแม่สไบทอง ให้ไปยืนเฝ้าตามเสาอะไร ผูกผ้าแพรสามสี-เจ็ดสีก็ได้
หากอยากเป็นหัวหน้า ก็พิสูจน์ตัวเองมาก็แล้วกัน ว่าพร้อมแล้วสำหรับการเป็นหัวหน้าจริงๆ ซึ่งหากจะพิสูจน์ตัวเองได้ หัวหน้าก็ต้องให้โอกาส แล้วผมก็ทำให้องค์กรที่อยู่ เป็นองค์กรของโอกาสจริงๆ
เรื่องการให้โอกาสนี้ เราจะพบว่าหัวหน้าบางคนไม่อยากจะทำเลย กดหัวพนักงานเอาไว้ โดยลืมไปว่า หากไม่มีใครมาแทนตน คนที่ดักดานนั้นไม่ใช่แค่ลูกน้องเท่านั้น ตัวเองก็ไปไหนไม่รอดด้วย
ถ้าลูกน้องมีปัญหา แล้วมาถามหัวหน้า โดยหัวหน้าตอบได้เพราะเคยทำงานนั้นมาก่อนเมื่อสิบปีที่แล้ว ไม่ทราบว่าใครจะคิดอย่างไรนะครับ แต่ผมเหวอมากเลย นี่เป็นสัญญาณบอกว่าองค์กรนี้ไม่ได้พัฒนามาสิบปีแล้ว ทุกอย่างยังเหมือนเดิม
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ลูกน้องจะเก่งกว่าหัวหน้า และหัวหน้าเป็นหัวหน้า ก็ไม่ใช่เพราะเก่ง เรามีหัวหน้าไว้แก้ปัญหาและเอาชนะข้อจำกัดต่างๆต่างหาก
ลักษณะโตแล้วแตก มี drawback ที่ต้องระวังเหมือนกัน คือเมื่องานมีความซับซ้อนขึ้นจนไม่สามารถจะจัดการได้ด้วยคนคนเดียว บางทีก็ควรแยกออกเพื่อให้สามารถจัดการได้อย่างทั่วถึง
แต่เมื่อแยกออกแล้ว ก็จะเกิดลักษณะ peer ขึ้น แรกๆก็อาจจะดี (เหมือนดู demo) แต่ต่อไปก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความร่วมมือเพื่อเป้าหมายขององค์กร จะเปลี่ยนเป็นการแข่งขันเพื่อเป็นใหญ่หรือไม่ ดังนั้นก่อนจะทำอย่างนี้ คิดให้ดีครับ
เงินเดือน
ไม่อิงทฤษฎีไหนอย่างที่เรียนให้ทราบครับ เงินเดือนเป็นสิ่งที่ตกลงกันไว้แล้วตั้งแต่ตอนรับเข้าทำงาน ดังนั้นการขึ้นเงินเดือนตามอัตราเงินเฟ้อ ก็ควรจะถือว่าเป็นธรรมแล้ว (มีรายละเอียดอื่นๆแต่เขียนไม่ไหว)
เงินเดือนเป็นต้นทุนขององค์กรซึ่งเกิดขึ้นสำหรับพนักงานทุกคน/ทุกตำแหน่ง ตลอดไปจนพนักงานออกหรือเกษียณอายุไป หากขึ้นเงินเดือนสูงกว่าระดับอัตราเงินเฟ้อแล้ว หมายความว่าองค์กรจะต้องได้ งาน จากพนักงานคนนั้น มากกว่าตอนที่เขาเริ่มงาน (หรือตอนที่ประเมิน)
ดังนั้นการขึ้นเงินเดือนเพื่อตอบแทนผลงานในอดีตนั้น จึงเป็นเรื่องเหลวไหลที่สุด เพราะไม่มีอะไรรับประกันว่าผลงานจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่องค์กรต้องจ่ายเงินเดือนทุกเดือน
การตอบแทนผลงานในอดีตมีหลายวิธี แต่หากจะใช้การตอบแทนเป็นตัวเงิน ก็ควรใช้โบนัสครับ อย่าเอาเรื่องเงินเดือนมาปน
การขึ้นเงินเดือนในอัตราพิเศษ ควรจะทำก็ต่อเมื่อพนักงานคนนั้น สามารถปรับปรุงศักยภาพในการทำงานได้ดีขึ้นเท่านั้น
เงินเดือนเป็น Recurring expense เกิดแล้วเกิดอีกทุกเดือน อีกทั้งสิทธิประโยชน์อื่นๆก็พอกพูนขึ้นด้วย ดังนั้นหากจะเปลี่ยน "ค่าใช้จ่าย" นี้ ให้เป็น "การลงทุน" (เพื่อที่องค์กรจะได้คืนอย่างคุ้มค่าในอนาคต) ก็พยายามดูที่การปรับปรุงศักยภาพดีกว่าครับ
หากทำได้ตามนี้ ก็จะเกิดการแซงคิวกันตามธรรมชาติในแบบที่ไม่มีใครโต้แย้งได้ ไม่ปั่นป่วน องค์กรก็จะได้คนดีจริงๆ คนยังไม่ดีพอก็ยังทำงานอยู่ได้-เรียนวิทยายุทธ์-ชุบตัวไป ส่วนคนที่ไม่ดี ก็จะค่อยๆหายไปเอง
การจูงใจอื่นๆ
การตอบแทนผลงาน และการจูงใจนั้น ยังมีวิธีการอื่นๆที่จะใช้ได้อีกนอกจากเรื่องของตำแหน่ง career path และเงินครับ ส่วนจะเลือกวิธีไหน ก็ขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อมในที่ทำงานนั้นๆ
ถ้าเขาเป็น knowledge worker จริงๆ บางที challenge ให้เขาไปหาคำตอบที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กร ให้อิสระทางความคิดไป และสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่ จะเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายมากกว่าการเอาตำแหน่งหรือเงินฟาดหัวเค้านะครับ
Recognition เป็นเรื่องจำเป็น อย่ามองว่าหัวหน้าควรจะเคร่งขรึมวางฟอร์มอยู่ตลอดเวลา (หัวหน้าประเภทฟอร์มจัดมักจะไม่มีอะไร แต่กลัวคนรู้) ต้องมอง recognition ว่าเป็นระบบ feedback เพื่อให้พนักงานแต่ละคนรู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี และที่สำคัญคือทำไมจึงเป็นอย่างนั้น เช่นเวลาประกาศพนักงานดีเด่น แค่บอกชื่อนั้นง่ายไป เดี๋ยวก็กลายเป็นการผลัดกันรับ ต้องประกาศพนักงานดีเด่นพร้อมเหตุผลที่กรรมการเลือก และวิธีการที่พนักงานสร้างผลงานนั้น ให้พนักงานคนอื่นเรียนรู้ไปด้วย
สรุปแบบงงๆ
ผมคิดว่า career path ควรจะเป็นการวางแผนร่วมกันระหว่างองค์กรกับตัวพนักงานแต่ละคนครับ ไม่ควรมี pattern ตายตัว ลูกน้องไม่ต้องเดินตามรอยของหัวหน้า ควรเปิดโอกาสให้พนักงานแต่ละคน ไปใน track ที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองและองค์กร ไม่ควรถือเป็นส่วนของ reward & incentive
Career path ไม่ใช่กรอบชีวิต แต่เป็นเพียงแผนที่วางจากข้อมูลในเวลานี้ จะเกิดขึ้นหรือไม่เกิด ก็ขึ้นกับศักยภาพของตัวพนักงานเอง พนักงานที่ไม่สามารถจะเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากขึ้นสำหรับองค์กร ไม่มี career path เป็นตัวประกอบ-ใส่ชุดเหมือนๆกัน-ไม่มีบทพูด
Hard facts ที่ Hard to bite ครับ
ที่เขียนความเห็นไปอย่างนี้ ตลอดสิบปีที่ผ่านมาก็ขึ้นเงินเดือนและจ่ายโบนัสทุกปีโดยไม่ต้องทิ้งหลักคิดอันนี้นะครับ ไม่เคยต้อง layoff พนักงานด้วย ที่ทำอย่างนี้ได้ เพราะเริ่มสร้างแนวคิดแบบนี้มาตั้งแต่องค์กรยังเล็กอยู่ คนเข้ามาใหม่ก็ถูกกลืนเข้าสู่วัฒนธรรมองค์กร