มีแรงบันดาลใจจากการเสวนารอบล่าสุด(ที่ไม่ใช่ รอบอุรุกวัย อิอิ)ในบลอกคุณ น็อต เรื่อง การสอนของอาจารย์แหวว
เพื่อการวิพากษ์นั้นให้เป็นไปอย่างรอบด้านผมขอถามหน่อยถึงทัศนคติของผู้ศึกษาที่ดีในการเรียน ที่เรากำลังเรียนอยู่คุณมีความคิดเห็นอย่างไร
และทำไมถึงเลือกเรียนสาขากฎหมายนี้
ส่วนผมกำลังจะเขียนถึงเรื่องนี้ไว้ไปโพสต์ในบลอกผมเองก็แล้วกัน
เห็นด้วยมั้ยครับ
ไม่มีความเห็น
กิ๊กเลือกสาขาระหว่างประเทศเป็นอันดับที่ 1 ของการสอบเข้าป.โทและเลือกสอบที่ธรรมศาสตร์เพียงที่เดียว
ทำไมถึงเลือกเรียนสาขานี้ล่ะ?
เป็นเพราะชอบเรียนตั้งแต่เรียนคดีเมืองหนึ่งกับท่านอาจารย์นพนิธิและอาจารย์พิรุณาแล้ว แม้จะได้คะแนนในวิชานี้ไม่มากไม่น้อยแต่ไม่ใช่สาระสำคัญ แต่เป็นวิชาเเรกที่ทำให้จากอยู่ในกะลาครอบ ต้องแง้มกะลาออกไปเซาะหาหนังสือต่างประเทศ และบทความวิชาการอ่านประกอบทั้งที่อาจารย์แนะนำและนอกเหนือจากที่เรียน โดยเฉพาะอาจารย์นพนิธิท่านจะสอนให้คิดด้วยตัวเองตลอด
การเลือกเรียนสาขานี้ไม่ใช่เพราะว่าวิชาคดีเมืองหรือคดีบุคคลได้คะแนนแปดสิบหรือเก้าสิบ แต่เพราะรู้สึกว่าวิชานี้เป็นพื้นการอยู่ร่วมกันของประชาคมโลก จนบางครั้งเรารู้สึกว่ามันเกิดเป็นปกติจนไม่รู้สึกว่านี่หรือคือกฎหมายระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ชอบอ่านtextภาษาต่างประเทศ รู้สึกว่าท้าทายดี แถมยังได้ข้อคิดใหม่ๆ ที่บ้านเรายังไม่เกิดเป็นประเด็นอีกด้วย และได้ฝึกภาษาให้เชี่ยวชาญโดยไม่เสียเงินกวดวิชาแพงๆอีกด้วย
อีกอย่างหนึ่งคือ เรื่องต่างประเทศไม่ใช่เรื่องไกลตัวเราเลย การดำเนินความสัมพันธ์กับต่างประเทศเราก็ควรจะรู้กรอบหรือระเบียบระหว่างประเทศเสียก่อนจึงจะบังคับให้เป็นไปตามกฎหมายได้
ทำไมต้องเป็นที่ธรรมศาสตร์?
เพราะสถาบันแห่งนี้เป็นแห่งรวมหนังสือกฎหมายที่ใหญ่ที่สุดของประเทศและมีคณาจารย์ที่มีความรู้ความเชียวชาญมากมายพร้อมที่จะให้ความรู้เต็มที่ และกิ๊กยังคงภูมิใจที่จะอยู่ในร่มแม่โดมแห่งนี้อยู่เพราะความอบอุ่นของอาจารย์ที่มอบให้แก่ศิษย์นั่นเอง
นอตนะครับ
ก่อนอื่นก็ตัดหน้าน้องกิ๊กก่อนเลยละกัน
นอตเลือกเรียนสาขากฎหมายระหว่างประเทศเพราะความชอบครับ เมื่อก่อนตอนอยู่ปี ๑ ปี ๒ จะสนใจกฎหมายอาญามากๆ แต่พอเรียนสูงขึ้นเราเริ่มรู้ว่าอะไรที่เราชอบอย่างแท้จริง และมาชัดเจนตอนที่ได้มีโอกาสเรียนวิชากฎหมายสหภาพยุโรป และวิชาสิทธิมนุษยชน ทำให้เราชัดเจนว่าถ้าต้องเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นขอเป็นสาขากฎหมายระหว่างประเทศเท่านั้น...อ้อ ตอนเลือกก็เลือกสาขานี้สาขาเดียวนะครับ เสียดายเงินครับ และจะเสียดายยิ่งขึ้นถ้าต้องทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ
ความชอบเป็นสิ่งสำคัญนะครับ อย่างน้อยมันเป็นแรงบันดาลใจให้เราได้ในเวลาที่เราเหนื่อยกับมัน ว่า "เห้ย...อย่างน้อยสิ่งที่เรากำลังสู้อยู่มันก็เพื่อนสิ่งที่เรารักนะ" เราจะไม่เสียใจเลยถ้าได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ
นอต
สงสัยจะต้องส่งให้ อ.นพนิธิและ อ.พิรุณาได้อ่านนะคะ คงดีใจมาก แรงบันดาลใจเป็นสิ่งที่สำคัญค่ะ
วันที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๙ จะมีงานเสวนาวิชาการเพื่อ อ.นพนิธิ ดังนั้น ท่านทั้งหลายที่เป็นแฟนคลับของ อ.นพนิธิ น่าจะต้องทำตัวให้ว่างนะคะ จะมีเสวนาเช้าบ่าย ตอนเที่ยงก็ทานข้าวกับ อ.นพ สนใจไหมคะ ?
หนูคนหนึ่งที่จะไม่พลาดค่ะ
แค่งานตัวเองยังปั่นสุดแรงเกิดเลย เลยไม่มีเวลาไปเขียนข้อคิดเห็นในบลอกตัวเองอย่างแยกเป็นเอกเทศ ขออาศัยบลอกสาวสวยประจำสาขากฎหมายระหว่างประเทศของเราเป็นที่แสดงความคิดเห็นแล้วกันนะครับ
ผมจดจำคำกล่าวของกฤษณมูรติ ปราชญ์เมธีตะวันออก ในหนังสือแด่หนุ่มสาว ไว้ชัดเจนว่า
ระบบการศึกษาปัจจุบัน อาวุธที่สำคัญที่สุดที่การศึกษามอบให้คือความกลัว กลัวจนสุดจิตสุดใจ สร้างอาณาจักรแห่งความกลัว เพื่อควบคุมพลเมืองของตนให้อยู่ภายใต้อำนาจบางประการ
เรากลัวการสอบ เรากลัวอาจารย์ท่านดุด่าและว่า เรากลัวคะแนนเราจะไม่ดี เรากลัวคนที่จบเมืองนอก เรากลัวจะไม่ได้อาชีพที่ดี...สารพัดความกลัว
ความกลัวทั้งหลายสุมรุมทำร้ายจิตใจ ทำให้อ่อนแออ่อนแรงลงทุกวัน
นี่คือความรูสึกที่ระบบการศึกษากระแสหลักมอบให้ ผลิตผลของกระแสการศึกษาเช่นว่านี้ ประเทศทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประเทศหนึ่ง ก็นำมาเด็ดยอด และผลของมันคือมีการติวในทุกหย่อมหญ้าทุกสาขาวิชา แม้แต่ชั้นประถม
ผมคิดเสมอว่า"ส่วนใหญ่" นักศึกษาสังคมไทยนั้นเข้ามารับการศึกษาเพื่อสร้างสถานะบางประการในสังคมเพื่อเลื่อนระดับยกตัวเองไปสู่อีกระดับ
ผมประสงค์เพียงอธิบายว่าเป็นเช่นไร แต่มิได้หมายความว่า "ส่วนใหญ่" เหล่านั้นจะดีหรือไม่ดี(ความดีหรือไม่ดีเป็นชุดตรรกะที่เผด็จการไปหน่อยหากจะตัดสินโดยขาดการศึกษา)
ที่ผมกล่าวเช่นว่านี้ได้เพราะ ผมในฐานะอดีตนักศึกษาปริญญาตรีที่รั้วแม่โดมสุดที่รักของผมและอีกหลายคน ผมทราบดีถึงพฤติกรรมเรียนเพื่อคะแนน เรียนเพื่อสอบ หรือกิจกรรมลงทะเบียนแล้วสอบขาดเรียน ผมเห็นมาในทุกรูปแบบ
แต่ผมเห็นน้อยคนที่ชัดเจนกับ"ความเป็น(being)"ของตัวเองโดยปราศจากการตั้งคำถามต่อสิ่งที่เป็น สิ่งที่เห็น ว่าเป็นสิ่งที่จริงแท้หรือไม่ หรือจริงๆแล้วเราเดินทางไปในชีวิตเรา เราต้องการอะไร อยากเป็นอะไรจริง หากตอบก็จะบอกว่า "หนู/ผม/เรา/กู อยากเป็นผู้พิพากษา อัยการ ลอว์เฟิร์ม" ด้วยเหตุผลอาจเป็นทั้งเงิน ตำแหน่ง หรืออะไรที่คล้ายเช่นว่านั้น(รวมถึงผมด้วย) ทำให้ผมคิดว่าเราขาด"อาชีวปฏิญาณ"อย่างยิ่ง
อยากให้ดูบทความเรื่องนักนิติศาสตร์ในฝัน ของศิษย์เก่าธรรมศาสตร์ พี่อนิรุจ ตันบุตรเจริญนะครับ
http://ratioscripta.blogspot.com/2005_12_01_ratioscripta_archive.html
ผมไม่เคยคาดหวังเพราะรู้ว่าคงอีกหลายโกฐปีที่รัฐ(ความชั่วร้ายที่จำเป็น)จะปรับปรุงการศึกษาให้กับประชาชนได้ดีขึ้น ผมเพียงแต่อยากบอกว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผมในเรื่องกฎหมายคืออาจารย์และพี่ๆทั้งหลาย
ผมยอมรับว่าผมเป็นคนที่ไม่เคยสนใจเข้าเรียน และอ่านหนังสือของผมอยู่คนเดียว(ไม่ว่าแนวไหน) ไม่ติวกับเพื่อนด้วย ทำให้ผมค่อนข้างมีอีโก้จัดมากในอดีต เชื่อว่าตัวเองถูกอยู่คนเดียว (ผมเกลียดอะไรที่อยู่ในระบบมาก) และจะมองอาจารย์คือหอคอยงาช้างอะไรเทือกนั้น
แต่พอผมได้มีโอกาสทำกิจกรรมมากขึ้น ได้รู้จักท่านอาจารย์หลายคน(รวมถึงรุ่นพี่ที่เป็นอาจารย์ก็หลายคน) ความคิดผมสะเทือน ชีวิตที่ส่ายเรี่ยราด ก็เริ่มมีธงที่ชัดเจน จากคนอ่านหนังสือสะเปะสะปะเพื่อรู้ทุกอย่าง กลายเป็นคนที่อ่านหนังสือช้าลงและพยายามทำความเข้าใจมากขึ้น... ท่านทั้งหลายมีพระคุณกับสิ่งมีชีวิตแขนงขี้เลื่อยในกะลาอย่างผมอย่างสุดล้นพ้นตัว
หลังจากนั้นเริ่มมองโลกมุมใหม่ เริ่มมองผู้คนทั้งหลายอย่างเข้าใจมากขึ้น...ง่ายๆชีวิตผมสุขขึ้นมาก
สิ่งที่สำคัญที่สุดผมได้ใคร่ครวญชีวิตผมอย่างจริงจัง
สุดท้ายผมจึงได้คำตอบว่า ผมจะดำเนินเส้นทางสายนี้เพื่อประโยชน์สุข ไม่ต้องของปวงชนหรอกครับผมไม่ใช่นักการเมืองขี้ฟันของไทย เพียงคนที่ผมรักและที่รักผมก็พอ
เพราฉะนั้นนักศึกษาที่ดีใความหมายของผมคือผู้ศึกษาโดยแท้ ในทางลึกและทางกว้าง มีจิตวิญญาณ อุดมการณ์ (ผมยังรู้สึกว่ามันเหมาะสมกว่าซะอีกหากอยากเป็นปีศาจโดยรู้ฉันต้องการเป็นปีศาจ)
“ เมื่อฉันเรียนอยู่ปีหนึ่ง
ปัญญาเผอิญพลัดตกลงไปในหลุม
ซึ่งเขาขุดดักเอาไว้
พอปีสอง
หลุมยิ่งลึกขึ้น ปัญญาถูกขวากแหลมทิ่มแทง
พอปีสาม
บาดแผลยิ่งลึกฉกรรจ์
พอปีสี่
เมื่อฉันจบออกจากมหาวิทยาลัย
มีเพียงร่างกายหลงเหลืออยู่
กับลมหายใจไร้ชีวิต ”
กฤษณมูรติ, “แด่หนุ่มสาว”
ส่วนเหตุผลที่ว่า ทำไมถึงเป็นกฎหมายระหว่างประเทศ
ตอบให้ง่ายที่สุด คือ ผมชอบ interational affairs
ตอบโดยพึงคำนึงถึงรายละเอียดประการต่อมา คือ
1) ความสำคัญประการหนึ่งของกฎหมาย
ความสำคัญของกฎหมายนั้น คงมิต้องสาธยายเพิ่มเติมในฐานะของผองเราผู้เป็นนักศึกษากฎหมายมากว่าห้าปี เราคงเข้าใจอิทธิพลของมันในทางใดทางหนึ่งไม่มากก็น้อยต่อสังคมที่เราใช้ชีวิตอยู่
กฎหมายเป็นสิ่งสำคัญมากเพราะมนุษย์ทุกคนมิใช่พระศรีอาริยะเมตตรัย เพราะฉะนั้นความขัดแย้งที่ผมเคยกล่าวไปแล้วจึงเกิดขึ้นและธรรมชาติของมนุษย์ หากมองตามแนวคิดของลัทธิวัตถุนิยมประวัติศาสตร์มีแนวโน้มที่มนุษย์จะแก้ไขความขัดแย้งไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น(ไม่ว่า"ดีขึ้น"จะเป็นอย่างไรก็ตาม)
ผมมีความอยากและแรงบันดาลใจในการศึกษากฎหมายเพราะเหตุว่า เราอยากมีความสงบและเท่าที่เห็น นักกม.ปัจจุบันมักจะไม่ใช้วิธีเข้าสู่ปัญหาเพื่อแก้ไขโดยใช้ฐานนี้เท่าไหร่ ส่วนใหญ่ใช้ฐานผลประโยชน์ส่วนตน... ก็ว่ากันไป
เพราะมีอาจารย์ท่านหนึ่งกล่าวกับผมว่า สรรพวิชาทั้งหลายที่เรามีเปรียบดั่งดาบและอาวุธ หากคุณใช้มันเพื่อฆ่า..คุณได้ฆ่า หากคุณใช้มันเพื่อปกป้อง..คุณได้ปกป้อง แต่หากคุณศึกษามันไปถึงระดับหนึ่ง คุณจะวางอาวุธทั้งหลายที่คุณมีหลอมรวมมันเข้าไว้ด้วยกันและจะนำมันมาหยิบใช้เพื่อประโยชน์สุขอีกครั้งเท่านั้น
นั่นคือสภาวะไร้ดาบ...
ผมไม่ทราบว่าผมชอบกฎหมายเหรือไม่เมื่อไหร่โดยสามารถระบุได้แน่นอน แต่ผมรู้สึกว่า วิชาการศึกษาคืออีกหนึ่งอาวุธทางปัญญาของมนุษย์ชิ้นหนึ่ง ที่สามารถสร้างประโยชน์สุขได้ ท่ามกลางอาวุธที่หลากหลาย การเดินทางของชีวิตผมได้นำพาและเดินทางมาฝึกวิชานี้
แน่นอน ชีวิตคนเราเกิดมาเพื่อทำบางสิ่ง(ปราบดาหยุ่น,ชิตแตก)เท่านั้น แต่ผมเห็นชัดว่าบางสิ่งนั้นของผมมีมิติของอาณาจักกฎหมายเป็นส่วนหนึ่งจากทั้งหมด
2) ความสำคัญประการหนึ่งของระบบโลก
เคยมีคำกล่าวจากหนังสือทางศาสนาว่าหลายครั้ง "เราท่านทั้งหลายมีพุทธะอยู่ในตัว" "เราสามารถศึกษาความจริงทั้งมวลได้จากเม็ดทรายเม็ดเดียว"แต่สิ่งเหล่านี้คือภูมิปัญญาตะวันออก
ถึงแม้ปัจจุบันตะวันตกกำลังดำเนินการสู่ตะวันออก(orientalise)(ทฤษฎีโพสต์ โมเดอร์นทั้งหลายกำลังดำเนินไปทางนั้น เช่น deconstruction, post structualism เป็นต้น) กล่าวคือ สังคมตะวันตกกำลังตั้งข้อสงสัยกับการพัฒนาภูมิปัญญาของตนเองว่า พื้นฐานที่แท้ที่เป็นแก่นของความรู้นั้นมันพัฒนามาจากอะไร พยายามถอดรื้อเพื่อสร้างใหม่ แต่มันเป็นเพียงแต่กระแสธารทางประวัติศาสตร์ที่กำลังเริ่มต้นขึ้นและขาดความแน่นอนชัดเจน
ทุกขลาภทั้งหลายที่เป็นผลผลิตจากภูมิปัญญาเช่นว่านั้น มีมากมายเหลือเกินและผลกระทบที่มีนัยยะสำคัญที่สุด คือ "การช่วงใช้"ทุนนิยม เพราะทุนนิยมในตัวของมันเองมิได้เลวร้าย เพียงแต่ระบอบของมันเปิดช่องโหว่ให้การแก่งแย่งชิงดีเพื่อประโยชน์ส่วนตน และการสร้างความมั่งคั่งเสมือนที่กระจุกตัวอยู่แต่บุคคลกลุ่มหนึ่งและเร่งการกระจายคุณภาพชีวิตแย่ๆถาวรไปสู่คนหมู่มากได้มากขึ้นและเร็วขึ้น
เพราะฉะนั้นช่วงเวลานี้ของสังคมโลกผมคิดว่าเป็นcritical moment ในระดับหนึ่งทีเดียว
เมื่อมองพฤกษ์จึงเห็นไพร และปัจจุบันทั้งไพรทั้งพฤกษ์ก็มีความสำคัญเท่ากัน
จึงทำให้เห็นว่าการศึกษาในเชิงระหว่างประเทศทวีความสำคัญสูงขึ้นอย่างมากในเวลาที่รวดเร็ว ในฐานะโลกเปลี่ยนผ่านไปสู่ความเป็นหมู่บ้านโลกเข้าไปทุกที
ผมถึงอยากเข้าไปศึกษาเพื่อเห็นปัญหาและอยากแสวงหาทางออกหรืออย่างน้อยวิธีการที่จะดำเนินการไปในโลกที่ทุกการตัดสินใจในเชิงระหว่างประเทศสำคัญอย่างยิ่ง เปรียบดั่งการเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว
3) การพิจารณาศึกษากฎหมายในฐานะ as a whole : นัยยะทางปรัชญาและศาสนาในฐานะอีกแขนงหนึ่งของปรัชญา
คือการบูรณาการทางปัญญาที่หลากหลายเพื่อไปสู่สภาวะ ความจริงที่ไร้ความจริง มีงานของอาจารย์สุวินัย ภรวิลัยและอาจารย์เสกสรรค์ประเสริฐกุลที่ตอกยำความจริงข้อนี้อยู่ เพื่อแก้ปัญหาในความหมายของวิธีการแก้ปัญหาที่แท้จริง ที่มีความยุติธรรมที่ยุติธรรมตามความหมายจริงๆ
อาจจะดูพล่ามๆไปหน่อย แต่นี่ก็น่าจะเป็นเหตุผลพอสังเขปที่ปมเลือกมาเรียนสาขากฎหมายระหว่างประเทศนะครับ
ขออนุญาตกลับไปปั่นงาน(และทำงานด้วย ใช้คอมออฟฟิซอยู่แฮ่ะๆ)
พร้อมยินดีแลกเปลี่ยนด้วยใจที่เป็นสุขครับ เพราะผมอยากเรียนรู้จากพวกคุณทุกคนเสมอถึงมุมองที่หลากหลายครับ
โลกมันอาจจะกว้างใหญ่โดยกายภาพ แต่หัวใจคนเรากายภาพมันสามารถที่จะเป็นขีดจำกัดในการแสดงความยิ่งใหญ่ได้ครับ
เจอกันคร้าบบบบบบ ชุแว้บบบบบบ
อยากให้น้องๆ ม.๖ที่เตรียมเอ็น...เอ้ย....เเอ๊ดมิชชั่นอ่านเป็นแนวทางท่าจะดีนะแทน
งานเขียนของ kraisorn_law มีความเป็นเอกลักษณ์ดีครับ อ่านไม่กี่ประโยคก็รู้ได้ว่ากำลังอ่านงานเขียนของใคร
เห้อ...งานเราสัปดาห์นี้ เสร็จไม่ทันอ่ะสิ โดนหักคะแนนเลย
นอต
งานเขียนของพี่แทนอ่านแล้วได้ข้อคิดอะไรดีๆเยอะเลย ขอบอกว่าภาษาสุดยอด
ขอบคุณทุกคนค่ะ ที่ร่วมเข้ามาแบ่งปันความคิดเห็นค่ะ