นมัสการพระคุณเจ้าครับ ในเวลาปัจจุบันที่มีข้อขัดแย้งกันเรื่องการบรรจุข้อความศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ผมไม่เห็นด้วยเลยครับ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ให้ความอิสระและการรู้ เข้าถึง ศึกษาได้ด้วยตัวเอง และไม่ได้มีผลอะไรเลยกับสิ่งโลเลประเภทหนึ่งในทางปกครอง รัฐธรรมนูญยิ่งแล้วใหญ่ ล้วนไม่มีอยู่จริงในทางธรรม ทั้งนั้น สิ่งที่มีอยู่จริงก็คือความว่าง ความจริงที่มีอยู่แล้วในโลกนี้ในจักรวาลนี้ ผู้คนล้วนมีสิทธิ์เข้าถึงความจริงของโลกได้อยู่แล้ว โดยไม่เกี่ยวกับตัวอักษร หรือกฎระเบียบใด ๆ ทั้งสิ้น
ผมศึกษาพุทธศาสนาครับ ไม่ใช่แค่นับถือ และศึกษาตัวเองโดยมีแนวทางที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้
ผมขอร้องให้ท่านช่วยบอกเตือนผู้คนและพระสงฆ์ที่หลงคิดอยู่ เลิกเถอะครับการเรียกร้องทางโลกมายาที่ไม่มีวันมีจริง โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญในประเทศไทยที่ล้มเลิกและล้มเหลวอยู่ตลอดเวลา พุทธศาสนาไม่ใช่สิ่งที่จะไปล้มเลิกล้มเหลวเหมือนรัฐธรรมนูญ
ไม่มีความเห็น
mr. สุมิตรชัย คำเขาแดง ......
โดยส่วนตัว เห็นด้วยกับคุณโยม...
แต่ประเด็นนี้ อยู่เกินวิสัยของอาตมา....
อีกประการหนึ่ง... สถานการณ์ปัจจุบันมีความซับซ้อนซ่อนเงื่อน......
เจริญพร.
นมัสการพระคุณเจ้าครับ ถึงอย่างไรก็ขอขอบคุณท่านพระอาจารย์ที่เมตตาตอบคำถามผม
ผมเองก็เข้าใจว่า มันซับซ้อนเกินกว่าหลายท่านจะเข้าใจ รวมทั้งผมเองด้วย และมันก็สะท้อนความบ้าคลั่งของนักคลั่งศาสนา หรืออาจจะเป็นช่วงเวลาที่ศาสนาพุทธเองก็กำลังถึงยุคการเปลี่ยนแปลงตามอย่างพุทธทำนาย ว่าหลัง สองพันห้าร้อยปี ไฟปลัยกัลป์จะเผาผลาญโลก จากนั้นพุทธศาสนาจะเข้าสู่ยุคพระศรีอารย์
ยุคแห่งศรีอาริย ยุคแห่งอารยบุคคล อารยธรรมใหม่
Neo Land Never Land
สุมิตรชัย คำเขาแดง |
พุทธทำนาย ?
พุทธทำนาย ?
พุทธทำนาย ?
อาตมาไม่เคยเจอ... มีแต่อ้างกันมาเลือนรอย
หรือตามที่เคยเจอมาบ้างก็ในคัมภีร์สารัตถทีปนี ซึ่งเป็นคัมภีร์ระดับฎีกาของพระวินัยปิฏก เป็นต้น...
แต่ก็ไม่ได้เขียนไว้ตามที่คุณโยมว่า...ดังนั้น
อย่ามั่ว....
ย่ำอีกครั้ง อย่ามั่ว....
ถ้าคุณโยมว่าไม่มั่ว ก็ไปอ้างพระไตรปิฏกมาว่าอยู่เล่มไหน หน้าไหน...
ถ้าภาษาที่ใช้ไม่เป็นที่สบอารมณ์ ก็ขออภัยด้วย เพราะ ต้องการให้ความเห็นนี้ กระเทือนต่อความเชื่อของคนทั่วไป..
เจริญพร
ขอบคุณครับ ด้วยความเคารพและรับผิดชอบ ผมไม่ได้มีเจตนามั่วเลยแต่ก็ยอมรับในความอ่อนด้อยของการศึกษาทางศาสนา สิ่งที่ผมรับรู้มาเป็นเพียงการบอกกล่าวต่อกันมาของผู้เฒ่าผู้แก่สมัยก่อนและตำราปรำปราบางเล่ม ซึ่งผมก็ค้นหามาไม่ได้ จำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ผมเคยเห็นหนังสือเล่มเก่านี้ ที่ตาทวดเคยอ่านให้ฟัง มันอาจไม่มีอยู่จริง แต่ด้วยจินตนาการของมนุษย์โลกที่เจือด้วยความกลัวที่เป็นอคติหนึ่ง อาจเป็นที่มาแห่งความเชื่อเช่นกล่าวมานี้ ผมบอกตามตรงว่ายังไม่ได้อ่านพระไตรปิฎกเลยแต่ผมก็จะพยายามศึกษาให้ได้ ในเร็ววัน ทั้งนี้ไม่ได้หมายมุ่งจะอ้างอะไรเพื่ออะไร แต่ก็อยากจะศึกษาเรื่องเล่าในความเชื่อของชาวพุทธเช่นกันทั้งในประเทศไทย ลาว ที่มีส่วนร่วมสร้างวัฒนธรรมพุทธ จารีต และสังคมที่สงบสุขอันผ่านมาแล้วในดินแดนอารยธรรมพุทธแลพรห์มนี้ ผมไม่อาจมองข้ามเรื่องเล่าที่เลื่อนลอยได้ครับแต่ผมยืนยันว่าผมจะใช้สติในการตรึกตรองและ รับผิดชอบในการเขียนเพื่อแพร่เผยเรื่องราวเหล่านี้ให้มากขึ้น ถ้าหากกระผมได้กระทำสิ่งผิดพลาดไปก็ต้องขอโทษที่ได้กระทำดังนั้นออกไป และไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกกระทบอารมณ์ใดๆ ครับหลวงพี่มหาสบายใจได้เลย ยินดีด้วยครับที่ผมจะยืนยันได้ว่า ไม่มีพุทธธรรมนาย และไม่ปรากฎอยู่ในพระไตรปิฏกด้วย
ขอบคุณอีกครั้งครับ และหลวงพี่คงให้ความเมตตาผมที่จะตอบข้อถามของผมในโอกาสต่อไป
นมัสการพระคุณเจ้า
และสวัสดีคุณสุมิตรชัย หากมีเวลากรุณาพิจารณาข้อคิดเห็นของผมด้วย จักขอบคุณยิ่งครับ
กรุณาเข้าไปในบล็อคนะครับ เครื่องนี้copyมาไม่ได้ ขออภัย
อาตมามิได้ยืนยันว่า ไม่มีในพระไตรปิฏก เพราะอาตมาก็ยังอ่านพระไตรปิฏกไม่จบ... เพียงแต่ท้วงติงว่า เป็นการอ้างมาเลือนลอย ซึ่งอาตมาไม่เคยเห็นต้นต่อ (นักบาลีเรียกต้นต่อหรือที่มาว่า อาคตสถาน) เท่านั้น...
เฉพาะที่อาตมาอ้างคัมภีร์สารัตถทีปนี นั้น ลองไปปัดฝุ่นหนังสือมา ก็เจอเรื่องความฝัน ๑๖ อย่าง ซึ่งท่านแต่งเป็นคาถาไว้ว่า..
อุสภา รุกขา คาวิโย ควา จ
อสฺโส กํโส สิคาลี จ กุมโภ
โปกฺขรณี จ อปากจนฺทนํ
ลาวูนิ สีทนฺติ สิลา ปฺลวนฺติ
มณฺฑูกิโย กณฺหสปฺเป คิลนฺติ
กากํ สุวณฺณา ปริวารยนฺติ
ตสาวกา เอฬานํ ภยา หีติ ฯ
มาจาก คัมภีร์ สารัตถทีปนี นาม วินยฏีกา สมนฺตปสาทิกาวณฺณนา (ตติโย ภาโค) ข้อ ๘ หน้า ๙
ซึ่ง เรื่องนี้ จะคัดมาจากคัมภีร์อรรถกถาอีกครั้ง ซึ่งมีผู้อธิบายไว้ คุณโยมสามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดได้ที่
http://www.pantown.com/board.php?id=1714&name=board4&topic=13&action=view
http://www.dhammathai.org/webboard/view.php?No=1879
......
ประเด็นคล้ายๆ กัน คุณโยมลองดูเรื่อง ภิกษุเห็นผี ในข้อโต้แย้งเรื่องความเห็น...
อนึ่ง อาศัยความเห็นของคุณโยมในครั้งนี้... อาตมาจะเขียนเรื่องการตรวจสอบพระธรรมวินัย...
เจริญพร
ขอบคุณพระอาจารย์และ คุณ TAFS ด้วยครับ
สุมิตรชัย คำเขาแดง |
นมัสการพระคุณเจ้า BM.chaiwut
ผมเห็นว่ารัฐธรรมนูญควรเขียนว่า "ประเทศไทยไม่มีศาสนาประจำชาติ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในประเทศนี้มีสิทธิเสรีภาพที่จะนับถือหรือไม่นับถือศาสนาใดก็ได้"
ผมเป็นห่วงมาก(และขอทำนายว่า)หากรัฐธรรมนูญออกมาโดยมีข้อความว่า "ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ" จะนำความยุ่งยากให้แก่ประเทศนี้ไปอีกเป็นร้อยปี ศาสนิกชนที่ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ(หรือที่กำลังกำหนดให้เป็นศาสนาประจำชาติ) จะรู้สึกอย่างไร เป็นพวกนับถือศาสนาชั้นสอง ชั้นสามหรือเปล่า
ถ้าสมมุติ(สมมุตินะครับสมมุติ)ว่า รัฐธรรมนูญออกมาอย่างนั้นจริง เวลาผมต้องกรอกข้อความในใบสมัครหรือแบบสอบใด ผมจะไม่กรอก "พุทธ" ก็ได้ใช่ไหมครับ จะกรอกว่า "ศาสนาประจำชาติ" แทนได้ไหมครับ หรือหากไม่อยากบอกก็จะเขียนว่า "ไม่บอก แต่ไม่ใช่ศาสนาประจำชาติก็แล้วกัน"
สำหรับผมแล้วความเชื่อความศรัทธาที่มีต่ออะไรสักอย่างอยู่สูงกว่าสิ่งที่เรียกว่า "ชาติ" มาก คำว่าชาติที่ว่านี้เป็นคำว่าชาติที่ทั้งหมายถึงประเทศและไม่ได้หมายถึงประเทศ (บาลีแปลว่าอะไรครับ)
ผมเคารพความเห็นของคน ไม่ว่าจะเป็นนักบวชหรือฆราวาสเสมอ ไม่ว่าจะนับถือผี พราหมณ์ พุทธ คริสต์ อิสลาม ยิว หรืออะไรก็แล้วแต่ เพียงแต่ฟังเท่าไรก็ไม่ชัดเจนว่าการเขียนข้อความว่าศาสนานี้ศาสนานั้นเป็นศาสนาประจำชาติลงในรัฐธรรมนูญลงไปแล้วจะเกิดประโยชน์อะไร รวมทั้งไม่ใส่แล้วจะเสียประโยชน์อันใด ที่คิดออกต้อนนี้มีเหตุผลเดียวคือ คนส่วนใหญ่นับถือพุทธ แล้วถ้าประเทศที่คนนับถือศาสนาหลายๆ ศาสนาล่ะ และใกล้เคียงกันด้วย เช่น 40:30:30 อย่างนี้ควรเขียนหรือไม่ และเขียนว่าอย่างไร?????
นมัสการพระคุณเจ้า
อยากจะเชิญชวน
คุณพี่สุรเชษฐ
ไปแสดงความเห็นแบ่งปันในบล็อคที่ผมแสดงทัศนะศาสนาประจำชาติไว้ด้วยนะครับ
ขอบคุณครับ
นมัสการพระคุณเจ้า
ผมเข้าไปเยี่ยมบล็อกของคุณ TAFS มาแล้วครับ เขียนความคิดเห็นไว้ด้วยว่า เห็นด้วยที่ไม่ควรเขียนว่าศาสนาใดเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญ
ขอแสดงความคิดเห็นเรื่องศาสนาประจำชาติ
วันที่ : 28 เมษายน 50 12:22 |
พล.อ.สนธิ ให้สัมภาษณ์ว่า ท่านชื่นชมในสิ่งที่ตนชี้แจงว่าเห็นด้วยกับการที่มีคำว่าพุทธศาสนาในรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ ท่านต้องการให้มีการบรรจุศาสนาพุทธไว้ในรัฐธรรมนูญ เพราะท่านเห็นสังคมไทยควรที่จะมีการปรับปรุง โดยเฉพาะการเป็นคนดีมีคุณธรรมที่ต้องมีการแก้ไข เมื่อมีตรงนี้คิดว่าประเทศชาติจะเจริญได้เร็ว ทั้งนี้ คิดว่าไม่น่าจะมีผลกระทบต่อศาสนาอื่น เพราะคณะกรรมาธิการที่ไปประชุมหารือ ซึ่งมีคนทุกกลุ่มทุกศาสนาหารือแล้วว่าสามารถบัญญัติได้ แต่อาจจะมีข้อความเพิ่มเติมพ่วงท้ายไว้เกี่ยวกับการดูแลรับผิดชอบทุกศาสนา พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกเหมือนการนำข้อมูลที่คณะกรรมการดำเนินการมา เพื่อให้สังคมพิจารณาซึ่งมีทั้งพอใจและไม่พอใจ ส่วนตรงไหนไม่พอใจก็แจงไปยังกรรมาธิการเพื่อให้ศึกษาต่อไม่ได้หมายความว่าร่างแรกนี้ถูกต้องและประกาศใช้ ยังมีอีกหลายครั้ง ซึ่ง คมช. ก็มีการศึกษาในประเด็นต่างๆของรัฐธรรมนูญ โดยให้คณะทำงานไปศึกษาก่อนที่จะกลับมาหารือกันอีกครั้ง เมื่อถามถึงในช่วงเดือนพฤษภาคมจะมีการตัดสินคดียุบพรรคการเมือง ซึ่งมีมวลชนจำนวนมากจะกระทบต่อการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า รัฐบาล และ สสร. และคณะกรรมาธิการยกร่าง คงจะมีแนวทางในการทำความเข้าใจกับองค์กรที่เกี่ยวข้องทั้ง 12 องค์กร ทั้งนี้ หากทุกคนมีความชัดเจนต่อปัญหาทั้งหมด และมีความเข้าใจตรงกันคิดว่าการลงประชามติก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี |
วันที่ 30/4/2007 |
พระมหาประเสริฐ มนฺตเสวี |
ตยา วุตฺตวจนํ สาธุ โหตุ
อามนฺตา
นมัสการพระคุณเจ้า.....
ปุจฉา " รัฐธรรมนูญฉบับนี้จะอยู่กี่ปีกันเหรอ...
พระธรรมอยู่มากี่ปีแล้วเหรอ.... ?
วิสัชณา ".............................................
ผมขออนุญาต ร่วมสนทนาธรรมนะครับพระคุณเจ้าทั้งสอง
ประเด็นหลักประเด็นที่แท้จริงในเรื่องนี้ ก็คือ สถานการณ์ที่เป็นไปในปัจจุบันนี้ จะต้องมีกฎเกณฑ์ หรือมาตรการข้อบังคับอย่างใดอย่างหนึ่งมาแก้ไขโดยด่วน ได้แก่
1. จะต้องมีกฎหมายที่แน่นอน ที่จะมาบีบบังคับให้ผู้ที่ประพฤติเสื่อมเสียออกไปเสียจากศาสนาให้เร็วที่สุด และมากที่สุด เท่าที่จะทำได้
2. จะต้องมีกฎข้อบังคับให้ชาวพุทธทุกคนต้องปฏิบัติวิปัสสนาอย่างน้อย ๑๐ วัน ในชาตินี้ หลังจากนั้นทุก ๆ อย่างก็จะเข้าสู่ระบบของมันเอง
เมื่อถึงตรงนี้ ขอถามว่า จะมีสิ่งใดที่จะช่วยผลักดันให้สองข้อข้างต้นเป็นไปได้จริง ยิ่งไปกว่ากันบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ หรือท่านมีข้อคิดเห็นที่เป็นไปได้ และน่าสนใจยิ่งไปกว่านี้..?
ที่จริงผมได้อ่านถึงความห่วงใยในเรื่องพระพุทธศาสนาและประเทศไทย ความห่วงใยหนึ่ง เป็นเรื่องของอัตลักษณ์ซึ่งผมก็เห็นด้วยและ นั่นคือประเด็นจริง ๆ ส่วนเรื่องศาสนาพุทธเป็นหนึ่งในอัตลักษณ์ของสังคมไทย
ผมเห็นด้วยอีกกับการที่ประเทศอิสลาม มีรัฐอิสลามใช้กฎหมายศาสนา แต่นั่นก็เป็นลักษณ์อัตลักษณ์ของสังคมนั้น ๆ ความเป็นมาและเป็นไปของผู้คนในดินแดนนั้นในภูมิอากาศเช่นนั้น
ผมเคยเสนอให้คณะกรรมการรับฟังความคิดเห็นบรรจุมาตราหนึ่งลงในรัฐธรรมนูญแต่ไม่ทราบท่านเหล่านั้นจะได้จดจารไว้หรือไม่ ว่า
ตอนนี้ประเทศ สังคมของเราเป็นอย่างท่านพระมหาท่านว่ามา ดังนี้เราสูญเสียความเป็นตัวตนของคนไทยไปแล้ว ผมขอให้บรรจุมาตราว่าด้วย ขนบธรรมเนียม จารีต ประเพณี วัฒนธรรม ของชาติลงไปเลย แล้วสภาวัฒนธรรมก็ต้องมาจากตัวแทนประชาชน ผู้มีการศึกษา มีความรู้ทางวัฒนธรรม ที่รวมเอาทั้งท้องถิ่น เมือง ภูเขา ป่าไม้ ทะเล แม่น้ำ เหล่าล้วนบ่อเกิดแห่งการเป็นอยู่ของชาติไทย สังคมไทย แน่นอนว่าพุทธศาสนาก็ต้องอยู่ในการบูรณาการของ เจตนารมณ์แห่งมาตรานี้
ผมว่ามองอย่างองค์รวม เราไม่ได้แค่สูญเสียความเป็นพุทธสังคม เรากำลังเสียทั้งวัฒนธรรมอื่นด้วย จารีตเราก็พัง ขนบเราก็ลืม ธรรมเนียมเราก็ละเลย เราต้องกู้คืนมาทั้งหมดครับ ยกตัวอย่างเช่นการเคารพผู้ใหญ่ ที่เราเคยมีเอกลักษณ์ก็กำลังเสียไป การอยู่ก่อนแต่ง ก็ทำธรรมเนียมที่ดีเสีย การรักนวลสงวนตัว การบวช ฯลฯ ทุกสิ่งเราต้องยกกระบวนการมารื้อฟื้นกันใหม่ครับไม่เพียงพุทธศาสนา
อาจารย์จากมหาวิทยาลัยท่านหนึ่งให้ความเห็นไปก่อนผมว่า มาตราที่ว่าด้วยความเป็นท้องถิ่นของสังคมไทยซึ่งจะทำให้สังคมไทยให้ความสำคัญกับท้องถิ่นชีวิตคนส่วนใหญ่มากขึ้น นี่ก็เป็นประเด็นที่น่าสนใจและจะน้อมนำมาสู่การเป็นสังคมแห่งอัตลักษณ์ไทยที่ไม่จำเป็นต้องเอาอย่าง รัฐใด ๆ ในโลกนี้
อยากให้มองให้กว้าง คิดให้ไกล พุทธศาสนาสอนให้คนเดินสายกลาง ไม่คิดหรือทำอะไรสุดโต่ง คิดและทำอะไรด้วยเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์ ไม่ยึดติด ว่านี่ของกู นี่ตัวกู ...ใช่ไหม?
คิด และทำด้วยปัญญา ...ตามหลักไตรสิกขา ปัญญาจะเกิดไม่ได้ถ้าไม่มีสมาธิ และคนไม่สามารถมีสมาธิได้ถ้าขาดศีล... ใช่ไหม?
ลองมองเรื่องนี้กว้างๆ ในหลายๆ มิติ อย่ายึดติด อย่าถือทิฐิ
-= มิติทางด้านศาสนา =-
การกำหนดให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญ จะทำให้พุทธบริษัทดีขึ้นอย่างไร มากน้อยเพียงใด ในเมื่อคนที่บอกว่านับถือพุทธ ยังเร่าร้อน ดับไม่เป็น เย็นไม่ลง แค่ศีล 5 ข้อ ยังยึดถือกันไม่ได้ อีกทั้งองค์กรศาสนาพุทธเองยังแตกแยกขัดแย้งทางความคิด ต่างนิกายก็ต่างความคิด ...รัฐธรรมนูญจะแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ทุเลาเบาบางลงได้อย่างนั้นหรือ และพุทธศาสนิกชนจะได้รับอานิสงส์อะไร
-= มิติทางกฎหมาย =-
เมื่อระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด ก็จะต้องมีกฎหมายลูกมารองรับ จะต้องมีข้อกำหนด บทบัญญัติต่าง ๆ ตามข้อกำหนดปฏิบัติในพุทธศาสนา เช่นในเรื่องของศีล ต้องบรรจุไว้เป็นข้อบังคับ เป็นกฎหมาย เพราะถ้าไม่มีกฎหมายลูกเช่น พรบ. มารองรับ ก็มองไม่เห็นประโยชน์อันใดที่จะไปใส่ใว้ในรัฐธรรมนูญเช่นนั้น และดังนั้นถ้าใครทำผิดศีล ก็ต้องถือว่าผิดกฎหมาย ใครดื่มสุราก็ต้องได้รับโทษตามกฎหมาย รัฐบาลต้องปิดโรงงานสุรา-เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกแห่ง เนื่องจากเป็นแหล่งที่สนับสนุนให้คนทำผิดกฎหมาย แล้วถ้าใครคิดจะไปออกกฎหมายเพื่อยกเว้น ก็ถือว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ
-= มิติทางวิถีชีวิต =-
ความเป็นอยู่ของชาวพุทธคงต้องปรับเปลี่ยนไปมาก ...จะรับกันไหวไหม ใครจะทรงเจ้าเข้าผี ใครจะทำพิธีบวงศรวงเจ้าพ่อ จะไปแก้บนเจ้าแม่ หรือแม้แต่จะตั้งศาลพระภูมิเจ้าที่ จะผิดกฎหมายไหม เพราะการกระทำเหล่านี้ไม่ใช่การปฏิบัติในศาสนาพุทธ
-= มิติทางการเมืองการปกครอง =-
องค์ประกอบหลัก คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ คำว่าชาติ ไม่ได้หมายถึงคนที่มีเชี้อชาติไทยเพียงอย่างเดียว แต่ประกอบไปด้วยต่างเชื้อชาติอย่างหลากหลาย คำว่าศาสนาก็เช่นเดียวกัน ประกอบด้วยศาสนาต่าง ๆ มากมาย
ในสมัยอดิต การสร้างบ้าน-แปงเมือง ตลอดจนการต่อสู้เพื่อเอาชนะอริราชศัตรู การกอบกู้บ้านเมือง ไม่ได้มีมีเพียงชนเชื้อชาติไทยเท่านั้น ไม่ได้มีแต่คนที่นับถือพุทธเท่านั้น แต่ความสำเร็จเหล่านั้น เกิดจากการผนึกกำลัง ร่วมสามัคคีกันระหว่างคนหลายเชื้อชาติ หลายเผ่าพันธ์ หลายศาสนา ร่วมกันสร้างสรรค์ให้เป็นประเทศไทยมาโดยตลอด
...แผ่นดินนี้แต่เดิมชื่อประเทศสยาม ชื่อเสียงของสยามประเทศเป็นที่รู้จักกันไปทั่ว ลักษณะสำคัญของสยาม ประกอบด้วยมณฑล หัวเมืองน้อยใหญ่ และรัฐต่างๆ หลากหลายทั้งเชื้อชาติและศาสนา ต่างยินดี พร้อมใจจะอยู่ภายใต้การปกครองของสยาม อยู่กันอย่างมีความสงบสุข ...มีรัฐบาลในอดีตสมัยหนึ่ง เคยกระทำความผิดต่อสถาบันชาติเอาไว้อย่างร้ายแรง โดยความคิดชาตินิยมสุดโต่ง ดันไปเปลี่ยนชื่อจากสยามเป็นประเทศไทย ข้าราชการฝ่ายปกครองที่ถูกส่งไปจากส่วนกลาง ไปปกครองหัวเมืองต่าง ๆ ล้วนสุดโต่งในเรื่องชาตินิยม ก็พยายามไปเปลี่ยนความคิดและวิถีชีวิตชาวบ้าน ให้เป็นไปตามความเชื่อ ความคิด และการกระทำตามที่ตัวเองคิด มันก็เลยเกิดปัญหาขัดแย้ง เกิดความแตกแยกในบ้านเมืองขึ้น ตัวอย่างที่ชัดเจน และทิ้งปัญหาอันหนักหนาเอาไว้จนถึงปัจจุบันก็ดูจากภาคใต้ของเรา ใครศึกษาประวัติศาสตร์ คงจะเข้าใจเรื่องนี้ดี
...ไม่อยากให้ความผิดที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ด้วยการเอาสถาบันศาสนามาเป็นเครื่องมือในการบ่อนทำลายชาติ ด้วยการเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ ว่าพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ
-= มิติทางระบอบประชาธิปไตย =-
การปิดกั้น กีดกันทางความคิด ความเชื่อ และศรัทธาของผู้อื่น คือ "เผด็จการทางความคิด" ไม่ใช่แนวคิดประชาธิปไตย ถ้าเป็นอย่างนั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ย่อมจะถูกกล่าวหา และไม่ยอมรับจากนานาประเทศในที่สุด
**********************
เคยมีคำทำนายเอาไว้ว่า ปีศาจ มารร้าย จะมีฤทธิ์เดชมากขึ้น กระทั่งแปลงร่างเป็นเทวดา แปลงร่างเป็นพระ ทำให้ผู้คนหลงเชื่อ เมื่อครานั้น หมู่มวลมนุษย์ จะถึงกาลวิบัติ
**********************
ย้อนมองเหตุไม่บัญญัติ"ศาสนาประจำชาติ" ตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2475 - http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9500000048853
**********************
หยุดเถอะ |
ผมได้อ่าน ความเห็นทุกความเห็นที่โพสเข้ามาแล้ว
รู้สึกสลดใจ กับชาวพุทธด้วยกันเอง ที่คัดค้านไม่ให้เขียนว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ไว้ในรัฐธรรมนูญ ผู้ที่นับถือศาสนาอื่นเสียอีกที่เห็นด้วย จริงอย่างที่พระพุทธองค์ ท่านทรงตรัสไว้ว่า ไม่มีใครทำลายศาสนาเราได้นอกจาก พุทธบริษัทของเราเอง ระวังนะการคัดค้านไม่ให้บรรจุไว้นั้น จะเป็นการทำลายพระพุทธศาสนาไปโดยไม่รู้ตัว เพราะเดี๋ยวนี้อะไรๆก็ต้องมีกฎหมายรองรับทั้งนั้น มันไม่เหมือนสมัยก่อน อีกกรณีหนึ่งถ้ากลับไปถามปู่ย่าตายายของเราในสมัยก่อน ว่าควรเขียนลงไว้ในรัฐธรรมนูญ มั้ย ท่านคงเห็นด้วยกันหมด ก็ไม่รู้ว่าการคัดค้านของเรา จะเป็นการแสดงความอกตัญญูต่อท่านหรือเปล่า ลองคิดดูอีกครั้งนะครับ
อาจารย์อริยะ นครสวรรค์ |
นมัสการพระคุณเจ้า
คุณครูเห็นหลาย ๆ คน ปากบอกว่าเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี นิยมการส่องพระ สะสมพระ นับถือ(พระเครื่อง) มีไว้เยอะมาก หมดเงินไปเพราะ อยากจะเป็นเซียนพระ แต่มีความตระหนี่กับเพื่อนร่วมงาน เมื่อใดที่คุณครูแนะนำให้ไปฟังธรรม วิปัสนากรรมฐาน หรือเข้าวัด ปฏิบัติธรรม กลับกลัวและไม่อยากไป ถึงอย่างไรก็ไม่ไปให้ได้ คุณครูเห็น ศีล 5 ไม่เคยเป็นปกติ .....อย่างนี้จะเรียกว่า ไม่มีทุนความดีหรือไม่ที่จะสั่งสมบารมีในชาตินี้ค่ะ
ศาสนามีหลายมีติ ตามที่โยมคุณครูเล่ามา อาตมาก็เจออยู่เช่นเดียวกันในสังคมรอบข้าง......
ผู้รู้ได้จำแนกผู้สนใจพระศาสนาไว้ ๓ กลุ่ม กล่าวคือ
ซึ่งประเด็นที่ว่า เป็นมุมมองในแง่ความสนใจ .... ส่วนในแง่การปฏิบัติก็ต้องพิจารณาแต่ละคน ซึ่งส่วนใหญ่หลักการปฏิบัติมักจะคล้อยตามความสนใจข้างต้น.....
บางครั้ง วาสนา ปารมี หรือภูมิธรรมของแต่ละคนแตกต่างกัน... ดังนั้น ไม่ควรจะเข้าไปจับผิด แต่ถ้ามีโอกาสก็ควรแนะนำด้วยความเมตตา.....
เจริญพร
ประสบการณ์การเลือกศาสนาประจำใจ
ตอนเด็กๆ รู้แต่ว่าพ่อ แม่ เป็นพุทธ ก็เข้าวัด รู้จักพระ เรียนวิชาพุทธศาสนาอาทิตย์ละวัน เลยคิดว่าตัวเองน่าจะนับถือศาสนาพุทธ
ต่อมา..จนถึงปัจจุบันมีความรู้ว่า เลือกนับถือศาสนาพุทธ เพราะเป็นศาสนาที่อธิบายเหตุผล ของการเกิด และแก้ไข ความทุกข์ และทำให้ทุกคนอยู่ร่วมกับอย่างมีความสุข เป็นเส้นทางสายกลาง ไม่ตึง หรือหย่อน จนเกินไป ไม่จำเป็นต้องทำตาม ที่ใครบอกให้นับถือ เป็นศาสนาที่ให้เสรีทางความคิด และให้เราไปหาคำตอบเองว่า จะทำอย่างไร? ให้มีความสุข และช่วยเหลือส่วนรวมให้มีความเจริญ และเหมาะสมกับชีวิตของผม
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เกิดกับผมเอง นำเสนอเพื่อเป็นข้อมูลเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเชื่อ แล้วแต่จะพิจารณาครับ
นมัสการพระคุณเจ้า คือดิฉันอยากทราบว่าการอยู่ก่อนแต่งเป็นการผิดสิลธรรมไหมค่ะตามหลักของศาสนาพุทธ
c
ยังไม่เจอคำตอบประเด็นนี้โดยตรง....
ถ้าจะเดาก็คิดว่า น่าจะไม่ผิด
เคยเจอคำอธิบายในเรื่องกาเมสุมิจฉาจารในมังคลัตถทีปนี ซึ่งได้จำแนกสตรีไว้ ๒๐ จำพวก เช่น สตรีที่แม่คุ้มครอง สตรีที่พ่อคุ้มครอง สตรีที่พ่อและแม่คุ้มครอง สตรีที่ธรรมคุ้มครอง... เป็นต้น
บุรุษใดประพฤติผิดในสตรีเหล่านี้ ก็ผิดบ้างไม่ผิดบ้าง (ตามรายละเอียด)... แต่มีประเด็นหนึ่ง คัมภีร์บอกไว้ว่า พ่อหรือแม่ไม่ได้คุ้มครองสตรีเืพื่อชมเชยผัสสะของนาง แต่คุ้มครองไว้เพื่อมิให้ผิดขนบธรรมเนียม เป็นต้น เพราะสตรีจะมีผัสสะเป็นของนางเอง... ประมาณนี้ี้
ตามนัยนี้ ถ้าหากสตรีนั้นมีวัยสมควร อาจมอบผัสสะของนางให้แก่ใครตามความสมัครใจ ไม่ถือว่าผิดนั่นคือ การอยู่ก่อนแต่งงานก็ไม่น่าจะผิด... ประมาณนี้ ี้
ส่วน สตรีที่มีสามี ผัสสะของนางเป็นของสามี แม้นางมอบให้คนอื่นที่มิใช่สามี ก็ถือว่าผิด...
อนึ่ง ยังมีการจำแนกการวิวาห์ ที่เรียกว่า พาหนีวิวาห์ คนธรรพวิวาห์... คือ การยินยอมพร้อมใจกันทั้งสองคน... อาจสนับสนุนว่า การอยู่ร่วมกันก่อนแต่งงานโดยความยินยอมทั้งสองคนก็ไม่น่าจะถือว่าผิด...
ประเด็นนี้ น่าจะมีการศึกษาวิจัยในแง่มุมต่างๆ ตามหลักพระพุทธศาาสนา....
เจริญพร