อัสสาสะ กับ ปัสสาสะ นั้น เป็นประเด็นปัญหาตามคัมภีร์อย่างที่ท่านผู้รู้วิจารณ์ไว้นั้นแหละ แปลว่าหายใจเข้าบ้างหายใจออกบ้าง ทำให้สับสนสำหรับผู้แรกศึกษา ผู้คุ้นเคยรู้ว่าเป็นประเด็นปัญหาก็ผ่านไป...
เปรียบเทียบคำว่า แก ในสังคมไทยทั่วไปเป็นคำสรรพนามที่ใช้เรียกใครบางคนโดยการบ่งชี้ว่าเป็นคนชั้นต่ำ ดูหมิ่น หรือเป็นภาษาไม่ค่อยสุภาพนัก... แต่ในสังคมคนไทยในมาเลย์ แก เป็นคำใช้เรียกผู้หลักผู้ใหญ่โดยบ่งชี้ถึงความเคารพนับถือ...
ภาษาไทยต่างท้องถิ่นยังต่างกันเลย จะป่วยกล่าวไปใยซึ่งภาษาบาลี... เพียงแต่เราเข้าใจความต่างกัน แล้วใช้ให้ถูกต้องเหมาะสมกับท้องถิ่นหรือคัมภีร์นั้นๆ น่าจะเป็นประโยชน์กว่าการชี้ชัดว่าอะไรถูกอะไรผิด...
เจริญพร
จากข้อความของคุณโยม "...เป็นการแปลจากพระสูตร ไม่ใช่จากแสดงเป็นบาลี..."
พระไตรปิฏก อันได้แก่ พระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม เรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า พระบาลี ดังนั้น พระสูตรก็คือพระบาลีนั้นเอง... อาตมาจึงจนด้วยเกล้าที่จะอธิบายให้คุณโยมเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่สงสัยได้...
เคยมีท่านมหาบางรูป ถามศัพท์มา เมื่ออาตมาตอบอธิบายไป ก็ชอบใจ จึงถามมาอีก ๒-๓ ครั้งติดต่อกัน อาตมาจึงแนะนำว่าให้ไปค้นคว้าจากหนังสือ หรือถามอาจารย์ผู้สอนและผู้อาวุโสทางความรู้ด้านนี้ก็ได้... ท่านก็หายไปตั้งแต่บัดนั้น
การค้นคว้าก็เช่นเดียวกัน นอกจากต้องมีความรู้แวดล้อมหรือบริบทในเรื่องทำนองนั้นแล้ว ก็ต้องอาศัยความชำนาญด้วย จึงสามารถค้นได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง ทันใจ...
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คุณโยมปรับฐานไปเรื่อยๆ ก็คงจะเป็นผู้รู้และเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ในเวลาไม่นานนัก...
เจริญพร
คำว่า วิปัสสนา ในพระไตรปิฏก ลองค้นดูใน 84000.org เจอเยอะแยะ ลอง คลิกที่นี้
ที่เหลือก็ลองค้นดู หาไม่ยาก...
เจริญพร
คัมภีร์วิสุทธิมรรค ภาค ๓ ปัญญาภูมินิเทส ฉบับบาลีหน้า ๑๔๒ ฉบับภาษาไทยลองไปเทียบเคียงเอาเอง...
อนึ่ง ท่านมิได้อ้างว่าคัดลอกต่อมาจากคัมภีร์ใด หากสนใจก็ไปค้นเอาเองเถิด...
เจริญพร
ลองค้นดูคำว่า กรณีสันติอโศก ใน google.com พบเรื่องราวมากมาย ลองเข้าไปดู คลิกที่นี้ แล้วก็เลือกอ่านเพื่อสืบค้นต่อไปตามที่เห็นสมควร...
โดยส่วนตัวก็เพียงรับรู้ข้อมูลผ่านๆ เท่านั้น มิใช่เรื่องที่สนใจนัก จึงไม่อาจให้รายละเอียดหรือวิพากษ์วิจารณ์ได้...
เจริญพร
จะศึกษาอภิธรรมให้เข้าใจ ต้องมีความจำพื้นฐานเกี่ยวกับหมวดธรรมมาก เช่น อริยสัจ ๔ ขันธ์ ๕ ธาตุ ๑๘ ... ถ้าไม่มีความจำพื้นฐานเหล่านี้แล้ว ความเข้าใจก็ตัดทิ้งไปแล้ว...
ส่วนจะเข้าใจมากน้อยแค่ไหน เพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีของแต่ละคน...
ใน อินเทอร์บรรณ (หนังสือที่ค้นหาได้ทางอินเทอร์เน็ต) มีวิชาการวิชาเกินด้านอภิธรรมเยอะแยะ ว่างๆ ท่านเลขาฯ ก็เปิดอ่านเล่นๆ เพิ่มพูนปัญญาไปเรื่อยๆ...
ถ้าจำไม่ได้ ไม่เข้าใจ รู้สึกเครียด ก็ให้คิดว่า อภิธรรมจัดเป็นเดรัจฉานวิชา (โบราณาจารย์กล่าวไว้) ได้เหมือนกัน เพราะกีดกั้นการบรรลุ แล้วก็ไม่ต้องอ่าน (5 5 5...)
โยมผู้หญิงผิดหวังด้านความรักจึงมาบวชชี แล้วก็เรียนอภิธรรม เจอกับพระอาจารย์บุคคลิกดี พูดอะไรก็เข้าใจ ค่อยๆ เห็นอกเห็นใจกันขึ้นมา จึงชวนกันสึกจากความเป็นพระเป็นชีไปใช้ชีวิตชาวบ้านอีกครั้ง เพื่อจะได้เรียนได้สอนอภิธรรมกันตามสะดวก... เรื่องราวทำนองนี้ มีเยอะในโลกความเป็นจริง
อาตมาบวชมาเกินยี่สิบพรรษา ไม่เคยเรียนอภิธรรมในระบบ แต่เคยสอนอภิธรรมปิฏก พอจะอธิบายเรื่องวิถีจิตได้เล็กน้อยเท่านั้น ก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องและเข้าใจนัก...
ถ้าท่านเลขาฯ ศึกษาอธิธรรมคราใด ระลึกถึงอาตมาก็แล้วกันว่า มีภูมิปัญญาวาสนาพอๆ กัน (5 5 5...)
เจริญพร
ตอนเรียนบาลีนั้น พอเรียนไปได้ประมาณ ๑-๓ เดือน เวลาอาจารย์จะอธิบายอะไร จะยกประเด็นที่เรียนมาแล้วตั้งแต่วันแรกๆ และประเด็นที่จะเรียนอีก ๒-๓ เดือนข้างหน้ามาด้วย ซึ่งนักเรียนต้องทนฟังซ้ำๆ ซากๆ จนกว่าจะเข้าใจเป็นระบบ ดังนั้น จึงมิใช่เรื่องที่จะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ...
ยอมรับว่าอาตมาด้อยความสามารถที่จะอธิบายให้เข้าใจได้ คุณโยมต้องไปหาผู้อื่นที่มีความสามารถ...
เจริญพร
มิใช่ผู้เชียวชาญเรื่องนี้ เคยเรียนและอ่านมาบ้างก็เพียงผ่านๆ เท่านั้น... ลองค้นในหนังสือที่เกี่ยวข้อง น่าจะประมวลเรื่องราวเองได้...
เท่าที่จำได้ตอนนี้ก็เพียงแต่รู้ว่า สำนักโยคาจาร จัดเป็น จิตนิยมสมบูรณ์ นัยสำคัญอยู่ที่เรื่อง อาลยวิญญาณ...
ส่วน สำนักมาธยมิกะ นั้น มี ท่านนาคารชุน เป็นเจ้าลัทธิ และอีกท่านหนึ่งคือ ท่านอารยเทวะ ซึ่งรจนาหนังสือชื่อ สตศาสตร์ หนังสือเล่มนี้ สวามี สัตยานันทะ บุรี แปลเป็นภาษาไทยไว้ ถ้ายังไม่เคยเห็นก็ลองไปค้นดู...
อนึ่ง ตอนที่เรียนนั้น ประวัติเรื่องราวไม่ค่อยจำ แต่ที่ไม่ค่อยลืมก็คือจุดเด่นแต่ละสำนักและประเด็นขัดแย้งเชิงปรัชญา...
...
อภิธรรม แม้จะสวดให้คนตายหรือคนเป็นฟังก็ตาม แต่ถ้าคนเป็นหรือคนตายนั้น ไม่รู้บาลีก็คงจะฟังไม่รู้เรื่อง...
อีกอย่างหนึ่ง อภิธรรม ตามที่สวดนั้น เป็นเพียงหัวข้อธรรมเท่านั้น แม้ฟังรู้เรื่อง ก็ใช่ว่าจะเข้าใจ ต้องนำไปขยายความอีกครั้ง... ผู้ที่เข้าใจมาแล้วเท่านั้น จึงจะรู้ความหมายแต่ละหัวข้อนั้นๆ...
ในส่วนการฟังการสวดพระอภิธรรมในงานศพนั้น ปัญหาเรื่องพนมมือรับหรือไม่นั้น มิใช่เรื่องใหญ่ ซึ่งเคยให้ความเห็นการตัดสินถูกผิดเรื่องศาสนพิธีหรือพิธีกรรมทั้วไปไว้ ๔ นัย (คลิกที่นี้...) และเฉพาะเรื่องนี้ ก็อาจประยุกต์ใช้ได้ ๔ นัยเหมือนกัน กล่าวคือ...
เจริญพร
ทั้งสองศัพท์มาจากรากศัพท์เดียวกัน คือ ชีวิ (บางมติก็บอกว่า ชีวฺ) โดยคำภีร์ได้ให้ความหมายไว้ว่า ปาณธารเณ ซึ่งอาจแปลตรงตัวว่า ในความทรงไว้ซึ่งลมหายใจ หรือ ในความทรงไว้ซึ่งชีวิต...
คำว่า ชีพ หรือ ชีวะ นั้น จึงมีความหมายตามรากศัพท์ และอาจวิเคราะห์ได้ว่า...
หมายความว่าอะไรบางอย่างที่หล่อเลี้ยงให้ลมหายใจดำรงอยู่ ให้เรามีชีวิตอยู่ได้ นั่นแหละ เรียกว่า ชีวะ (ชีพ) .... คำว่า ชีพ นี้ ยังใช้แทนคำว่า จิต วิญญาณ มโน มนัส ฯลฯ ได้อีกด้วย ซึ่งคำนี้อาจแปลใกล้เคียวกับคำไทยแท้ๆ ว่า ใจ หรือ ขวัญ
คำว่า อาชีพ หรือ อาชีวะ นั้น มี อา อุปสัคเพิ่มเข้ามาข้างหน้า ( อา + ชีวะ = อาชีวะ) ... อา แปลได้หลายนัย แต่นัยนี้หมายถึง ทั่ว. นั่นคือ ทั้งหมด. ทั้งปวง. หรือทุกสิ่งทุกอย่าง... พอจะวิเคราะห์ได้ว่า
หมายความว่า อาชีพ เป็นตัวเครื่องมือที่ให้เราทรงไว้ซึ่งลมหายใจ หรือดำรงชีวิตไว้ได้ ก็คือ การงานต่างๆ นั่นเอง
สรุปว่า ชีพ คือ ตัวที่ดำรงชีวิตอยู่ ... อาชีพ คือ เครื่องมือที่ทำให้ดำรงชีวิตอยู่
เจริญพร
ตามที่เคยเห็น มีนักรู้หรือบางคนก็เป็นเพียงนักอวดรู้ที่มักอ้างตามท่านพุทธทาส ซึ่งสิ่งที่อ้างตามนี้ อาจจำแนกได้ ๒ นัย กล่าวคือ
ตามเนื้อหา... ก็เช่น ในหนังสือว่า อภิธรรมคืออะไร ? ท่านพุทธทาสขยายความ อภิธรรม อาจแปลว่า ธรรมะเกิน ก็ได้ เพราะ อภิ แปลว่า ยิ่ง, เกิน, ล่วง ....
ประเด็นนี้ท่านพุทธทาสพลาด เพราะ อภิ แปลว่า ยิ่ง, ใหญ่, เฉพาะ, ข้างหน้า ... ส่วนที่แปลว่า ยิ่ง, เกิน, ล่วง นั้นได้แก่ อติ (นักเรียนบาลีไวยากรณ์เบื้องต้น จะต้องท่องความหมายของอุปสัคเหล่านี้)
ตามความเห็น... ที่แพร่หลายที่สุด ก็น่าจะเป็นประเด็นที่ท่านพุทธทาสไม่เห็นด้วยกับการอธิบายปฏิจจสมุปบาททำนองข้ามภพข้ามชาติในคัมภีร์วิสุทธิมัคค์ของพระพุทธโฆสาจารย์์... โดยท่านพุทธทาสมักยกมาโจมตีแล้วจะเน้นว่าปฏิจจสมุปบาทคือกระบวนการที่เกิดขึ้นในวิถีจิตเดียว...
ประเด็นนี้ คงมีนักอวดรู้นำไปอ้างกันเยอะ ในบั้นปลายชีวิตท่านพุทธทาสจึงได้แก้ว่า ท่านเห็นด้วยกับคัมภีร์วิสุทธิมัคค์ ๙๕ % ในส่วนที่ไม่เห็นด้วยเพียง ๕ % เท่านั้น (จำชื่อหนังสือไม่ได้ แต่ผู้สนใจลองค้นงานในบั้นปลายของท่าน)
ประเด็น นี้คงจะสำคัญ เพราะในหนังสือพุทธธรรมของพระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) เฉพาะบันทึกพิเศษท้ายบทก็มีประเด็นนี้อยู่ด้วย... ซึ่งท่านได้รวบรวมไว้ว่า ปฏิจจสมุปบาทสามารถอธิบายได้ ๒ นัย โดยบางคัมภีร์นั้น พระพุทธโฆสาจารย์อาจขยายความอย่างหนึ่งมากอย่างหนึ่งน้อย หรืออาจขยายความเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น
(อนึ่ง เฉพาะการเกิดและตายแบบปัจจุบันตามที่โยมอาจารย์อ้างมานั้น ก็นับว่าเป็นประเด็นสำคัญ หนังสือพุทธธรรมก็ได้ประมวลอ้างอิงไว้ในบันทึกพิเศษท้ายบท ซึ่งเป็นบันทึกที่ ๒ อยู่ในหนังสือพุทธธรรมหน้า ๑๔๕)
ตามที่บ่นมา...มิใช่ว่าอวดรู้กว่าท่านพุทธทาส เพราะท่านพุทธทาสบรรยายสดๆ แล้วมีการถอดบันทึกเทปในภายหลัง ซึ่งอาจผิดพลาดได้เป็นธรรมดา (แม้อาตมาเอง บางครั้งก็อ้างผิดเหมือนกัน 5 5 5...) เพียงแต่บอกเล่าไว้เท่านั้น
เจริญพร
ประเด็นปัญหาการทำแท้งในแง่จริยศาสตร์นั้้น ลองค้นใน google.com พิมพ์คำว่า การทำแท้ง จริยศาสตร์ จะเจอเรื่องนี้ ซึ่งมีผู้อธิบายไว้มากมาย ... และหนังสือจริยศาสตร์ภาษาไทยก็มีผู้อธิบายไว้แยะแล้ว....
ลองไปอ่านดู ถ้าประเด็นไหนหรือข้อความใดไม่เข้าใจ และค้นหาไม่ได้ ค่อยกลับมาถามอีกครั้ง....
ปกติ หลวงพี่่จะไม่ตอบปัญหาที่ค้นได้ทั่วๆ ไป
เจริญพร
น้องวีร์....
เข้าไปดูแล้ว เป็นประเด็นความเห็นแย้งระหว่าง เจตจำนงเสรี กับ นิยัตินิยม แต่ก็ดูผ่านๆ
agent ในที่นี้ ควรแปลว่า ผู้กระทำ เพราะตรงประเด็น
.............
ส่วนประเด็นภาษาอังกฤษที่ยกมา หลวงพี่ยังมองไม่เห็นภาษาบาลี จึงแปลไม่ถูก
one set of momentary elements into another one น่าจะเป็น สมุปปันนธรรม คือ สิ่งที่อาศัยซึ่งกันและกันเกิดขึ้น แล้วก็เคลื่อนที่ไป... นั่นคือ น่าจะเป็น จิตพร้อมเจตสิกธรรม...
คำสอนทางพุทธศาสนา จิตจะสั่งสมสิ่งต่างๆ แล้วก็เคลื่อนไหวเป็นไปข้างหน้าเสมอ... กรรม ก็เป็นสิ่งหนึ่งในบรรดาสิ่งต่างๆ ที่ว่า...
กรรม แม้ตามตัวจะแปลว่า การกระทำ (action) แต่ความหมายตามนัยของพระพุทธเจ้าหมายถึง เจตนา หรือ ความจงใจ ดังพุทธพจน์ว่า เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม...
การกระทำ กรรม หรือ เจตนา นี้ แม้จะเป็นอิสระ แต่ก็ย่อมมีผล (ผล ศัพท์ธรรมะ เรียกว่า วิปาก)
หลวงพี่ไม่เคยอ่านหนังสือธรรมจากภาษาอังกฤษ จึงไม่มีพื้นฐานศัพท์เหล่านี้ ได้ก็แค่สันนิษฐานมั่วๆ เท่านั้น
อีกอย่าง ประเด็น เจตจำนงเสรีและนิยัตินิยมในพุทธปรัชญาเถรวาท เคยมีรุ่นพี่ทำวิทยานิพนธ์เรื่องนี้ แต่ไม่จบ... ดังนั้น คงจะมิใช่เรื่องง่ายนัก....
เจริญพร
ดร. สวัสดิ์...
นับแต่คุณโยมเข้ามาเยี่ยมครั้งแรก อาตมาก็เข้าไปดูประวัติฯ เมื่อเห็นก็รู้สึกปลื้มที่คุณโยมลงประวัติไว้อย่างนั้น....
การที่คนเราเคยบวชเรียนแล้วลาสิกขามาใช้ชีวิตฆราวาส บางคนก็พยายามปกปิด เพราะรู้สึกว่าเป็น ปมด้อย ที่มีพื้นฐานมาจากวัด... ส่วนบางคนก็พยายามเก็บตัว เกรงว่าเพื่อนเก่าที่เคยบวชมาด้วยกันและค่อนข้างลำบาก หรือทางวัดทราบว่าเป็นนักบวชเก่า จะมารบกวนพึ่งพาอาศัย.... นี้กลุ่มหนึ่ง
ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง ประกาศเลยว่า ผมเติบโตมาจากวัด เป็นนักบวชเก่า หรือบางคนจบมาหลายสาขา แต่บอกว่า ถ้าจะเขียนวุฒิการศึกษา อย่างอื่นไม่ต้องลงก็ได้ แต่ นธ.เอก และ ปธ.๕ จะต้องลงไว้ด้วย ประเดียวเค้าจะไม่รู้ว่าเป็นนักบวชหรือมหาเก่า... ประมาณนี้
อาตมาคิดว่า พื้นฐานชีวิตของคนเรานั้น จะเป็น ปมด้อย หรือ ปมเด่น ขึ้นอยู่กับความรู้สึกและการประเมินค่าของเรา... ดังเช่น บางคนรู้สึกเป็นปมด้อยที่มาจากวัด เกรงเค้าจะดูหมิ่นดูแคลนว่า ฐานะยากจน ตระกูลต่ำต้อย... แต่บางคนกลับรู้สึกเป็นปมเด่นทำนองว่า สถานภาพปัจจุบันเป็นเครื่องบ่งชี้ความสามารถและศักยภาพของข้าพเจ้าได้ดี... ประมาณนี้
ก็คุยกันเล่นๆ...
เจริญพร
สาย.....
ปัจฉิมโอวาทของพระพุทธเจ้ามีผู้อธิบายไว้มากมาย...
ปัจฉิมโอวาท "ภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด " |
คุณโยมสามารถค้นหาคำอธิบายได้ไม่ยาก ตามที่อาตมาค้นดูใน web ต่างๆ มีผู้อธิบายไว้มากมาย....
เจริญพร
small man |
"ทำบุญกับโจร ขึ้นสวรรค์ ทำบุญกับพระอรหันต์ ตกนรก"
สำนวนนี้ไม่เคยได้ยิน ... แต่เคยได้ยินว่า
ทำบุญกับพระปลอม ได้ไปสวรรค์ ทำบุญกับพระอรหันต์ ตกนรก"
ซึ่งคิดว่า ที่มาคงจะไม่แตกต่างกัน เรื่องยาวย่อๆ ตามที่พอจำได้ (จำคัมภีร์ไม่ได้ ไม่มีเวลาค้น)
เมียสาวแพ้ท้อง จึงอยากกินข้าวก้นบาตร ... ผัวหนุ่มทนรบเร้าไม่ได้ จึงออกจากบ้านในตอนเช้าตรู่ ไปพบกระท่อม มีบาตรและจีวรเก่าอยู่ จึงขโมยมา โกนผมแต่งองค์ทรงเครื่อง แล้วก็ปลอมออกไปบิณฑบาต ... ด้วยความเป็นพระปลอม เกรงคนจับพิรุษได้ จึงทำท่าทางเคร่งครัดหรือสำรวมมาก...
เศรษฐีหรือพระราชา (ไม่แน่ใจ) ใส่บาตตอนเช้า กับพระปลอมตนนี้ รู้สึกปลื้มใจมาก ด้วยสำคัยว่าเป็นพระอรหันต์ จึงให้คนรับใช้ติตตามไป... เมื่อคนรับใช้ติดตามไป ก็ทันเห็นพระปลอมกำลังเปลี่ยนผ้าและก็ถืออาหารวิ่งหนีไป... จึงกลังมาบอกเจ้านายว่า หายวับไปกับตา ... ประมาณนี้
เจ้านายรู้สึกปลื้มปิติในบุญด้วยสำคัญว่าทำบุญกับพระอรหันต์ คืนนั้นตายไปก็เลยไปสู่สวรรค์....
ส่วนคนรับใช้ ตั้งแต่นั้นมา ก็มักสำคัญว่าพระรูปนั้นรูปโน้น น่าจะเป็น พระปลอม ... ต่อมา แม้จะทำบุญกับพระอรหันต์ แต่ก็ไม่ประกอบด้วยกุศลเจตนา แต่เป็น อกุศลเจตนา ตายไปก็ตกนรก... ประมาณนี้
สรุปว่า เจตนาที่ประกอบด้วยกุศลหรืออกุศล เป็นสิ่งสำคัญมากในการกระทำกรรม...
...........
คุณโยม... เรื่องทำนองนี้ พิสูจน์ไม่ได้ เป็นเพียงความเชื่อ อาตมาพอจะเคยอ่านหรือเคยได้ยินมาบ้าง (เพราะบวชนาน) แต่ไม่อยากพูดถึงหรือนำมาเล่า...
ไม่แน่ใจว่าคุณโยมเคยอ่านบันทึก นโยบาย (ส่วนตัว) ในการเขียนบล็อก ของอาตมาหรือยัง ?
ดังนั้น ถ้าคุณโยมนำเรื่องทำนองนี้มาถามหรือคุยอีก อาตมาอาจไม่ตอบ โดยการ ลบทิ้ง ก็ได้ ตามที่เห็นสมควร...
เจริญพร
รู้สึกปลื้มที่อาจารย์ยังใช้บริการของอาตมา...
แต่ประเด็นนี้สามารถหาอ่านได้ในอินเทอร์เน็ตได้ไม่ยาก ตาม นี้... http://search.sweetim.com/search.asp?src=1&q=%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C
อาตมาลองไปค้นดูมีวิจารณ์ไว้มากมาย ซึ่งอาจารย์สามารถเลือกอ่านได้ตามความพอใจ....
อนึ่ง ประเด็นนี้ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺดต) เคยไปปาฐกถาที่มช. และมีการนำมาเรียบเรียงใหม่เป็นหนังสือ ชื่อ พุทธศาสตร์กับวิทยาศาสตร์ ซึ่งอาจารย์ก็สามารถค้นหาได้ไม่ยาก...
เจริญพร
คุณโยม...
วิธีใช้จ่ายเงินตามหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หัวข้อที่ตั้งไว้ไม่มีโดยตรง แต่หมวดธรรมอื่นๆ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้....
ซึ่งในเน็ตก็สามารถค้นหาอ่านได้ไม่ยาก...หรือหนังสือธรรมะทั่วๆ ไป ก็มีมากมายในท้องตลาด...
ถ้าสนใจก็ ลองไปหาหนังสือชื่อ พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺดต) ...เฉพาะชื่อผู้รวบรวม ถ้าหนังสือเก่าๆ ก็อาจเป็น พระธรรมปิฎก หรือ พระเทพเวที ...
หนังสือเล่มนี้ ประมวลหมวดธรรมสั้นๆ ไว้ เช่น หน้า150 ข้อ 162 เรื่อง โภควิภาค 4 บอกว่า ให้แบ่งทรัพย์เป็น 4 ส่วน ดังนี้
1.เอเกน โภเค ภุญเชยฺย หนึ่งส่วนไว้ใช้จ่าย
2-3. ทฺวีหิ กมฺมํ ปโยชเย สองส่วนใช้ลงทุนประกอบการ
4 จตุตฺถญฺจ นิธาเปยฺย หนึ่งส่วนเก็บไว้ยามจำเป็น
หรือในหน้า 202 ข้อ 224 มีเรื่อง โภคอาทิยะ 5 จะว่าด้วยการจำแนกการใช้จ่าย.. เป็นต้น
หลวงพี่ก็จะเล่า สิคาลกสูตร ซึ่งมีเรื่องทำนองนี้อยู่ด้วย แต่ตอนนี้ยังไม่จบ มงคลสูตร ...
คุณโยมค่อยรออ่านก็แล้วกัน....
เจริญพร
mr. สุมิตรชัย คำเขาแดง ......
โดยส่วนตัว เห็นด้วยกับคุณโยม...
แต่ประเด็นนี้ อยู่เกินวิสัยของอาตมา....
อีกประการหนึ่ง... สถานการณ์ปัจจุบันมีความซับซ้อนซ่อนเงื่อน......
เจริญพร.
คุณโยมอุทัย...
อัพยากตานี ? ศัพท์นี้ อาตมาไม่ค่อยคุ้น ... ที่คุ้น ก็ อัพยากฤตปัญหา อัพยกตปัญหา เป็นต้น แต่ เมื่ออ้างถึง ๑๐ ข้อ ก็คิดว่าน่าจะไม่ผิด เช่น...
โลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง
โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด
ฯลฯ
ความเห็นส่วนตัว...
ปัญหานี้ มีคนชอบถามนักคิดนักสอนในสมัยพุทธกาล.. ซึ่งอาจสรุปว่า มีผู้ตอบว่า
ใช่
ไม่ใช่
ใช่ก็ได้ ไม่ใช่ก็ได้
อธิบายไม่ได้
.....นัยเหล่านี้ มีผู้ตอบมามากแล้ว...
คุณโยมคิดว่า สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์เจ้าของบรรดาชาวเราจะตอบแบบไหน ?
พระพุทธเจ้าจึงไม่ทรงพยากรณ์เรื่องนี้....
................
ส่วนประเด็นที่ว่ามีผู้อธิบายไว้บ้างหรือไม่...
ก็พอมีอยู่บ้างตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน...ซึ่งหลวงพี่ลองถาม google ดูก็มีอยู่เยอะ... คุณโยมสามารถไปหาได้จาก จูฬมาลุงกยสูตร จูฬมาลุงกยโอวาทสูตร อัพยากตสังยุต ฯลฯ
ตามที่หลวงพี่ค้นดู วิทยานิพนธ์ที่ศึกษาเรื่องนี้ก็พอมีอยู่บ้าง คุณโยมสนใจก็อาจไปโหลดมาอ่านเล่นๆ ได้
ปัจจุบันนี้ เราสามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้ไม่ยาก...
ลองไปอ่านดูก่อน มีเยอะ ถ้าเจอข้อความบางข้อความที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ ค่อย copy มาถามก็ได้...
เจริญพร