อนุทินล่าสุด


Arisa Kotekruang
เขียนเมื่อ

อะไรเอ่ยไม่เท่ากัน?!

ความลำเอียง ความอยุติธรรม มันเกิดขึ้นมานานนมแล้ว... ง่ายๆเลย หากเราต้องเปรียบเทียบความผิดกับคนอื่น จะพี่ จะน้อง จะแฟน จะคนที่เรารักสุดๆ ... ไม่มีทางเลยที่เราจะเลวกว่าเขา หรือจะผิดมากกว่าเขา ทำไมทุกคนต้องคิดว่าตัวเองถูก ตัวเองเป็นคนดี นั่นสิ ทำไมต้องตัดสินแต่คนอื่น ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ซ้าย ขวา หน้า หลัง มีแต่คนผิด โง่ เลว จิตป่วย แล้วตัวกูล่ะ เคยมองตัวเองบ้างมั้ย ว่าเราก็เป็นเช่นนั้นในสายตาคนอื่นเหมือนกัน --- ทางแก้? ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่รู้สึกเบื่อหน่าย ที่หันไปทางไหนมีแต่คนก่นด่า สาปแช่งคนอื่น ... ก้มหน้าสักนิด สำรวจตัวเองสักหน่อย แล้วค่อยๆ คิด พิจารณา อย่ามัวแต่วิพากษ์วิจารณ์คนอื่นจนสนุกปากนัก อยู่กับตัวเองสักพัก เหมือนกับที่พวกคุณอยู่หน้า *Facebook !!!



ความเห็น (1)

ไม่มีอะไรมากครับ เพียงเพราะ…ความยึดมั่นถือมั่น..อัตตาเยอะไป..คนอื่นถึงผิดหมด..

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Arisa Kotekruang
เขียนเมื่อ

“คนดี” เป็นอย่างไร ทำไมคนดีจึงมีน้อย บ้านเมืองวุ่นวาย สังคมเสื่อมโทรม เพราะอัตราคนดีต่อคนชั่วนั้นน้อยหรือไม่ คำถามเหล่านี้สะท้อนให้เห็นภาพสังคมในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ความทันสมัย ความสะดวกสบาย เสพสื่อได้ง่ายหลากหลายช่องทาง ดูเหมือนว่าเทคโนโลยีพัฒนาแบบก้าวกระโดดและไม่มีท่าทีว่าจะหยุดชะงักเลย ซึ่งสวนทางกันกับจิตใจของคนที่ไม่ได้พัฒนาตามแบบคู่ขนาน ดังจะเห็นได้จากข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ สื่อออนไลน์ต่างๆ เช่น คดีลูกฆ่าแม่ผู้บังเกิดเกล้า คดีฉกชิงวิ่งราว คดีสามี-ภรรยาคบชู้จนนำไปซึ่งโศกนาฏกรรม คดีหลอกลวงฉ้อฉนบิดเบือนข้อเท็จจริงตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูงจนถึงปุถุชนรากหญ้า คดีเสพสุราและของมึนเมาจนควบคุมสติไม่ได้ ฯลฯ ปัญหาเหล่านี้มีมากขึ้นเป็นเงาตามตัวกับความเจริญของเทคโนโลยี 

เทคโนโลยีไม่ได้มีส่วนทำลายสังคมเลยหากแต่เป็นผู้ใช้ ผู้ใช้คือ “คน” คนเป็นผู้ค้นคิดเทคโนโลยีต่างๆ คนเป็นผู้กระทำให้เกิดปัญหาที่เลวร้ายข้างต้น และคนยังเป็นผู้แก้ปัญหา รักษา พัฒนา พร้อมๆ กัน จากปัจเจกบุคคลไปจนกลายเป็นครอบครัว ชุมชน สังคม สรุปได้ว่า “คน” เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเจริญทางสังคม ทว่าสังคมจะต้องมีอัตราส่วน คนดี : คนธรรมดา : คนชั่ว ในปริมาณที่เหมาะสม เช่น คนดี :
คนธรรมดา : คนชั่ว เป็น 50 : 40 : 10 แต่ปัญหาคือ ทำอย่างไรคนธรรมดาและคนชั่วจึงจะกลายเป็น “คนดี” ได้ สูตรของความดีนั้นไม่มีขายไม่มีสูตรลับเฉพาะแต่เป็นการปฏิบัติ ...ศีล สมาธิ ปัญญา



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Arisa Kotekruang
เขียนเมื่อ

ผมว่าอยู่อีสานบ้านเกิดเมืองนอนนี่ดีสุดๆแล้ว...
ทั้งใกล้พ่อแม่พี่น้อง อาหารบ้านๆ ปลาแดก (ปลาร้า) ทุกมื้อ ...มีอีกสิ่งหนึ่งที่แปลกไปจากเดิมแต่ดีกว่าเดิมคือ โพสหรืออัพสเตตัสเป็นภาษาถิ่นได้ก่อนหน้านี้ผมอยู่เมืองกรุง คนพันธุ์ข้าวเหนียวไม่ค่อยมี อีกทั้งเพื่อนในเฟสก็ไม่ค่อยมี เลยไม่ค่อยได้ใช้ภาษาถิ่นเท่าไหร 
...ยังจำความรู้สึกวันแรกที่ได้อ่านคอมเม้นท์แบบเราชาวอีสาน บ่องตงว่ามันแซ่บซ่าน ภาพนี่ 5 มิติลอยมาเลย จั่งซี้แหม่มันจั่งแหม่นเฮา^^ (อย่างนี้สิถึงจะเรียกว่าผม)
แต่ก็มีจูนภาษากับคนสารคามเหมือนกัน เช่น "เหี่ย" (สารคาม แปลว่า หก/เลอะ ส่วนแถวบ้านผม..บึงกาฬแปลว่า หาย) กับ "เสีย" (สารคาม แปลว่า หาย ส่วนบ้านผม แปลว่า เสีย/พัง)
เมื่อวานไปตลาดเห็นหัวไชเท้าเล็กๆน่ารักชะมัด เป็นค่อหล่อค่อแหล่ (เล็กๆ)  แหมะ เลยถามแม่ค้าว่า กองจักบาทหนิ (กองเท่าไหร่ครับ)  เพิ่นตอบว่า (แม่ค้าตอบว่า) 10 บาท ผมก็เลยว่า "ซะแหม่นเป็นตะแพงเนาะ" (มันน่ารักดีเน๊าะ )แม่ค้ารีบตอบรีบอธิบาย "บ่แพงเด้จ้า หนินะถืกแล้วเด้ะ" (ไม่แพงน๊า นี่ถูกแล้ว) 
นี่ข้อควรระวังของภาษาถิ่นเด้ออออ ข่อยกะลืมว่าเว้าบ่คือเพิ่นนนน....(ผมก็ลืมว่าพูดไม่เหมือนชาวสารคาม ^^)



ความเห็น (2)

“ซะแหม่นเป็นตะแพงเนาะ” (มันน่ารักดีเน๊าะ )…นอกจากจะแปลว่าน่ารักแล้ว ยังแปลว่า “แพงไปหน่อยหนึ่งนะ” ได้ด้วยใช่ไหมครับ อิอิอิ

ใช่ค่ะ แต่ว่า ภาษาที่บึงกาฬ น่ะ ตะแพง หมายถึง น่ารัก ค่ะ ><

Arisa Kotekruang
เขียนเมื่อ

ตั้งแต่ไหนแต่ไร ป.1 ยัน ทำงาน 
ผมทำกิจกรรมโรงเรียนทุกอย่างตั้งแต่ใช้ทักษะนิ้วยันทักษะวิชากา
ป.1 แข่งคัดลายมือ เต้น รำ ดรัมเมเยอร์
ป.2 เหมือน ป.1 เพิ่มทักษะวิชาการ คณิต สังคม พระพุทธฯ
ป.3 เหมือน ป.2 
ป.4 เหมือน ป.3 เพิ่ม ตอบปัญหาทั่วไปนิดหน่อย
ป.5 เหมือน ป.4 เพิ่ม นักกีฬา วอลเลย์บอล เชียร์ลีดเดอร์
ป.6 เหมือน ป.5 ตัด เชียร์ลีดเดอร์
ม.1 เหมือน ป.6 เพิ่มประกวดบอร์ดตามวันสำคัญต่างๆ แต่งกลอน วาดภาพ ตัด นักกีฬา ดรัมเมเยอร์
ม.2 เหมือน ม.1 เพิ่ม นักกีฬา บาส วอลเลย์ ปิงปอง
ม.3 เหมือน ม.2 เพิ่มเป็นนักกีฬาสี รร แข่งทุกประเภท (บ้าไปนะ)
ม.4 กีฬา เหลือแค่ บาสตัวโรงเรียน ทักษะนิ้วยังอยู่ ทั้งหัวกลมและอาลักษณ์ ไทยและเทศ ส่วนวิชาการนั้น เหลือแต่วิชาที่หัวกะทิไม่พอ ประกอบกับงานตอบปัญหาทั่วไปที่ต้องเข้ากรุง อ่อ แรลลี่สารานุกรมด้วยนะ 
ม.5 เหมือน ม. 4 แต่กิจกรรมกีฬาสีเอาหมด ตั้งแต่ จัดขบวนพาเหรดยันนักกีฬาาาา
ม.6 เหมือน ม. 5 เป๊ะ 
เริ่มกลับบ้านค่ำตอนอยู่ ม.2 เพราะต้องซ้อมกีฬา พอ ม.ปลาย ก็กิจกรรมเยอะ กลับค่ำอีก ที่บ้านก็ไม่ปลื้ม
ส่วนชีวิตในรั้วมหาลัย 1 ปี ไม่ได้ทำอะไรเลย 555
จนกระทั่งมาทำงาน + เรียน ชีวิตก็วนเวียนกับกิจกรรมเหมือนวัยเด็ก กิจกรรมสถาบันเอาหมด ถ้าทำได้ผมจะทำ และจะทำให้ดี ขอแค่กำลังใจและความไว้วางใจ 
...ที่สาธยายมายืดยาวเพราะชีวิตผมวนเวียนอยู่กับกิจกรรม มัน "คัน" สำหรับเรื่องที่เราคิดว่า เราทำได้ (คันไม้คันมือนะครับอย่าคิดเป็นอื่น)
อย่าหมั่นไส้เลยว่าผมอวยตัวเอง...ผมเพียงเล่าวัฏจักรของผมเท่านั้น ไม่ได้เก่งกาจอะไรกว่าใครเลย เล่าให้ฟังว่สสมัยก่อนผมก็ทำกิจกรรมเช่นนี้แล...
อริสน้อยวัดลิงขบ
ศุกร์ 13



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

Arisa Kotekruang
เขียนเมื่อ

 

ผมเขียนอนุทินชั่วคราวไว้ใน S Note ครับ...

 



ความเห็น (3)

ยินดีต้อนรับครับอาจารย์ … แต่อาจารย์อย่าไปนึกว่าไม่มีใครอ่าน เพียงแต่คนอ่านเขาไม่ทิ้งร่องรอยให้อาจารย์ทราบเท่านั้นเอง … เขียนต่อไปครับ ;)…

จะตามอ่านทุกบล็อกเลยครับ… สาระไม่สาระ ไม่ได้อยู่ที่คนเขียน ทุกขณะที่เขียนเป็นกระบวนการเรียนและฝึกกลั่นสารหรือสื่อซึ่งก็คือสาระจากตนอยู่แล้ว ส่วนคนอ่านที่ผ่านเห็นจะจับมาเป็นสาระหรือไม่นั้น ไม่ใช่วิสัยที่เราจะรู้กะเขาได้ เว้นไว้แต่ตามบล็อคของเขาคนนั้นด้วย….

Arisa Kotekruang
เขียนเมื่อ

test...



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท