อนุทินล่าสุด


มันอ้น
เขียนเมื่อ

... 22 กันยา. ... วันนี้แสงแดดตกตั้งฉากที่เส้นศูนย์สูตร นั่นคือกำลังผ่านเปลี่ยนสู่ฤดูกาลใหม่... ลมหนาวอ่อนๆ เริ่มโชยมาพอรับรู้ได้ ไล่เมฆหมอกที่คลุมฟ้าให้หายไป นี่คือ "วิษุวัต" ของโลก .... ที่อุตรดิตถ์เห็นมุมแสงแดด 72.4 องศาจากขอบฟ้าด้านใต้ เหนือขึ้นไปมุมก็แคบลงเรื่อยๆ ความเข้มของแสงลดตามไป หนาวก็ตามมา... ..... ลมฟ้าก็เป็นเช่นนี้เอง



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

มันอ้น
เขียนเมื่อ

วันนี้ได้ฝังต้นไม้ไป 5 ต้นบนที่ดินในหมู่บ้าน มี ขนุน 2 ต้น มะม่วงน้ำดอกไม้ 1 ต้น และ ทุเรียนอีก 2 ต้น รีบขุดฝังตอนแดดเปรี้ยงๆ เวลาบ่าย 2 เพราะเห็นอุตุบอกฝนจะลงมาประมาณ 70 % ของพื้นที่ ตั้งแต่เชียงใหม่ ยัน เพชรบูรณ์ อีกทั้่งเมื่อคืนก็เทลงมามากมายเอาการอยู่ เลยเชื่อสนิท แต่ที่ไหนได้ตั่้งแต่ฝังไว้ยังไร้เม็ดฝนโดยสิ้นเชิง... ท่าจะไม่รอดเสียละมั้๊ง ภาวนาให้คืนนี้หรือพรุ่งนี้โปรยปรายมาหน่อย เื่ผื่อจะรอด ให้ชาวบ้านได้เก็บกินกันมั่งในอีก 5-6 ปีข้างหน้า



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

มันอ้น
เขียนเมื่อ

ข้าวโพดต้มสุก ว่ากันว่าข้าวโพดต้มสุก ต้านโรคมะเร็ง มีสารตัวล้างพิษมากกว่าผักผลไม้

นักวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐฯ รายงานในวารสารสมาคมเคมีแห่งอเมริกาว่า ข้าวโพดหวานที่ปรุงสุกแล้วจะออกฤทธิ์ล้างพิษ ในร่างกายสูงขึ้นได้อย่างเด่นชัด

เขาเผยว่าผิดกับที่เคยเชื่อกันมาก่อน ว่าผักและผลไม้หากต้มปรุงสุกแล้วจะเสียคุณค่าทางอาหารลงไป สู้กินดิบๆ ไม่ได้ แต่ข้าวโพดหวานยังคงสามารถเก็บพลังเป็นตัวล้างพิษคงไว้ได้ แม้ว่าจะเสียวิตามินซีไป

เขาได้พบในการต้มข้าวโพดหวาน ด้วยอุณหภูมิสูง 115 องศาเซลเซียส ในเวลานานต่างกัน 10, 25 และ 50 นาที พบว่ายิ่งต้มนานจะทำให้มันมีสาร อันเป็นตัวล้างพิษเพิ่มขึ้นเป็น 22, 44 และ 53 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารที่ออกฤทธิ์ ! เป็นตัวล้างพิษช่วยดับพิษของพวกอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นอันตรายกับเซลล์ของอวัยวะต่างๆ ทั้งยังมีส่วนเกี่ยวพันกับโรค อันเนื่องมาจากความแก่ชรา ต่างๆ อย่างเช่นต้อกระจก และโรคสมองเสื่อมอีกด้วย

คณะนักวิจัยแจ้งว่าข้าวโพดหวาน ที่ต้มหรือปิ้งจะปล่อยสารประกอบที่เรียกว่า กรดเฟรุลิก อันเป็นคุณกับร่างกาย ยิ่งมากขึ้นเมื่อถูกความร้อนสูงขึ้น หรือเวลานานขึ้นกรดเฟรุลิกเป็นพวกพฤกษเคมีซึ่งในผักและผลไม้มีอยู่ไม่มากนัก แต่กลับพบมีอยู่อย่างอุดมในข้าวโพด ผสมปนเปรวมอยู่กับอย่างอื่น การทำให้มันสุกจึงช่วยทำให้มัน ปล่อยกรดเฟรุลิกออกมาได้มากขึ้น

.... รู้อย่างนี้แล้วคงต้องหาข้าวโพดต้มมารับประทานเพิ่มมากขึ้นเสียแล้ว .....



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

มันอ้น
เขียนเมื่อ

วันที่ 7- 16 พค. 2555 กลับไปทุ่งคล้า อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เพื่อทำศพให้คุณยาย อายุ 103 ปี .... อายุ 103 ปี ถือว่ามาก แต่ตามความน่าจะเป็นยายน่าอยู่ได้อีกไม่น้อยกว่า 10-20 ปี ถ้าไม่ไปหกล้มกระดูกเชิงกรานแตก เมื่อปี 2550 ทำให้เดินไม่ได้ คุณภาพชีวิตเลยลดลงมาก ต้องนั่งๆ นอนๆ เท่านั้น จึงทำให้ร่างกายทรุดโทรมเร็ว ทำไมจึงคิดอย่างนี้ เพราะคุณยายเป็นคนมีลักษณะพิเศษมากๆ ของร่างกายมนุษย์ ด้วยตั้งแต่เกิดมาไม่เคยป่วย เป็นไข้อย่างไรไม่รู้จัก ทั้งชีวิตไปโรงพยาบาล 3 ครั้ง คือ งูกะปะกัด 1 ครั้ง  มะพร้าวหล่นใส่หลัง 1 ครั้ง และเปลี่ยนเลนต์ตาอีก 1 ครั้ง  ก่อนหกล้มยายยังไปทำสวนทุกวัน ไปช่วยงานที่วัดทั้งงานบุญ งานศพ สวดมนต์ไม่เคยขาด การหกล้มก็เกิดขึ้นในงานที่วัดนั่นแหละ



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

มันอ้น
เขียนเมื่อ

...... วันเวลา กับ ใจตน ......

วันเวลามีไม่มากนัก ..... (จริงไม๊ ??)

เผลอแผล็บเดียวก็ผ่านไป ..... (หรือไม่จริง ??)

ปีก่อนเอาของคนบ้านเหนือ ..... (เอาไรเขามา ..)

ปีนี้ต้องคืนคนบ้านใต้ ..... (ต้องคืนไป กรรมมันมองไม่เห็น รึใครเคยเห็น??)

ทรัพย์สินไร่นาฉ้อฉลโกงเขามา ..... (ดูเขาทำ ดูดุ๊)

เหมือนดอกไม้บานยามเช้า ..... (แล้วไง ??)

เย็นลงก็โรยรา ..... (ก็มันไม่จีรังน่ะดิ มีมาก็ย่อมมีไป .. ตามธรรม)

ทำร้ายเขา... ถูกเขาทำร้าย...เมื่อไรจะหยุด .....(ไร้อาณาเขต)

ก่อเรื่องเกิดราว... เมื่อไรจะสิ้นสุด .....(ไร้พรมแดน)

จิตใจคนร้ายยิ่งกว่าอสรพิษ ..... (กิเลสปูพรมนุ่มๆ เชิญให้เดินเสมอ)

เวรควรแก้.... ไม่ควรก่อ..... (ธรรมะจึงเป็นมรรคาแห่งการต่อต้าน.. ปล้ำกับมัน)

 

ทุกนาที.. พึงสำรวจตรวจตราใจตน ..... (สาธุ)



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

มันอ้น
เขียนเมื่อ

มองโลกในแง่ดี และปฏิบัติดี

.... หลายวันก่อนได้รับอีเมล์ จากเพื่อนเก่าที่จากไปนานจนเกือบลืม .. นานจริงๆ แต่เขาก็ส่งอีเมล์มาหาเราได้ .. ทึ่งมาก หามาได้ไง.. เพื่อนคนนี้หายไปนานแล้วจริงๆ ไม่ได้ติดต่อกัน จนตอนต้นปียังนึกอยู่เลยว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่.. ทำไมเรานึกถึงเขา..??? .... ช่างเถอะเขายังมีชีวิตอยู่นั่นคือสิ่งที่เราดีใจสุดๆ ..เป็นคำตอบที่ดีมิใช่หรือ ??

.... ถ้าเป็นสมัยก่อนอาจบอกว่านี่คือลางสังหรณ์นะ .. แต่คนสมัยนี้ไม่มีแล้ว ลางสังหรณ์คงตกใจกับความไวของหนีเทคโนโลยีไอที .. อยากบอกก็ยกหูโทร... ตึ๊ดๆๆ หยุงหยิงหนุงหนิงก็รู้เรื่องแล้ว อยากเห็นหน้าก็เวบแคมซะเลย... อย่ากระนั้นเลยหนูสังหรณ์แอบหลบไปดีกว่า ...

.... เอาเข้าเรื่องซะที เมล์ฉบับนั้นไม่ได้ส่งข่าวว่ายังมีชีวิตอยู่เท่านั้น แต่ยังส่งความที่น่าคิดมากๆ กับการมองโลกในแง่ดี ... หลายครั้งเคยผ่านๆ ตาแล้วนะ หลายคนคงเคยเห็นมาบ้างนะ แต่ขอบันทึกไว้เป็นแก่นสารซะหน่อย...

... มีดังต่อไปนี้... (ในวงเล็บไม่เกี่ยว.. เป็นของผมเอง..แหะๆๆ)

• ฉันขอขอบคุณสำหรับ.... สำหรับสามีที่นอนกรนทั้งคืน

... เพราะนั่นหมายถึงเขากำลังหลับอยู่ที่บ้านกับฉันไม่ใช่กับผู้หญิงอื่น  ....
(ฮาๆ เราก็เป็น)

• สำหรับลูกสาววัยรุ่นที่กำลังบ่นเรื่องล้างจานอยู่

... เพราะนั่นหมายถึงเธออยู่บ้าน ไม่ใช่ที่ถนน ...
(ผับบาร์ ร้านเหล้า ดริ๊งค์.....ต่อไปๆๆๆ...เอ้อน่าเป็นห่วงสังคมยุคนี้) 

• สำหรับภาษีที่ต้องเสีย
... เพราะนั่นหมายถึงฉันมีงานทำ... (เออเพิ่งนึกได้วุ๊ยเรา.. ใครไม่อยากเสียภาษีก็ไม่ต้องมีรายได้ซะก็หมดเรื่อง... มากไปป่ะเนี่ยะ)

• สำหรับข้าวของต่างๆ ที่ต้องคอยเก็บหลังงานสังสรรค์

... เพราะนั่นหมายถึงฉันถูกห้อมล้อมด้วยเพื่อนฝูง ...

(มีเพื่อนนั่นดี แต่ตอนนี้เหนื่อย... ทำไปๆๆๆๆ ของีบหน่อยแล้วกัน.. หุหุ)

• สำหรับเสื้อผ้าที่เกือบจะคับเกินไป

... เพราะนั่นหมายถึงฉันยังมีกิน ... 

(อินี่บ่แน่ดอก นาย.. อวบ..อ้วน..พานมีโรคกวนเน๊อะ)

• สำหรับเงาที่คอยตามติดดูฉันทำงาน

... เพราะนั่นหมายถึงฉันกำลังได้รับแสงแดด ... 

(ถูกแดดซะมั่งก็ดี .. คนเดี๋ยวนี้กำลังจะตายเพราะเป็นโรคเฉาแอร์กันอยู่แล้ว)

• สำหรับพื้นที่ต้องคอยขัดถู และหน้าต่างที่ต้องทำความสะอาด

... เพราะนั่นหมายถึงฉันมีบ้านให้ดูแลรักษา ... 

• สำหรับที่จอดรถที่อยู่ไกลสุดของลานจอดรถ

... เพราะนั่นหมายถึงฉันสามารถเดินได้  และฉันมีรถ ...

(เหอะ..ก็ที่ใกล้ๆ มันไม่มีอ่ะ)

• สำหรับผ้ากองโตที่รอการซักรีด (ไม่ยากเครื่องซักทำงานไป แล้วส่งจ้างเค้ารีด...คนอื่นจะได้มีงานทำมั่ง)

... เพราะนั่นหมายถึงฉันมีเสื้อผ้าสวมใส่ ... (อ๋อ..มองแง่นี้เหรอ..โอเคจ้า)

• สำหรับหญ้ารกรุงรังที่ฉันต้องตัดอย่างเหนื่อยอ่อนเป็นประจำ
... เพราะนั่นฉันยังมีที่ของฉันและแรงดีอยู่ ... (อันนี้ชอบอ่ะ ได้ออกกำลังกายแบบแอโรบิคเชียวน๊า เข็นรถไถหญ้าโย้ไปหน้าโยกมาหลัง .. โยกไปโยกมา.. เผลอแป๊บเดียวครึ่งชั่วโมงแล้ว ได้เหงื่อท่วมตัวทีเดียวเชียว.. ใครอยู่บ้านใกล้ให้ไปไถก็ได้นา... บอกมา)

• สำหรับความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าทุกสิ้นวัน

... เพราะนั่นหมายถึงฉันสามารถทำงานหนักได้ ... 

• สำหรับเสียงปลุกในทุกๆ เช้า

... เพราะนั่นหมายถึงฉันยังมีชีวิตอยู่ ...

(เห็นด้วยอย่างมาก.. แต่ต้อง.. หือ สว่างแล้วหรือ ?? / หือ 6 โมงแล้ว หรือ ?? ฯลฯ ... นั่นแปลว่าเรายังหายใจอยู่และยังมีสติสัมปะฯ อยู่.. มิได้ หือ..เฉยๆ .. นั่นมันอัลไซเมอร์แล้ว..... มีชีวิตต้องมีจิตวิญญานอยู่ด้วย...มะงั้นตายซะดีกว่า.. ว่าไม๊ ??)

และสุดท้าย....... • สำหรับอีเมล์ที่ส่งมาหาฉัน

... เพราะนั่นหมายถึงฉันยังมีเพื่อนอยู่ ...
(เหอๆ  ไม่เอาเมล์ขยะนะจ๊ะ) 

... ดูเหมือนเป็นการถอดความจากฝรั่งมังค่ามาน๊า ฝรั่งชมพู่นี่ว่าไปเป็นคนช่างคิดดี คงเป็นนิสัยมาตั้งแต่เกิดด้วยสภาวะแวดล้อมเขตอบอุ่น 4 ฤดู ไม่คิดแก้ปัญหา..ตายอย่างเขียด (ถูกสิบล้อเหยียบ)ในฤดูหนาว เพราะไม่มีอะไรกิน ซ้ำยังหนาวทารุณ.. เพาะปลูกก็ไม่ได้ ต้นไม้ใบหญ้าพากันตายเกลี้ยง (ไม่ตายก็ไม่โตแหละ) ไม่เหมือนบ้านเรา ฝนเยอะ อากาศไม่ทารุณ สบายๆ กินๆ ถุยๆ ยังงอกเป็นต้นใหม่ให้เราเก็บกินต่อไปได้..จริงป่ะ .. อุดมสมบูรณ์ เลยไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องคิดมาก พาลให้เรื่อยๆเฉื่อยๆ สบายๆ (ไม่เชื่อถามเบิร์ดดูซี).. เอ้า..ไม่ได้ว่าใครน๊า... อากาศมันเป็นเป็นเหตุต่างหาก

... อย่างไรก็ตามถึงถอดมาจากฝรั่ง จีน อินเดีย ก็ไม่เป็นไร เพราะดูเหมือนเป็นเรื่องที่ดี ที่ควรคำนึง ก็นำมาบันทึกไว้กันลืม .. ดูท่าเราจะกลัวอัลไซเมอร์มากนะเนี่ยะ...



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

มันอ้น
เขียนเมื่อ

๑๒ พ.ย.๒๕๕๔ ๒๑,๐๗ วันนี้ ตอนนี้อยู่เชียงใหม่ ... มาถึงเมื่อวานนี้ ยังมีร่องรอยของงานยี่เป็งอันยิ่งใหญ่หลงเหลือ ... พบเห็นโคมลอยที่ร่วงหล่นจากฟ้าเกลื่อนไปหมด ไม่ว่าริมฟุตบาทหน้าตลาดต้นพยอม หรือ ใกล้กระท่อมที่สันป่าตอง หรือกลางท้องนาที่สันทราย ก็ไม่วายพบเจอ ... เมื่อคืนทั้งคืนเสียงพลุ ปึง ปึง ปัง ปัง ยังไม่หยุด ลุล่วงมาถึงวันนี้ขณะนี้ก็ยัง ปึง ปึง ปัง ปัง ไม่คลายลงไป ... ฟังไปได้ยินไป อดคันในหัวใจไม่ได้ .. ... ประเพณีควรสืบทอดเพื่อดำรงค่าของมนุษย์ แต่ความหมายมันอยู่ที่ใด อะไรคือขอบเขต เอาสนุก เอามัน แต่ไร้ความหมายก็ไร้ค่า ... ทุกครั้งที่เห็นโคม ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงปึงปัง เกินขอบเขตของประเพณีที่ดีงามและมีความหมายของชาวล้านนาถิ่นไทยงามแล้วพานพาให้คิดไปไกลถึงการเผาเงินเล่น... จำเป็นหรือไม่ ... ???? ... .... วันนี้อากาศที่เชียงใหม่กำลังดีมากๆ เหมือนเดินเล่นที่คุนหมิงกลางเดือนพฤษภาคมทีเดียว... ... เห็นชาวตะวันตกพากันมาซื้อบ้านในหมู่บ้านจัดสรรใส่ชุดบิกินีนอนผึ่งแดดที่หน้าบ้าน กัน 3-4 คน ... โห๊ะ ยิ่งกว่าฮิปโปเกยตื้น... เสรีดีแท้เมืองเรา นี่เด็กรุ่นๆ เห็นแล้วหามาใส่ผึ่งเล่นบ้างจะเป็นไรไหม ?? ... ว่าแต่ว่าวันนี้เป็นต่างชาติมาสิงสถิตย์ที่เชียงใหม่มากขึ้นๆ ทุกวันๆ เดินกันขวักไขว่ ที่เซนทรัลแอร์พอร์ต .... มีผลอะไรกับวัฒนธรรมเมืองบ้าง ???? .... อนาคตมาเพิ่มอีกไหม ??? .... คนเมืองได้อะไร ??? .... ค่าครองชีพดีดตัวเร็ซขึ้นไหม ??? .... ค่าที่ดินแพงขึ้นไหม ??? .... ที่ทำกินหลุดมือไปอีกมากน้อยเพียงใด ??? .... ความเป็นเมืองกระจายตัวออกไป.. มีใครคุมบ้าง .. ........ อย่าให้เชียงใหม่เปลี่ยนไปเช่น กทม.เลยพ่อคู้นนนนนนนน ..... ....... ใครก็ได้ช่วยทีเถอะ ......



ความเห็น (1)
  • อ่านประเด็นที่ท่าน "ผศ.เชาว์ เพชรราช" เป็นห่วงเป็นไยแล้ว เผลอคิดไปว่า ท่านเป็นนักสังคมวิทยา ไม่ใชนักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม
  • สิ่งที่ท่านเป็นห่วงเป็นไย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแสดงออกในงานประเพณี และผลกระทบจากการที่ชาวต่างชาติเข้ามาใช้ชีวิตในท้องถิ่น เป็นสิ่งที่ผู้เกี่ยวข้องน่าจะนำไปคิดพิจารณาหาทางออกที่เหมาะสม นะคะ
  • ท่านนี่ก็ปากร้ายไม่เบานะคะ แหม่มทั้งหลายจะรู้สึกอย่างไรน้า ถ้าพวกเธอรู้ว่า ถูกมองว่าเป็น "ยิ่งกว่าฮิปโปเกยตื้น" รู้สึกเมือนกันค่ะว่า ชาวตะวันตกนี่ (ถึงท่านจะปากร้ายแต่ก็ใช้คำสุภาพที่เรียกว่า "ชาวตะวันตก : The Westerner" แทนการเรียกว่า "ฝรั่ง") พวกเธอและเขามั่นใจในตัวเองจริงๆ ไม่ว่าจะรูปร่างอย่างไร ก็สามารถแต่งชุดว่ายน้ำเดินหรือนอนอาบแดดท่ามกลางสายตาผู้คนได้ โดยไม่มีอาการกระดากอายแต่อย่างใด    

 

มันอ้น
เขียนเมื่อ

ปฐมบท...

       เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2552 ได้ซื้อคอมกึ่งไฮโซ.. เขาว่างั้นนะ ยี่ห้อ TOSHIBA.. น่าจะเป็น TASHIBO แล้ววันนี้ มาในราคา 37,500 สเปค จอ 13.3 นิ้ว CPU I-3, Ram 4 M, HDD 500 GB.  สีชมพูหวานแหวว วินโดว์ของแท้  จากบริษัทหนึ่งในจังหวัดที่อยู่  (ไม่ได้เป็นคนเมืองเทพนะ.. อิอิ)

มัฌิมบท...

       เมื่อ 9 ตุลาคม 2554  อาการเครื่องร้อน... แป้นอักษรพิมพ์ ลมดีลมร้าย ติดๆ ดับๆ พิมพ์ได้บ้างไม่ได้บ้าง  ทัชแพดไม่ทำงาน แต่ถ้าปิดแล้วเปิดเครื่องใหม่บางครั้งก็กลับมาเป็นปกติ แต่ใช้ๆๆ ไปสักพักก็กลับมาหลอกหลอนอีก..... ส่งไปที่บริษัทที่ซื้อมาตรวจสภาพ  บอกอาการที่เกิดขึ้นทุกอย่าง .....  หายไป 3 วัน ให้ไปรับเครื่องคืน.. บอกว่าปกติแล้ว..  โอเค  ก็ช่างบอกเนี่ยะ  แต่ดูหน้าช่างที่มาคุยด้วย  ซักไปซักมา ดูทำท่ามึนๆ  ..(คิดในใจดูไม่น่าไว้ใจนะ)  เอาละรับกลับมาลองใช้ดูก่อน..  เปิดเครื่องปุ๊บ ... อาการที่ว่าไว้กลับมาแสดงตนว่าฉันยังอยู่นะ ไม่ได้หายไปไหน.. เซ็ง .. นึกแล้วเชียว (เอ..เราท่าจะรุ่งถ้าเป็นหมอดูโหงวเฮ้ง .. ก็ดูหน้าช่างก็เหมือนมองทะลุได้นิ..) 

       เอ้า..เอากลับไปที่บริษัทอีกครั้ง  คราวนี้เจ้าของบริษัทมาคุยด้วยเลย  เพราะรู้จักกันมาก่อน ...  รับเอาเครื่องกลับเข้าไปดูใหม่  ครานี้เป็นเครื่อง VIP นะ   คงได้รับการดูแลอย่างดี  ผ่านไป 2  วัน  (เร็วกว่าคราวก่อน) บอกว่าใช้การได้แล้วนะ... 

      เอากลับบ้านเปิดใช้งาน.. เอ..ดีแฮะ  โย้วๆๆ  หายแล้ว  แต่ยัง  ยัง  ยัง  ช้าก่อนโยม..พอวันที่ 3 เท่านั้นอาการทั้งหมดก็กลับมาหลอกหลอนให้ลมขึ้นอีกครั้ง... วิ่งแจ้นไปที่บริษัททันที .....  โวยวายซะหน่อย.. นู่น  นี่  นั่น .. ไรวุ๊ย.. เด็กรับงานหน้าเสีย (มานึกเสียใจวันนั้น.... ว่าเราโวยทำไม.. มันไม่เห็นทำให้เครื่องมันกลับมาดีได้หรอก ?? เด็กๆ อาจถูกตำหนิเอาเปล่าๆ .. กรรมแท้ๆๆ  อารมณ์คน)   คราวนี้ทางบริษัทบอกว่าหมดปัญญาแล้วครับ...  ต้องส่งบริษัทใหญ่ที่เมืองเทวดา ..  เอางั้นก็เอา  มันหมดทางแล้วนี่....

       ก็เลยตกลงส่งไปโตชิบ้ากรุงเทพฯ  หายไป  2  อาทิตย์  มีเสียงโทรศัพท์ตามที่ให้เบอร์ไว้...โทรกลับมาบอกเครื่องนี้เมนบอร์ดเสีย... (เฮ้ยๆๆๆๆ  อย่ามาล้อเล่นนา... มันไม่ถึง 2 ปีดี อะไรกัน.. มันหลายเงินนะนั่น) 

       ถามกลับไปเท่าไรครับ...เ

       เสียงตอบกลับ... ประมาณ  11,450 บาท  ซ่อมไหมคะ ???

       โอ้วแม่เจ้า.... เพิ่มอีก 6,000-8,000 สเปคนี้ ได้เครื่องใหม่+ประกันอีก 1 ปี สบายๆ  เลยตอบกลับไปทันใดไม่ต้องคิด  "ไม่ซ่อมครับ"

       อีก 5 วันให้หลังทางบริษัทแจ้งว่ามารับเครื่องคืน  เลยไปรับคืน  แต่ต้องเสียค่าขนส่ง+ค่าเปิดเครื่อง  850 บาท.. (ค่าขนส่ง 300)  โห  ค่าขนส่งนี่รับได้  ส่วนค่าเปิดเครื่องนี่.... เซ็ง  น่าจะเป็นงานบริการหลังขายของผลิตภัณฑ์นั้นๆ นะ   เอาจ่ายไป 850   เอาเครื่องกลับบ้าน 

      ปัจฉิมบท ....

       ตอนนี้ก็เอาเครื่องมานั่งดูไปดูมา...  มันน่ารักดีเน๊อะ  กำลังคิดอยู่ว่าจะอะไรกับมันดี  เมื่อ 2 ปีที่แล้วมัน 37,500  พอมาถึงวันนี้ TASHIBO - TOSHIBA  ตัวนี้จะทำอะไรกับมันได้บ้าง

       1. รื้อ เอา HDD กับ RAM ไปใช้งานกับเครื่องอื่น  ส่วนประกอบอื่นเอาไว้ขว้างหัวหมาที่ชอบมาฉี่ใส่ประตูบ้าน

       2. ให้ช่างท้องถิ่นที่เปิดร้านอิสระรื้อเล่น..  มันจะเยินก็ช่างมัน  ไหนๆ ก็ใช้การไม่ได้อยู่แล้ว

       3. หาลูกล้อติดเพลามารองด้านล่าง เอาเจ้า TASHIBO - TOSHIBA  แปะลงไป  แล้วเอาเชือกผูกเป็นตัวลากจูงให้หลานตัวเล็กๆ ไปไล่ลากคลุกฝุ่น  ซะเลยดีไหม ???

     กำลังมึนๆ ๆ ๆ กับมันอยู่  เพราะเครื่องเก่าใช้มา 6 ปี ยังอยู่เลย  เป็นยี่ห้อที่ใครๆ ว่ากันว่าของโหล  Acer-AngCer (อ่านว่าเอเซอร์เอ็งเซ่อ)  แต่สเปคเค้าไม่สามารถใช้การอะไรได้มากกว่า XP+Office ความจุเต็มพิกัด HHD 40 gb ซึ่งท่าแฮนดีไดร์ฟ สมัยนี้เท่านั้น... เจ้านี้วันนี้ก็ยังใช้งานอยู่น๊า  ..  รักเธออยู่น๊า ..จุ๊บๆ



ความเห็น (3)
  • เขียนได้มัน...อ่านสนุกมากค่ะ
  • เขียบันทึกให้อ่าบ่อยๆ หน่อยนะคะ
  • สนุกจังเลยครับ
  • ผมใช้ HP มาตั้ง 6 ปี ปกติดีครับ
  • ไม่ดื้อ ไม่ซน 555

... ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ

... ว่างๆ สัญญาว่าจะเขียนใหม่ครับ...

มันอ้น
เขียนเมื่อ

เห็นน้ำท่วมปีนี้ เสียหายไปทั่ว.. ดูแล้วน่าหนักใจ กับ อนาคตของคนรุ่นต่อๆ ไป จะอยู่กันอย่างไร แต่ว่าไปก็เป็นผลของการกระทำของมนุษย์เองนั่นแหละ ธรรมชาติเริ่มแสดงให้เห็นว่าทำอะไรมากับโลกใบนี้ไปบ้างแล้ว แต่ประเด็นคือ คนที่ไม่ได้ทำร่วมรับกรรมไปด้วย.. จึงดูส่วนร่วมว่าใช่.. แต่ดูส่วยแยกว่าไม่ใช่.. อ๊ะ ยังไงกัน.เรา. มึนและง่วง ..ห่วงด้วย บายๆๆๆๆ



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท