นั่นคือ ทุกข์ .....สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราได้บอก
นั่นคือ เหตุเกิดแห่งทุกข์ ...สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราได้บอก
นั่นคือ ความดับแห่งทุกข์...สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราได้บอก
นั่นคือ ทางดำเนินถึงความดับทุกข์ ..สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราได้บอก....
ไม่มีความเห็น
...ทุกข์....นั้นจะสามารถมองเห็นได้จากพระพุทธดำรัสดังนี้คือ.."ผู้ใดมองเห็นทุกข์ ผู้นั้นย่อมมองเห็นเหตุเกิดแห่งทุกข์ ความดับแห่งทุกข์ และทางดำเนินถึงความดับทุกข์ด้วย"
ส่วนผู้ที่ปฏิเสธเรื่อง...ทุกข์..แล้ว ...หนทางดำเนินเพื่อการหลุดพ้นจากทุกข์(มรรค ๘) ย่อมไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง
เราต้องตระหนักอยู่ในจิตของเราด้วยว่า การยอมรับเรื่องทุกข์ .....ว่าเป็นข้อเท็จจริงอันครอบคลุมอยู่ทั่วไปนั้นหาใช่เป็นการปฏิเสธความสำราญ หรือความสุขก็หาไม่.................
อาหารที่ไม่ถูกปาก เครื่องดื่มที่ไม่น่าชื่นชม การประพฤติตัวที่ไม่น่ารัก และเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อีกร้อยแปดพันเก้า ย่อมจะนำมาซึ่งความทุกข์ยาก และความไม่น่าพึ่งพอใจแก่เรา..........ไม่ว่าจะเป็นพุทธศาสนิกชน หรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าจะรวยหรือจน สูงหรือต่ำ มีการศึกษาหรือไร้การศึกษาก็ตาม
เชคสเปียร์ นั้นใช้คำของพระพุทธเจ้าเมื่อเขาเขียนเรื่อง แฮมเลท ว่า "เมื่อความโศกเศร้าได้บังเกิดขึ้น มันไม่ได้แอบเข้ามาเพียงคนเดียว แต่มากันเป็นกองทัพเลย"
ทุกข์เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งสามสิ่งนี้ คือ อัสสาทะ (ความพึ่งพอใจ) .... อาทีนวะ (ผลกระทบอันชั่วร้าย) และ นิสสรณะ (การหลุดพ้นไป) คือความจริงของประสบการณ์ และเป็นภาพที่แท้จริงของสิ่งที่เราเรียกว่า " ชีวิต"
ถ้าเลิกลุ่มหลงในสิ่งต่าง ๆ ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต และครองชีวิตด้วยทัศนะที่.....จะละวาง .......โดยเป็นผู้ที่มองทุกสิ่งทุกอย่างตามสภาพที่เป็นจริง และการอบรมเพื่อให้สงบต่อการผันแปรต่าง ๆของชีวิต เป็นผู้ที่ยิ้มได้เมื่อทุกอย่างล้มเหลว และสามารถดำรงสติมั่นเสมอ ละวางสิ่งที่ชอบ และไม่ชอบทั้งหลาย.....
รู้จักทุกข์ที่เกิด
รู้จักสุขที่เกิด
วางทุกข์วางสุข
ไม่มีแม้เรา วางทุกสิ่ง
ทำหน้าที่ของโลกและคงอัตภาพกว่าจะหมดอายุขัยตามธรรมดาของโลก เท่านี้ดีมากแล้ว
ขอโมทนา
สวัสดีครับ ....คุณสวัสดิ์ครับ ยินดีที่ได้ร่วมเสวนาครับ ...
อิตชิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขิปปะเมวะ สมิตชะตุ......ปรารถนาพรใด ก็ให้ได้รับพรอันประเสริฐนั้น....ครับอนุโมทนาบุญครับ.......