กจ.2 - เรื่อง ธุรกิจระหว่างประเทศ


กจ.2 - เรื่อง ธุรกิจระหว่างประเทศ


ความเห็น (38)

ไม่มีความเห็น


คำตอบ (1)

ladda pinta
เขียนเมื่อ
not yet answered


ความเห็น (38)
นางสาวอัมพร กันทะวงค์ ปวส. 2 กจ เลขที่ 28

บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน)

ประวัติความเป็นมา

บริษัทก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 15 มิ.ย.22 ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 12 ล้านบาท เพื่อดำเนินการธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแอสฟัลท์ อิมัลชั่น หรือเรียกว่า “ยางมะตอยน้ำ” โดยบริษัทเป็นผู้ผลิตรายแรกของประเทศไทยที่ได้รับการรับรองระบบคุณภาพ ISO 9001

บริษัทได้แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนเมื่อวันที่ 2 ก.ย.35 โดยเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 500 ล้านบาท และเปลี่ยนชื่อเป็น “บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน)”

ต่อมาในช่วงปลายปี 2543 บริษัทโคลาส เอสเอ จำกัดซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในประเทศฝรั่งเศส ประกอบธุรกิจรับสร้างถนน ซ่อมบำรุงทาง และผลิตวัสดุที่ใช้ในงานทางรายใหญ่แห่งหนึ่งของโลก ได้เข้ามาถือหุ้นในบริษัทในสัดส่วนร้อยละ 22.70 ซึ่งทำให้บริษัทได้รับประโยชน์ในการนำเทคโนโลยีทั้งหมดของ บริษัท โคลาส เอสเอ จำกัดมาเพิ่มศักยภาพของบริษัท

ลักษณะการประกอบธุรกิจ

บริษัท และบริษัทย่อยประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางมะตอย ที่ใช้สำหรับงานสร้างทาง และซ่อมบำรุงผิวการจราจร ผิวทางหลวง ซ่อมบำรุงผิว Runway สนามบิน และธุรกิจเรือบรรทุกยางแอสฟัลท์เพื่อการส่งออกไปสู่ประเทศภูมิภาค

ธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัทคือ การผลิตและจำหน่ายยางมะตอย โดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 90 ของรายได้รวม จำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ ในสัดส่วนประมาณร้อยละ 48.12 และ 51.88 ปัจจุบันบริษัทมีกำลัง การผลิตผลิตภัณฑ์ยางมะตอยรวม 616800 ตันต่อปี โดยมีโรงงานผลิตจำนวน 4 แห่ง คลังยางมะตอย 2 แห่ง และคลังน้ำมันจำนวน 1 แห่ง

โครงสร้างรายได้

แยกตามกลุ่มผลิตภัณฑ์ ดังนี้

1. กลุ่มผลิตภัณฑ์ยางมะตอย (จากการขายยางมะตอย น้ำมันดีเซล และน้ำมันเตา) เป็นสัดส่วน 78.43%

2. กลุ่มธุรกิจเดินเรือ เป็นสัดส่วน 0.57%

3. กลุ่ม Holding company เป็นสัดส่วน 20.23%

4. รายได้อื่นๆ (เช่น กำไรจากการขายสินทรัพย์ อัตราแลกเปลี่ยน ดอกเบี้ยรับ ค่าเช่ารถขนส่ง ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุน และอื่นๆ) เป็นสัดส่วน 0.77%

*** สัดส่วนรายได้มาจากปี 2549

เป้าหมายการดำเนินธุรกิจ

- นโยบายด้านการตลาด ภายในประเทศ บริษัทมุ่งเน้นที่จะรักษาความเป็นผู้นำของตลาดผลิตภัณฑ์ยางมะตอยภายในประเทศ โดยดูและ รับผิดชอบครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ ผ่านช่องทางการส่งสินค้าที่มีโรงงานผลิตตั้งอยู่ในทุกๆภูมิภาค รวมถึงการพัฒนาและนำเสนอวัตกรรมของสินค้าและบริการสำหรับยางมะตอยใหม่ๆออกสู่ตลาด

- นโยบายด้านการตลาด ต่างประเทศ บริษัทมีความต้องการที่จะขยายธุรกิจการค้าต่างประเทศ และแสวงหาโครงการร่วมทุนในต่างประเทศที่มีศักยภาพเติบโตทางธุรกิจสูง รวมทั้งสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าและคู่ค้าที่มีอยู่ในภูมิภาคเอเชีย คือ จีน เวียดนาม อินเดีย ตาฮิติ ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย เวียดนาม กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว พม่า และมาเลเซีย

- นโบายด้านการผลิตและจัดจำหน่าย บริษัทให้ความสำคัญกับระบบการผลิต การบริหาร และควบคุมการดำเนินงานของทุกโรงงานให้เป็นมาตรฐาน ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ และปรับปรุงคุณภาพของสินค้าและบริการให้ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยทางบริษัทได้ร่วมกับบริษัท โคลาส เอสเอ จำกัดประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท และมีบุคลากรที่มีความรู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีการผลิตผลิตภัณฑ์ยางมะตอยใหม่ๆ

การตลาดและภาวะการแข่งขัน

ภาวะตลาดของอุตสาหกรรมยางมะตอย

ปัจจุบันประเทศไทยมีความต้องการใช้ยางมะตอยในการก่อสร้างและซ่อมบำรุงถนนทั่วประเทศเฉลี่ยปีละ 700000–750000 ตัน แบ่งออกเป็นความต้องการใช้ยางมะตอยชนิดแอสฟัลท์ซีเมนต์ และยางมะตอยน้ำประมาณปีละ 550000 ตัน และ 200000 ตัน ตามลำดับ ซึ่งบริษัทถือครองส่วนแบ่งตลาดทั้ง 2 ประเภทอยู่มากกว่าร้อยละ 45 ของความต้องการทั้งหมดในประเทศ

แนวโน้มภาวะอุตสาหกรรมในอนาคต

เนื่องจากขนาดความต้องการของอุตสาหกรรมนี้ขึ้นอยู่กับงบประมาณจากทางภาครัฐ ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงด้านการเมือง ก็จะส่งผลโดยตรงต่อการจัดสรรงบประมาณของภาครัฐ รวมถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจ

ภาวะการแข่งขัน

แม้ว่าจะมีผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ยางมะตอยในประเทศอยู่น้อยร้าย แต่ด้วยงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดกอปรกับโครงการซ่อมบำรุงและสร้างถนนสายหลักๆ ถูกชะลอออกไป ทำให้คาดการณ์ว่าสภาวะการแข่งขันจะทวีความรุนแรงขึ้นในบางพื้นที่ อย่างไรก็ตาม จากการที่ลูกค้าให้การยอมรับบริษัทถึงคุณภาพสินค้า และบริการ รวมทั้งการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้จึงยังคงจะรักษาความเป็นผู้นำในการครองส่วนแบ่งตลาดได้มากที่สุดอย่างไม่หยุดยั้ง

กลยุทธ์ในการแข่งขัน

- ด้านคุณภาพสินค้า บริษัทได้รับการรับรองระบบคุณภาพ ISO 9001 และได้นำระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม ISO 14001 ระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย มอก.18001 รวมถึงระบบคุณภาพห้องปฏิบัติการ มอก.17025 มาเป็นมาตรฐานในการปฏิบัติงาน ทำให้มั่นใจได้ว่าสินค้าที่ผลิตได้คุณภาพดีสม่ำเสมอตามมาตรฐาน

- ด้านจัดส่งสินค้า ด้วยจำนวนรถขนส่งยางมะตอยมากกว่า 350 คัน มีเรือบรรทุกยางมะตอยจำนวน 5 ลำ ระวางบรรทุกรวม 16150 ตัน เพื่อใช้ในการบริการขนส่งสินค้าจากภาคกลางไปยังภาคใต้ของประเทศ การขนส่งไปยัง ต่างประเทศได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง

- ด้านความพร้อมในการให้บริการ บริษัทมีทีมพนักงานขายที่มีประสบการณ์ มีความชำนาญ รับผิดชอบดูแลลูกค้ามากกว่า 800 รายครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ รวมถึงมีโรงงานผลิต และคลังเก็บยางมะตอย กระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาค เพื่อเป็นศูนย์กระจายสินค้าไปยังลูกค้าอย่างรวดเร็ว และทันต่อความต้องการของลูกค้า นอกจากนี้บริษัทยังมีทีมเทคนิคบริการที่มีความชำนาญทาง มาคอยช่วยเหลือแก้ไขปัญหาให้ลูกค้า ณ จุดที่ลูกค้าทำงาน ทำให้การทำงานของลูกค้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ลักษณะลูกค้า กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย การจำหน่ายและช่องทางการจำหน่าย

บริษัทแบ่งกลุ่มลูกค้าตามลักษณะผลิตภัณฑ์ของบริษัท ได้ดังนี้

- กลุ่มลูกค้ายางมะตอย คือกลุ่มที่ใช้ยางมะตอยแอสฟัลท์ซีเมนต์ และยางมะตอยน้ำ แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่

- กลุ่มลูกค้าภายในประเทศ ซึ่งสัดส่วนการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยางมะตอยภายในประเทศ คิดเป็นประมาณร้อยละ 49 ของสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าทั้งหมด แบ่งได้เป็นลูกค้าเอกชน และหน่วยงานราชการ ซึ่งสัดส่วนการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยางมะตอยคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 97 และ 3 ตามลำดับ

- กลุ่มลูกค้าต่างประเทศ บริษัทมีสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าไปต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 45.91 ของสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าทั้งหมด โดยกลุ่มลูกค้าหลัก คือ ประเทศจีน คิดเป็นร้อยละประมาณ 70 รองลงมาได้แก่ เวียดนาม และกลุ่มลูกค้าติดชายแดนต่างๆ

- กลุ่มลูกค้าผลิตภัณฑ์น้ำมัน คือกลุ่มลูกค้าที่ซื้อน้ำมันดีเซล และหรือน้ำมันเตา ซึ่งเป็นลูกค้าเฉพาะภายในประเทศเท่านั้น สัดส่วนคิดเป็นการขายผลิตภัณฑ์น้ำมันคิดเป็นร้อยละ 11.49 ของสัดส่วนการขายสินค้าทั้งหมด โยแบ่งเป็นกลุ่มลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมประมาณร้อยละ 70 และกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างประมาณร้อยละ 30 ของรายได้จาก ผลิตภัณฑ์น้ำมันทั้งหมด

- กลุ่มลูกค้ายางมะตอยประเภทอื่น เป็นกลุ่มลูกค้าภายในประเทศ โดยมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณร้อยละ 60 ของตลาดรวมทั้งหมด

โรงงานและการจัดหาวัตถุดิบ

โรงงาน บริษัทมีโรงงานผลิตยางมะตอย 4 แห่ง ได้แก่ โรงงานนครราชสีมา โรงงานสุราษฎร์ธานี โรงงานพิษณุโลก โรงงานเพชรบุรี

วัตถุดิบ บริษัทมีวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตแบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้

- แอสฟัลท์ซีเมนต์ ( Asphalt Cement : AC ) แอสฟัลท์ซีเมนต์เป็นผลิตภัณฑ์พลอยได้ ซึ่งได้จากกระบวนการกลั่นน้ำมันและกระบวนการกลั่นน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน บริษัทใช้แอสฟัลท์ซีเมนต์เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตยางมะตอยน้ำ ยางโพลีเมอร์มอดิฟายด์แอสฟัลท์ ยางมะตอยคัตแบค และยางมะตอยผสมสำเร็จ ซึ่งปัจจุบันทางบริษัทได้สั่งซื้อวัตถุดิบจากทั้งภายในและต่างประเทศ เพื่อลดภาระความเสี่ยงในด้านการพึ่งพิงแหล่งวัตถุดิบ และ การควบคุมต้นทุนวัตถุดิบ

- สารเคมี สารเคมีแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ Solvent (ราคาจะแปรเปลี่ยนไปตามระดับราคาน้ำมัน และสั่งซื้อจากผู้ผลิตภายในประเทศ) และ Emulsifiers (ระดับราคาค่อนข้างคงที่ และสั่งซื้อจากผู้ผลิตทั้งจากต่างประเทศในและภายในประเทศ)

ปัจจัยความเสี่ยง

ความเสี่ยงด้านรายได้จากการจัดสรรงบประมาณของภาครัฐ ทางบริษัทได้ลดความเสี่ยงโดยขยายไปยังตลาดต่างประเทศ

ความเสี่ยงด้านการจัดหาวัตถุดิบ เนื่องจากมีผู้ขายน้อยรายภายในประเทศ โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันและแนวโน้มโรงกลั่นน้ำมันจะเน้นการผลิตให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีกำไรสูง ส่งผลให้ยางมะตอย ลดลงและในปัจจุบัน บริษัทมีการจัดซื้อยางมะตอยจากผู้จำหน่าย 2 ราย ในสัดส่วนรวมกันร้อยละ 89 ของวัตถุดิบ

ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาวัตถุดิบ เนื่องจากราคาของยางมะตอยเปลี่ยนแปลงตามราคาน้ำมัน

ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน มีสัดส่วนรายได้ร้อยละ 73 เป็นการส่งออกภายในประเทศ และร้อยละ 27 เป็นการส่งออกต่างประเทศ อัตราแลกเปลี่ยนจึงมีผลต่อรายได้ของบริษัทดังนั้นบริษัทจึงลดความเสี่ยงโดยการซื้อสัญญา ซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า

จาก...

http://www.buildboard.com/images/attachpic/www/B1798/B1798F6133T0_5f07a1b0de2679ddca2e3cafea2424f8.doc

นางสาวพรพิมล อินแสง ปวส. 2 กจ เลขที่ 14

บริษัทโตชิบาไทยแลนด์

นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูล ประธาน บริษัทโตชิบา ไทยแลนด์ ผู้ผลิตและส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้า เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงทิศทางของอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าว่า อนาคตของการบริโภคผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้า จะเน้นในเรื่องของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกับการประหยัดพลังงานมากขึ้น ทั้ง 2 เรื่องนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้ประกอบการภายในประเทศจะต้องตระหนักและปรับตัว โดยเน้นการผลิตสินค้าให้สอดคล้องทิศทางดังกล่าว เพื่อที่จะทำให้ธุรกิจอยู่รอดได้

ทิศทางข้างต้นได้ถูกส่งสัญญาณมาในรูปแบบ ของการออกระเบียบ-มาตรการของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะสหภาพยุโรป ที่ปัจจุบันมีการออกระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมมาหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น ระเบียบว่าด้วยการจัดการซากเศษเหลือทิ้งของเครื่องใช้และอิเล็กทรอนิกส์ (WEEE) มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2548 กับระเบียบว่าด้วยการห้ามใช้สารโลหะหนักที่เป็นอันตรายบางประเภทในเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (RoHS) มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2549

โดยระเบียบทั้ง 2 ฉบับ ได้ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่ผลิตสินค้าส่งออกไปยังสหภาพยุโรปโดยตรงไม่ว่าจะเป็น กระบวนการส่งออกที่ยุ่งยากมากขึ้น ต้นทุนการส่งออกสูงขึ้น รวมไปถึงการขจัดเศษซากเหลือใช้จากเครื่องใช้ไฟฟ้าที่หยุดใช้งาน หรือเลิกใช้งานไปแล้ว เป็นต้น

ในส่วนของบริษัทโตชิบาเอง ขณะนี้ได้มีการปรับตัวและได้ลงทุนผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าให้สอดคล้องกับระเบียบดังกล่าวแล้ว ด้วยการลงทุนประมาณ 80-90 ล้านบาท สำหรับการปรับปรุงการผลิตสินค้าทุกรายการให้เป็นไปตามระเบียบของ RoHS พร้อมกับลงทุนอีกประมาณ 100 ล้านบาทในการสร้าง "โรงงานรีไซเคิล" หลอดไฟตามระเบียบ WEEE ขึ้นที่จังหวัดปทุมธานีอีก 1 แห่ง โดยเป็นการนำหลอดไฟที่ใช้แล้วมาแยกชิ้นส่วนและเอาตัวหลอดแก้วไปหลอม เพื่อนำไปหล่อเป็นตัวหลอดไฟขึ้นมาใหม่ มีกำลังการผลิตเดือนละ 10,000 หลอด ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็คือ การจัดเก็บหลอดไฟที่ใช้แล้วกลับคืนมาสู่โรงงานค่อนข้างลำบาก

"การผลิตสินค้าที่เน้นเรื่องของสิ่งแวดล้อมบริษัทโตชิบาทำมานานแล้ว เราไม่ได้ทำเพราะถูกบังคับ แต่เป็นสัญญาระหว่างบริษัทโตชิบา ไทยแลนด์กับบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่น ซึ่งผลของการลงทุนอาจจะยังเห็นไม่ชัดเจน เราคิดว่า อะไรที่เป็นปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมหรือสังคม เราถือเป็นหน้าที่หรือกลไกหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาได้" นางกอบกาญจน์กล่าว

อย่างไรก็ตามสินค้าที่บริษัทโตชิบาผลิตทั้งหมด 70% จะส่งออก ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะส่งออกไปยังประเทศแถบเอเชียและแอฟริกา มีการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปน้อย แต่กรณีที่บริษัทสามารถผลิตสินค้าได้ตามระเบียบมาตรฐานที่ EU กำหนด ในอนาคตคาดว่าโตชิบาจะผลิตสินค้าส่งออกไป สหภาพฯได้มากขึ้น

ที่มา:http://www.measwatch.org/autopage/show_page.php?t=27&s_id=407&d_id=404

นางสาวอนุสรา คำปา กจ.2 เลขที่24

ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในโควต้าพรรคประชาธิปัตย์ เกิดวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2492 เป็นนักการเมืองชาวไทยมุสลิม เคยดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในรัฐบาลนายชวน หลีกภัย

เขาเกิดในครอบครัวยากจนที่ จ.นครศรีธรรมราช มีบิดาเป็นครูมุสลิม ศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่[เบญจมราชูทิศ]เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยแคลร์มอนต์ สหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2515 ปริญญาโท มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (พ.ศ. 2518) และปริญญาเอกด้านรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (พ.ศ. 2525) เริ่มอาชีพนักวิชาการในตำแหน่งอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ระหว่าง พ.ศ. 2518-2529 ปัจจุบัน ดร.สุรินทร์ รับตำแหน่ง "เลขาธิการอาเซียน" ในปี พ.ศ. 2551 ซึ่งจะมีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี โดยจะนั่งทำงานที่ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย นับเป็นคนไทยคนที่สองที่ได้ดำรงตำแหน่งนี้ โดยคนไทยคนแรกคือ แผน วรรณเมธี ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งระหว่างปี พ.ศ. 2532-2536

ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เข้าสู่แวดวงการเมืองในปี พ.ศ. 2529 โดยได้รับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.นครศรีธรรมราช สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และได้รับเลือกตั้งเข้ามาในสภาผู้แทนราษฎรติดต่อกัน 7 สมัย เคยเป็นเลขานุการของนายชวน หลีกภัย ขณะที่นายชวนดำรงตำแหน่ง ประธานสภาผู้แทนราษฎร (พ.ศ. 2529-2531) ต่อมาเป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศระหว่างปี พ.ศ. 2535-2538 และเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศระหว่างปี พ.ศ. 2540-2544 สร้างความประทับใจในระดับนานาชาติเนื่องจากใช้ภาษาอังกฤษได้ดีและมีปัญญาทางการเมือง ปัจจุบัน ดร.สุรินทร์ ดำรงตำแหน่งเลขาธิการอาเซียนโดยเข้ารับตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551

ประสบการณ์ทางการเมือง

• สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.นครศรีธรรมราช ปี พ.ศ. 2529, 2531, 2535/1, 2535/2, 2538, 2539, 2544

• เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร (นายชวน หลีกภัย) ปี พ.ศ. 2529-2531

• ผู้ช่วยเลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปี พ.ศ. 2531-2534

• รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ปี พ.ศ. 2535-2538

• รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ปี พ.ศ. 2540-2544

เครื่องราชอิสริยาภรณ์

• มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.) ปี 2538

ใน ช่วงต้นที่เข้ารับตำแหน่ง ดร.สุรินทร์ ในช่วงต้นที่เข้ารับตำแหน่ง ดร.สุรินทร์ เคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับแนวทางการทำงานของตนเองในฐานะเลขาธิการอาเซียน ไว้อย่างน่าสนใจว่า จะผลักดันให้ประชากรอาเซียนที่มีจำนวนมากกว่า 550 ล้านคน มีความรู้สึกร่วมกันเป็น ‘เจ้าของอาเซียน’ ซึ่ง สามารถทำได้โดยการทำให้ประชาชนในประเทศสมาชิกอาเซียนตระหนักถึงประโยชน์ใน ชีวิตประจำวันที่ตนเองได้รับจากกรอบความร่วมมือต่างๆของอาเซียน อาทิ การซื้อข้าวของเครื่องใช้ได้ในราคาที่ถูกลง ซึ่งเป็นผลจากการดำเนินงานของเขตการค้าเสรีอาเซียนในฐานะที่ไทยกำลังดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน พวกเราก็ขอเป็นกำลังใจให้ ดร.สุรินทร์ บุคลากรที่มีคุณภาพของไทยอีกหนึ่งคน ให้สามารถทำงานของท่านจนบรรลุเป้าหมาย

ที่มา

http://kc.hri.tu.ac.th/index.php?title

นางสาวกาญจนา พูนแสนชัย

บริษัท สุรพลฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน)

(เดิมชื่อบริษัทสุรพลซีฟู้ดส์จำกัด) 247 หมู่ 1 ถ. เทพารักษ์ ต.เทพารักษ์ อ.เมืองจ.สมุทรปราการ10270โทรศัพท์ (02) 385-3038-54 , (02) 745-6268-76 ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2520 เป็นบริษัทผู้นำในอุตสาหกรรมการผลิต และส่งออกอาหารทะเลแช่เยือกแข็ง ของประเทศไทย.และเป็นบริษัทฯ แรกของอุตสาหกรรมอาหารแช่เยือกแข็ง ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งมีชื่อย่อในตลาดฯ คือ SSF บริษัทได้มีการพัฒนาสายการผลิต และผลิตภัณฑ์ ให้สอดคล้องกับการเจริญเติบโตของประชากรโดยเพิ่มช่องทางการจำหน่ายทั้งในประเทศ และ ต่างประเทศ ซึ่งช่องทางการจำหน่ายในประเทศนั้น ได้แบ่งเป็น Modern Trade, Catering, ภัตตาคาร, ร้านสะดวกซื้อ.. .ฯลฯ

เพิ่มประเภทผลิตภัณฑ์ โดยได้มีการเพิ่มขึ้นจากเดิมที่เป็น ผลิตภัณฑ์อาหารทะเลพร้อมปรุงจำพวก กุ้ง, ปลาหมึก, ปลา มาเป็น ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม เช่น ติ๋มซำ, สินค้าชุบแป้งทอด, ซูชิ... ฯลฯ และจากหลักการข้างต้น ที่บริษัทฯ ได้เพิ่มประเภทผลิตภัณฑ์อาหารแช่เยือกแข็ง เพิ่มจากเดิมจำพวกอาหารทะเลเพียงอย่างเดียว มาเป็นผลิตภัณฑ์อาหารแช่เยือกแข็ง ที่มีมูลค่าเพิ่ม ทำให้บริษัทฯ ได้เปลี่ยนชื่อจาก บริษัท สุรพลซีฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) มาเป็น บริษัท สุรพลฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) เมื่อปี พ.ศ.2539จากการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ของอุตสาหกรรมอาหารแช่เยือกแข็ง ทำให้บริษัทฯ มีโรงงานถึง 5 แห่ง และพนักงาน 4000 กว่าคน รวมถึงบริษัทในเครือ

ส่วนช่องทางการจำหน่ายในต่างประเทศ

ได้ขยายถึงประเทศในแถบภูมิภาคเอเชีย (ญี่ปุ่น, เกาหลี, สิงคโปร์, มาเลเซีย... )

ยุโรป ( อังกฤษ, เยอรมัน, อิตาลี.... )

ออสเตรเลีย, สหรัฐอเมริกาและแคนาดา

ที่มา : http://www.surapon.com/th/about/index.php

นส.อังคณา กันธิมาลา กจ. 2 เลขที่ 26

บริษัทวรธา

ผู้ส่งออก และนำเข้าผลไม้ไทย-ออสเตรเลีย

บริษัทน้องใหม่ ผู้ส่งออก และนำเข้าผลไม้ไทย-ออสเตรเลีย

แม้ว่าจะยังไม่มีการเปิดตัวบริษัทอย่างเป็นทางการ แต่ "วรธา" ได้ทำการตลาดด้วยการส่งการ์ดอวยพรปีใหม่ เพื่อแนะนำตัวและฝากเนื้อฝากตัวกับบรรดา ลูกค้าและสื่อมวลชนให้คุ้นเคยกับชื่อของ "วรธา" ก่อนที่จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในไตรมาสแรกของปีนี้

เป็นการลงทุนร่วมกันระหว่างกลุ่มนักธุรกิจไทยกับออสเตรเลีย เพื่อประกอบธุรกิจนำเข้าผลไม้และถั่วแมคคาดิเมียจากประเทศออสเตรเลีย โดยมีพ.ต.ท.ฉัตรชัย ศิริทรัพย์ รองผู้บังคับการนโยบายและแผนด้านการปราบปรามยาเสพย์ติดของกรมตำรวจ ผู้ใช้เวลาว่างจากงานราชการมารับหน้าที่เป็นกรรมการบริหารของบริษัท นอกจากนั้นยังมี COLIN & CHERYL ROWLEY สองนักธุรกิจชาวออสเตรเลียมาร่วมเป็นหัวเรือใหญ่ในการประกอบธุรกิจนี้อีกด้วย

"เราคิดที่จะทำโครงการนี้มาตั้งแต่เริ่มมีปัญหาทางเศรษฐกิจ ซึ่งตอนนั้นก็ไม่มีใครคิดว่า เหตุการณ์จะทรุดเร็วขนาดนี้ และเราก็นั่งทบทวนและคุยกันว่า มีปัญหาอย่างนี้จะยังคงทำอยู่หรือเปล่า ซึ่งเพื่อนชาวต่างชาติของเรา เขาก็ยังอยากที่จะทำอยู่ เราจึงไม่ระงับโครงการ ขณะนี้เรื่องก็อยู่ในระหว่างการขออนุมัตินำเข้าผลไม้จากองค์การอาหารและยา ซึ่งเราคาดว่าจะเรียบร้อยภายในเดือนนี้ จากนั้นเราก็จะมีการเปิดตัวบริษัทอย่างเป็นทางการต่อไป

นางสาวอนุสรา คำปา กจ.2 เลขที่24

อุตสาหกรรมยางพารา

ในช่วง 6 เดือนแรกของปี อุตสาหกรรมยางพาราก็ถือว่าได้รับอานิสงส์ด้านบวก เนื่องจากตั้งแต่ต้นปี

2551 ที่ผ่านมาราคายางปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคายางในปี 2551 มีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 110บาท

แต่ในช่วงครึ่งปีหลัง ราคายางจะเริ่มตกต่ำลงโดยพบว่าในช่วงครึ่งปีหลังราคายางพาราเหลือเพียงกิโลกรัมละ

50 บาท โดยสาเหตุหลักที่ทำให้ราคายางตกต่ำก็เนื่องมาจากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจโลกที่ตกต่ำ และบริษัทผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ในอเมริกาประสบปัญหาจากพิษเศรษฐกิจจนต้องปลดพนักงานบางส่วนและลดกำลังการผลิตขณะที่ตลาดยานยนต์ญี่ปุ่นลดกำลังการผลิตลง 30 % ส่งผลให้การสั่งนำเข้ายางพาราเพื่อการผลิตของอุตสาหกรรมยานยนต์ขนาดใหญ่ของโลกลดลง อีกทั้งการที่ราคาน้ำมันลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคายางตกต่ำไปด้วยเช่นกัน เนื่องจากราคายางจะแปรผันตรงกับราคาน้ำมัน ซึ่งในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2551 ราคาน้ำมันก็มีแนวโน้มลดลง

ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการส่งออกยางคือ อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศผู้บริโภคยาง

หลัก โดยเฉพาะสหรัฐฯ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป จีน และอินเดีย ปัจจัยสำคัญที่กำหนดราคายางในตลาดโลกคือ

ปริมาณการผลิตของประเทศผู้ผลิตยางสำคัญ และปริมาณการบริโภคยาง โดยเฉพาะประเทศผู้นำเข้ายางรายใหญ่

ของโลก คือ สหรัฐฯ จีน สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น

อย่างไรก็ตามจากสถิติมูลค่าการส่งออกยางพาราในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2551 พบว่าขยายตัวเพิ่มขึ้น

ถึง 28.87 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนหนึ่งได้ผลดีจากราคายางในช่วงต้นปีที่มีการปรับตัว

สูงขึ้น ด้านตลาดส่งออกพบว่าตลาดหลักของไทย คือ จีน ซึ่งครอบคลุมสัดส่วนกว่า 30 % โดยในช่วงไตรมาส

สุดท้ายของปีมีการสั่งซื้อลดลง ซึ่งพบว่าในเดือนพฤศจิกายน 2551 มูลค่าการส่งออกยากพาราของไทยไปยังจีน

ลดลงถึง 60 % ทั้งที่ ก่อนหน้านี้ได้มีการคาดการณ์กันว่า การขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมรถยนต์ของจีน จะมี

แนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และจะเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญในฐานะประเทศผู้ใช้ยาง แต่พบว่าจากปัญหา

วิกฤติการเงินของสหรัฐนั้นได้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ของจีนด้วยเนื่องจากความต้องการ

รถยนต์ที่ลดน้อยลงและการแข่งขันในตลาดโลกที่รุนแรง ในปี 2552 เชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยในขณะนี้อาจจะกินเวลาอย่างน้อยถึงสิ้นปี 2552 ส่งผลให้ความต้องการใช้ยางธรรมชาติจะขยายตัวลดลงจากปกติ ดังนั้นสถานการณ์ส่งออกยางของไทยอาจจะยังซบเซาไปอีกซักระยะหนึ่ง

ดังนั้นผู้ประกอบการจึงควรปรับปริมาณการผลิตยาง ให้สมดุลกับความต้องการใช้เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาวิกฤติ

ราคายางขึ้นอีก และต้องพึ่งพาการจำหน่ายในประเทศมากขึ้น โดยเพิ่มการใช้ยางภายในประเทศทั้ง

ในงานก่อสร้างถนนงานด้านวิศวกรรม หรือแม้กระทั่งส่งเสริมการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยาง เพื่อลดปริมาณยางที่

ส่งออกในรูปวัตถุดิบ ที่สำคัญยังเพิ่มมูลค่าให้กับยางได้อีกด้วย

ในตอนต้นปี 2551 ในช่วงที่ราคายางมีราคาสูง พบว่าปัญหาที่สำคัญของอุตสาหกรรมยางพาราเรื่อง

ต้นทุนการผลิตของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางสูงขึ้น ผลกระทบของราคายางที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น

ทำให้อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางต้องเผชิญกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อโรงงานผลิตและส่งออก

ผลิตภัณฑ์ยางต้องเผชิญกับปัญหาขาดทุนในกรณีที่ได้มีการทำสัญญาซื้อขายผลิตภัณฑ์ล่วงหน้าไปแล้ว และทำให้

หลายโรงงานไม่กล้าทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเนื่องจากไม่มั่นใจว่าราคายางซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญนั้นจะดีดตัวขึ้น

ไปอีกมากน้อยเท่าใด

ในช่วงไตรมาสหลังของปี 2551 ในช่วงที่ยางมีราคาตกต่ำประเทศผู้ผลิตยางพาราที่สำคัญของโลก ได้แก่

ไทย อินโดนิเซีย และมาเลเซีย โดยทั้ง 3 ประเทศ ในนามบริษัทร่วมทุนยางพาราระหว่างประเทศและสภาความ

ร่วมมือด้านยางระหว่างประเทศ ได้ประชุมหารือถึงสถานการณ์ราคายางตกต่ำ และได้มีมารการแก้ไข 4 มาตรการ ได้แก่

1. เร่งรัดการปลูกแทนต้นยางเก่าที่มีอายุมากว่า 20 ปี ซึ่งทั้ง 3 ประเทศได้ตกลงที่จะเพิ่มพื้นที่ปลูกแทน

2. การควบคุมพื้นที่ปลูกยางใหม่ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้เกิดภาวะยางล้นตลาดในอนาคต

3. การชะลอการกรีดยางและการขายยาง ทั้ง 3 ประเทศ จะโน้มน้าวให้เกษตรกรใช้ระบบกรีดที่มีความถี่น้อยลง

4. สมาคมผู้ค้ายางฯ ของทั้งสามประเทศจะให้ความร่วมมือในการไม่ลดราคายางที่มีการตกลงไว้กับผู้

ซื้อในช่วงที่ราคายางสูง และไม่บิดพลิ้วสัญญา ร่วมกับฟื้นความเชื่อมั่นทางการตลาดให้กลับมาโดยเร็ว

นางสาววจีกานต์ ศรีธิพิงค์ กจ.2 เลขที่ 18

ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ

บริษัท อำพลฟูดส์ โพรเซสซิ่ง จำกัด

ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2532 ด้วยทุนจดทะเบียน 90 ล้านบาท มีวิสัยทัศน์การดำเนินธุรกิจเพื่อผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปจากการเกษตรของประเทศ โดยระยะแรกดำเนินธุรกิจส่งออกพืชผักและผลไม้ไปยังประเทศต่างๆทั่วโลก ต่อมาได้ดำเนินการวิจัยเพื่อผลิตกะทิสำเร็จรูปยูเอชทีตรา "ชาวเกาะ" (Chaokoh) เป็นกะทิสำเร็จรูปยูเอชทีรายแรกของประเทศไทย จนเป็นที่ยอมรับจากผู้บริโภคอย่างแพร่หลาย

ต่อมาปี พ.ศ. 2539 บริษัทฯ เริ่มเข้าสู่ตลาดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เพื่อตอบรับแนวโน้มของผู้บริโภคที่เริ่มให้ความสำคัญเกี่ยวกับอาหารเพื่อสุขภาพ โดยออกผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มจากบุกผสมน้ำผลไม้ 25% "ฟิต-ซี" (Fit - C), เครื่องดื่มธัญญาหาร น้ำลูกเดือย "โปร-ฟิท" (Pro - Fit) และ เครื่องดื่มธัญญาหารน้ำนมข้ายาคู "วี-ฟิท" (V-Fit) ต่อมายังได้รับความร่วมมือทางวิชาการจากสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อพัฒนาเครื่องปรุงรสเพื่อสุขภาพโซเดียมต่ำ และกะทิธัญพืช "กู๊ดไลฟ์" (Good-Life) จากความสำเร็จดังกล่าว ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทฯมีพนักงานกว่า 700 คน และมีรายได้ปีละกว่า 1,000 ล้านบาท โดยยังคงมีแนวโน้มรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

บริษัท อำพลฟูดส์ โพรเซสซิ่ง จำกัด ดำเนินธุรกิจด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศอันทันสมัย และยังได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ISO9001 : 2000, มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม ISO14001, มาตรฐานด้านความปลอดภัยและชีวอนามัย OHSAS / TIS 18001, HACCP และ GMP จากสถาบัน BVQI และคณะกรรมการอาหารและยาของประเทศไทย

และปัจจุบันบริษัทอำพลฟูดส์ โพรเซสซิ่ง จำกัด ยังมีผลิตภัณฑ์พร้อมปรุงภายใต้ยี่ห้อ รอยไทย ที่ถือเป็นอนาคตในการทำตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะการส่งออกได้ตั้งเป้าหมายเพิ่มยอดรอยไทยมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้อยู่ 50% เท่ากับการขายในประเทศซึ่งในขณะนี้ได้เริ่มส่งออกรอยไทยไปในหลายประเทศแล้ว เช่น ญี่ปุ่น ยุโรป เยอรมนี อิสราเอล ออสเตรเลีย เป็นต้น โดยจะวางขายในร้านค้าปลีก ได้รับการตอบรับค่อนข้างดี เพราะช่วยให้การทำอาหารในต่างประเทศง่ายขึ้น แม้แต่ชาวต่างชาติเองก็สามารถทำได้และเป็นรสชาติเดียวกัน ซึ่งในปีนี้ตั้งเป้าบุกตลาดญี่ปุ่นอย่างจริงจัง จะมีการไปโรดโชว์ในงานแสดงสินค้าอาหารด้วย

ผลประกอบการ : พ.ศ. 2548 : 780,000,000 บาท

พ.ศ. 2549 : 1,050,000,000 บาท พ.ศ. 2550 : 1,175,000,000 บาท

พ.ศ. 2551 : 1,345,000,000 บาท

ที่มา http://www.ampolfood.com

ชื่อ นายกิตติพงศ์ ตันตินราศักดิ์ กจ.2 เลขที่ 3

บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด

 

บริษัท Nestle ก่อตั้งขึ้นตั้งขึ้นเมื่อ    พ.ศ. 2410 โดย อองลี เนสเล่ย์ เภสัชกรวัย 53 ได้คิดค้นอาหารธัญพืชสำหรับเด็ก (Infant Cereal) ต่อ มาได้เข้าร่วมกิจการกับบริษัทผลิตนมข้น ทองโกล-สวิส คอนเดนมิลค์ โดยในตอนแรกได้ใช้ชื่อว่า เนสเลย์ ทอนด์ ทองโกล-สวิส คอนเดนส์มิลค์ และเหลือเพียง Nestle ในเวลาต่อมา

สัญญาลักษณ์ของบริษัท Nestle เป็นรูปแม่นกและลูกนกในรัง นกที่ใช้เป็นสัญญาลักษณ์นั้นเป็นนกชื่อว่า Tuilittle net ได้มาจากตราประจำตระกูลของ อองรี เนสเลย์ คำว่า Nestle ในภาษาเยอรมัน แปลว่า รังนกเล็กๆ ซึ่งสื่อถึงความรัก ความอบอุ่น ความปลอดภัย

Nestle เริ่มต้นธุรกิจด้วยการผลิตอาหารประเภทนมและอาหารเสริมสำหรับเด็ก และต่อมาได้ขยายกิจการไปยังธุรกิจผลิตอาหารอื่นๆ อีกกว่า 15,000 ชนิด นโยบายที่ Nestle นับถือมาตลอด คือ ผลิตภัณฑ์ของ Nestle ต้องมีคุณภาพด้วยมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก

โรงงานของ Nestle ที่อยู่ในประเทศไทยมีอยู่ 8 แห่ง คือ นวนคร บางปู บางชัน อยุธยา ฉะเชิงเทรา ซึ่งที่นวนครมีอยู่ด้วยกัน 3 โรงงาน ในแต่ละโรงงานก็ได้มีการแบ่งแยกประเภทของผลิตภัณฑ์ออกไป เช่น ที่ นวนคร เป็นโรงงานที่ผลิตผลิตภัณฑ์นม เป็นต้น สินค้าของ Nestle มีขายอยู่ทั่วโลก ในแต่ละประเทศอาจใช้ชื่อของสินค้าที่ต่างกันออกไป ปกติใน 1 วัน โรงงานสามารถผลิตนมกระป๋องได้ถึงวันละ 2 ล้านกว่ากระป๋อง ซึ่งในจำนวนนี้ 80% เป็นการผลิตเพื่อส่งออกและอีก 20% เป็นการผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศ

บริษัท เนสท์เล่ ประเทศไทย สามารถทำรายได้จากการส่งออกสินค้าจากฐานผลิต ในประเทศไทยสู่ตลาดอาเซียนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากตัวเลขการส่งออกเพียง 300 ล้านบาท ในปี 2541 มาเป็น 3,500 ล้านบาท ในปี 2544 และคาดว่าภายในสิ้นปี 2545 เนสท์เล่ ประเทศไทย จะสามารถทำตัวเลขจากการส่งออกมากกว่า 6,500 ล้านบาท

ในระหว่างปี 2541-2544 เนสท์เล่ ประเทศไทย ได้ส่งสินค้าหลักเพียงชนิดเดียว คือ สินค้ากลุ่มครีมเทียม ซึ่งผลิตจากโรงงานบางปู ไปยังตลาดในกลุ่มประเทศอาเซียน 4ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย

การเพิ่มขึ้นของมูลค่าการส่งออกในปีนี้ถึง 6,500 ล้านบาทนั้น มาจากโรงงานผลิตที่ นวนคร สามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้เต็มที่โดยสามารถผลิตได้สูงถึงวันละ 2.5 ล้านกระป๋อง ซึ่งโรงงานแห่งนี้มีมูลค่ากว่า 1,500 ล้านบาท ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และเริ่มทำการผลิตผลิตภัณฑ์นมชนิดน้ำบรรจุกระป๋องทั้งนมข้นหวาน นมข้นจืด และนมสด สเตอริไลซ์  เนสท์เล่ได้เพิ่มกำลังการผลิตของโรงงานบางปู ทำให้สามารถรองรับการขยายตัวของตลาดทั้งในประเทศ และตลาดส่งออกได้มากขึ้นอีกเท่าตัว

ปีนี้(พ..2545) ได้ขยายการส่งออกใน 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ คือ นมชนิดน้ำบรรจุกระป๋อง ครีมเทียม และผลิตภัณฑ์ผสมสำเร็จ เช่น เนสกาแฟทรีอินวัน ไมโลทรีอินวัน และเนสวิต้า ตลาดหลักยังเป็นประเทศในกลุ่มอาเซียนและเอเชีย เช่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ อินโดจีน และไต้หวัน

ที่มา:

http://www.oknation.net/blog/ad442/2008/08/05/entry-3

http://board.dserver.org/r/rter/00000408.html

 

ชื่อ นายกิตติพงศ์  ตันตินราศักดิ์  ห้องกจ.2  เลขที่  3

นางสาวจินตนา เรือนงาม กจ.2 ปวส.เช้า เลขที่ 5

 

บริษัท มาลีสามพราน จำกัด (มหาชน)

 บริษัทมาลี ถือเป็นบริษัทหนึ่งที่มีส่วนในการปฏิวัติวงการผลไม้ไทยให้ก้าวไกลไปอีกซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ในสมัยนั้น บริษัทมาลี เริ่มต้นธุรกิจในปีพ.ศ.2507จากอุตสาหกรรมในครอบครัวและได้จดทะเบียนก่อตั้งบริษัท มาลีสามพราน จำกัด เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2521 ด้วยทุนจดทะเบียน 10ล้านบาท เพื่อดำเนินธุรกิจผู้ผลิตจำหน่ายอาหารกระป๋อง และผลไม้กระป๋อง ต่อมาเมื่อกิจการเจริญเติบโตขึ้นจึงทำการขยายกำลังการผลิต โดยสร้างโรงงานขึ้นบน พื้นที่ 30 ไร่ ที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐมในปี พ.ศ. 2524

บริษัทมาลี ดำเนินธุรกิจมากว่า 30 ปี จึงได้รับความเชื่อถือไว้วางใจจากลูกค้าและผู้บริโภคและได้เป็นสมาชิกขององค์กรชั้นนำต่าง ๆ เช่น สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป กรมส่งเสริมการส่งออกและสภาผู้ขนส่งทางเรือแห่งประเทศไทย

ลักษณะการประกอบธุรกิจ

        บริษัทฯเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผักและผลไม้บรรจุกระ ป๋อง น้ำผลไม้พร้อมดื่ม มีสายผลิตภัณฑ์หลักคือ สับปะรดบรรจุกระ ป๋อง ผลไม้บรรจุกระป๋อง ข้าวโพดหวานบรรจุกระป๋องน้ำสับปะรดเข้มข้น น้ำผลไม้ นมยูเอชที และผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าของลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ ด้านตลาดต่างประเทศจะขายผ่านตัวแทนจำหน่ายและขายไปยังลูกค้าโดยตรงทำให้สินค้าตรามาลีเป็นที่รู้จัก อย่างกว้างขวางทั่วโลก
          ในส่วนบริษัท มาลีเอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย มีหน้าที่ดูแลงานด้านการตลาดและการขายในประเทศ สำหรับสินค้าตราและเป็นตัวแทนจำหน่ายนมยูเอชทีตราฟาร์มโชคชัย

 

ปัญหาการตลาดจากการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในและภายนอก

 

1.    ตลาดน้ำผลไม้เป็นตลาดที่มีการแข่งขันค่อนข่างรุนแรง เนื่องจากผู้ขายมีจำนวนมากรายและสินค้าแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันน้อยมากการแข่งขันจึงต้องพยายามสร้างความแตกต่างในด้านอื่น ๆ เช่นบรรจุภัณฑ์หรือความหลากหลายของสินค้า

 

2.    ธุรกิจน้ำผลไม้เป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันค่อนข้างรุนแรง เนื่องจากการเข้า -ออก ของธุรกิจค่อนข้างง่ายเพราะเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้เงินลงทุนไม่สูงนักเทคโนโลยีในการผลิตไม่ซ้ำซ้อน ทำให้ผู้ผลิตรายย่อยเข้าอุตสาหกรรมนี้มากขึ้น

 

 

3.    เนื่องจากผู้ผลิตน้ำผลไม้มีอยู่จำนวนมากทั้งชนิดบรรจุกล่องและซองสำเร็จรูปหรือน้ำผลไม้คั่นสดซึ่งสามารถหาซื้อได้ทั่วไปอีกทั้งผลิตภัณฑ์มีความหลากหลายทั้งรสชาติและรูปแบบและผลิตภัณฑ์มีลักษณะไม่แตกต่างกันมากนักทำให้ผู้บริโภคมีอำนาจการต่อรองสูงในการเลือกสินค้า

 

4.    ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตผลไม่เมืองร้อนที่สำคัญและมีผลไม้มากมายหลายชนิดวัตถุดิบในการผลิตจึงมีหลากหลายทำให้ผู้ประกอบการมีอำนาจต่อรองราคารับซื้อวัตถุดิบค่อนข้างสูง

 

 

5.    น้ำผลไม้มีสินค้าทดแทนหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นน้ำอัดลมเครื่องดื่มบำรุงร่างกายนมสดและนมเปรี้ยวหรือเครื่องดื่มประเภทอื่นๆ ซึ่งหาซื้อได้ง่ายอีกครั้งสินค้าทดแทนเหล่านี้ยังมีราคาต่ำกว่าทำให้น้ำผลไม้มีกลุ่มเป้าหมายค่อนข้างแคบโดยเป็นสินค้าที่สำหรับผู้บริโภคที่มีรายได้ในระดับปานกลางขึ้นไปทำให้ความต้องการบริโภคน้ำผลไม้ยังมีไม่มากเท่าที่ควร

 

การวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์

 

จุดเด่นผลิตภัณฑ์ :
        • 
ผลิตจากน้ำผลไม้ที่มีคุณภาพ และมาตรฐานสูง
        • 
มีหลากหลายรสชาติและหลายขนาดให้เลือก
        • 
ทำจากน้ำผลไม้แท้ๆ 100 % ไม่ผสมน้ำตาล ไม่เจือสีสังเคราะห์ ไม่ใส่

                 วัตถุกันเสีย
        • 
ได้รับการรับรองมาตรฐานคุณภาพ : ISO 9002 , HACCP , GMP
        • 
ไม่ใส่วัตถุกันเสีย ไม่เติมน้ำตาล และไม่เจือสีสังเคราะห์
        • 
อุดมไปด้วยวิตามิน เอ ซี อี และแคลเซียม ซึ่งมีประโยชน์ช่วยในการกระตุ้น  ร่างกายให้สร้างภูมิคุ้มกันโรคได้อย่างดี มีส่วนช่วยต้านอนุมูนอิสระ บำรุงสายตา
        • 
บรรจุในกล่องแบบ True Taste Gold ที่ผลิตจากกระดาษ Polymer    Resins คุณภาพสูงจึงสามารถเก็บรสชาติและคงความสดของน้ำผลไม้แท้  รวมทั้งตามิน C ได้มากกว่ากล่องธรรมดาถึง 15%
        • 
ทุกกระบวนการผลิตได้รับการรับรองมาตรฐานคุณภาพ ISO9001:2000, ISO 14001,HACCP , GMP, HALAL มั่นใจได้ในคุณภาพและความสะอาด
        • 
ให้รสอร่อย และสด ของน้ำผลไม้แท้ โดยผลิตจากส้มพันธุ์ยอดนิยมของคนไทย  ที่ให้รสชาติแตกต่างกัน

 

จุดด้อยผลิตภัณฑ์ :

·       ผู้บริโภคมีทัศนคติไม่ดีต่อน้ำผลไม้ในแง่ที่ความสดของน้ำผลไม้ไม่เหมือนกับการดื่มผลไม้จริง

·       มีคู่แข่งขันเป็นจำนวนมาก

·       สินค้าทดแทนมีราคาต่ำกว่า เช่นนมสด และนมเปรี้ยว

 

 

ที่มี  :   www.malee.co.th/thai/about_business.php

            www.depthai.go.th/DEP/DOC/52/52000169.doc

 

   

 

นางสาวอรพรรณ มะโนจิตต์ กจ.2 เลขที่25 รหัส 51591251027-5

บริษัทเริ่มประกอบธุรกิจผลิตและส่งออกอาหารทะเลแช่แข็ง เมื่อปี 2531 ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 25 ล้านบาท จากนั้นในปี 2535 บริษัทได้ร่วมทุนกับบริษัท มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ บริษัท ฮาโกโรโม่ ฟู้ดส์ จำกัด ซึ่งเป็นทั้งผู้จำหน่ายและลูกค้าของบริษัท โดยทั้งสองบริษัทมีส่วนสำคัญในการช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานและสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ ต่อมาในปี 2537 บริษัทได้แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สำหรับระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทได้มีการเพิ่มทุนอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 885,090,950 บาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยมีทุนชำระแล้วเป็น 883,170,950 บาท หรือเท่ากับ 883,170,950 หุ้น

จากระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทดำเนินการภายใต้โครงสร้างการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ประกอบกับความเชี่ยวชาญทางด้านธุรกิจที่มีประสบการณ์อันยาวนาน พร้อมๆ กับวิสัยทัศน์อันยาวไกลของคณะผู้บริหารทำให้การดำเนินธุรกิจของบริษัทประสบความสำเร็จ มีสถานะทางเงินมั่นคงและแข็งแกร่ง ตลอดจนมีอัตราการเติบโตขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

วิสัยทัศน์

บริษัทมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการดำเนินงานภายใต้กรอบการบริหารจัดการตามหลักบรรษัทภิบาล โดยการสร้างฐานธุรกิจให้เข้มแข็ง มีความชำนาญในธุรกิจหลัก พร้อมมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพ และปลอดภัย เพื่อสร้างอัตราการเติบโตขององค์กรอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการพัฒนากิจกรรมทางด้านสังคม รวมถึงการสร้างความยั่งยืนให้กับสังคมและชุมชน อันจะนำมาสู่ความเป็นผู้นำที่ดีในอุตสาหกรรรมอาหารโลกอย่างครบวงจร

ภารกิจ

-การสร้างอัตราการเติบโต ทั้งรายได้ และผลกำไรอย่างต่อเนื่อง
- มุ่งเน้นที่จะพัฒนาคุณภาพ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้ามากขึ้น
- การสร้างฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง และครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วโลก
- คงความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรรมอาหารทะเล
- ประเมินความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับสถานการณ์ทางการค้าที่อาจจะเกิดขึ้น

- การพัฒนาบุคลากรให้มีคุณภาพ และมีความชำนาญในธุรกิจหลัก
- การสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นในรูปของเงินปันผลได้อย่างสม่ำเสมอ
- การสนับสนุนกิจกรรมที่เป็นสาธารณประโยชน์ทั้งด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม

 

ชื่อบริษัท บริษัท ไทยยูเนียน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) ที่อยู่ อาคารเอส เอ็ม ทาวเวอร์ ชั้น M, 979/12 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม. เบอร์โทรศัพท์ 0-2298-0024, 0-2298-0537-41 เบอร์โทรสาร 0-2298-0553

ไทยยูเนี่ยนโฟรเซ่นฯ โชว์กำไรไตรมาส 2/52 พุ่ง 137%

โชว์ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/52 ด้วยการทำกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้อีกครั้ง...สำหรับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟร์เซ่น โปรดักส์ จำกัด มหาชน (TUF) ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจผลิตและส่งออกอาหารทะเลแช่เยือกแข็งและบรรจุกระป๋องของเมืองไทย

งานนี้ท่านประธานกรรมการบริหาร อย่างคุณธีรพงศ์ จันศิริ ได้แถลงถึงความสำเร็จทางธุรกิจและทิศทางของ TUF ในช่วงครึ่งปีหลัง..อย่างครบถ้วน

สรุปได้ว่าในไตรมาสสองของปีนี้ TUF มีกำไรสุทธิสูงถึง 954 ล้าน ทะยานขึ้นเกือบ 137% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา อันเป็นพวงจากการบริหารจัดการด้านต้นทุนที่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ และการบริหารสินค้าคงคลังอย่างรัดกุมส่งผลทำให้อัตราการทำกำไรขั้นต้นพุ่งขึ้นไปสู่ระดับ 16.15% จาก 13.34% ในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แม้ว่ารายได้จากการขายในรูปเงินบาทอยู่ที่ระดับ 1.72 หมื่นล้านบาท หรือเติบโตได้เพียง 2.4% และถ้าคิดเป็นรายได้ในรูปสกุลเงินดอลลลาร์ซึ่งมีอยู่ประมาณ 497 ล้านเหรียญได้ลดลงกว่า 4% ก็ตามทำให้ในรอบ 6 เดือนแรกของปีนี้ค่าย TUFทำกำไรสุทธิรวมไปได้แล้ว 1.61 พันล้านหรือ เพิ่มขึ้นประมาณ 64% เมื่อกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมีตลาดส่งออกหลักที่สหรัฐอเมริกา/สหภาพยุโรปและญี่ปุ่นในสัดส่วน 49,13 และ 12% ตามลำดับ พร้อมกับได้รุกตลาดใหม่ทั้งใน แอฟริกา /ตะวันออกกลาง / โอเชียเนีย และอเมริกาใต้ได้อย่างต่อเนื่องด้วย

งานนี้ธีระพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ไทยยูเนี่ยนโฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF) นายใหญ่ค่าย TUF เชื่อมั่นว่าแนวโน้มครึ่งปีหลังยังไปได้สวย..เนื่องจากตัวเลขกำไรไตรมาสสองที่โชว์ออกนั้นได้มีการชดเชยผลกระทบจากการปิดสายการผลิตเดิมในซามัว เพื่อเปิดสายการผลิตใหม่ในจอร์เจีย ไปแล้วกว่า 4.5 ล้านดอลลาร์ ทำให้ในช่วงครึ่งปีหลังจะสามารถชดเชยผลกระทบดังกล่าวได้ทั้งหมด

นอกจากนั้นการดำเนินนโยบายที่ให้ความสำคัญการบริหารจัดการต้นทุนทุกด้านให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องจะให้เราสามารถรักษา อัตราการเติบโตของกำไรขั้นต้นไว้ได้ในระดับที่ดีด้วย โดย TUF มีแผนจะควบรวมบริษัทลูก 2 แห่งในสหรัฐเข้าด้วยกันพร้อมกับจะลงทุนครั้งใหม่ในจังหวัดสมุทรสาคร เพื่อสร้างห้องเย็นขนาด 4 หมื่นตัน ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 1 พันล้านเพื่อเป็นฐานการผลิตและส่งออกแห่งใหม่ในเมืองไทย..ด้วย

การจัดจำหน่ายปี 2551


ที่มา : http://www.moneychannel.co.th/Menu6/MSociety/tabid/112/newsid572/94206/Default.aspx

http://www.set.or.th/set/companyprofile.do?symbol=TUF&language=th&country=TH

http://www.thaiuniongroup.com/home/home.php?pro=company&t=income&id=2&lang=th

สมาคมประกันชีวิตไทยแถลงผลงานภาพรวมธุรกิจ 5 เดือนยังโต 13.8%

เติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจได้อย่างแข็งแกร่งสำหรับภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตไทยในรอบ 5 เดือนแรก งานนี้สมาคมประกันชีวิตไทยภายใต้การนำของท่านนายกสมาคมฯอย่างคุณสาระ ล่ำซำก็ได้แถลงผลการดำเนินงานของธุรกิจประกันชีวิตทั้งระบบสรุปได้ว่า แม้ธุรกิจประกันชีวิตต้องเผชิญแรงกดดันจากการหดตัวทางเศรษฐกิจอันเป็นผลกระทบวงกว้างจากวิกฤติการณ์เงินโลก แต่ภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตไทยในรอบ 5 เดือนแรกของปีนี้ยังมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 13.8% คิดเป็นจำนวนเบี้ยประกันภัยรวมกว่า 9.55 หมื่นล้านบาท

แบ่งเป็นการเติบโตของ เบี้ยประกันภัยรับปีแรก และ เบี้ยประกันภัยรับจ่ายครั้งเดียว 24% และ 18% ตามลำดับ นอกจากนั้นเบี้ยประกันภัยรับปีต่อไปก็ยังมีอัตราความคงอยู่สูงถึง 85% ด้วย โดยปัจจัยที่มีผลต่อการเติบโตของธุรกิจประกันชีวิตไทยในรอบนี้ มาจากการที่คนไทยเริ่มเล็งเห็นความสำคัญของการทำประกันชีวิต ทั้งในแง่การได้รับความคุ้มครอง/การเป็นทางเลือกในการออมที่ให้ผลตอบแทนที่มากกว่าอัตราดอกเบี้ย/ นอกจากนั้นการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการทำประกันชีวิตที่มาพร้อมกับการยกระดับคุณภาพตัวแทนและพัฒนาผลิต ภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย คู่ขนานไปกับการขยายช่องทางการจำหน่าย
ที่เพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ประชาชน

ทั้งการขายผ่านตัวแทน/ผ่านธนาคาร/การขายตรง รวมไปถึงการปรับ ปรุงหลักเกณฑ์เพื่อสิทธิประโยชน์การลดหย่อนภาษี ล้วนเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตทั้งสิ้น แนวโน้มเช่นนี้จะมีผลทำให้ธุรกิจประกันชีวิตไทยสามารถขยายตัวภายใต้แรงกดดันทางเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง โดยทางสมาคมประกันชีวิตได้คาดการณ์ว่า ณ สิ้นปีนี้ ธุรกิจประกันชีวิต จะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 10.6% หรือ คิดเป็น เบี้ยประกันภัยรับรวม กว่า 2.5 แสนล้านกันเลยทีเดียว


ไทยยูเนี่ยนโฟรเซ่นฯ โชว์กำไรไตรมาส 2/52 พุ่ง 137%

โชว์ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/52 ด้วยการทำกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้อีกครั้ง...สำหรับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟร์เซ่น โปรดักส์ จำกัด มหาชน (TUF) ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจผลิตและส่งออกอาหารทะเลแช่เยือกแข็งและบรรจุกระป๋องของเมืองไทย

งานนี้ท่านประธานกรรมการบริหาร อย่างคุณธีรพงศ์ จันศิริ ได้แถลงถึงความสำเร็จทางธุรกิจและทิศทางของ TUF ในช่วงครึ่งปีหลัง..อย่างครบถ้วน

สรุปได้ว่าในไตรมาสสองของปีนี้ TUF มีกำไรสุทธิสูงถึง 954 ล้าน ทะยานขึ้นเกือบ 137% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา อันเป็นพวงจากการบริหารจัดการด้านต้นทุนที่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ และการบริหารสินค้าคงคลังอย่างรัดกุมส่งผลทำให้อัตราการทำกำไรขั้นต้นพุ่งขึ้นไปสู่ระดับ 16.15% จาก 13.34% ในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แม้ว่ารายได้จากการขายในรูปเงินบาทอยู่ที่ระดับ 1.72 หมื่นล้านบาท หรือเติบโตได้เพียง 2.4% และถ้าคิดเป็นรายได้ในรูปสกุลเงินดอลลลาร์ซึ่งมีอยู่ประมาณ 497 ล้านเหรียญได้ลดลงกว่า 4% ก็ตามทำให้ในรอบ 6 เดือนแรกของปีนี้ค่าย TUFทำกำไรสุทธิรวมไปได้แล้ว 1.61 พันล้านหรือ เพิ่มขึ้นประมาณ 64% เมื่อกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมีตลาดส่งออกหลักที่สหรัฐอเมริกา/สหภาพยุโรปและญี่ปุ่นในสัดส่วน 49,13 และ 12% ตามลำดับ พร้อมกับได้รุกตลาดใหม่ทั้งใน แอฟริกา /ตะวันออกกลาง / โอเชียเนีย และอเมริกาใต้ได้อย่างต่อเนื่องด้วย

งานนี้ธีระพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ไทยยูเนี่ยนโฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF) นายใหญ่ค่าย TUF เชื่อมั่นว่าแนวโน้มครึ่งปีหลังยังไปได้สวย..เนื่องจากตัวเลขกำไรไตรมาสสองที่โชว์ออกนั้นได้มีการชดเชยผลกระทบจากการปิดสายการผลิตเดิมในซามัว เพื่อเปิดสายการผลิตใหม่ในจอร์เจีย ไปแล้วกว่า 4.5 ล้านดอลลาร์ ทำให้ในช่วงครึ่งปีหลังจะสามารถชดเชยผลกระทบดังกล่าวได้ทั้งหมด

นอกจากนั้นการดำเนินนโยบายที่ให้ความสำคัญการบริหารจัดการต้นทุนทุกด้านให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องจะให้เราสามารถรักษา อัตราการเติบโตของกำไรขั้นต้นไว้ได้ในระดับที่ดีด้วย โดย TUF มีแผนจะควบรวมบริษัทลูก 2 แห่งในสหรัฐเข้าด้วยกันพร้อมกับจะลงทุนครั้งใหม่ในจังหวัดสมุทรสาคร เพื่อสร้างห้องเย็นขนาด 4 หมื่นตัน ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 1 พันล้านเพื่อเป็นฐานการผลิตและส่งออกแห่งใหม่ในเมืองไทย..ด้วย


เปิดตัวกิจกรรม ทูตน้อยกล่องวิเศษพิทักษ์โลก

สร้างสรรค์กิจกรรมดีๆที่ให้น้องๆเข้ามามีบทบาทนำในการทำหน้าที่ร่วมดู แลสิ่งแวดล้อมด้วยการเปิดตัวกิจกรรม ทูตน้อยกล่องวิเศษพิทักษ์โลก อย่างเป็นทางการกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

งานนี้บริษัท อำพลฟูดส์ โพรเซสซิ่ง จำกัด ได้ร่วมมือกับทางกรุงเทพมหานคร จัดกิจกรรม ทูตน้อยกล่องวิเศษ ขึ้นเพื่อต่อยอดโครงการรับคืนกล่องบรรจุภัณฑ์ยูเอชทีนำมารีไซเคิล จัดทำเป็น ชุดโต๊ะ-เก้าอี้
มอบให้กับโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานครพร้อมกับได้รับเกียรติจากคุณประทีป จีรกิตติ ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร มาเป็นประธานกล่าวเปิดงาน

กิจกรรม ทูตน้อยกล่องวิเศษพิทักษ์โลก นี้ได้เน้น การให้ความรู้แก่ ตัวแทนนักเรียนและครู ในสังกัดกรุงเทพมหานครจำนวน 435 แห่งผ่านกิจกรรมต่างๆที่สร้างสรรค์ขึ้น เพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจในขั้นตอนของการ แกะ ล้าง เก็บ กล่องยูเอชทีก่อนที่จะนำมารีไซเคิล นอกจากนั้น ยังได้ให้ความรู้เกี่ยวกับเทคนิคที่จะเผยแพร่ความรู้ออกไปสู่เพื่อนๆและสมาชิกในครอบครัว รวมถึงการสร้างเครือข่ายทูตน้อยกล่องวิเศษที่จะร่วมกัน ดูแลรักษาโลกใบนี้ให้มีความน่าอยู่อย่างต่อเนื่องด้วย

งานนี้ท่านเกรียงศักดิ์ เทพผดุงพร กรรมการผู้จัดการ บจก. อำพลฟูดส์ โพรเซสซิ่ง ก็เชื่อมั่นว่าโครงการนี้จะมีส่วนช่วยกระตุ้นจิตสำนึกให้กับน้องๆหนูๆรวมถึงผู้ใหญ่ให้ตระหนักและหันมาสนใจที่จะรักษาสิ่งแวดล้อม จากการแบ่งปันน้ำใจให้โลกใบนี้ด้วยวิธีง่ายๆเพียงแค่ช่วยกันแกะ ล้าง เก็บ กล่อง ยูเอชที และรวบรวมส่งมาที่จุดรับกล่อง ณ โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร ก็จะได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยให้โลกของเราน่าอยู่อย
นางสาวอรพรรณ มะโนจิตต์ กจ.2 เลขที่25 รหัส 51591251027-5

ชื่อบริษัท บริษัท ไทยยูเนียน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) ที่อยู่ อาคารเอส เอ็ม ทาวเวอร์ ชั้น M, 979/12 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม. เบอร์โทรศัพท์ 0-2298-0024, 0-2298-0537-41 เบอร์โทรสาร 0-2298-0553

บริษัทเริ่มประกอบธุรกิจผลิตและส่งออกอาหารทะเลแช่แข็ง เมื่อปี 2531 ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 25 ล้านบาท จากนั้นในปี 2535 บริษัทได้ร่วมทุนกับบริษัท มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ บริษัท ฮาโกโรโม่ ฟู้ดส์ จำกัด ซึ่งเป็นทั้งผู้จำหน่ายและลูกค้าของบริษัท โดยทั้งสองบริษัทมีส่วนสำคัญในการช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานและสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ ต่อมาในปี 2537 บริษัทได้แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สำหรับระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทได้มีการเพิ่มทุนอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 885,090,950 บาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยมีทุนชำระแล้วเป็น 883,170,950 บาท หรือเท่ากับ 883,170,950 หุ้น

จากระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทดำเนินการภายใต้โครงสร้างการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ประกอบกับความเชี่ยวชาญทางด้านธุรกิจที่มีประสบการณ์อันยาวนาน พร้อมๆ กับวิสัยทัศน์อันยาวไกลของคณะผู้บริหารทำให้การดำเนินธุรกิจของบริษัทประสบความสำเร็จ มีสถานะทางเงินมั่นคงและแข็งแกร่ง ตลอดจนมีอัตราการเติบโตขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

วิสัยทัศน์

บริษัทมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการดำเนินงานภายใต้กรอบการบริหารจัดการตามหลักบรรษัทภิบาล โดยการสร้างฐานธุรกิจให้เข้มแข็ง มีความชำนาญในธุรกิจหลัก พร้อมมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพ และปลอดภัย เพื่อสร้างอัตราการเติบโตขององค์กรอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการพัฒนากิจกรรมทางด้านสังคม รวมถึงการสร้างความยั่งยืนให้กับสังคมและชุมชน อันจะนำมาสู่ความเป็นผู้นำที่ดีในอุตสาหกรรรมอาหารโลกอย่างครบวงจร

ภารกิจ

-การสร้างอัตราการเติบโต ทั้งรายได้ และผลกำไรอย่างต่อเนื่อง
- มุ่งเน้นที่จะพัฒนาคุณภาพ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้ามากขึ้น
- การสร้างฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง และครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วโลก
- คงความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรรมอาหารทะเล
- ประเมินความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับสถานการณ์ทางการค้าที่อาจจะเกิดขึ้น

- การพัฒนาบุคลากรให้มีคุณภาพ และมีความชำนาญในธุรกิจหลัก
- การสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นในรูปของเงินปันผลได้อย่างสม่ำเสมอ
- การสนับสนุนกิจกรรมที่เป็นสาธารณประโยชน์ทั้งด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม

 

 

 

ไทยยูเนี่ยนโฟรเซ่นฯ โชว์กำไรไตรมาส 2/52 พุ่ง 137%

โชว์ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/52 ด้วยการทำกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้อีกครั้ง...สำหรับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟร์เซ่น โปรดักส์ จำกัด มหาชน (TUF) ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจผลิตและส่งออกอาหารทะเลแช่เยือกแข็งและบรรจุกระป๋องของเมืองไทย

งานนี้ท่านประธานกรรมการบริหาร อย่างคุณธีรพงศ์ จันศิริ ได้แถลงถึงความสำเร็จทางธุรกิจและทิศทางของ TUF ในช่วงครึ่งปีหลัง..อย่างครบถ้วน

สรุปได้ว่าในไตรมาสสองของปีนี้ TUF มีกำไรสุทธิสูงถึง 954 ล้าน ทะยานขึ้นเกือบ 137% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา อันเป็นพวงจากการบริหารจัดการด้านต้นทุนที่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ และการบริหารสินค้าคงคลังอย่างรัดกุมส่งผลทำให้อัตราการทำกำไรขั้นต้นพุ่งขึ้นไปสู่ระดับ 16.15% จาก 13.34% ในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แม้ว่ารายได้จากการขายในรูปเงินบาทอยู่ที่ระดับ 1.72 หมื่นล้านบาท หรือเติบโตได้เพียง 2.4% และถ้าคิดเป็นรายได้ในรูปสกุลเงินดอลลลาร์ซึ่งมีอยู่ประมาณ 497 ล้านเหรียญได้ลดลงกว่า 4% ก็ตามทำให้ในรอบ 6 เดือนแรกของปีนี้ค่าย TUFทำกำไรสุทธิรวมไปได้แล้ว 1.61 พันล้านหรือ เพิ่มขึ้นประมาณ 64% เมื่อกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมีตลาดส่งออกหลักที่สหรัฐอเมริกา/สหภาพยุโรปและญี่ปุ่นในสัดส่วน 49,13 และ 12% ตามลำดับ พร้อมกับได้รุกตลาดใหม่ทั้งใน แอฟริกา /ตะวันออกกลาง / โอเชียเนีย และอเมริกาใต้ได้อย่างต่อเนื่องด้วย

 งานนี้ธีระพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ไทยยูเนี่ยนโฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF) นายใหญ่ค่าย TUF เชื่อมั่นว่าแนวโน้มครึ่งปีหลังยังไปได้สวย..เนื่องจากตัวเลขกำไรไตรมาสสองที่โชว์ออกนั้นได้มีการชดเชยผลกระทบจากการปิดสายการผลิตเดิมในซามัว เพื่อเปิดสายการผลิตใหม่ในจอร์เจีย ไปแล้วกว่า 4.5 ล้านดอลลาร์ ทำให้ในช่วงครึ่งปีหลังจะสามารถชดเชยผลกระทบดังกล่าวได้ทั้งหมด

นอกจากนั้นการดำเนินนโยบายที่ให้ความสำคัญการบริหารจัดการต้นทุนทุกด้านให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องจะให้เราสามารถรักษา อัตราการเติบโตของกำไรขั้นต้นไว้ได้ในระดับที่ดีด้วย โดย TUF มีแผนจะควบรวมบริษัทลูก 2 แห่งในสหรัฐเข้าด้วยกันพร้อมกับจะลงทุนครั้งใหม่ในจังหวัดสมุทรสาคร เพื่อสร้างห้องเย็นขนาด 4 หมื่นตัน ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 1 พันล้านเพื่อเป็นฐานการผลิตและส่งออกแห่งใหม่ในเมืองไทย..ด้วย

 

การจัดจำหน่ายปี 2551


ที่มา : http://www.moneychannel.co.th/Menu6/MSociety/tabid/112/newsid572/94206/Default.aspx

http://www.set.or.th/set/companyprofile.do?symbol=TUF&language=th&country=TH

http://www.thaiuniongroup.com/

นางสาวอังคณา ธนวัฒน์โชติกุล กจ.2 เลขที่ 27

บริษัท คังเซน – เคนโก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

ได้เริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2536 โดยทุนจดทะเบียน 120 ล้านบาท ด้วยปณิธานอันแน่วแน่ที่จะสร้างสรรค์

โอกาสทางธุรกิจที่ดีให้กับประชาชนทุกคนไปพร้อมๆ กับการมีสุขภาพที่สมบูรณ์ ทั้งร่างกาย และจิตใจ มีผิวพรรณที่สวยงามเปล่งปลั่ง รวมถึงการมีอิสรภาพทางเวลาและการเงิน โดยการนำรูปแบบธุรกิจที่เรียก “การขายตรงแบบหลายชั้น” หรือ “ MLM –Multi-Level Marketing” เข้ามาเป็นเครื่องมือในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งจัดได้ว่าเป็นระบบการจ่ายผลตอบแทนต่อสมาชิกผู้จำหน่ายอิสระที่ร่วมธุรกิจได้อย่างดีและเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายที่สุด

กว่า 15 ปี ที่บริษัทได้เปิดดำเนินธุรกิจ บริษัทคังเซน – เคนโก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้ขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านของการนำเข้าจากต่างประเทศ การค้นคว้า และวิจัยผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และความงาม รวมไปถึงผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือนอื่นๆ ที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน โดยคำนึงถึงคุณภาพและความพึงพอใจจากลูกค้าเป็นที่สุด นอกจากนี้ทางบริษัท ยังมุ่งขยายไปยังสาขาภูมิภาคต่างๆ ในประเทศไทย เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของธุรกิจและเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้บริการของสมาชิกอย่างต่อเนื่องตามแนวทางนโยบายการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพสอดคล้องกับสภาวะการณ์ของตลาดในปัจจุบัน

ในวันนี้บริษัท คังเซน – เคนโก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด สามารถนำเข้าสินค้า พัฒนาและผลิตสินค้าที่มีคุณภาพมากกว่า 100 รายการ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์ มีสมาชิกที่ร่วมดำเนินธุรกิจกว่า 450,000 คน มีสาขาจุดกระจายสินค้าและบริการมากกว่า 150 แห่งทั่วประเทศไทย และอีก 3 สาขา ในต่างประเทศ คือ พม่า ลาว และอินโดนีเซีย คาดว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะสามารถครอบคลุมตลาดภาคพื้นอินโดจีนได้หมด ขยายธุรกิจ MLM สัญชาติไทยสู่ภูมิภาคอินโดจีน และประเทศในแถบเอเชียใต้ โดยจะเป็นหนึ่งในผู้นำของธุรกิจในแต่ละประเทศ ที่เข้าไปดำเนิน

วิสัยทัศน์

เราจะเป็นบริษัทขายตรงหลายชั้นสัญชาติไทย ที่ก้าวไกลสู่สากล

ภารกิจ

1. ขยายธุรกิจ MLM สัญชาติไทยสู่ภูมิภาคอินโดจีน โดยจะเป็นหนึ่งในผู้นำ ของธุรกิจในแต่ละประเทศ ที่เข้าไปดำเนินกิจการ

2. ใช้หลักการบริหารงานองค์กร ที่มีมาตรฐานสากล

3.ให้ความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของคนในองค์กร สมาชิกครอบครัวคังเซนฯ และคุณภาพ ชีวิตของคนในสังคม (CSR)

ตามแผนงานที่ คังเซน-เคนโก ได้กำหนดเป้าหมายหลักไว้หลายแผนงาน และหนึ่งในนั้น คือ การขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ โดยเริ่มจากประเทศเพื่อนบ้านในแถบอินโดจีน เช่น ลาว กัมพูชา พม่า และเวียดนาม รวมถึงแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งถือเป็นพันธกิจสำคัญ ที่บริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะนำเอาธุรกิจที่ดี และสร้างมาตรฐานชีวิตความเป็นอยู่ให้ดียิ่งขึ้นไม่เพียงแค่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่หมายรวมถึงอีกหลายประเทศด้วย

ที่มา http://www.kangzen.co.th/th/aboutus-in-new.php?id=477

http://www.kangzenthailand.net/aticle2.html

นางสาวสาวิตรี มลเทียร กจ.2 เลขที่ 20

บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

ความเป็นมา

บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทด้านพลังงานของไทยที่แปรรูปมาจาก การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ซึ่งมาจากการรวมกิจการพลังงานของรัฐทั้ง 2 องค์กร คือองค์การเชื้อเพลิงและองค์การก๊าซธรรมชาติแห่งประเทศไทย ประกอบธุรกิจก๊าซธรรมชาติและน้ำมันปิโตรเลียมครบวงจร และธุรกิจปิโตรเคมีที่เน้นการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก รวมทั้งธุรกิจต่อเนื่อง

บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เริ่มแปรรูปเป็นบริษัทจดทะเบียนจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2544 มีทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 2 พันล้านหุ้น โดยมี กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เริ่มซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2544

บริษัทในเครือ

• ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม - ประกอบธุรกิจการสำรวจผลิตก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบ

• ทรานส์ ไทย-มาเลเซีย-ประกอบธุรกิจสำรวจผลิตก๊าซธรรมชาติ

• ไออาร์พีซี - ประกอบธุรกิจการกลั่นน้ำมัน

• ปตท อะโรเมติกส์และการกลั่น - ประกอบธุรกิจการกลั่นน้ำมันและอะโรเมติกส์

• ไทยออยล์- ประกอบธุรกิจการกลั่นน้ำมัน

• บางจากปิโตรเลียม - ประกอบธุรกิจการกลั่นน้ำมัน

• บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ - ประกอบธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับอากาศยาน

• ปตท เคมิคอล-ประกอบธุรกิจปิโตรเคมี

• บริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด - ดำเนินการขนส่งน้ำมันเชือเพลิงทางท่อจากโรงกลั่นสู่คลังน้ำมัน

ธุรกิจระหว่างประเทศ

ประกอบธุรกิจด้านการจัดหา การนำเข้า การส่งออกและการค้าระหว่างประเทศ ครอบคลุมน้ำมันดิบ คอนเดนเสท ผลิตภัณฑ์

ปิโตรเลียม ปิโตรเคมี รวมถึงผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมพิเศษอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการทำการค้าระหว่างประเทศ เพื่อสนับสนุนการดำเนิน

ธุรกิจของ ปตท. และกลุ่ม ปตท. ให้มีศักยภาพในการแข่งขันและทำกำไรจากการค้าผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์อื่นๆ รวมทั้ง

เพิ่มมูลค่าทางการค้าให้แก่กลุ่ม

ปัจจุบัน การดำเนินธุรกิจการค้าระหว่างประเทศของ ปตท. เป็นไปอย่างครบวงจร นอกจากนั้นยังได้มีการจัด บริษัท PTT International Trading Pte. จำกัด ที่สิงคโปร์ เพื่อเป็นตัวแทนของ ปตท.ในการธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศ ตลอดจนให้บริการประสานงานกับลูกค้า

ที่เป็นคู่ค้า ปตท. อย่างใกล้ชิด และสนับสนุนการทำธุรกรรมของ ปตท. และ บริษัทในเครือ

การดำเนินธุรกิจ

หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ (PTT International Trading) ประกอบธุรกิจด้านการจัดหา การนำเข้า การส่งออกและการค้า

ระหว่างประเทศ ครอบคลุมน้ำมันดิบ คอนเดนเสท ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ปิโตรเคมี รวมถึงผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมพิเศษอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

ตลอดจนทำการค้าระหว่างประเทศ (Out-Out Trading) เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และกลุ่ม

ปตท. ให้มีศักยภาพในการแข่งขันและทำกำไรจากการค้าผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์อื่นๆ รวมทั้งเพิ่มมูลค่าทางการค้าให้แก่กลุ่ม

ทั้งนี้ จากการดำเนินธุรกรรมที่ผ่านมา ได้ใช้กลไกของการบริหารความเสี่ยงกำไร/ขาดทุนที่ เกิดจากความผันผวนของราคาผลิตภัณฑ์ด้วย โดยมีหน่วยงานบริหารความเสี่ยง ทำหน้าที่ วิเคราะห์และบริหารความเสี่ยงราคาผลิตภัณฑ์ทั้งในประเทศและการค้าระหว่างประเทศ ตลอดจนทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางข้อมูลปิโตรเลียม โดยศึกษาวิเคราะห์แนวโน้มราคา สถานการณ์ตลาดน้ำมันโลก ทั้งปัจจัยพื้นฐาน ปัจจัยความรู้สึก และปัจจัยทางเทคนิค สำหรับเป็นข้อมูลในการทำธุรกรรมเพื่อบริหารความเสี่ยงให้กับ ปตท. และกลุ่ม ปตท. อีกด้วย

นอกจากนั้นยังมีหน่วยจัดหาการขนส่งทางเรือระหว่างประเทศ ทำหน้าที่จัดหาเรือขนส่ง น้ำมันดิบ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม บริการให้แก่หน่วยงานภายในและบริษัทในกลุ่มอีกด้วย

ปัจจุบัน การดำเนินธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ (International Oil Trading) ของ ปตท. ดำเนินไปอย่างครบวงจร ทั้งการนำเข้าและ ส่งออกน้ำมันดิบ คอนเดนเสท ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมรวมถึงวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ตลอดจนการทำการค้าระหว่างประเทศ

ปตท. ได้ตั้ง บริษัท PTT International Trading Pte. จำกัด ที่สิงคโปร์ เพื่อเป็นตัวแทนของ ปตท. ในการทำธุรกรรมการค้าต่าง

ประเทศ ตลอดจนให้บริการประสานงานกับลูกค้าที่เป็นคู่ค้าของ ปตท.อย่างใกล้ชิด และสนับสนุนการทำธุรกรรมของ ปตท. และบริษัท

ในเครือ ซึ่งประกอบด้วยโรงกลั่นน้ำมันและอุตสาหกรรมปิโตรเคมี รวมทั้งธุรกิจน้ำมันในประเทศ

ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%95%E0%B8%97.

http://www.pttplc.com/TH/ap_tr.aspx

นายกฤษณะ ณ มา เลขที่ 1 กจ 2

บริษัท เวคเตอร์ ไทยเทคโนโลยี จำกัด

บริษัท เวคเตอร์ ไทย เทคโนโลยี จำกัด เป็นผู้นำระบบ HVAC และมีประสบการณ์ในผลิตภัณฑ์ และ ระบบเกี่ยวกับการป้องกันเสียง ไฟ และความร้อน สำหรับอาคาร (Fire and Thermal Insulation System) ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเช่นระบบควบคุมของ Vector Controls (จากประเทศสวิทเซอร์แลนด์),(Pressure switches and Transmitterของ Huba Controls (สวิทเซอร์แลนด์) Rockwool – Wilhams (Acoustic, Fire and Thermal Insulation System )ซึ่งเป็นระบบป้องกันเสียง ไฟ และความร้อน สำหรับตัวอาคาร ซึ่งบริษัท main หลักอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ,Ruskin (Control Damper, Industrial Damper,Fire Damper,Smoke Damper and Combunation Fire and Smoke Damper ของ(U.S.A) และมีโรงงานการผลิตที่ประเทศไทย, Displacement Diffuser(Indoor Air Quality Controls) ของ Halton ซึ่งเป็นระบบปรับอากาศและระบายอากาศภายในอาคารครบวงจรจากFinland), ซึ่งเราเป็นรายแรกของประเทศไทยที่ได้นำระบบ Displacement Unitมาใช้ แต่ละผลิตภัณฑ์เป็นที่รู้จักกันอย่างดีแล้วในประเทศไทย เราสามารถช่วยออกแบบด้านขนาดและเทคนิคที่ลูกค้าต้องการได้ด้วยเวลาที่สั้นที่สุดที่ใช้อยู่ในอุตสาหกรรม และทำให้เราสามารถขยายตลาดของเราออกไปได้อย่างต่อเนื่อง ทุกผลิตภัณฑ์ของเราเป็นไปตามมาตรฐานสูงสุดระดับนานาชาติ และได้รับการอนุมัติให้ใช้งานได้จริง (Highest International Standards,Approvals) สร้างความมั่นใจในเรื่องคุณภาพและมาตรฐานเช่น UL,ISO BS Standard ทำให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้รับการผลิตตามระเบียบวิธีการและขั้นตอนที่มีการกำหนดไว้อย่างชัดเจน

สิ่งนี้ทำให้เราสามารถมีผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงได้ในราคาที่สามารถแข่งขันได้ เราช่วยลูกค้าปรัปรุงความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจของพวกเขา เราทำสิ่งนี้ได้โดยการทำการตลาด การพัฒนา และการส่งมอบนวัตกรรมซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงและบริการครบวงจรที่เกี่ยวกับระบบต่างๆ ซึ่งทำให้เกิดความปลอดภัย สุขภาพที่ดี ความสบาย และสิ่งแวดล้อมภายในที่ทำให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และได้ผลคุ้มค่าแก่โครงการและผู้ที่คนที่ทำงานและพักอาศัยอยู่ในอาคาร

เกี่ยวกับบริษัท

บริษัท เวคเตอร์ ไทยเทคโนโลยี เป็นบริษัทระหว่างประเทศที่เป็นผู้นำและเชี่ยวชาญทางด้านระบบ HVAC มีประสบการณ์ในผลิตภัณฑ์ และ ระบบเกี่ยวกับ การป้องกันไฟ เสียง และ ความร้อน สำหรับตัวอาคาร และ งานในระบบ HVAC เช่นแผ่นเก็บเสียงใน Plant Room ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้มีมาตรฐานที่ใช้อยู่เช่น UL, ISO, BS Standard มีตั้งแต่ระบบควบคุมของ Vector, ผลิตภัณฑ์ Huba Controls (Pressure Switch and Transmitter), Rockwool–Wilhams (Acoustic, Fire and Thermal Insulation System), Ruskin (Control Damper, Industrial Damper, Fire Damper, Smoke Damper and Combination Fire and Smoke Damper) และ Halton Displacement Diffuser (Indoor Air Quality Controls) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างดีแล้วในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบัน เราเป็นรายแรกของประเทศไทยที่ได้นำระบบ Displacement Unit มาใช้เพื่อความ Comfortable และ ประหยัดพลังงาน เช่นในโครงการ วัดพระธรรมกาย และ สนามบินสุวรรณภูมิ

วัตถุประสงค์

บริษัททำธุรกิจเพื่อความปลอดภัยของอาคารในส่วนของ Passive Fire Safety และให้ความรู้ความ

เข้าใจเกี่ยวกับระบบป้องกันไฟที่ถูกต้องยกตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในระบบ Smoke Extract System เช่น Fire Rated Ductwork หรือ การออกแบบ Damper ให้ถูกต้อง ตามมาตรฐานโลกเช่น NFPA, BS, UL และ กฎหมายของไทย

เป้าหมาย

เราขาย และ บริการงานในระบบ HVAC and Acoustic, Fire and Thermal Insulation System ที่มีเทคโนโลยีชั้นสูงและน่าเชื่อถือให้กับเจ้าของอาคาร ผู้รับเหมา และ ผู้จัดจำหน่ายซึ่งอุปกรณ์ทุกชนิดจะต้องผ่านการทดสอบและมีใบรับรองมาตรฐานจากสถาบันที่เชื่อถือได้เช่น LPC, UL หรือ AMCA เราสร้างมาตรฐานใหม่ในประเทศไทยในเรื่องของความปลอดภัยในอาคาร, การบริการ, ความน่าเชื่อถือ, เวลาในการส่งมอบเป็นสิ่งสำคัญเพื่อความพึงพอใจของลูกค้าและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และได้ผลคุ้มค่าแก่โครงการและผู้ที่คนที่ทำงานและพักอาศัยอยู่ในอาคารภายในเวลา 2 ปี เราจะเป็นหนึ่งในสามของบริษัทชั้นนำทางด้านอุปกรณ์ HVAC และระบบ Acoustic, Fire and Thermal Insulation System เพื่อให้โครงการการก่อ

Product : Diffuser

Model : TRS

Catalogue http://www.vectorthai.com/images/product/trs0d2.jpg

Link to Halton

Product : Diffuser

Model : TSA

Catalogue http://www.vectorthai.com/images/product/tsa0d2.jpg

Link to Halton

Product : Grilles and Transfer Grilles

Model : ALE

Catalogue http://www.vectorthai.com/images/product/ale0d2.jpg

Link to Halton

Product : Diffusers for Auditoriums

Model : TRC

Catalogue http://www.vectorthai.com/images/product/trc0d2.jpg

Link to Halton

Product : Low Velocity Devices

Model : AFA

Catalogue http://www.vectorthai.com/images/product/afa0d2.jpg

Link to Halton

Product : Cooled Beams

Model : CBC

Catalogue http://www.vectorthai.com/images/product/cbc0d2.jpg

Link to Halton

Product : Flow Control Systems and Dampers

Model : HFR

Catalogue http://www.vectorthai.com/images/product/cbc0d2.jpg

Link to Halton

Product : Kitchen Canopies and Ventilated Ceilings

Model : KVI

Catalogue http://www.vectorthai.com/images/product/kvi0d2.jpg

Link to Halton

บริษัท Ruskin เป็นผู้นำในเรื่อง Fire/Smoke Damper Sealants ที่ได้รับอนุมัติจาก UL

หลักการสำคัญของการติดตั้ง Fire/Smoke Damper ที่ได้รับอนุมิติจาก UL นั้นคือสารผนึกที่ใช้ในการเชื่อมต่อระหว่างท่อกับปลอกหุ้ม เมื่อเร็วนี้ บริษัท Ruskin ได้ประกาศการใช้สารผนึกในท่อที่มีอัตราความเร็วสูงซึ่งใช้น้ำเป็นตัวทำละลายเป็นบริษัทแรก ซึ่งได้รับการพิสูจน์ว่าใช้ได้กับ Fire/Smoke Damper และส่วนที่เกี่ยวข้องกับไฟ/ควัน สารผนึกท่อ Design Polymerixs DP 1010 นี้มีอยู่ในรายการของ UL และเป็นไปตามข้อกำหนดของ SMACNA และการจัดประเภทสารปิดผนึก สารที่ใช้ใน DP1010 ทำให้เป็นทางเลือกในอุดมคติสำหรับการใช้งานที่ไม่เป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ และมีอัตราการกระจายของเปลวไฟและทำให้เกิดควันเป็น 0

คุณสมบัติอื่นของ DP1010 รวมถึง:

- ทนทานต่อการแตกและลอกเป็นแผ่น

- สามารถติดแน่นได้อย่างยอดเยี่ยม

- ทนทานต่อการเป็นเชื้อรา

- ไม่ไวไฟ

- ได้มาตรฐานตามข้อกำหนด NFPA90A & 90B

- สามารถทาสีทับได้

- ใช้ได้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร

เมื่อมีการเลือกสารผนึกให้ถูกกับการเชื่อมต่อส่วนแยกนั้น ควรพิจารณา:

มีสารผนึกเพียง 2 – 3 ชนิดเท่านั้นที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าใช้สำหรับวัตถุประสงค์นี้ได้

สารผนึกเหล่านี้ต้องได้รับการทดสอบโดยผู้ผลิตแต่ละรายที่ผลิตแผ่นกั้นที่ทำจากโลหะตามแบบของ UL ถ้าสารผนึกเหล่านี้ไม่มีอยู่ในแผ่นข้อมูลการติดตั้งของผู้ผลิต แสดงว่ามันไม่ใช่สารผนึกที่ได้รับการอนุมัติว่าใช้งานได้จาก UL สารผนึกที่ไม่ได้อยู่ในรายการสามารถมีผลต่อส่วนเชื่อมต่อที่แยกออกได้ซึ่งเป็นอันตรายต่อการเชื่อมต่อของระบบซึ่งสารผนึกนี้พยายามที่จะปกป้อง

บริษัท Ruskin ได้ทำการทดสอบสารผนึกส่วนแยก มากกว่าผู้ผลิตรายอื่น คำแนะนำในการติดตั้งทั้งหมดของเราได้รับการปรับปรุงเพื่อรวมเอาสารผนึก DP1010 เอาไว้ด้วย พอๆ กับที่สารผนึกอื่นซึ่งได้รับอนุมัติเพื่อใช้เมื่อทำการติดตั้งแผ่นกั้นที่ทำจากโลหะของเรา คำแนะนำในการติดตั้งหาได้จากในรายการผลิตภัณฑ์ออนไลน์ ที่ www.ruskin.com เมื่อคุณมองหาแนวคิดการติดตั้งที่ประหยัดแรงงาน มองที่อื่นไม่มีนอกจากที่บริษัท Ruskin

บริษัท Ruskin แนะนำหน่วยตรวจวัดอากาศด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบใหม่ (EAMS) – The "Scoop"

เมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัท Ruskin แผนกอุปกรณ์ควบคุมอากาศและเสียง ได้ประกาศว่าบริษัทกำลังขยายการผลิตผลิตภัณฑ์ตรวจวัดอากาศเพื่อรวมเอาหน่วยตรวจวัดอากาศที่ได้รับประกาศนียบัตรจาก สมาคม AMCA สำหรับอัตราความเร็วที่ต่ำเกิน หน่วยตรวจวัดอากาศที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นโมเดลรุ่น EAMS(HP) ซึ่งเรียกกันว่า “Scoop” ประกอบด้วยตัวจับการไหลเวียนจำนวนมากที่มีความร้อนและเทคโนโลยีตรวจจับอากาศเพื่อเก็บและรายงานการตรวจวัดอากาศภายในความถูกต้องร้อยละ 2 ถึง 3 ช่วงของตัวส่งสัญญานอยู่ระหว่าง 0 ถึง 2,000 ฟุตต่อนาที และการประกอบชิ้นส่วนที่สมบูรณ์สามารถแสดงได้ด้วยเครื่องหมายการวัดและได้รับประกาศนียบัตรจากสมาคม AMCA เมื่ออยู่ในช่วง 40 ถึง 2,000 ฟุตต่อนาที

หน่วยตรวจวัดอากาศ EAMS มาในรูปของกรอบที่มีความลึก 12 นิ้วสำหรับการขึ้นรูปท่อที่ง่ายและระบบการควบคุมท่อที่มีแรงดันเข้ามาหลายทางนั้นต่างถูกบรรจุอยู่ในการหุ้มห่อของการรวมตัวกัน หน่วยตรวจวัดนี้อาจถูกติดตั้งในสภาพอากาศที่อยู่ในช่วงอุณหภูมิ 32 ถึง 140 องศาฟาเรนไฮด์ (บรรยากาศที่ล้อมรอบ) การประกอบชิ้นส่วนนี้อาจทำขึ้นที่ต่ำแหน่งใดก็ได้ เพราะไม่ได้เป็นอุปกรณ์ ที่ต่ำแหน่งของการติดตั้งมีผลต่อการทำงานของอุปกรณ์ สายควบคุมทั้งหมดไปสิ้นสุดอยู่ในกล่องรวมจุดเชื่อมต่อที่ทำมาจากโรงงานเพื่อทำให้กระบวนการขึ้นรูปนั้นง่ายขึ้น

แผ่นกั้นที่ทำจากโลหะที่ได้รับประกาศนียบัตรจากสมาคม AMAC นั้นสามารถนำมาเพิ่มในการประกอบชิ้นอุปกรณ์การควบคุมการไหลเวียนของอากาศได้ ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้ทำงานได้ตามลำพังหรือเพิ่มเติมเข้าไปในการใช้งานต่าง ๆ เมื่อการต้องการการควบคุมการไหลเวียนของอากาศที่ถูกต้อง

บริษัท Ruskin ผลิตผลิตภัณฑ์ตรวจวัดอากาศที่ได้รับการรับรองจากสมาคม AMCA ที่ครบถ้วนสมบูรณ์เพื่อให้ได้มาตรฐาน ASHRAE 62-2001 สำหรับคุณภาพอากาศภายในอาคาร เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับแผ่นกั้นโลหะแบบต่าง ๆ, บานเกล็ดและผลิตภัณฑ์ควบคุมเสียงของบริษัท Ruskin ให้มากขึ้น โปรดไปที่เว็บไซด์ของเราที่ www.ruskin.com

แผนที่บริษัท Vector Thai Technology Co., Ltd.

ที่มา

http://www.vectorthai.com/index.htm

นางสาวนพมาศ ทิวากรพันธ์ เลขที่ 8 กจ.2

นำเข้าและส่งออกดอกไม้ตัดดอก โดย บริษัท เกรทฮานะ เวิลด์ จำกัด

บริษัท เกรทฮานะ เวิลด์ จำกัด ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ 2541 โดยนางกมลวรรณ จารุกุลวนิช โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อการนำเข้าและส่งออกดอกไม้ตัดดอก สำหรับร้านค้าประเภท Florist Shop ปัจจุบันธุรกิจนำเข้า และส่งออกเป็นธุรกิจที่ได้รับความสนใจจากคนรุ่นใหม่มากขึ้น ซึ่งจากประสบการณ์อันยาวนาน ในแวดวงธุรกิจการออกแบบและ การจัดดอกไม้ ของนางกมลวรรณ จารุกุลวนิช ในฐานะนักจัดดอกไม้, ครูสอนจัดดอกไม้ รวมไปถึงผู้ประกอบการ ธุรกิจการค้าส่ง จึงได้รวมกับกลุ่มเพื่อนซึ่งล้วนแล้วแต่ เป็นผู้เชี่ยวชาญในแวดวงการจัดดอกไม้ ร่วมกันก่อตั้งบริษัท เกรทฮานะ เวิลด์ จำกัด ขึ้น เพื่อเป็นตัวแทนสมาคมนักจัดดอกไม้ในประเทศไทย ในการนำเข้าสินค้าประเภทไม้ตัดดอกและอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอาชีพ นักจัดดอกไม้ ไม่ว่าจะเป็นการ นำเข้าดอกไม้ จากประเทศเพื่อนบ้าน ตัวอย่างเช่น ประเทศมาเลเซีย ,สาธารณรัฐประชาชนจีน , ออสเตรเลีย รวมที้งประเทศเนเธอร์แลนด์ ทางบริษัทก็นำเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ และตลอดระยะเวลา 4 ปีในการดำเนินธุรกิจนำเข้าไม้ตัดดอก บริษัทยังสนับสนุนสินค้าประเภทเดียวกันนี้ จากภายในประเทศ อีกทั้งเป็นผู้เลี้ยงอีกด้วย

Telephone : (02) 743-4116-8

Fax : (02) 743-4119

website : http://www.great-hana.com

โรงเรียนสอนจัดดอกไม้สดสากล (Universal Flower Arrangement School)

ก่อตั้งขึ้นในปี 2544 โดย นางกมลวรรณ จารุกุลวนิช ในฐานะกรรมการผู้จัดการ เกรท ฮานะ ได้ริเริ่มจัดตั้ง โรงเรียนสอนจัดดอกไม้สดสากลขึ้น ด้วยประสบการณ์ตรง ในการจัดดอกไม้ และประสบการณ์ในการสอน ส่งผลให้โรงเรียนได้รับการตอบรับ จากผู้ที่สนใจด้วยดีเสมอมาจนถึงปัจจุบัน

อนึ่ง หลักสูตรของโรงเรียนทุกระดับนั้น อยู่ภายใต้การควบคุม และได้รับการรับรองโดยกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ในคุณภาพของหลักสูตร โดยมีวัตถุประสงค์ ในการจัดตั้งโรงเรียนดังต่อไปนี้ ...

วัตถุประสงค์

•เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจในวิชาการจัดดอกไม้สดสากลอย่างถูกต้อง

•เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะและความชำนาญในการจัดดอกไม้สดแบบสากล

•เพื่อให้ผู้เรียนมีเจตคติ และคุณธรรมในวิชาชีพการจัดดอกไม้

•เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ ในชีวิตประจำวัน ตลอดจนสามารถ นำไปประกอบอาชีพในสายงานการจัดดอกไม้ได้

•เพื่อเป็นการขยายโอกาสให้กับผู้ที่สนใจเรียน ได้พัฒนาฝีมือ และความชำนาญอย่างต่อเนื่อง

•เพื่อเป็นการยกระดับมาตรฐานวิชาชีพ ในการจัดดอกไม้สดแบบสากลของไทยให้ก้าวไกลสู่ความเป็นสากล

•เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้เรียนใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ เพื่อการสร้างสรรค์งานศิลปะเฉพาะตัว

•เพื่อส่งเสริมและอนุรักษ์ศิลปะการจัดดอกไม้ ให้คงอยู่ในสังคมสืบไป

ที่มา

http://www.great-hana.com/whats_new.php

http://th.88db.com/th/Services/Post_Detail.page/Flower_Gift_Delivery/International_Florists/?PostID=390582

นางสาวปรียาภรณ์ ปวงขัน กจ.2 เลขที่ 13

ธุรกิจเครือเบทาโกร

การดำเนินธุรกิจของเครือเบทาโกรในปัจจุบัน มุ่งเน้นไปสู่ธุรกิจอาหารทั้งจำหน่ายในประเทศและส่งออก โดยมีฐานการผลิตด้านอุตสาหกรรมเกษตรครบวงจร

สายธุรกิจเครือภูมิภาคและธุรกิจอาหารสัตว์
เครือเบทาโกร ได้จัดตั้งบริษัทสาขาขึ้นในจังหวัดต่างๆ ทั่วภูมิภาคของประเทศ เพื่อเป็นฐานในการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของเครือเบทาโกร ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์ ทั้งอาหารไก่เนื้อ ไก่ไข่ สุกร วัว กุ้ง ปลา และอาหารสัตว์เลี้ยง การดำเนินธุรกิจฟาร์มสุกร และฟาร์มไก่ไข่ โครงการประกันราคาไก่เนื้อและไก่ไข่ โครงการจ้างเลี้ยงสุกรขุน การผลิตและจำหน่ายเนื้อสุกร เนื้อไก่และไข่ไก่ รวมทั้งผลิตภัณฑ์อาหารอื่นๆ นับเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนทั่วประเทศ ได้บริโภคสินค้าที่มีคุณภาพ สด สะอาด และทันสมัย และเป็นการสร้างงานอาชีพและรายได้ ให้เกิดขึ้นในท้องถิ่น ในด้านการผลิตอาหารสัตว์ เครือเบทาโกรให้ความใส่ใจในกระบวนการผลิตทุกขั้นตอน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ นับตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบอย่างพิถีพิถันด้วยเทคโนโลยีทันสมัยทั้งทางเคมีและกายภาพ ผ่านเข้าสู่กระบวนการผลิตภายในโรงงานที่มีการควบคุมดูแลและทดสอบคุณภาพทุกขั้นตอนจากผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารสัตว์ รวมทั้งมีการพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ให้มีปริมาณ และคุณค่าทางอาหารเหมาะสำหรับการเจริญเติบโตของสัตว์ในแต่ละช่วงอายุ ด้วยกำลังการผลิตจากโรงงานอาหารสัตว์ของเครือเบทาโกรที่กระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ทำให้เครือเบทาโกรสามารถตอบสนองความต้องการของเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ได้ทั่วถึง และสามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการขนส่ง รวมทั้งเป็นแหล่งผลิตอาหารสัตว์ให้แก่ฟาร์มของบริษัทในเครือที่มีอยู่ทั่วประเทศ

2533

ร่วมทุนกับ บริษัท มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ประเทศญี่ปุ่น จัดตั้ง บริษัท บี. ฟู้ดส์ โปรดักส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ดำเนินธุรกิจผลิตชิ้นส่วนและ แปรรูปเนื้อไก่สดแช่แข็ง เพื่อการส่งออก

2536

ร่วมทุนกับ บริษัท ซูมิโตโม่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ประเทศญี่ปุ่น จัดตั้ง บริษัท ไทย เอส พี เอฟ โปรดักส์ จำกัด ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่าย สุกรพันธุ์ และสุกรขุนเอส พี เอฟ เพื่อการบริโภคภายในประเทศ และ การส่งออก

2538

ร่วมทุนกับ กลุ่มบริษัทอายิโนะโมะโต๊ะ ประเทศญี่ปุ่น จัดตั้ง บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ เบทาโกร โฟรเซ่น ฟู้ดส์ (ประเทศไทย) จำกัด ดำเนินธุรกิจผลิตอาหาร สำเร็จรูปแช่แข็งจากเนื้อไก่ เพื่อการส่งออก

2540

ร่วมทุนกับ บริษัท เม้าท์ พูลาสกี้ โพรดักส์ อิงค์ ประเทศสหรัฐอเมริกา และบริษัท ยกศรี จำกัด จัดตั้งบริษัท บี แอนด์ ซี พูลาสกี้ จำกัด ดำเนิน ธุรกิจผลิต ผลิตภัณฑ์จากซังข้าวโพด

2544

ร่วมทุนกับ บริษัทไทยลักซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์ในประเทศเวียดนาม

2545

ร่วมทุนกับ บริษัท ไดนิปปอน ฟาร์มาซูติคอล จำกัด และกลุ่มซูมิโตโมจากประเทศญี่ปุ่น เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตซุปสกัดเข้มข้นสำหรับส่งออก เพื่อนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร

2545

ร่วมทุนกับ กลุ่มบริษัทซูมิโตโมจากประเทศญี่ปุ่น จัดตั้ง บริษัท เบทาโกร เซฟตี้ มีท แพคกิ้ง จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายเนื้อสุกรอนามัย โดยใช้สุกรขุนจากฟาร์มสุกรเอส พี เอฟ และฟาร์มสุกรในเครือเบทาโกร

2547

ร่วมทุนกับ กลุ่มบริษัทอายิโนะโมะโต๊ะ โฟรเซ่น ฟู้ดส์ จำกัด จัดตั้ง บริษัทอายิโนะโมโต๊ะ เบทาโกร สเปเชียลตี้ ฟูดส์ เพื่อดำเนินธุรกิจแปรรูปสุกรปรุงสุกเพื่อการส่งออก

 

บริษัท รีเทลลิ่ง เทคโนโลยี่ จำกัด หรือ R-TECH

เราเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเครื่องเก็บเงิน เครื่องบันทึกเงินสด ยี่ห้อ JCM Gold ,PBM,QUORION แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เป็นสินค้าที่มีคุณภาพสูงจากประเทศญี่ปุ่นและประเทศเยอรมัน ซึ่งปัจจุบันได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้าในประเทศ ตัวอย่างลูกค้าอ้างอิงบางส่วน เช่น Dairy Queen , กาโตว์เฮาส์ , บ้านใร่กาแฟ , IN & OUT, 94 Coffe ,พิซซ่า ทูเดย์ และอื่นๆอีกมาก สินค้าที่เราจำหน่ายมีดังนี้ ขายเครื่องเก็บเงินราคาถูก ,เครื่องคิดเงิน,เครื่องบันทึกเงินสด,เครื่องแคชเชียร์,ECR ,Cash Register ,Electronic Cash Register,JCM,TEC,Towa,Quorion,PBM,CR-30,QMP-3396,QMP-3286,Quorion Concerto,Quorion Q-touch2,Quorion Topas,Quorion 3282,G-355,G-375,G485,WD-1,Scanner Barcode,ตัวอ่านบาร์โค้ด,เครื่องอ่านบาร์โค้ด,CCD 8CM,Laser LP-150,Metrologic MS-5145,MS-9540,MS-7120,Cashdrawer,ลิ้นชักเก็บเงิน,Posccure,CD-100M,MS-4800,Electronic Safe,Mini Safe,MS-381,Handy Terminal,Bill Acceptor,POS, Touch Screen,LCD Touch Screen,Slip Printer,Recipt Printer,Dot Matrix Printer,Thermal Printer,Program Fast Food,Program Retail,Program Restaurant,โปรแกรมเก็บเงิน,โปรแกรม ฟาส์ฟู้ด,โปรแกรม ร้านค้าปลีก,โปรแกรมมินิมาร์ท,โปรแกรมร้านอาหาร,Fast Food Systems,Retail System,Restaurant System,ระบบร้านฟาส์ฟู้ด,ระบบร้านค้าปลีก,ระบบร้านมินิมารท์,ระบบร้านอาหาร,Paper Roll,กระดาษคิดเงิน,Ribbon,ผ้าหมึก

สนใจสินค้าหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อได้ที่ ฝ่ายขาย คุณยศ ( 089-140-6444 ) บริษัท รีเทลลิ่ง เทคโนโลยี่ จำกัด 46/161 ถนนนวลจันทร์ แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพ 10230 Tel: 02-363-7502-10 Fax: 02-363-7511 www.rtech.co.th e-mail: [email protected] ขายเครื่องเก็บเงิน, เครื่องบันทึกเงินสด, ระบบร้านค้าปลีก, ร้านมินิมาร์ท, ร้านกาแฟ, ร้านอาหาร สามารถต่อเชื่อมกับคอมพิวเตอร์ได้ มีโปรแกรมบริหารการขาย พิมพ์ภาษาไทยได้ ต่อกับตัวอ่านบาร์โค้ดได้ เชื่อมต่อระหว่างสาขาได้ ใช้ได้ดีกับร้านอาหารทุกประเภท มีบริการ Onsite ถึงสถานที่

โดยงานนี้ บริษัท รีเทลลิงค์ จำกัด ผู้นำเข้าและผู้เชี่ยวชาญในวงการค้าปลีกและอุปกรณ์ค้าปลีกอย่างครบวงจร ได้จัดเตรียมนำเอาระบบเทคโนโลยีก้าวหน้า เพื่อการค้าปลีกมาร่วมแสดงประสิทธิภาพในการใช้งาน ผนวกกับความสะดวกสบายที่คุณจะได้รับจากการใช้งาน ในการจัดระบบข้อมูลของร้านค้าปลีกที่ช่วยคุณประหยัดเวลาและงบประมาณให้ได้ชมกันอย่างใกล้ชิด อาทิ : เครื่องบันทึกเงินสดรุ่น MA-1650 (ใหม่ล่าสุด!), โปรแกรมซอฟท์แวร์ควบคุมหลังร้าน RMBS-Store Mate สุดยอดโปรแกรมที่ช่วยเชื่อมโยงระบบการจัดเก็บข้อมูลหน้าร้านและหลังร้านเข้าด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพ, เครื่องอ่านรหัสบาร์โค้ด Handheld พร้อมด้วยอุปกรณ์เพื่อการค้าปลีกคุณภาพและรูปแบบทันสมัยอีกมากมาย ภายใต้เงื่อนไขพิเศษสุดกำนัลแด่คนรักไอทีโอกาสเดียวในรอบปี!!!!

นอกจากนี้ ท่านจะยังได้สัมผัสกับอุปกรณ์เพื่อการค้าปลีกน้องใหม่ที่กำลังมาแรง! ในวงการค้าปลีกคือ เครื่องชงเครื่องดื่มร้อนสำเร็จรูป COFFEEtek ของ Nestle ได้ภายในซุ่มของ Retailink ซึ่งตั้งอยู่ ณ บริเวณซอฟท์แวร์ พาวิลเลี่ยน Hall C ชั้น 2

สำหรับผู้สนใจติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวใวงการคอมพิวเตอร์ และทิศทางวิวัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศปี 2000 รวมถึงกิจกรรมพิเศษในงานตลอดทั้ง 4 วัน ดังนี้ MIS Meeting, Banking Meeting, IT 2000 Presentation และ Internet Experience ที่ให้ท่านท่อง WWW อย่างเพลิดเพลินด้วยตนเอง

เชิญพบกับเทคโนโลยีค้าปลีกครบวงจรกับ Retailink ได้ในงาน IT TRADE'97 วันที่ 17-21 กรกฎาคม 2540 ตั้งแต่เวลา 11.00-21.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ แผนกโฆษณาประชาสัมพันธ์ โทร. 631-1111-4

ที่มา

http://www.tourthai.com/directory/?c=22

http://www.ryt9.com/s/prg/190662/

น.ส.สุมาลี ยศศรัทธา กจ.2 เลขที่ 23

บริษัท รีเทลลิ่ง เทคโนโลยี่ จำกัด หรือ R-TECH

เราเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเครื่องเก็บเงิน เครื่องบันทึกเงินสด ยี่ห้อ JCM Gold ,PBM,QUORION แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เป็นสินค้าที่มีคุณภาพสูงจากประเทศญี่ปุ่นและประเทศเยอรมัน ซึ่งปัจจุบันได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้าในประเทศ ตัวอย่างลูกค้าอ้างอิงบางส่วน เช่น Dairy Queen , กาโตว์เฮาส์ , บ้านใร่กาแฟ , IN & OUT, 94 Coffe ,พิซซ่า ทูเดย์ และอื่นๆอีกมาก สินค้าที่เราจำหน่ายมีดังนี้ ขายเครื่องเก็บเงินราคาถูก ,เครื่องคิดเงิน,เครื่องบันทึกเงินสด,เครื่องแคชเชียร์,ECR ,Cash Register ,Electronic Cash Register,JCM,TEC,Towa,Quorion,PBM,CR-30,QMP-3396,QMP-3286,Quorion Concerto,Quorion Q-touch2,Quorion Topas,Quorion 3282,G-355,G-375,G485,WD-1,Scanner Barcode,ตัวอ่านบาร์โค้ด,เครื่องอ่านบาร์โค้ด,CCD 8CM,Laser LP-150,Metrologic MS-5145,MS-9540,MS-7120,Cashdrawer,ลิ้นชักเก็บเงิน,Posccure,CD-100M,MS-4800,Electronic Safe,Mini Safe,MS-381,Handy Terminal,Bill Acceptor,POS, Touch Screen,LCD Touch Screen,Slip Printer,Recipt Printer,Dot Matrix Printer,Thermal Printer,Program Fast Food,Program Retail,Program Restaurant,โปรแกรมเก็บเงิน,โปรแกรม ฟาส์ฟู้ด,โปรแกรม ร้านค้าปลีก,โปรแกรมมินิมาร์ท,โปรแกรมร้านอาหาร,Fast Food Systems,Retail System,Restaurant System,ระบบร้านฟาส์ฟู้ด,ระบบร้านค้าปลีก,ระบบร้านมินิมารท์,ระบบร้านอาหาร,Paper Roll,กระดาษคิดเงิน,Ribbon,ผ้าหมึก

สนใจสินค้าหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อได้ที่ ฝ่ายขาย คุณยศ ( 089-140-6444 ) บริษัท รีเทลลิ่ง เทคโนโลยี่ จำกัด 46/161 ถนนนวลจันทร์ แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพ 10230 Tel: 02-363-7502-10 Fax: 02-363-7511 www.rtech.co.th e-mail: [email protected] ขายเครื่องเก็บเงิน, เครื่องบันทึกเงินสด, ระบบร้านค้าปลีก, ร้านมินิมาร์ท, ร้านกาแฟ, ร้านอาหาร สามารถต่อเชื่อมกับคอมพิวเตอร์ได้ มีโปรแกรมบริหารการขาย พิมพ์ภาษาไทยได้ ต่อกับตัวอ่านบาร์โค้ดได้ เชื่อมต่อระหว่างสาขาได้ ใช้ได้ดีกับร้านอาหารทุกประเภท มีบริการ Onsite ถึงสถานที่

โดยงานนี้ บริษัท รีเทลลิงค์ จำกัด ผู้นำเข้าและผู้เชี่ยวชาญในวงการค้าปลีกและอุปกรณ์ค้าปลีกอย่างครบวงจร ได้จัดเตรียมนำเอาระบบเทคโนโลยีก้าวหน้า เพื่อการค้าปลีกมาร่วมแสดงประสิทธิภาพในการใช้งาน ผนวกกับความสะดวกสบายที่คุณจะได้รับจากการใช้งาน ในการจัดระบบข้อมูลของร้านค้าปลีกที่ช่วยคุณประหยัดเวลาและงบประมาณให้ได้ชมกันอย่างใกล้ชิด อาทิ : เครื่องบันทึกเงินสดรุ่น MA-1650 (ใหม่ล่าสุด!), โปรแกรมซอฟท์แวร์ควบคุมหลังร้าน RMBS-Store Mate สุดยอดโปรแกรมที่ช่วยเชื่อมโยงระบบการจัดเก็บข้อมูลหน้าร้านและหลังร้านเข้าด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพ, เครื่องอ่านรหัสบาร์โค้ด Handheld พร้อมด้วยอุปกรณ์เพื่อการค้าปลีกคุณภาพและรูปแบบทันสมัยอีกมากมาย ภายใต้เงื่อนไขพิเศษสุดกำนัลแด่คนรักไอทีโอกาสเดียวในรอบปี!!!!

นอกจากนี้ ท่านจะยังได้สัมผัสกับอุปกรณ์เพื่อการค้าปลีกน้องใหม่ที่กำลังมาแรง! ในวงการค้าปลีกคือ เครื่องชงเครื่องดื่มร้อนสำเร็จรูป COFFEEtek ของ Nestle ได้ภายในซุ่มของ Retailink ซึ่งตั้งอยู่ ณ บริเวณซอฟท์แวร์ พาวิลเลี่ยน Hall C ชั้น 2

สำหรับผู้สนใจติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวใวงการคอมพิวเตอร์ และทิศทางวิวัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศปี 2000 รวมถึงกิจกรรมพิเศษในงานตลอดทั้ง 4 วัน ดังนี้ MIS Meeting, Banking Meeting, IT 2000 Presentation และ Internet Experience ที่ให้ท่านท่อง WWW อย่างเพลิดเพลินด้วยตนเอง

เชิญพบกับเทคโนโลยีค้าปลีกครบวงจรกับ Retailink ได้ในงาน IT TRADE'97 วันที่ 17-21 กรกฎาคม 2540 ตั้งแต่เวลา 11.00-21.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ แผนกโฆษณาประชาสัมพันธ์ โทร. 631-1111-4

ที่มา

http://www.tourthai.com/directory/?c=22

http://www.ryt9.com/s/prg/190662/

นางสาวสุพิชญา ต๊ะนันนกลาง กจ.2 เลขที่ 22 (51591251024-2)

บริษัท มิตรผล จำกัด

กลุ่มมิตรผล เป็นกลุ่มบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล และธุรกิจต่อเนื่องจากอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลมายาวนานกว่า 50 ปี ด้วยความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลของกลุ่มผู้บริหาร ทำให้กลุ่มมิตรผลในวันนี้ เป็นบริษัทชั้นนำระดับโลก ในอุตสาหกรรมน้ำตาลและชีวพลังงาน โดยการใช้นวัตกรรมทางเทคโนโลยีและการจัดการอันประกอบด้วย 5 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ 1.ธุรกิจน้ำตาล 2.ธุรกิจปาร์ติเกิลบอร์ด 3.ธุรกิจไฟฟ้าชีวมวล 4.ธุรกิจเอทานอล 5.ธุรกิจคลังสินค้าและโลจิสติกส์

วิสัยทัศน์

“เป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกในอุตสาหกรรมน้ำตาลและชีวพลังงานโดยการใช้นวัตกรรมทางเทคโนโลยีและการจัดการ”

ปรัชญา

มุ่งสู่ความเป็นเลิศ เชื่อในคุณค่าของคน ตั้งอยู่ในความเป็นธรรม รับผิดชอบต่อสังคม

การสนับสนุนให้ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ส่งออกหันมาใช้ระบบขนส่งทางรางเพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์โดยรวม ในทางปฏิบัติยังมีอุปสรรคหลายอย่างที่ไม่เอื้ออำนวย ทั้งระบบโครงสร้างพื้นฐาน เช่น หัวรถจักร และแคร่รถไฟไม่เพียงพอกับความต้องการ ส่วนในแง่การบริหารจัดการก็ยังไม่ดีเท่าที่ควรทำให้การขนส่งสินค้าล่าช้า ในฐานะหนึ่งในผู้ประกอบการที่ใช้การขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบผสมผสานระหว่างระบบขนส่งทางราง ทางรถบรรทุก และทางเรือ คุณคณุตม์ นิรันตสุขรัตน์ ผู้อำนวยการด้านการตลาดในประเทศ บริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด ผู้ผลิตน้ำตาลทรายอันดับหนึ่งของไทย ได้แสดงทัศนะว่า การขนส่งสินค้าทางรถไฟยังมีอุปสรรคหลายประการที่ทำให้การส่งมอบสินค้าหรือการเดินรถไม่ตรงเวลา แต่จุดเด่นของการขนส่งสินค้าทางรถไฟคือ ต้นทุนต่อหน่วยถูกกว่าการขนส่งในรูปแบบอื่น ดังนั้นหากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการจัดการในแนวทางที่เอื้ออำนวยต่อการขนส่งสินค้า และผู้ใช้บริการมีการวางแผนในการใช้บริการที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ก็จะทำให้ต้นทุนโลจิสติกส์โดยรวมลดลงไปได้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ปัจจุบันในการขนส่งสินค้าในประเทศ บริษัทฯ ใช้การขนส่งสินค้าทางรถบรรทุกเป็นหลักประมาณ 80-85% การขนส่งทางรถไฟประมาณ 10-15% และอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการขนส่งสินค้าทางเรือชายฝั่ง บริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด ถือเป็นต้นแบบในการบริหารจัดการโลจิสติกส์ และซัพพลายเชนสินค้าเกษตรของไทย โดยได้รับรางวัล Logistics Model 2007 ประเภทการจัดการโลจิสติกส์ของธุรกิจส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร จากกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ ปัจจุบัน น้ำตาลมิตรผลมีกำลังการผลิตน้ำตาลเฉลี่ย 1.5 ล้านตันต่อปี จำหน่ายในประเทศประมาณ 30-35% ที่เหลือเป็นการส่งออก โดยมีโรงงานในประเทศทั้งหมด 5 แห่งคือ 1. โรงงานน้ำตาลมิตรผล จ. สุพรรณบุรี 2. โรงงานน้ำตาลสิงห์บุรี จ. สิงห์บุรี 3. โรงงานน้ำตาลรวมเกษตรกรอุตสาหกรรม จ. ชัยภูมิ 4. โรงงานน้ำตาลมิตรภูเวียง จ. ขอนแก่น 5. โรงงานน้ำตาลมิตรกาฬสินธุ์ จ. กาฬสินธุ์ นอกจากนี้ มีโรงงานผลิตน้ำตาลที่สาธารณรัฐประชาชนจีน 5 แห่ง และโรงงานน้ำตาลอีก 1 แห่งที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งระหว่างการก่อสร้างโรงงานและคาดว่าจะสามารถเริ่มเดินเครื่องจักรหีบอ้อยได้ในต้นปี 2552 นอกจากธุรกิจน้ำตาลแล้ว กลุ่มมิตรผลยังมีธุรกิจในเครืออีกหลายประเภท ซึ่งเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มจากอ้อยได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ได้แก่ ธุรกิจพลังงาน ซึ่งประกอบด้วยไฟฟ้าชีวมวลและเอทานอล ธุรกิจปาร์ติเคิลบอร์ดจากชานอ้อย หน่วยงานวิจัยและพัฒนา และธุรกิจเกี่ยวกับการให้บริการโลจิสติกส์ชื่อ บริษัท ยูไนเต็ด สแตนดาร์ด เทอร์มินัล จำกัด (มหาชน) หรือ UST

เผยกลยุทธ์บริหารการขนส่งทางรถไฟ

สำหรับวิธีการบริหารการขนส่งทางรถไฟให้เกิดประโยชน์สูงสุด คือต้องส่งมอบสินค้าได้ตรงเวลา มีต้นทุนและขั้นตอนจากการขนถ่ายสินค้าน้อยที่สุดนั้น คุณคณุตม์ กล่าวว่า มีสิ่งที่ควรดำเนินการ 3 ส่วนหลัก คือ

1.ผู้บริหารระดับสูงทั้งของการรถไฟแห่งประเทศไทย และบริษัทผู้ใช้บริการ ควรร่วมมือกันและยืนยันเกี่ยวกับปริมาณของสินค้าในการขนส่งและความต้องการใช้บริการในระยะยาว เพื่อเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับ

2.มีการสำรวจความเป็นไปได้ในด้านต่างๆ เช่น จุดขึ้น-ลงสินค้าที่เหมาะสม และลดต้นทุนการขนส่งซ้ำซ้อน (Double handling) ให้เหลือน้อยที่สุด

3.ออกแบบกระบวนการบริหารจัดการซึ่งเกี่ยวข้องกับการวางแผนงาน เช่น ต้องเข้าใจข้อจำกัดของการจัดส่งสินค้าทางรถไฟว่า เหมาะกับสินค้าที่มีต้นทาง-ปลายทางในการขนส่งชัดเจน มีปริมาณที่แน่นอน และไม่ใช่สินค้าเร่งด่วน

บริษัทฯ ได้ร่วมกับบริษัท ยูไนเต็ด สแตนดาร์ด เทอร์มินัล จำกัด (มหาชน) พัฒนาอุปกรณ์ในการขนถ่ายน้ำตาล โดยใช้สายรัดกระสอบน้ำตาลรูปแบบ Unit Load แทนการยกน้ำตาลครั้งละกระสอบ และพัฒนาอุปกรณ์ UST Box ซึ่งเป็นตู้คอนเทนเนอร์ที่สามารถเปิดด้านบนได้ เพื่อให้เคลื่อนย้าย จัดเก็บ และขนส่งน้ำตาลได้ปริมาณมาก ทำให้ลดระยะเวลาในการขนถ่ายสินค้าลดลง จากเดิมที่ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง เหลือเพียง 1 ชั่วโมง

บริหารซัพพลายเชนแบบมองรวมทั้งระบบ

การบริหารจัดการโลจิสติกส์ และซัพพลายเชนนั้น บริษัทฯ ยึดหลักสำคัญคือทุกฝ่ายในซัพพลายเชนต้องได้ประโยชน์สูงสุด ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯได้มีการพัฒนา-ปรับปรุงแผนงาน และระบบปฏิบัติการอย่างต่อเนื่องเพื่อลดต้นทุน และสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า ปัจจุบัน น้ำตาลมิตรผลมีต้นทุนโลจิสติกส์ประมาณ 15-20% ซึ่งครอบคลุมทั้งต้นทุนด้านวัตถุดิบ และสินค้าสำเร็จรูป โดยต้นทุนที่สำคัญคือการขนส่ง และบรรจุภัณฑ์ สำหรับการบริหารโลจิสติกส์ขาเข้าครอบคลุมการจัดหาวัตถุดิบ การขนถ่ายวัตถุดิบเข้าสู่โรงงานและกระบวนการผลิต ซึ่งต้นทุนด้านวัตถุดิบถือเป็นต้นทุนค่อนข้างสูง เนื่องจากอ้อย 10 ส่วนสามารถผลิตน้ำตาลทรายได้เพียง 1 ส่วน ดังนั้นหัวใจการบริหารโลจิสติกส์ขาเข้า คือ เน้นด้านการจัดการให้วัตถุดิบที่มีพื้นที่ใกล้โรงงานที่สุดเข้ามายังโรงงานผลิตให้ได้มากและเร็วที่สุด ส่วนวัตถุดิบที่มีพื้นที่ไกลออกไปให้มีปริมาณสัดส่วนลดลง รวมถึงมีการจัดตั้งศูนย์รวบรวมวัตถุดิบจากชาวไร่รายเล็ก เพื่อขนส่งได้ปริมาณมากและประหยัดเวลาในการทำงาน ในการบริหารซัพพลายเออร์ น้ำตาลมิตรผลมีการทำ Contract Farming กับชาวไร่อ้อยคู่สัญญา ซึ่งบริษัทฯ มีฝ่ายส่งเสริมฯ เป็นหน่วยงานดูแลในเรื่องนี้ ทำหน้าที่ส่งเสริมด้านเทคโนโลยีการบริหารจัดการการเกษตรสมัยใหม่ เช่น ส่งเสริมชลประทานระบบน้ำหยดในไร่อ้อย ใช้เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียมเก็บข้อมูลการเติบโตของอ้อย เป็นต้น ส่วนการบริหารโลจิสติกส์ขาออก เป็นการขนส่งสินค้าสำเร็จรูปจากโรงงานผลิตไปส่งยังผู้บริโภค ในประเทศ และการส่งออกสินค้า โดยเน้นการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วย เพื่อลดขั้นตอน-ลดเวลาในการขนถ่ายสินค้า และบริการการจัดส่งสินค้าแบบเต็มเที่ยว

ในการขนส่งสินค้าในประเทศ

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างวางแผนบริหารการจัดส่งสินค้าให้มีต้นทางและปลายทางที่เหมาะสม คือศึกษาและจัดแบ่งโซนพื้นที่ในการกระจายสินค้าจากโรงงานผลิตไปยังผู้บริโภคให้มีการจัดส่งสินค้าที่รวดเร็ว และลดต้นทุนได้มากที่สุด

การ Shift Mode มาใช้ทางรถไฟเป็นความหวังหนึ่งของผู้ประกอบการในภาวะน้ำมันแพง หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งยกระดับการให้บริการขนส่งสินค้าทางรถไฟให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพย่อมเป็นการช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศได้อีกทางหนึ่ง

ที่มา:www.logisticsdigest.com

www.mitrphol.com

นางสาวนิรมล หล้าขัด กจ.2 เลขที่ 10 รหัส 51591251012-7

บริษัท พรานทะเลมาร์เก็ตติ้ง จำกัด

พรานทะเล เป็นธุรกิจอาหารแช่แข็งพร้อมบริโภค ก่อตั้งในปี 2547 เป็นของบริษัท พรานทะเล มาร์เก็ตติ้ง เป็นบริษัทลูกของ บจก ยูเนี่ยนโฟรเซนโปรดักส์ (UFP) ผู้ผลิตอาหารแช่แข็งเพื่อส่งออกมานานกว่า 23 ปี (ในปี 2551) มีตลาดหลักในอเมริกาและยุโรป ในปรเทศไทยออกโฆษณาทางโทรทัศน์ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับสัตว์น้ำที่ถูกจับขึ้นมาแช่แข็งเข้าสู่ตู้เย็นโดยยังไม่รู้ตัว โดยมุ่งให้ผู้บริโภคซื้อไปทดแทนอาหารทะเลสด ผลิตภัณฑ์ในปัจจุบันได้แก่ อาหารทะเลแช่แข็งพร้อมปรุง อาหารทะเลแช่แข็งพร้อมรับประทาน อาหารพร้อมรับประทาน น้ำจิ้มและซอส

ประเภทธุรกิจ : ผู้ผลิตอาหารทะเลแช่แข็งส่งออกและจำหน่ายภายในประเทศ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) : ดร. ธงชัย ธาวนพงษ์
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน : นางนิตยา ธาวนพงษ์
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด : นายอนุรัตน์ โค้วคาสัย
ปีที่ก่อตั้ง : พ.ศ. 2523 (บริษัท พรานทะเลมาร์เก็ตติ้ง จำกัด ก่อตั้ง พ.ศ. 2546)
ทุนจดทะเบียนปัจจุบัน : 700 ล้านบาท
ยอดขาย : 8,000 ล้านบาท/ปี
ตลาดต่างประเทศ : สหรัฐอเมริกา, แคนาดา, ญี่ปุ่น, กลุ่มสหภาพยุโรป, รัสเซีย, ออสเตรเลีย ฯลฯ
ตลาดในประเทศ : เป็นผู้ผลิตอาหารทะเลแช่แข็งให้กับ บริษัท พรานทะเล มาร์เก็ตติ้ง จำกัด จำหน่ายในชื่อแบรนด์ "พรานทะเล", "พรานไพร"
สำนักงาน/โรงงาน : 1259, 1094/10 ถ.วิเชียรโชฎก ต.มหาชัย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร 74000
โทร. 0-3441-1368, 0-3441-1081, 0-3482-0625-9
โทรสาร 0-3442-2775-6
Website : http://www.ufp.co.th, http://www.prantalay.com
E-mail Address : [email protected]
จำนวนพนักงาน : 5,000 คน
กำลังผลิต : 100 ตันวัตถุดิบ/วัน
สินค้าที่ผลิต:
  • สินค้าแปรรูปเบื้องต้น ได้แก่ ปลา, กุ้ง, ปลาหมึก ชนิดต่างๆ
  • สินค้าเพิ่มมูลค่า เช่น อาหารทะเลเสียบไม้ (บาบีคิว), อาหารทะเลรวมมิตร,
    สินค้าชุบเกล็ดขนมปัง, ห่อเกี๊ยว, ห่อปอเปี๊ยะ ฯลฯ
  • สินค้าพร้อมรับประทาน เช่น ซูชิเอบี, กุ้งต้ม ฯลฯ
  • อาหารสำเร็จรูปจานด่วนพร้อมรับประทาน เช่น ข้าวต้ม, ข้าวกล่อง, ก๋วยเตี๋ยว,
    พาสต้า, สปาเก็ตตี้ ฯลฯ
  • สินค้าอื่นๆ เช่น ลูกชิ้นปลา/กุ้ง/ปลาหมึก, ทอดมันปลา/กุ้ง/ปลาหมึก,
    แพนเค้กปลา/กุ้ง/ปลาหมึก ฯลฯ

  • วิสัยทัศน์ ของบริษัท ยูเนี่ยนโฟรเซนโปรดักส์ จำกัด และบริษัทในเครือ:
    ในฐานะเป็นผู้ผลิตอาหารจำหน่ายภายในประเทศและส่งออก บริษัทฯ จะตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าโดย "ผลิตอาหารสะอาด ปลอดภัย ได้ดังใจลูกค้า มุ่งมั่นพัฒนาอย่างต่อเนื่อง" เพื่อเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมอาหารของประเทศไทย นอกจากนี้ จะมุ่งเน้นการสร้างความพึงพอใจแก่ผู้เกี่ยวข้องทุกส่วนตั้งแต่ พนักงาน ลูกค้า ผู้ถือหุ้น ส่วนราชการ และชุมชนรอบข้าง

    การบริหารจัดการ:
    บริษัท ได้กำหนดวิสัยทัศน์และมีการบริหารจัดการตามระบบมาตรฐานสากลครอบคลุมทุกระบบ ได้แก่ ISO 9001, GMP, HACCP, ISO/IEC 17025, HALAL, ISO 14000, มอก.18001/OHSAS 18001, มรท. 8001 และได้มีการกำหนดดัชนีวัดความสำเร็จ หรือ Success Indicator (SI) พนักงานทุกระดับมีการตั้งเป้าหมายวัด SI ของตนเองที่สามารถวัดผลได้ เพื่อวัดผลความสำเร็จของธุรกิจ พร้อมทั้งใช้หลักการ PDCA ในการบริหารจัดการเพื่อยกระดับมาตรฐานของกระบวนการต่าง ๆ ให้ดียิ่งขึ้น ทำให้การบริหารจัดการในทุกกระบวนการและทุกกิจกรรมของบริษัทฯ มีการปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ นำไปสู่การบริหารจัดการแบบยั่งยืน สามารถแข่งขันในเวทีการค้าโลกได้

     

    นางสาวนิรมล หล้าขัด กจ.2 เลขที่ 10 รหัส 51591251012-7

    บริษัท พรานทะเลมาร์เก็ตติ้ง จำกัด

    พรานทะเล เป็นธุรกิจอาหารแช่แข็งพร้อมบริโภค ก่อตั้งในปี 2547 เป็นของบริษัท พรานทะเล มาร์เก็ตติ้ง เป็นบริษัทลูกของ บจก ยูเนี่ยนโฟรเซนโปรดักส์ (UFP) ผู้ผลิตอาหารแช่แข็งเพื่อส่งออกมานานกว่า 23 ปี (ในปี 2551) มีตลาดหลักในอเมริกาและยุโรป ในปรเทศไทยออกโฆษณาทางโทรทัศน์ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับสัตว์น้ำที่ถูกจับขึ้นมาแช่แข็งเข้าสู่ตู้เย็นโดยยังไม่รู้ตัว โดยมุ่งให้ผู้บริโภคซื้อไปทดแทนอาหารทะเลสด ผลิตภัณฑ์ในปัจจุบันได้แก่ อาหารทะเลแช่แข็งพร้อมปรุง อาหารทะเลแช่แข็งพร้อมรับประทาน อาหารพร้อมรับประทาน น้ำจิ้มและซอส

    ประเภทธุรกิจ : ผู้ผลิตอาหารทะเลแช่แข็งส่งออกและจำหน่ายภายในประเทศ

    ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) : ดร. ธงชัย ธาวนพงษ์

    ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน : นางนิตยา ธาวนพงษ์

    ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด : นายอนุรัตน์ โค้วคาสัย

    ปีที่ก่อตั้ง : พ.ศ. 2523 (บริษัท พรานทะเลมาร์เก็ตติ้ง จำกัด ก่อตั้ง พ.ศ. 2546)

    ทุนจดทะเบียนปัจจุบัน : 700 ล้านบาท

    ยอดขาย : 8,000 ล้านบาท/ปี

    ตลาดต่างประเทศ : สหรัฐอเมริกา, แคนาดา, ญี่ปุ่น, กลุ่มสหภาพยุโรป, รัสเซีย, ออสเตรเลีย ฯลฯ

    ตลาดในประเทศ : เป็นผู้ผลิตอาหารทะเลแช่แข็งให้กับ บริษัท พรานทะเล มาร์เก็ตติ้ง จำกัด จำหน่ายในชื่อแบรนด์ "พรานทะเล", "พรานไพร"

    สำนักงาน/โรงงาน : 1259, 1094/10 ถ.วิเชียรโชฎก ต.มหาชัย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร 74000 โทร. 0-3441-1368, 0-3441-1081, 0-3482-0625-9 โทรสาร 0-3442-2775-6

    Website : http://www.ufp.co.th, http://www.prantalay.com E-mail Address : [email protected]

    จำนวนพนักงาน : 5,000 คน

    กำลังผลิต : 100 ตันวัตถุดิบ/วัน

    สินค้าที่ผลิต: สินค้าแปรรูปเบื้องต้น ได้แก่ ปลา, กุ้ง, ปลาหมึก ชนิดต่างๆ สินค้าเพิ่มมูลค่า เช่น อาหารทะเลเสียบไม้ (บาบีคิว), อาหารทะเลรวมมิตร, สินค้าชุบเกล็ดขนมปัง, ห่อเกี๊ยว, ห่อปอเปี๊ยะ ฯลฯ สินค้าพร้อมรับประทาน เช่น ซูชิเอบี, กุ้งต้ม ฯลฯ อาหารสำเร็จรูปจานด่วนพร้อมรับประทาน เช่น ข้าวต้ม, ข้าวกล่อง, ก๋วยเตี๋ยว, พาสต้า, สปาเก็ตตี้ ฯลฯ สินค้าอื่นๆ เช่น ลูกชิ้นปลา/กุ้ง/ปลาหมึก, ทอดมันปลา/กุ้ง/ปลาหมึก, แพนเค้กปลา/กุ้ง/ปลาหมึก ฯลฯ วิสัยทัศน์ ของบริษัท ยูเนี่ยนโฟรเซนโปรดักส์ จำกัด และบริษัทในเครือ: ในฐานะเป็นผู้ผลิตอาหารจำหน่ายภายในประเทศและส่งออก บริษัทฯ จะตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าโดย "ผลิตอาหารสะอาด ปลอดภัย ได้ดังใจลูกค้า มุ่งมั่นพัฒนาอย่างต่อเนื่อง" เพื่อเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมอาหารของประเทศไทย นอกจากนี้ จะมุ่งเน้นการสร้างความพึงพอใจแก่ผู้เกี่ยวข้องทุกส่วนตั้งแต่ พนักงาน ลูกค้า ผู้ถือหุ้น ส่วนราชการ และชุมชนรอบข้าง การบริหารจัดการ: บริษัท ได้กำหนดวิสัยทัศน์และมีการบริหารจัดการตามระบบมาตรฐานสากลครอบคลุมทุกระบบ ได้แก่ ISO 9001, GMP, HACCP, ISO/IEC 17025, HALAL, ISO 14000, มอก.18001/OHSAS 18001, มรท. 8001 และได้มีการกำหนดดัชนีวัดความสำเร็จ หรือ Success Indicator (SI) พนักงานทุกระดับมีการตั้งเป้าหมายวัด SI ของตนเองที่สามารถวัดผลได้ เพื่อวัดผลความสำเร็จของธุรกิจ พร้อมทั้งใช้หลักการ PDCA ในการบริหารจัดการเพื่อยกระดับมาตรฐานของกระบวนการต่าง ๆ ให้ดียิ่งขึ้น ทำให้การบริหารจัดการในทุกกระบวนการและทุกกิจกรรมของบริษัทฯ มีการปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ นำไปสู่การบริหารจัดการแบบยั่งยืน สามารถแข่งขันในเวทีการค้าโลกได้

    ที่มา : http://gotoknow.org/ask/lemon_2910/11783

           : http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5

    สิดานันทน์ ใจชุ่ม กจ.2 รหัส 51591251061-4

    บริษัท อิตัลไทยอุตสาหกรรม จำกัด

    ความเป็นมา

    บริษัท อิตัลไทยอุตสาหกรรม จำกัด ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช 2498 เป็นบริษัทแรกของ กลุ่มบริษัทฯ ในเครืออิตัลไทย เพื่อรับผิดชอบสายงานธุรกิจการค้า ซึ่งเป็นหนึ่งใน 4 สายธุรกิจหลักของกลุ่มอิตัลไทย อีก 3 สายธุรกิจหลักของกลุ่มฯ ได้แก่ สายธุรกิจก่อสร้าง สายธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์และสายธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิต

    อิตัลไทยอุตสาหกรรม เป็นผู้นำเข้า และจัดจำหน่ายสินค้าจากต่างประเทศ นอกจากนั้น

    ยังได้พัฒนาผลิตสินค้าที่มี คุณภาพสูงภายใต้ตรายี่ห้อของบริษัทฯ เอง เพื่อจัดจำหน่ายทั้งในประเทศ และส่งออกไปตลาดต่างประเทศด้วย โดยมีเครือข่ายการขาย และบริการทั่วประเทศ ประกอบไปด้วย 4 สำนักงาน และ 5 สาขา

    กลุ่มธุรกิจหลักของบริษัทฯ แบ่งเป็น 4 กลุ่มธุรกิจการค้า :

    •กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม

    •กลุ่มธุรกิจพลังงานและการขนส่ง

    •กลุ่มธุรกิจสินค้าอุตสาหกรรมและการก่อสร้าง

    •กลุ่มธุรกิจแมชินเนอรี่ โซลูชั่น

    บริษัทฯ ได้ขยายธุรกิจออกไปอย่างมากในช่วงเวลาที่ผ่านมาในทุกกลุ่มธุรกิจหลักของบริษัทฯ เพื่อตอบสนองต่อความ ต้องการผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นจากกระแสโลกาภิวัฒน์ อาทิเช่น:

    •ผลิตและจำหน่าย Diesel Genset ภายใต้ตรา "Italthai" ขนาด30 kva to 2,000 kva

    •GE Jenbacher เครื่องยนต์ขนาดตั้งแต่ 250 Kw - 3,000 Kw

    •เครื่องยนต์ NGV

    •กังหันลม และกังหันน้ำ สำหรับผลิตไฟฟ้า

    •เครื่องผลิตคลอรีน MIOX

    •ผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนเครื่องจักรกล

    •การประมูล ซื้อ-ขาย เครื่องจักรกลทางอินเตอร์เน็ท

    •ผลิตและจำหน่ายน้ำผลไม้ Premium Grade ภายใต้ตรา "AC fresh™" ของบริษัทฯ

    ในปัจจุบัน ด้วยฐานการผลิตที่หลากหลายของกลุ่มอิตัลไทย รวมถึงเครือข่ายที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ กับหุ้นส่วนธุรกิจ ทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศ จึงทำให้บริษัท อิตัลไทยอุตสาหกรรม จำกัดมีความโดดเด่นในฐานะบริษัทฯ ชั้นนำบริษัทหนึ่งในด้านการขายและการตลาด และการให้การบริการหลังการขายที่เป็นเลิศ รวมทั้งมีความพร้อม ทั้งด้านทรัพยากรและเครือข่ายธุรกิจในการที่จะพัฒนาสินค้านวัตกรรมใหม่ เพื่อการส่งออกไปยังนานาประเทศ

    วิสัยทัศน์

    •เป็นบริษัทฯ ที่น่าเชื่อถือไว้วางใจในการจัดหาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและการให้บริการที่เป็นเลิศ

    •ดำเนินธุรกิจให้เติบโตด้วยการทำงานร่วมกันกับทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยแบ่งปันทรัพยากรและความสำเร็จ ทั้งกับลูกค้าและคู่ค้าของบริษัทฯ เพื่อประโยชน์สูงสุดร่วมกันของทุกๆ ฝ่ายที่มีส่วนร่วมในการทำธุรกิจ

    พันธกิจ

    มุ่งมั่นในพันธสัญญาของบริษัทฯ ที่จะสร้างธุรกิจที่มั่นคงยั่งยืน ภายใต้หลักการบริหารจัดการ และการทำงานอย่างมืออาชีพ เพื่อก่อให้เกิดคุณค่าสูงสุดต่อลูกค้า หุ้นส่วนทางธุรกิจ ผู้ถือหุ้น และพนักงาน

    คุณค่าหลัก

    ความซื่อสัตย์

    เรายึดมั่นอยู่บนการปฏิบัติตามกฎหมายและหลักจริยธรรมในการดำเนินธุรกิจอย่างเคร่งครัด

    พันธสัญญา

    เรามีจุดยืนที่ชัดเจนและมั่นคงในพันธสัญญาที่จะทำให้บริษัทฯ และพนักงานส่งมอบคุณภาพและบริการที่ดีขึ้นอยู่เสมอ โดยมุ่งเน้นการเพิ่มคุณค่าอย่างมืออาชีพต่อลูกค้าและหุ้นส่วนธุรกิจ

    การทำงานเป็นทีม

    เราทำงานร่วมกับลูกค้าและหุ้นส่วนธุรกิจอย่างใกล้ชิดในการสร้างสรรค์วิธีการและแนวทางใหม่ที่จะเพิ่มคุณค่า ประสิทธิภาพ และผลประโยชน์ที่สามารถแปรไปสู่การปฏิบัติให้ได้ผลอย่างจริงจัง เพื่อประโยชน์สูงสุดที่เป็นไปได้ต่อทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง

    ความคิดสร้างสรรค์ และการสร้างนวัตกรรม

    เราใช้ความรู้ความชำนาญ, ความคิด และความมานะพยายามอย่างที่สุด เปิดรับแนวความคิดใหม่ๆ อย่างเปิดกว้าง เพื่อเผชิญกับสิ่งที่ ท้าทายทุกรูปแบบอย่างสร้างสรรค์

    บริษัทในเครือ

    บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)

    บริษัท อิตัลไทยอุตสาหกรรม จำกัด

    บริษัท อิตัลไทย มารีน จำกัด The Oriental Hotel (Thailand) Plc.

    บริษัท อิตัลไทย เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด River City Shopping Complex

    บริษัท สยามจักรกล จำกัด Club Med, Phuket

    สยามสติลซินดิเกต บมจ. บ้านกระทิง รีสอร์ท ภูเก็ต, เขาหลัก และปาย

    บริษัท ภูมิใจไทยซีเมนต์ จำกัด อมารี รีสอร์ท และสปา

    บริษัท ท็อปโฮเต็ล แอนด์ สปาซัพพลาย จำกัด

    กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ

    กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ได้จัดตั้งขึ้น ใน ปี พ.ศ. 2546 เพื่อทำการสำรวจ และค้นหาโอกาสใหม่ในการขยายธุรกิจทั้งใน ประเทศไทย และ ต่างประเทศ โดยจุดมุ่งหมายหลัก เพื่อที่จะเริ่มสร้าง ผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งทำการผลิตโดย

    กลุ่มบริษัท อิตัลไทย รวมทั้งหาผู้ร่วมประกอบการทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อที่จะพัฒนา และมีขีดความสามารถ

    ในการขยาย ผลิตภัณฑ์สู่ลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ

    ความสำเร็จในธุรกิจอย่างหนึ่ง คือ การส่งออกไปยังต่างประเทศ อาทิเช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และ เอเชีย ซึ่งมี การออกแบบเป็นพิเศษเพื่อผลิต แทงค์บรรจุน้ำทำจากเหล็กสำหรับติดตั้งบนรถบรรทุกพร้อมส่วนประกอบ และอุปกรณ์ครบชุด โดยทำการผลิตแทงค์บรรจุน้ำดังกล่าวที่ บมจ.อิตาเลียนไทย (ส่วนโรงผลิตงานเหล็ก) ซึ่ง

    บมจ.อิตาเลียนไทย นั้น เป็นบริษัทในเครือของกลุ่มบริษัทอิตัลไทย โดยกว่า 500 ใบของแทงค็บรรจุน้ำ ที่มีคุณภาพสูง (ขนาดความจุตั้งแต่ 2,000 ถึง 20,000 แกลลอน) ที่ได้รับการผลิตโดยควบคุมคุณภาพและได้มาตรฐานการผลิต ซึ่งได้ทำการขายและส่งออกไปในช่วง 2 ปีแรกของการดำเนินการ และโครงการได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในปี 2549 คือ 1000 ใบ ทั้งนี้ความสำเร็จของผลิตภัณฑ์นี้ตั้งอยู่บนรากฐานของการออกแบบด้านวิศวกรรมที่เป็นเฉพาะตัว ซึ่งรวมถึงอุปกรณ์ติดตั้ง ที่มีประสิทธิภาพสูง รวมทั้งประกอบไปด้วยงานฝีมือที่เป็นชั้นเลิศ ซึ่งได้มาตราฐานเหนือกว่าผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในตลาดทั่วไป รวมทั้งในตลาดของสหรัฐอเมริกา

    ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของกลุ่มบริษัทซึ่งรวมถึงเครื่องมือหนักที่ใช้ในการก่อสร้าง รวมถึง อะไหล่และชิ้นส่วนสำหรับตลาด ต่างประเทศ อาทิเช่น ตัวกะบะเหล็กที่ใช้แผ่นเหล็กที่สามารถรับแรงกระแทกสูงสำหรับติดตั้งรถบรรทุกที่วิ่งนอกถนนหลวง ยี่ห้อ KOMATSU และ รถบรรทุกที่ใช้ในเหมืองใต้ดิน ยี่ห้อ CATERPILLAR

    นอกเหนือจากธุรกิจส่งออก กลุ่มธุรกิจได้มีการจำหน่ายวัสดุทางวิศวกรรมสำหรับการบำรุงรักษาหน้าดิน และระบบการป้องกันการพังทลายของชั้นดินทางทะเลของท่าเรือ รวมทั้งท่อระบบถ่ายเทอากาศสำหรับรถไฟฟ้าใต้ดิน บางส่วนของโครงการขนาดใหญ่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มบริษัท เช่น โครงการสนามบินแห่งชาติแห่งที่สอง โครงการรถไฟฟ้าใต้ดิน ท่าเรือแหลมฉบัง A2 และ 5 สะพานท่าเรือโรงกลั่นน้ำมัน เชลล์ ท่าเรือกลั่นน้ำมันสตาร์ปิโตรเลียม ท่าเรือการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ท่าเรือเกาะสมุย และ ท่าเรือพัทยาใต้ และอื่น ๆ

    น.ส.สิดานันทน์ ใจชุ่ม กจ.2 รหัส 51591251061-4

    บริษัท อิตัลไทยอุตสาหกรรม จำกัด

    ความเป็นมา

    บริษัท อิตัลไทยอุตสาหกรรม จำกัด ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช 2498 เป็นบริษัทแรกของ กลุ่มบริษัทฯ ในเครืออิตัลไทย เพื่อรับผิดชอบสายงานธุรกิจการค้า ซึ่งเป็นหนึ่งใน 4 สายธุรกิจหลักของกลุ่มอิตัลไทย อีก 3 สายธุรกิจหลักของกลุ่มฯ ได้แก่ สายธุรกิจก่อสร้าง สายธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์และสายธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิต

    อิตัลไทยอุตสาหกรรม เป็นผู้นำเข้า และจัดจำหน่ายสินค้าจากต่างประเทศ นอกจากนั้น

    ยังได้พัฒนาผลิตสินค้าที่มี คุณภาพสูงภายใต้ตรายี่ห้อของบริษัทฯ เอง เพื่อจัดจำหน่ายทั้งในประเทศ และส่งออกไปตลาดต่างประเทศด้วย โดยมีเครือข่ายการขาย และบริการทั่วประเทศ ประกอบไปด้วย 4 สำนักงาน และ 5 สาขา

    กลุ่มธุรกิจหลักของบริษัทฯ แบ่งเป็น 4 กลุ่มธุรกิจการค้า :

    •กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม

    •กลุ่มธุรกิจพลังงานและการขนส่ง

    •กลุ่มธุรกิจสินค้าอุตสาหกรรมและการก่อสร้าง

    •กลุ่มธุรกิจแมชินเนอรี่ โซลูชั่น

    บริษัทฯ ได้ขยายธุรกิจออกไปอย่างมากในช่วงเวลาที่ผ่านมาในทุกกลุ่มธุรกิจหลักของบริษัทฯ เพื่อตอบสนองต่อความ ต้องการผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นจากกระแสโลกาภิวัฒน์ อาทิเช่น:

    •ผลิตและจำหน่าย Diesel Genset ภายใต้ตรา "Italthai" ขนาด30 kva to 2,000 kva

    •GE Jenbacher เครื่องยนต์ขนาดตั้งแต่ 250 Kw - 3,000 Kw

    •เครื่องยนต์ NGV

    •กังหันลม และกังหันน้ำ สำหรับผลิตไฟฟ้า

    •เครื่องผลิตคลอรีน MIOX

    •ผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนเครื่องจักรกล

    •การประมูล ซื้อ-ขาย เครื่องจักรกลทางอินเตอร์เน็ท

    •ผลิตและจำหน่ายน้ำผลไม้ Premium Grade ภายใต้ตรา "AC fresh™" ของบริษัทฯ

    ในปัจจุบัน ด้วยฐานการผลิตที่หลากหลายของกลุ่มอิตัลไทย รวมถึงเครือข่ายที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ กับหุ้นส่วนธุรกิจ ทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศ จึงทำให้บริษัท อิตัลไทยอุตสาหกรรม จำกัดมีความโดดเด่นในฐานะบริษัทฯ ชั้นนำบริษัทหนึ่งในด้านการขายและการตลาด และการให้การบริการหลังการขายที่เป็นเลิศ รวมทั้งมีความพร้อม ทั้งด้านทรัพยากรและเครือข่ายธุรกิจในการที่จะพัฒนาสินค้านวัตกรรมใหม่ เพื่อการส่งออกไปยังนานาประเทศ

    วิสัยทัศน์

    •เป็นบริษัทฯ ที่น่าเชื่อถือไว้วางใจในการจัดหาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและการให้บริการที่เป็นเลิศ

    •ดำเนินธุรกิจให้เติบโตด้วยการทำงานร่วมกันกับทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยแบ่งปันทรัพยากรและความสำเร็จ ทั้งกับลูกค้าและคู่ค้าของบริษัทฯ เพื่อประโยชน์สูงสุดร่วมกันของทุกๆ ฝ่ายที่มีส่วนร่วมในการทำธุรกิจ

    พันธกิจ

    มุ่งมั่นในพันธสัญญาของบริษัทฯ ที่จะสร้างธุรกิจที่มั่นคงยั่งยืน ภายใต้หลักการบริหารจัดการ และการทำงานอย่างมืออาชีพ เพื่อก่อให้เกิดคุณค่าสูงสุดต่อลูกค้า หุ้นส่วนทางธุรกิจ ผู้ถือหุ้น และพนักงาน

    คุณค่าหลัก

    ความซื่อสัตย์

    เรายึดมั่นอยู่บนการปฏิบัติตามกฎหมายและหลักจริยธรรมในการดำเนินธุรกิจอย่างเคร่งครัด

    พันธสัญญา

    เรามีจุดยืนที่ชัดเจนและมั่นคงในพันธสัญญาที่จะทำให้บริษัทฯ และพนักงานส่งมอบคุณภาพและบริการที่ดีขึ้นอยู่เสมอ โดยมุ่งเน้นการเพิ่มคุณค่าอย่างมืออาชีพต่อลูกค้าและหุ้นส่วนธุรกิจ

    การทำงานเป็นทีม

    เราทำงานร่วมกับลูกค้าและหุ้นส่วนธุรกิจอย่างใกล้ชิดในการสร้างสรรค์วิธีการและแนวทางใหม่ที่จะเพิ่มคุณค่า ประสิทธิภาพ และผลประโยชน์ที่สามารถแปรไปสู่การปฏิบัติให้ได้ผลอย่างจริงจัง เพื่อประโยชน์สูงสุดที่เป็นไปได้ต่อทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง

    ความคิดสร้างสรรค์ และการสร้างนวัตกรรม

    เราใช้ความรู้ความชำนาญ, ความคิด และความมานะพยายามอย่างที่สุด เปิดรับแนวความคิดใหม่ๆ อย่างเปิดกว้าง เพื่อเผชิญกับสิ่งที่ ท้าทายทุกรูปแบบอย่างสร้างสรรค์

    บริษัทในเครือ

    บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)

    บริษัท อิตัลไทยอุตสาหกรรม จำกัด

    บริษัท อิตัลไทย มารีน จำกัด The Oriental Hotel (Thailand) Plc.

    บริษัท อิตัลไทย เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด River City Shopping Complex

    บริษัท สยามจักรกล จำกัด Club Med, Phuket

    สยามสติลซินดิเกต บมจ. บ้านกระทิง รีสอร์ท ภูเก็ต, เขาหลัก และปาย

    บริษัท ภูมิใจไทยซีเมนต์ จำกัด อมารี รีสอร์ท และสปา

    บริษัท ท็อปโฮเต็ล แอนด์ สปาซัพพลาย จำกัด

    กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ

    กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ได้จัดตั้งขึ้น ใน ปี พ.ศ. 2546 เพื่อทำการสำรวจ และค้นหาโอกาสใหม่ในการขยายธุรกิจทั้งใน ประเทศไทย และ ต่างประเทศ โดยจุดมุ่งหมายหลัก เพื่อที่จะเริ่มสร้าง ผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งทำการผลิตโดย

    กลุ่มบริษัท อิตัลไทย รวมทั้งหาผู้ร่วมประกอบการทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อที่จะพัฒนา และมีขีดความสามารถ

    ในการขยาย ผลิตภัณฑ์สู่ลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ

    ความสำเร็จในธุรกิจอย่างหนึ่ง คือ การส่งออกไปยังต่างประเทศ อาทิเช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และ เอเชีย ซึ่งมี การออกแบบเป็นพิเศษเพื่อผลิต แทงค์บรรจุน้ำทำจากเหล็กสำหรับติดตั้งบนรถบรรทุกพร้อมส่วนประกอบ และอุปกรณ์ครบชุด โดยทำการผลิตแทงค์บรรจุน้ำดังกล่าวที่ บมจ.อิตาเลียนไทย (ส่วนโรงผลิตงานเหล็ก) ซึ่ง

    บมจ.อิตาเลียนไทย นั้น เป็นบริษัทในเครือของกลุ่มบริษัทอิตัลไทย โดยกว่า 500 ใบของแทงค็บรรจุน้ำ ที่มีคุณภาพสูง (ขนาดความจุตั้งแต่ 2,000 ถึง 20,000 แกลลอน) ที่ได้รับการผลิตโดยควบคุมคุณภาพและได้มาตรฐานการผลิต ซึ่งได้ทำการขายและส่งออกไปในช่วง 2 ปีแรกของการดำเนินการ และโครงการได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในปี 2549 คือ 1000 ใบ ทั้งนี้ความสำเร็จของผลิตภัณฑ์นี้ตั้งอยู่บนรากฐานของการออกแบบด้านวิศวกรรมที่เป็นเฉพาะตัว ซึ่งรวมถึงอุปกรณ์ติดตั้ง ที่มีประสิทธิภาพสูง รวมทั้งประกอบไปด้วยงานฝีมือที่เป็นชั้นเลิศ ซึ่งได้มาตราฐานเหนือกว่าผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในตลาดทั่วไป รวมทั้งในตลาดของสหรัฐอเมริกา

    ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของกลุ่มบริษัทซึ่งรวมถึงเครื่องมือหนักที่ใช้ในการก่อสร้าง รวมถึง อะไหล่และชิ้นส่วนสำหรับตลาด ต่างประเทศ อาทิเช่น ตัวกะบะเหล็กที่ใช้แผ่นเหล็กที่สามารถรับแรงกระแทกสูงสำหรับติดตั้งรถบรรทุกที่วิ่งนอกถนนหลวง ยี่ห้อ KOMATSU และ รถบรรทุกที่ใช้ในเหมืองใต้ดิน ยี่ห้อ CATERPILLAR

    นอกเหนือจากธุรกิจส่งออก กลุ่มธุรกิจได้มีการจำหน่ายวัสดุทางวิศวกรรมสำหรับการบำรุงรักษาหน้าดิน และระบบการป้องกันการพังทลายของชั้นดินทางทะเลของท่าเรือ รวมทั้งท่อระบบถ่ายเทอากาศสำหรับรถไฟฟ้าใต้ดิน บางส่วนของโครงการขนาดใหญ่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มบริษัท เช่น โครงการสนามบินแห่งชาติแห่งที่สอง โครงการรถไฟฟ้าใต้ดิน ท่าเรือแหลมฉบัง A2 และ 5 สะพานท่าเรือโรงกลั่นน้ำมัน เชลล์ ท่าเรือกลั่นน้ำมันสตาร์ปิโตรเลียม ท่าเรือการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ท่าเรือเกาะสมุย และ ท่าเรือพัทยาใต้ และอื่น ๆ

    ที่มา http://www.italthai.co.th/thai/industrial/osg.php

    นายวรปรัชญ์ ไทยกำธร กจ.2 เลขที่.19

    บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด

    บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ตั้งอยู่ 93/5-7 ซอยท่าอิฐ ถนนรัตนาธิเบศร์ อ.เมือง

    จ.นนทบุรี 11000 ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2546 เป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มผลิตสาหร่ายทะเลทอด ภายใต้ตราสัญลักษณ์ “ เถ้าแก่น้อย ” ภาพลักษณ์ของ เถ้าแก่น้อย คือ อาหารว่างที่ทำมาจากสาหร่ายทะเลที่มีคุณค่าทางอาหารสูง และนอกเหนือจากรสชาติที่แสนอร่อย ผู้บริโภคยังจะได้รับคุณค่าทางอาหารอื่นๆอีก เช่น เส้นใยอาหาร โปรตีน ธาตุเหล็ก และ แคลเซียม สาหร่ายทะเลทอดกรอบเถ้าแก่น้อยที่มีทั้งความกรอบและรสชาติแสนอร่อยนี้ผลิตจากสาหร่ายทะเลที่ได้รับการคัดสรรและส่วนประกอบอื่นที่มี่คุณภาพดี อีกทั้งยังผลิตภายใต้มาตรฐาน GMP ผลิตภัณฑ์เถ้าแก่น้อยมาในรูปแบบของอาหารว่างพร้อมรับประทาน ซึ่งเป็นที่นิยมแพร่หลายทั้งในเด็ก วัยรุ่น และผู้ใหญ่ ขณะนี้ได้มีการผลิต สาหร่ายทะเลอบกรอบเถ้าแก่น้อย 4 รสชาติ ด้วยกัน คือ รสคลาสสิค รสเผ็ด รสวาซาบิ รสต้มยำกุ้ง ซึ่งทำให้เราเป็นผู้นำในตลาดซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ ของสาหร่ายทอดในเมืองไทย

    สินค้าได้รับการจัดจำหน่ายหลายช่องทาง เช่น ในร้านสะดวกซื้อซูเปอร์มาร์เก็ต เช่น 7-Eleven, Jiffy,Family Mart, Watsons,The Malls, Tops, Big C, Tesco Lotus, Carrefour เป็นต้น นอกจากนี้สินค้าของเรายังได้รับการส่งออกไปยังประเทศต่างๆ เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเก๊า มาเลเซีย และอินโดนีเซีย

    ภารกิจของเถ้าแก่น้อย

    เป็นผู้นำอุตสาหกรรมการผลิตอาหารและขนมทั้งในและต่างประเทศเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทุกระดับชั้น โดยยึดมั่นคุณภาพการผลิตตามหลักมาตรฐานสากล

    วัตถุประสงค์

    ต้องการสร้างสินค้าให้เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียง และเป็นที่ยอมรับ ของตลาดทั้งในและต่างประเทศ

    ค่านิยมของชาวเถ้าแก่น้อย

    คุณภาพ มาตรฐาน ความซื่อสัตย์ และมีความจงรักภักดีต่อองค์กร คือ ฐานสำคัญสู่ความสำเร็จ

    วิสัยทัศน์

    • บริษัทฯ จะผลิตสินค้าที่ตรงต่อความต้องการของผู้บริโภคและมีความใกล้เคียงกับชีวิตประจำวันของผู้บริโภคให้มากที่สุด

    • บริษัทฯจะไม่ผลิตสินค้าที่ไม่มีประโยชน์ต่อผู้บริโภคและสังคม

    • บริษัทฯ จะปฏิบัติต่อพนักงาน คู่ค้า และผู้บริโภคเสมือนหนึ่งคนในครอบครัวเดียวกัน

    • บริษัทฯ มุ่งที่จะผลิตสินค้าที่มีความแปลกใหม่ ไม่จำเจและนำเทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่มาใช้เพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากที่สุด

    • บริษัทฯ จะมุ่งสร้างแบรนด์ เพื่อครองใจผู้บริโภคตลอดไป

    ที่มา: http://www.taokaenoi.co.th

    น.ส. มาลินี เมืองใจมา กจ.2 เลขที่ 16

    บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน)

    เกี่ยวกับสหพัฒน์ฯ

    บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทตัวแทนจำหน่ายสินค้า อุปโภคบริโภคของคนไทย ที่มุ่งมั่นพัฒนาเพื่อให้คนไทยทั่วประเทศสามารถเข้าถึงสินค้าที่มีคุณภาพสูงและมีมาตรฐานสากลด้วยประสบการณ์ที่ยาวนานกว่า 60 ปี

    ปัจจุบันบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทตัวแทนจำหน่ายที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยที่มีระบบโลจิสติกส์ที่ทันสมัย ครอบคลุมทุกช่องทางการขายและมี เครือข่ายกว้างขวางที่สุดในประเทศรับผิดชอบในการกระจายสินค้า กว่า 600 รายการ ภายใต้ 90 แบรนด์สู่ครอบครัวคนไทย

    ประวัติความเป็นมา

    บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน)เริ่มก่อตั้งโดย ดร.เทียม โชควัฒนา ในปี พ.ศ.2485 ภายใต้ชื่อ “เฮียบเซ่งเชียง” ที่ตรอกอาเนียเก็ง ถนนทรงวาดด้วยเงินทุนเพียง10,000 บาท โดยเริ่มจากการขายของเบ็ดเตล็ดที่สั่งซื้อจากฮ่องกง

    ต่อมาได้ขยายกิจ การเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าจากต่างประเทศในปี 2495 “เฮียบเซ่งเชียง” ได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด ด้วย ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท

    โดยนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคนานาชนิดมาจำหน่ายต่อมาได้สร้างโรงงานโดยร่วมทุนกับบริษัท ไลอ้อน ประเทศญี่ปุ่น เพื่อผลิตยาสีฟ้น แชมพู ผงซักฟอก และได้สร้างโรงงานผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่า

    ความสำเร็จของผงซักฟอกเปาบุ้นจิ้น และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่านั้น ทำให้บริษัทสหพัฒนพิบูล เริ่มขยายโรงงานไปที่ศรีราชา และ ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทยเป็นบริษัท มหาชนด้วยเงินทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาทในปีพ.ศ. 2521

    ต่อมา ในปี พ.ศ. 2531 ได้เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 200 ล้านบาท จนกระทั่ง ปัจจุบัน บริษัทมีทุนจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 600 ล้านบาท

    เกี่ยวกับเครือสหพัฒน์

    บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) เป็นจุดเริ่มต้นของเครือสหพัฒน์ โดยเริ่มจากการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาจ่ำหน่าย ต่อมาได้พัฒนาไปสู่การ เป็นผู้ผลิตสินค้าและเป็นตัวแทนจำหน่าย อีกทั้งยังมีการร่วมทุนกับต่างประเทศในการผลิตสินค้าและบริการ

    ปัจจุบันเครือสหพัฒน์เติบใหญ่จนเป็นเครือ บริษัทของคนไทย ที่ใหญ่ที่สุดรายหนึ่ง มีบริษัทในเครือกว่า 200 บริษัท และมีสินค้าและบริการเป็นที่รู้จักหลากหลายกว่า 30,000 รายการ จากกว่า 1,000 แบรนด์ที่จำหน่ายในประเทศและส่งออกไปทั่วโลก

    สินค้าส่วนใหญ่ในเครือสหพัฒน์ผลิตโดยตรงจากโรงงานในสวนอุตสาหกรรมของเครือสหพัฒน์ทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ สวนอุตสาหกรรม ศรีราชา จ.ชลบุรี สวนอุตสาหกรรม กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี และสวนอุตสาหกรรมลำพูน จ.ลำพูน รวมพื้นที่ทั้งหมดถึง 6,000 ไร่ เครือสหพัฒน์มีพนักงานรวมทั้งสิ้นกว่า 100,000 คนทั่วประเทศ

    บริษัทในเครือสหพัฒน์

    1.โลจิสติกส์และการจัดจำหน่ายสินค้า (LOGISTICS & DISTRIBUTION) 2.เครื่องสำอางค์และผลิตภัณฑ์สำหรับห้องน้ำ (COSMETICS & TOILETRIES)

    3.เครื่องใช้ไฟฟ้าและไอที (ELECTRICAL PRODUCTS AND IT)

    4.อาหารและเครื่องดื่ม (FOOD & BEVERAGES)

    5.ผลิตภัณฑ์สำหรับเท้า (FOOTWEAR)

    6.เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย (GARMENT)

    7.ผลิตภัณฑ์สำหรับครัวเรือน (HOUSEHOLD PRODUCTS)

    8.เครื่องหนัง (LEATHER GOODS)

    9.บริการ (SERVICES)

    10.สิ่งทอ (TEXTILES)

    11.อื่นๆ (MISCELLANEOUS ITEMS)

    เครือข่ายการจัดจำหน่าย

    บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) มีเครือข่ายการจัดจำหน่ายครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ทำหน้าที่ในการ กระจายสินค้าอุปโภคบริโภคหลากหลายประเภทโดยตรงจากศูนย์กระจายสินค้าใหญ่ที่จังหวัดชลบุรีไปยังช่อง ทางการขายกว่า 72,570 ช่องทางทั่วประเทศ แบ่งเป็นร้านค้าปลีก ค้าส่งแบบดั้งเดิม(Traditional Trade) 65,650 ร้านค้า และร้านค้าปลีก ค้าส่งสมัยใหม่ (Modern Trade)ซึ่งรวมไปถึงร้านซุปเปอร์สโตร์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ และ ช่องทางพิเศษอีก 6,920 ร้านค้า

    นอกจากนี้ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ยังได้มีการส่งออกสินค้าไปจำหน่ายยังนานาประเทศทั่วโลก โดยเน้นประเทศในแถบอินโดจีนและทวีปยุโรปเป็นหลัก

    ระบบสนับสนุนการจัดจำหน่าย

    บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ได้ลงทุนงบประมาณจำนวนมาก เพื่อพัฒนาระบบการกระจายสินค้าและการจัดจำหน่าย โดยอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัย ดังนี้

    ROS (Remote Ordering System) เป็นระบบสำหรับออนไลน์ข้อมูลการสั่งสินค้าของร้านค้าจากพนักงานทั่วประเทศโดยตรงมาที่สำนักงานใหญ่และศูนย์กระจายสินค้า

    EDI (Electronic Data Interchange) เป็นระบบที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) ให้สามารถส่งข้อมูลการสั่งซื้อสินค้าผ่านดาวเทียมมายังบริษัทได้โดยตรง ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องผ่านพนักงานขาย

    ECR (Efficient Consumer Response) เป็นระบบที่กลุ่มผู้ค้าส่ง ค้าปลีก ผู้ผลิต และผู้จัดจำหน่ายร่วมมือกันในการเพิ่มประสิทธิภาพในทุกขั้นตอน รวมไปถึงการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง ส่งผลให้ต้นทุนในการดำเนินงานทั้งระบบลดลง และร้านค้าสามารถจำหน่ายสินค้าให้ผู้บริโภคในราคาที่ต่ำลงได้ ซึ่งวิธีการในระบบ ECR ได้แก่ - Palletization เป็นการกำหนดมาตรฐานการจัดวางสินค้าบนแท่นวางสินค้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการด้านขนส่งและจัดการคลังสินค้า

    EFT (Electronic Fund Transfer) เป็นการใช้เครื่องมืออิเล็คทรอนิกส์ในการโอนเงินอัตโนมัติ

    EDI (Electronic Data Interchange) เป็นระบบการส่งข้อมูลเพื่อการสั่งสินค้าผ่านสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ กระดาษใดๆ ทั้งสิ้น

    Digital Product Catalogue เป็นการทำแคตาล็อกสินค้าดิจิตอล โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองค่าพิมพ์และค่ากระดาษ

    Category Management / Space Management เป็นกระบวนการในการร่วมมือกับร้านค้าในการจัดการบริหารกลุ่มประเภทสินค้าให้เกิดประโยชน์แก่ธุรกิจร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมการขาย การตั้งราคาหรือการจัดเรียงสินค้าที่ง่าย โดยจะมุ่งเน้นที่การนำคุณค่าไปสู่ผู้บริโภค ซึ่งสุดท้ายจะส่งผลต่อยอดขายสินค้านั้นๆ

    ระบบโลจิสติกส์และระบบคลังสินค้า

    บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมทุนกับบริษัท เคอาร์เอส คอร์เปอร์เรชั่น ประเทศญี่ปุ่น เพื่อพัฒนาระบบคลังสินค้าและระบบขนส่งให้มีความทันสมัยมากเพื่อการจัดส่งสินค้าให้ถึงร้านค้าอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แบ่งเป็น

    - Day Plus Zero คือการจัดส่งสินค้าได้ภายในวันที่ออกใบแจ้งหนี้

    - Day Plus One คือการจัดส่งสินค้าได้ภายในวันถัดไปของวันที่ออกใบแจ้งหนี้

    ส่วนระบบคลังสินค้า มีระบบการจัดเก็บสินค้า การควบคุมและบริหารข้อมูลสินค้าคงคลังด้วยระบบคอมพิวเตอร์ พร้อมระบบการค้นหาตำแหน่งสินค้า (Location System) และระบบการหยิบสินค้า (Picking System) ที่ทันสมัย

    ปัจจุบันมีบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) มีศูนย์กระจายสินค้าใหญ่อยู่ที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ทำการจัดส่งสินค้าตรงถึงศูนย์กระจายสินค้าย่อยและร้านค้าต่างๆ ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ

    ที่มา : http://www.sahapat.co.th/th/main/index.php

    น.ส.ณัฐพร สังฆบุญ กจ.2 เลขที่ 7 รหัส 51591251009-3

    บริษัท เจพี โกลบอล เทรด จำกัด

    บริษัท เจพี โกลบอล เทรด จำกัด มีจุดมุ่งหมายเพื่อดำเนินกิจการการค้าระหว่างประเทศ นำเข้า-ส่งออก โดยมุ่งเน้นตัวสินค้าที่มีคุณภาพ ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในรูปแบบเฉพาะและแตกต่างจากเดิมที่มีจำหน่ายอยู่ในประเทศไทย เพื่อสอดคล้องกับความต้องการของตลาด และจุดเด่นในเรื่องความสามารถของการแข่งขันทางด้านราคาเหนือคู่แข่ง เราคือบริษัทนำเข้าสินค้าราคาคุณภาพโดยตรงจากต่างประเทศ เรายินดีจำหน่ายทั้งปลีกและส่ง นอกจากนี้สินค้าของเรายังมีโอกาสได้จำหน่ายให้กับ โรงแรม คอนโด office สำนักงาน ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล สถานบันเทิง ทั่วไป และเรายังยินดีต้อนรับตัวแทนขายทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด เพื่อร่วมกันขยายกิจการไปกับเรา

    ผลิตภัณฑ์ของ บริษัท เจพี โกลบอล เทรด จำกัด

    ถังขยะ (Pedal Bin / Step Bin) ถังขยะสแตนเลส และ ถังขยะสแตนเลสพร้อมที่เขี่ยบุหรี่ หลากหลายดีไซน์ ผลิตจากสแตนเลสคุณภาพดี มีหลายขนาดให้เลือกใช้ เช่น 3L, 5L, 12L, 16L, 18L, 48L, etc. นอกจากนี้เรายังมีถังขยะหลากหลายสีสันให้ท่านได้เลือกใช้เพื่อ ให้เหมาะกับ สไตล์ การ ตกแต่งบ้าน หรือ สถานที่ทำงานของท่านให้ดูเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และทันสมัย

    อุปกรณ์ห้องน้ำ (Bathroom Accessories) เช่น ที่ใส่สบู่เหลว ที่เสียบแปรงสีฟัน แก้วน้ำ ถาดสบู่ ที่ใส่สำลี สินค้าทุกชิ้นทำจากสแตนเลสคุณภาพดี เหมาะสำหรับวางตกแต่ง ห้องน้ำให้ดูทันสมัย สินค้าทุกชิ้น เรายินดีแยกจำหน่าย เพื่อให้ทุกท่านได้เลือกแบบและใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า

    อุปกรณ์สวน (Garden Accessories) เช่น เชือก / ลวดรัดต้นไม้ ผ้าใบ laminate

    ใช้คลุมเตา BBQ และ โต๊ะสนาม สินค้าทุกชิ้นมี UV Protected จึงมั่นใจได้ว่า สามารถใช้กับงาน outdoor ได้ทุกประเภท เพราะสามารถกันแดด กันฝน และทนทานนานปี

    บริษัท เจพี โกลบอล เทรด จำกัด

    ที่ตั้ง : 120/16 ซอยอินทราภรณ์ ถนนประดิษฐ์มนูธรรม แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร 10310 โทรศัพท์มือถือ : 081-9133402 แฟกซ์ : 02-5388794

    อีเมล์ : [email protected] http://www.jpglobaltrade.com

    นายเอกชัย ชัยวร กจ.2 เลขที่ 32 รหัส 51591251062-2

    นายเอกชัย  ชัยวร  กจ.2  เลขที่  32

     
    ธุรกิจนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ

    บริษัท ผลธัญญะ จำกัด (มหาชน) ผู้นำเข้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาชีวอนามัยและความปลอดภัยจากแบรนด์ระดับโลก เช่น Ansell, King’s, Moldex,AOSafety, Scott, Dupont

    บริษัท ผลธัญญะ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำในการนำเข้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาชีวอนามัยและความปลอดภัย โดยบริษัทมีปณิธานที่จะคัดสรร สินค้าที่มีคุณภาพ และได้มาตรฐานรับรอง เพื่อสนองตอบทุกความต้องการด้านความปลอดภัยให้กับลูกค้า

    ผลิตภัณฑ์อาชีวอนามัยและความปลอดภัยที่บริษัทจัดจำหน่าย แบ่งเป็น 2 หมวดใหญ่ได้แก่

    - อุปกรณ์นิรภัยส่วนบุคคล อาทิ หมวกนิรภัย รองเท้านิรภัย ถุงมือนิรภัย หน้ากากกันฝุ่นและสารเคมี ชุดกันสารเคมี ฯลฯ

    - อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมอื่นๆ อาทิ อุปกรณ์กันตกจากที่สูง อุปกรณ์จัดเก็บสารเคมี อุปกรณ์ชำระล้างสารเคมีฉุกเฉิน อุปกรณ์ล็อคนิรภัย และ อุปกรณ์อื่นๆเพื่อสร้างความปลอดภัยในที่ทำงาน

    โดยบริษัทเป็นผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของผลิตภัณฑ์อาชีวอนามัยและความปลอดภัย แบรนด์ระดับโลก เช่น Ansell, King’s, Moldex,AOSafety, Scott, Dupont และแบรนด์อื่นๆกว่า 20 แบรนด์ พร้อมด้วยประสบการณ์ในการจัดจำหน่ายสินค้าเหล่านี้มายาวนานกว่า 30 ปีให้ กับลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ อุตสาหกรรมรถยนต์ อาหาร ก่อสร้าง ปิโตรเคมี และอื่นๆ และด้วยความเชี่ยวชาญและบริการที่ดีเยี่ยมนี้ ทำ ให้ ผลธัญญะ เป็นที่รู้จักและไว้วางใจให้เป็นผู้ให้บริการผลิตภัณฑ์อาชีวอนามัยและความปลอดภัยแก่บริษัทชั้นนำต่างๆ ทำให้ธุรกิจของบริษัทฯ มีการขยายกิจการและเติบโตอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

    ธุรกิจส่งออกสินค้าให้ต่างประเทศ

    การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยไปสหรัฐอเมริกาโดยสำนักบริการส่งออก 2 กลุ่มงานสินค้าแฟชั่น 22/77 ถ.รัชดาภิเษก แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900

    สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของไทย มีมูลค่า 956.56 ในปี 2548  และมกราคม-พฤษภาคม 2549 เป็น 362.31 ล้านเหรียญสหรัฐฯ  โดยมีอัตรา ลดลงร้อยละ 2.34  คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 23.16 ของทั้งหมด

    สินค้าที่ไทยส่งออกไปสหรัฐอเมริกาส่วนใหญ่คือเครื่องประดับถึงร้อยละ 84.85 ในปี 2548 และ ร้อยละ 82.37 ในปี 2549 (มกราคมพฤษภาคม) รองลงมาคือพลอยเนื้อแข็ง พลอยเนื้ออ่อน และเพชร

    การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยไปสหรัฐอเมริกา

                                                                                             หน่วย : ล้านเหรียญสหรัฐ

     

    มูลค่าการส่งออก

    สัดส่วน (ร้อยละ)

    การเปลี่ยนแปลง

    2547

    2548

    2549      ..-...

    2547

    2548

    2549

    48/47

    49/48

    ..-..

    1. เครื่องประดับ

    555.03

    806.55

    300.88

    77.67

    84.85

    82.37

    45.32

    -0.95

    2. พลอยแท้

    76.93

    65.20

    32.37

    10.77

    6.86

    8.86

    -15.25

    7.26

    3. เพชร

    29.56

    35.07

    15.81

    4.14

    3.69

    4.33

    18.64

    4.70

    4. อัญมณีเทียม

    24.94

    30.99

    13.02

    3.49

    3.26

    3.56

    24.26

    12.05

    5. ทอง

    0.60

    2.48

    1.03

    0.08

    0.26

    0.28

    313.33

    73.89

    6. เครื่องทอง/
        เครื่องเงิน รูปพรรณ

    1.33

    1.73

    0.64

    0.19

    0.18

    0.18

    30.08

    -4.92

    น.ส. วรางคณา เรือนแก้ว กจ. 2 รหัส 51591251059-8

    บริษัท น้ำตาลวังขนาย จำกัด

    ในปี พ.ศ. 2518 กลุ่มวังขนายได้เริ่มดำเนินธุรกิจ โดยก่อตั้งบริษัท น้ำตาลวังขนายจำกัด ที่ตำบลวังขนาย จ.กาญจนบุรี นับเป็นจุดเริ่มต้นของกลุ่มวังขนายในการทำธุรกิจน้ำตาล ปัจจุบัน กลุ่มวังขนายเป็นผู้ผลิตน้ำตาลทรายรายใหญ่ของประเทศ ผลิตน้ำตาลทรายดิบ น้ำตาลทรายขาว น้ำตาลทรายขาวบริสุทธ์ น้ำตาลธรรมชาติ น้ำตาลคาราเมล และน้ำตาลทรายแดง เพื่อจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีกำลังการหีบอ้อยรวมประมาณ 100,000 ตันอ้อยต่อวัน

    กลุ่มวังขนายให้ความสำคัญกับการจัดการการปลูกอ้อยอย่างเป็นระบบ จึงได้นำเทคโนโลยีกำหนดพิกัดด้วยดาวเทียม (Global Positioning System/GPS)

    และระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (Geographic InformationSystem/GIS) มาใช้ในการพัฒนาและปรับปรุงเพื่อให้ได้ผลผลิตอ้อยอย่างเต็มที่และเป็นระบบมากขึ้น โดยเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยสามารถปลูกและเก็บเกี่ยวได้ตามกำหนดและป้อนให้กับโรงงานได้อย่างต่อเนื่อง

    นอกจากการผลิตน้ำตาลแล้ว กลุ่มวังขนายยังได้ขยายกิจการออกไปยังธุรกิจ

    ประเภทอื่น ทั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการผลิตน้ำตาลโดยตรงและทางอ้อม และธุรกิจ

    ที่ไม่เกี่ยวข้องกับน้ำตาลจนกลายเป็นอาณาจักรกลุ่มวังขนายที่มีการเติบโตอย่าง

    รวดเร็วโดยใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ

    และยังให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาด้านการผลิต เพื่อให้ผลผลิตมี

    คุณภาพเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค

    นอกจากนี้ กลุ่มวังขนายเป็นผู้ผลิตน้ำตาลที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรม น้ำตาลของประเทศ โรงงานทุกโรงงานยังเป็นผู้ผลิตกระแสไฟฟ้ารายย่อย โดยใช้กากอ้อยเป็นเชื้อเพลิงในการ ผลิตกระแสไฟฟ้าและไอน้ำเพื่อใช้ในโรงงาน และได้นำกระแสไฟฟ้าที่เหลือใช้ จำหน่ายให้กับการไฟฟ้า ฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่งนับเป็นการแบ่งเบาภาระของรัฐด้านการพลังงานได้อีกทางหนึ่ง โดยที่โรงงานน้ำตาลทุกโรงงานของกลุ่มวังขนาย ยึดมั่นในอุดมคติ “คุณภาพ ปลอดภัย บริการ”

    ตลอดเวลาที่ผ่านมา กลุ่มวังขนายได้มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ และการบริการอย่างต่อเนื่องใน ระดับสากล ส่งผลให้โรงงานผลิตน้ำตาลของกลุ่มวังขนายได้รับการรับรองระบบบริหารคุณภาพตาม มาตรฐาน ISO 9001:2000, ISO 9002, ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม ISO 14001, ระบบการจัดการ อาชีวอนามัยและความปลอดภัย มอก. 18001 , ระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย OHSAS 18001 และระบบการวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤติที่ต้องควบคุม HACCP สิ่งนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ กลุ่มวังขนายเติบโตอย่างมั่นคงและมีคุณภาพ

    กลุ่มวังขนายเป็นผู้ผลิตน้ำตาลที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมน้ำตาลของประเทศ โดยผลิตน้ำตาลทรายดิบ น้ำตาลทรายขาว น้ำตาลทรายขาวบริสุทธ์ น้ำตาลธรรมชาติ น้ำตาลคาราเมล และ น้ำตาลทรายแดงที่มีคุณภาพ “หวานคุณภาพ” ภายใต้เครื่องหมายการค้า “มดเขียว” และ “วังขนาย”

    กลุ่มวังขนายมีนโยบายในการผลิตน้ำตาลให้ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากที่สุด เริ่มตั้งแต่การปลูกอ้อย จะส่งเสริมให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยอินทรีย์แทนปุ๋ยเคมี และผ่านกระบวนการผลิตที่ปลอดภัยได้มาตรฐาน ดีต่อสุขภาพผู้บริโภค เพราะกลุ่มวังขนายตระหนักถึงสุขภาพของผู้บริโภคมากที่สุด ภายใต้แนวคิด Health Concern

    แหล่งที่มา

    www.wangkanai.co.th

    นส นริสรา เพ็ญสิทธิ์ กจ 2 เลขที่ 9

    บริษัท PTT International Trading Pte. จำกัด

    หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ (PTT International Trading) ประกอบธุรกิจด้านการจัดหา การนำเข้า การส่งออกและการค้าระหว่างประเทศ ครอบคลุมน้ำมันดิบ คอนเดนเสท ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ปิโตรเคมี รวมถึงผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมพิเศษอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนทำการค้าระหว่างประเทศ (Out-Out Trading) เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และกลุ่ม ปตท. ให้มีศักยภาพในการแข่งขันและทำกำไรจากการค้าผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์อื่นๆ รวมทั้งเพิ่มมูลค่าทางการค้าให้แก่กลุ่มทั้งนี้ จากการดำเนินธุรกรรมที่ผ่านมา ได้ใช้กลไกของการบริหารความเสี่ยงกำไร/ขาดทุนที่ เกิดจากความผันผวนของราคาผลิตภัณฑ์ด้วย โดยมีหน่วยงานบริหารความเสี่ยง ทำหน้าที่ วิเคราะห์และบริหารความเสี่ยงราคาผลิตภัณฑ์ทั้งในประเทศและการค้าระหว่างประเทศ ตลอดจนทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางข้อมูลปิโตรเลียม โดยศึกษาวิเคราะห์แนวโน้มราคา สถานการณ์ตลาดน้ำมันโลก ทั้งปัจจัยพื้นฐาน ปัจจัยความรู้สึก และปัจจัยทางเทคนิค สำหรับเป็นข้อมูลในการทำธุรกรรมเพื่อบริหารความเสี่ยงให้กับ ปตท. และกลุ่ม ปตท. อีกด้วย

    นอกจากนั้นยังมีหน่วยจัดหาการขนส่งทางเรือระหว่างประเทศ ทำหน้าที่จัดหาเรือขนส่ง น้ำมันดิบ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม บริการให้แก่หน่วยงานภายในและบริษัทในกลุ่มอีกด้วย

    ปัจจุบัน การดำเนินธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ (International Oil Trading) ของ ปตท. ดำเนินไปอย่างครบวงจร ทั้งการนำเข้าและ ส่งออกน้ำมันดิบ คอนเดนเสท ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมรวมถึงวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ตลอดจนการทำการค้าระหว่างประเทศ

    ปตท. ได้ตั้ง บริษัท PTT International Trading Pte. จำกัด ที่สิงคโปร์ เพื่อเป็นตัวแทนของ ปตท. ในการทำธุรกรรมการค้าต่างประเทศ ตลอดจนให้บริการประสานงานกับลูกค้าที่เป็นคู่ค้าของ ปตท.อย่างใกล้ชิด และสนับสนุนการทำธุรกรรมของ ปตท. และบริษัทในเครือ ซึ่งประกอบด้วยโรงกลั่นน้ำมันและอุตสาหกรรมปิโตรเคมี รวมทั้งธุรกิจน้ำมันในประเทศ

    นางสาวนริสรา เพ็ญสิทธิ์ กจ 2 เลขที่ 9

    บริษัท PTT International Trading Pte. จำกัด

    หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ (PTT International Trading) ประกอบธุรกิจด้านการจัดหา การนำเข้า การส่งออกและการค้าระหว่างประเทศ ครอบคลุมน้ำมันดิบ คอนเดนเสท ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ปิโตรเคมี รวมถึงผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมพิเศษอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนทำการค้าระหว่างประเทศ (Out-Out Trading) เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และกลุ่ม ปตท. ให้มีศักยภาพในการแข่งขันและทำกำไรจากการค้าผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์อื่นๆ รวมทั้งเพิ่มมูลค่าทางการค้าให้แก่กลุ่มทั้งนี้ จากการดำเนินธุรกรรมที่ผ่านมา ได้ใช้กลไกของการบริหารความเสี่ยงกำไร/ขาดทุนที่ เกิดจากความผันผวนของราคาผลิตภัณฑ์ด้วย โดยมีหน่วยงานบริหารความเสี่ยง ทำหน้าที่ วิเคราะห์และบริหารความเสี่ยงราคาผลิตภัณฑ์ทั้งในประเทศและการค้าระหว่างประเทศ ตลอดจนทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางข้อมูลปิโตรเลียม โดยศึกษาวิเคราะห์แนวโน้มราคา สถานการณ์ตลาดน้ำมันโลก ทั้งปัจจัยพื้นฐาน ปัจจัยความรู้สึก และปัจจัยทางเทคนิค สำหรับเป็นข้อมูลในการทำธุรกรรมเพื่อบริหารความเสี่ยงให้กับ ปตท. และกลุ่ม ปตท. อีกด้วย

    นอกจากนั้นยังมีหน่วยจัดหาการขนส่งทางเรือระหว่างประเทศ ทำหน้าที่จัดหาเรือขนส่ง น้ำมันดิบ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม บริการให้แก่หน่วยงานภายในและบริษัทในกลุ่มอีกด้วย

    ปัจจุบัน การดำเนินธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ (International Oil Trading) ของ ปตท. ดำเนินไปอย่างครบวงจร ทั้งการนำเข้าและ ส่งออกน้ำมันดิบ คอนเดนเสท ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมรวมถึงวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ตลอดจนการทำการค้าระหว่างประเทศ

    ปตท. ได้ตั้ง บริษัท PTT International Trading Pte. จำกัด ที่สิงคโปร์ เพื่อเป็นตัวแทนของ ปตท. ในการทำธุรกรรมการค้าต่างประเทศ ตลอดจนให้บริการประสานงานกับลูกค้าที่เป็นคู่ค้าของ ปตท.อย่างใกล้ชิด และสนับสนุนการทำธุรกรรมของ ปตท. และบริษัทในเครือ ซึ่งประกอบด้วยโรงกลั่นน้ำมันและอุตสาหกรรมปิโตรเคมี รวมทั้งธุรกิจน้ำมันในประเทศ

    ที่มา http://www.pttplc.com/TH/ap_tr.aspx

    นางสาวเกวลิน ตินยอด เลขที่ 4 กจ.2

    ชู 3 ผลไม้ดังพระเอกส่งออก ซี.พี. การันตีสดใสทั้งใน –นอก

    ซี.พี.เดินหน้าส่งออกผลไม้ไทยไปต่างประเทศ ชู 3 ผลไม้หลัก "มังคุด -มะม่วง - ส้มโอ"ทั้งในตลาดญี่ปุ่น-จีน เชื่อปีนี้ฟันกำไร 120 ล้าน ฟันธง "เวียดนาม"ยังห่างไทยในด้านรสชาติ ด้าน "ล้งขนาน" ชี้ปัญหาผลไม้ราคาตกเหตุ "พ่อค้าคนกลาง" กดราคาก่อนส่งออก-ชาวสวนต้องรับกรรม .!

    เข้าสู่ช่วงหน้าปลายหน้าร้อนเข้าสู่หน้าฝนผลไม้หลากหลายชนิดออกสู่ท้องตลาดจำนวนมากทั้งในและนอกประเทศ ทั้งมังคุด มะม่วง เงาะ ทะเรียน ส้มโอ และ ลองกอง เป็นต้น จนบางทีผลไม้เหล่านี้เกิดการล้นตลาดทำให้ราคาตกต่ำจนมีการนำมาเททิ้งประชดรัฐบาลอย่างที่เคยเห็นกันมา

    ขณะที่ชาวสวนเองปีหนึ่งเก็บผลผลิตได้แค่หนึ่งหรือสองครั้งก็ขาดทุนเจ็บตัวตามๆกัน แต่ภาคการส่งออกกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะผลไม้ไทยยังสามารถตีตลาดทั้งในญี่ปุ่น จีน และ ออสเตรเลีย อียู หรือแม้กระทั่งอเมริกาด้วยมูลค่าการส่งออกหลายหมื่นล้านต่อปีซึ่งในบริษัทที่ส่งออกผลไม้ชั้นนำของไทยไม่มีใครปฏิเสธว่าซี.พี.คือหนึ่งในผู้ส่งออกผลไม้ที่สร้างรายอย่างเป็นกอบเป็นกำ

    “มะม่วง-ส้มโอ” ขึ้นห้าง-ส่งออก

    เกรียงไกร วัฒนาสว่าง ผู้จัดการทั่วไปบริษัท เจริญโภคภัณฑ์เมล็ดพันธุ์ จำกัดกล่าวถึงการส่งออกผลไม้ของเครือซี.พี.ว่า ทางบริษัทเริ่มเข้าสู่ตลาดผลไม้ในปี 2532 โดยเริ่มทดลองแปลงปลูกที่ฟาร์มราชบุรีพื้นที่ปลูก 2, 500 ไร่ฟาร์มกบินทร์บุรี 1,500 ไร่ และ ชลบุรีที่ อ.พนัสนิคม 1,200 ไร่ โดยเริ่มปลูกผลไม้ 2 ชนิดด้วยกันคือ ส้มโอ พันธุ์สายน้ำผึ้ง และทองดี และมะม่วงพันธุ์น้ำดอกไม้ อาร์ทูอีทู มหาชนกโชคอนันต์ ทวายเดือนเก้า และมหาโชคเพื่อการส่งออกและขายในประเทศ โดยตลาดในประเทศจะเป็นตลาดระดับสูงเป็นสินค้าพรีเมี่ยมที่รับออเดอร์จากห้างใหญ่ ๆ อาทิ ดิเอ็มโพเรี่ยม พารากอน ฟูดแลนด์ ฟูจิ ส่วนระดับล่าง จะเป็น โลตัส เดอะมอลล์ ซึ่งยอดจำหน่ายในประเทศแค่ 15 % ของการผลิตทั้งหมด

    ส่วนตลาดส่งออกกว่า 85% จะเป็น จีน ฮ่องกง แคนาดา ออสเตรเลีย และตลาดใหม่อย่างประเทศญี่ปุ่นที่รอเพียงใบอนุญาตส่งออกมะม่วง ขณะที่ส้มโอยังต้องทำการตลาดและสอนวิธีบริโภคเพราะคนญี่ปุ่นเองยังไม่คุ้นเคยในการบริโภคส้มโอที่ถูกวิธี

    “มังคุด'ฟันกำไรงามในญี่ปุ่น”

    นอกจากส้มโอและมะม่วงแล้วยังมีมังคุดที่ซี.พี.ผลักดันไปสู่ตลาดส่งออก โดยเฉพาะตลาดใหญ่อย่างญี่ปุ่นที่ซี.พี.สามารถยึดครองตลาดในการส่งออกมากกว่า 32% ซึ่งเป็นเบอร์หนึ่งอยู่ในขณะนี้ด้วยมูลค่าการส่งออก100 ตัน/ปี

    "ปีที่แล้ว (2550) เรายอดการจำหน่ายทั้งในและนอกประเทศกว่า 80 ล้านบาทแต่ปีนี้เป้าหมายการจำหน่ายที่ 120 ล้านบาทน่าจะเป็นไปได้" เกรียงไกร กล่าวยืนยัน ร่วมทุนญี่ปุ่นผุดรง.คุณภาพ/เทคโนฯ

    ขณะที่ "บรรหาร วิศมิตะนันท์" ผู้จัดการทั่วไปบริษัท ซี.พี.ไดมอนสตาร์ จำกัดกล่าวเพิ่มเติมว่าบริษัทซี.พี.ไดมอนสตาร์ได้ร่วมทุนกับเครือ ไดมอนสตาร์ ประเทศญี่ปุ่นสร้างโรงงาน และ นำเข้าเทคโนโลยีเครื่องสแกนเนอร์มังคุดเครื่องเดียวในเมืองไทยด้วยมูลค่าการลงทุนลงทุนกว่า 70 ล้านบาทโดยซี.พี.ถือหุ้น 51 % และไดมอนสตาร์อีก 49 % ภายใต้เครื่องหมายการค้าส่งออกที่ชื่อ "DS" และทำการตลาดทั้งหมดในญี่ปุ่น

    โดยเครื่องสแกนเนอร์ดังกล่าวสามารถวิเคราะห์ถึงเนื้อในมังคุดว่ามีผลสมบูรณ์ 100% ก่อนการส่งออกเพราะหากเจอว่ามังคุดมียางไหลหรือเนื้อแก้วจะต้องถูกตีกลับทั้งหมด ขณะเดียวกันญี่ปุ่นที่วางขายที่ท้องตลาดจะมีราคาแพงมากอย่างน้อยลูกละ 80 บาทขึ้นไปทำให้ต้องการหลักประกันว่าหากมังคุดลูกไหนไม่สมบูรณ์สามารถนำมาเคลมประกันรับเงินคืนได้ทุกลูกซึ่งเท่าที่ผ่านมายังไม่มีลูกค้ารายได้นำมามังคุดที่ซื้อไปมาคืน

    "เวียดนาม" สู้ไทยไม่ได้เพราะรสชาติ

    นอกจากนี้แล้วสำหรับมังคุดส่งออกนอกจากตลาดญี่ปุ่นแล้วยังส่งออกไปยังออสเตรเลีย ไต้หวัน และแคนาดาโดยในอนาคตสามารถส่งออกไปประเทศต่างๆเพิ่มเติมได้อีกด้วย "สำหรับคู่แข่งไทยอย่างเวียดนามยอมรับว่ามีทั้งเงาะ มังคุด ทุเรียน หรือแม้กระทั่งมะม่วงแต่หากส่งออกแล้วสู้ผลไม้จากไทยไม่เพราะรสชาติของผลไม้ไทยอร่อยกว่าและเป็นที่ยอมรับมากกว่าในตลาดต่างประเทศเวียดนามจึงไม่ใช่คู่แข่งไทยในตลาดผลไม้" บรรหาร กล่าวชี้แจง คอนแทรกฟาร์มมิ่งรับรองส่งออก สำหรับพื้นที่เพราะปลูกเพราะการส่งออกมังคุดนั้นซี.พี.ได้ทำคอนแทรกฟาร์มมิ่งกับเจ้าของสวนในภาคตะวันออกจำนวน 15 รายและภาคใต้ 7 รายซึ่งจะรับซื้อมังคุดจากสวนเหล่านี้ 3 ขนาดด้วยกันคือ ไซส์ S น้ำหนักขนาด 65-75 กรัม ,ไซส์ M น้ำหนักขนาด 75 -100 กรัม และไซส์ L ขนาด 100-125 กรัม ขณะที่พื้นที่เพาะปลูกมะม่วงเพื่อการส่งออกนอกจากซี.พี.จะปลูกเองแล้วยังทำคอนแทรกฟาร์มมิ่งด้วยกันคือภาคเหนือจะมี เชียงใหม่ สุโขทัย พิจิตร และพิษณุโลก ด้านภาคอีสาน จะมีจังหวัด นครราชสีมา เลย อุดรธานี ภาคกลางจะมีจังหวัดสุพรรณบุรี และอุทัยธานี

    แฉขบวนการ "ฮั้ว"มังคุดก่อนส่งออก

    อย่างไรก็ดีเพื่อให้มองเห็นภาพของผลไม้ไทยในตลาดต่างประเทศที่ชัดเจนมากขึ้น "ขนาน ศุภธนันทิ" ผู้รับซื้อผลไม้ (ล้ง) รายใหญ่ในจังหวัดจันทบุรีอธิบายว่า ราคาผลไม้ปีนี้ดีกว่าปีที่แล้วพอสมควรชาวสวนพอจะมีกำไรกันอยู่บ้างจากการขายผลผลิต แต่ฤดูกาลผลไม้ปีนี้สั้นกว่าปีที่เพราะฝนมาเร็วกว่าปกติ โดยผลไม้ที่เป็นพระเอกในการส่งออกปีนี้ยังเป็นมังคุดเป็นอย่างนี้มา 5 ปีแล้วแต่ทุเรียนกลับลดน้อยลงเรื่อยๆเพราะชาวสวนไม่นิยมปลูกเพราะการรักษาดูแลถือว่าไม่คุ้มต่อการลงทุน ขณะที่เงาะเองก็เน้นขายในประเทศส่งไปที่ภาคอีสานแทน "ปัญหามังคุดในการส่งออกคือพ่อค้าคนกลางหลายบริษัทๆจะฮั้วราคากันกดราคาผลไม้ไทยก่อนนำไปขายยังต่างประเทศ ซึ่งตรงนี้เกษตรกรกำหนดราคาเองไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่ที่น่าจะมีคนเข้ามาแก้ไข" ลุงขนาน กล่าวยืนยัน

    ที่มา

    http://www.logisticsdigest.com/index.php?Itemid=72&id=1028&option=com_content&task=view

    นางสาว ปวีณา แสนจิต กจ2 เลขที่ 14

    บริษัทส่งออกผักผลไม้แช่แข็ง

    ประยูร พลพิพัฒนพงศ์ และซี.อีโต้ "Synergy" พาร์ตเนอร์

    พ่อค้าพืชไร่อย่างประยูร พลพิพัฒนพงศ์ ที่ร่ำรวยเงียบๆ จากกิจการ "หจก.พีพรอสเพอร์" ไม่ต่ำกว่า 23 ปีที่เขาค้าหัวหอม กระเทียม และพริกจากเมืองเชียงใหม่ส่งออกไปขายยังต่างประเทศ  ประยูรเป็นคนจีนแต้จิ๋วแซ่เซียว เกิดที่เมืองขอนแก่น แต่มาโตที่กรุงเทพ และทำการค้าขายพืชไร่ที่เชียงใหม่จนเป็นผู้นำในนาม "บริษัทเชียงใหม่โฟรเซ่นฟูดส์"เครื่องหมายการค้า "CM" ที่ตลาดญี่ปุ่นยอมรับคุณภาพบริษัทเชียงใหม่โฟรเซ่นฟูดส์เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างตระกูลพลพิพัฒน์พงศ์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ 51% กับไต้หวันและญี่ปุ่นก่อตั้งในปี 2531 ด้วยทุนแรกเริ่ม 50 ล้านบาท เพื่อดำเนินธุรกิจส่งออกผักผลไม้แช่แข็ง เช่น ถั่วแระ ถั่วแขก แครอทและสตรอเบอรี่

    "ซี.อีโต้กับเราเป็นคู่ค้ากันมานานประมาณ 7-8 ปีแล้ว โดยเขามาซื้อหัวหอมจากเราแต่ละคนก็มีจุดแข็งและความชำนาญคนละด้านของไทยเราก็ได้เปรียบตรงที่เรามีวัตถุดิบป้อนโรงงานสม่ำเสมอขณะที่ไต้หวันก็มีโนว์ฮาว ระบบ I.Q.F ใช้กับอุตสาหกรรมผักผลไม้แช่แข็งบริษัทเชียงใหม่โฟรเว่นฟูดส์ได้สร้างให้บริษัทกลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมส่งออกผักผลไม้แช่แข็งของไทยนับตั้งแต่ตั้งบริษัทในปี 2531 และเริ่มส่งออกในปี 2533 มียอดขาย 72.5 ล้านบาทต่อมาในปี 2534 บริษัทสามารถทำรายได้สูงถึง 201.6 ล้านบาทหรือประมาณ 42% ของมูลค่าส่งออกผักแช่แข็งทั้งหมด 467.3 ล้านบาท"ตอนแรกๆ เราส่งออกไปโดยยังไม่รู้ทิศทาง เป็นระยะการศึกษา พอปีที่สองเรารู้ว่าเราจะส่งออกอะไรที่จะทำตลาดได้มากๆ รายได้เราจึงถีบตัวขึ้นจากที่ตั้งไว้ "รายได้ตอบแทนเกษตรกรในโครงการของเราน่าพอใจความจริงการปลูกถั่วนี้เป็นผลพลอยได้จากพื้นที่ทำนาปลูกข้าวแต่ปรากฎว่า รายได้เฉลี่ยต่อไร่เขาได้ปีละ 9,000-12,000 บาทขณะที่ขายข้าวได้ไม่ถึงไร่ละ 3,000-4,000 บาท"ความจูงใจด้านผลตอบแทนสูงเช่นนี้ ทำให้ปัจจุบันพื้นที่เพาะปลูกผลผลิตของบริษัทมีถึง 20,000 ไร่ที่คลอบคลุม 8 จังหวัดคือ เชียงใหม่ เชียงราย แพร่ น่าน ลำปาง พะเยา ลำพูนและแม่ฮ่องสอน โดยมีโรงงานที่ถนน เชียงใหม่-พร้าว อ.สันทรายเป็นศูนย์กลางแหล่งผลิตวัตถุดิบวิธีการในการระดมทุนในส่วนที่เพิ่มนี้ ประยูรได้นำเอาบริษัทเชียงใหม่โฟรเซ่นฟูดส์เข้าจดทะเบียนเป็นบริษัทรับอนุญาตในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยกระจายหุ้นจำนวน 2 ล้านหุ้นแก่ประชาชนทั่วไป ในราคาเสนอขายหุ้นละ 40 บาท "เงินที่ได้จากการขายหุ้น 80 ล้านบาทนี้ ส่วนหนึ่งเรามีโครงการจะขยายกำลังผลิตขยายพื้นที่ห้องเย็น เรามั่นใจว่าการดำเนินงานในปี 2536-38 นี้ อัตราขยายตัวจะเพิ่มปีละ 25% และเงินอีกส่วนหนึ่งเราจะมาใช้คืนเงินกู้ระยะยาว 13.82 ล้านบาท  ปัจจุบันกิจการที่ประยูรดำเนินการอยู่มี 5 แห่ง คือ หจก.พี พรอสเพอร์ บริษัทสยามอาหารและห้องเย็น บริษัทขนมปัง เอ เอ บริษัท ไทยฟังซึ่งส่งออกกุ้งแช่แข็ง และบริษัทสยามส่งเสริมการเกษตร โดยมีประภาส พลพิพัฒนพงศ์น้องชายเป็นผู้ช่วยบริหารกิจการคนสำคัญอีกคนหนึ่งด้วยเหตุนี้การเกิด "บริษัทเชียงใหม่โฟรเซ่นฟูดส์" นี้จึงเป็นก้าวกระโดดของประยูรและครอบครัวตระกูล "พลพิพัฒน์พงศ์" สู่ประตูการค้าระหว่างประเทศที่ใช้กลยุทธ์การร่วมทุนกับไต้หวัน และญี่ปุ่นทำให้อาณาจักรธุรกิจของตระกูลนี้แผ่ขยายกว้างออกไปสู่การแข่งขันอันดุเดือดบนเวทีการค้าโลก !!

     

     

     

     

     

    มงคล แปงแก้ว เลขทึ่ 14 กจ 2

    ลอรีอัลไทยแลนด์ เติบโตสูงเป็นอันดับ 2 ของเอเชีย

    บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด ตัวแทนบริษัทความงามอันดับหนึ่งของโลก แถลงข่าวผลประกอบการช่วงครึ่งปีแรกของปี 2550 พร้อมเปิดเผยเป้าหมายทางการตลาด ณ Kohaku Room ชั้น 29 อาคารสาทรซิตี้ทาวเวอร์

    มร. ฌอง ฟิลิปป์ ชาร์ริเย่ร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด เผยถึงผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกนี้ว่า “ลอรีอัล ประเทศไทย มีอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้นจากเดิม 21 % ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่สูงเป็นอันดับ 2 ในเอเชีย”

    ซึ่งปัจจัยหลักที่ผลักดันธุรกิจให้ประสบความสำเร็จบนเวทีนี้ ได้แก่

    การมีแบรนด์ที่แข็งแกร่งในทั้ง 4 ช่องทางจำหน่าย ทั้งในตลาดแมส, ในห้างสรรพสินค้า ตลาดซาลอน ตลอดจนร้านฟาร์มาซีและโรงพยาบาล ทั้งนี้ จึงเอื้อให้บริษัทสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายทุกกลุ่มอย่างมีประสิทธิภาพ

    การเปิดตัวนวตกรรมและเทคโนโลยีความงามใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยสร้างความตื่นตัวให้กับตลาด และได้รับความสนใจเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค

    การใช้กลยุทธ์โฆษณาประชาสัมพันธ์ที่ดึงเอาดาราสาวอย่าง สินจัย เปล่งพานิช, จริยา แอนโฟเน่ และ เฌอมาลย์ บุณยศักดิ์ มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ เพื่อสร้างความใกล้ชิดกับผู้บริโภคและสื่อให้เห็นว่าลอรีอัลเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคสามารถสัมผัสและเข้าถึงได้ง่าย

    การบริหารการตลาดด้วยการ โฟกัส การดำเนินกิจกรรมที่ตอกย้ำการเป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญต่อบทบาทการร่วมรับผิดชอบต่อสังคม

    “กลยุทธ์ โฟกัส ของลอรีอัล คือการตัดสินใจอย่างเฉียบคมในการเลือกผลิตภัณฑ์นำเข้าเฉพาะผลิตภัณฑ์หลักและนวัตกรรมที่สำคัญเท่านั้น เราไม่เน้นที่จำนวนของนวัตกรรม แต่มุ่งเน้นนำเสนอเพียงนวัตกรรมสำคัญที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคจริงๆ และเป็นนวัตกรรมที่เติบโตได้อย่างรวดเร็วและมั่นใจในตลาดประเทศไทย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม “แอลแซฟ” (Elseve) ในตลาดแชมพูพรีเมี่ยม-แมส ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างงดงาม โดยสามารถแย่งส่วนแบ่งทางตลาดได้ถึง 5 % ในเวลาเพียง 3 เดือน”

    ในขณะเดียวกันลอรีอัลประเทศไทย ก็เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่เชื่อในการพัฒนาสังคมควบคู่ไปกับการพัฒนาธุรกิจให้เติบโต โดยบริษัทได้เริ่มวางแผนแนวทางการพัฒนาและช่วยเหลือสังคมมาตั้งแต่หลายปีก่อน

    “เรารู้สึกภาคภูมิใจและมีความสุขที่กิจกรรมเพื่อสังคมของของลอรีอัล ได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากสังคมไทย ยกตัวอย่างเช่น โครงการมอบทุนวิจัย ลอรีอัล ประเทศไทย “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” ที่ให้กับนักวิจัยสตรีไทยซึ่งปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 5 ก็ได้เสียงตอบรับจากนักวิจัยหลายสถาบันที่ต้องการจะเป็นส่วนหนึ่งของพิธีมอบทุนของเรามากขึ้นเรื่อยๆ”

    ในปีนี้ บริษัทยังได้เริ่มโครงการเพื่อสังคมอีก 2 โครงการ นั่นคือ โครงการบ้านกระชัง-บ้านพักกึ่งโฮมเสตย์แบบเรียบง่ายเพื่อให้ผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์สึนามิ ที่บ้านปากเตรียม จังหวัดพังงา ได้มีธุรกิจหารายได้เข้าชุมชน และ โครงการ”รวมพลังช่างผมโลกต้านภัยเอดส์” ที่มีเป้าหมายเพื่ออบรมเรื่องเอดส์ให้กับช่างผมในเครือข่ายของลอรีอัล เพื่อให้เขาสามารถป้องกันตนเองและครอบครัวจากโรคเอดส์ ตลอดจนกระจายข้อมูลเหล่านี้ต่อให้กับลูกค้าอีกด้วย “และตอนนี้ เรากำลังศึกษาอีกหนึ่งโครงการ ซึ่งเราก็หวังว่าจะเปิดตัวภายในปีนี้อีกด้วย”

    แม้ปัจจุบันสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทยจะมีความผันผวนอยู่มาก ลอรีอัล ประเทศไทย ยังคงมั่นใจว่าจะสามารถกระตุ้นตลาดความงามให้ตื่นตัวได้และประกาศเดินหน้าทำตลาดอย่างเต็มที่ โดยในเดือนกรกฏาคมนี้ บริษัทจะเปิดตัว “เมทริกซ์” แบรนด์แห่งผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมซึ่งมียอดขายเป็นอันดับหนึ่งในตลาดร้านทำผมของอเมริกา โดย “เมทริกซ์” จะเข้าร่วมเป็นแบรนด์ที่สามของแผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพของประเทศไทย รองจากลอรีอัล โปรเฟสชั่นแนล และเคเรสตาส”

    “ด้วยทีมผู้บริหารและพนักงานที่เข้มแข็ง ด้วยแบรนด์ที่แข็งแกร่ง และด้วยผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นด้วยนวํตกรรมและคุณภาพ เรามั่นใจว่าปีนี้เราจะสามารถเติบโตได้ถึง +20% อย่างแน่นอน,” มร.ฌอง ฟิลิปป์ กล่าวสรุป

    บริษัท ลอรีอัล ประเทศไทย จำกัด ดูแลบริหารแบรนด์ผลิตภัณฑ์ความงามทั้งสิ้น 15 แบรนด์ ในช่องทางการจัดจำหน่าย 4 ช่องทาง ดังนี้

    จำหน่ายผ่านร้านทำผม 3 แบรนด์ ได้แก่ ลอรีอัล โปรเฟสชั่นแนล, เคเรสตาส และเมทริกซ์

    จำหน่ายผ่านไฮเปอร์มาร์เก็ต ซุปเปอร์มาร์เก็ต และ สเปเชียลตี้ สโตร์ 3 แบรนด์ ได้แก่ ลอรีอัล ปารีส, การ์นิเยร์ และ เมย์เบลลีน

    จำหน่ายผ่านห้างสรรพสินค้าชั้นนำ 7 แบรนด์ ได้แก่ ลังโคม, ไบโอเธิร์ม, ชู อูเอะมูระ, ราฟ ลอเรนจิออร์จิโอ อาร์มานี่ล คาชาเรล และ กีย์ ลาโรช

    จำหน่ายผ่านโรงพยาบาลและร้านขายยาชั้นนำ 2 แบรนด์ ได้แก่ ลาโรช โพเซย์ และ วิชี่

    แหล่งที่มา http://www.newswit.com/news/2007-06-21/0755-3ab5fda0169571d81feef9bf66ca23b9/

    นางสาวศรัญญา ตาคำไชย กจ.2 เลขที่ 29รหัส 51591251060-6

    น้ำตาลวังขนาย จำกัด

    ที่ตำบลวังขนาย จ.กาญจนบุรี นับเป็นจุดเริ่มต้นของ

    กลุ่มวังขนายในการทำธุรกิจน้ำตาล ปัจจุบัน กลุ่มวังขนายเป็นผู้ผลิตน้ำตาลทราย

    รายใหญ่ของประเทศ ผลิตน้ำตาลทรายดิบ น้ำตาลทรายขาว น้ำตาลทรายขาว

    บริสุทธ์ น้ำตาลธรรมชาติ น้ำตาลคาราเมล และน้ำตาลทรายแดง เพื่อจำหน่าย

    ทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีกำลังการหีบอ้อยรวมประมาณ 100,000 ตันอ้อยต่อวัน

    กลุ่มวังขนายให้ความสำคัญกับการจัดการการปลูกอ้อยอย่างเป็นระบบ จึงได้นำ

    เทคโนโลยีกำหนดพิกัดด้วยดาวเทียม (Global Positioning System/GPS)

    และระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (Geographic Information System/GIS)

    มาใช้ในการพัฒนาและปรับปรุงเพื่อให้ได้ผลผลิตอ้อยอย่างเต็มที่และเป็นระบบ

    มากขึ้น โดยเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยสามารถปลูกและเก็บเกี่ยวได้ตามกำหนด

    และป้อนให้กับโรงงานได้อย่างต่อเนื่อง

    นอกจากการผลิตน้ำตาลแล้ว กลุ่มวังขนายยังได้ขยายกิจการออกไปยังธุรกิจ

    ประเภทอื่น ทั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการผลิตน้ำตาลโดยตรงและทางอ้อม และธุรกิจ

    ที่ไม่เกี่ยวข้องกับน้ำตาลจนกลายเป็นอาณาจักรกลุ่มวังขนายที่มีการเติบโตอย่าง

    รวดเร็วโดยใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ

    และยังให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาด้านการผลิต เพื่อให้ผลผลิตมี

    คุณภาพเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค

    นอกจากนี้ กลุ่มวังขนายเป็นผู้ผลิตน้ำตาลที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรม น้ำตาลของประเทศ โรงงานทุกโรงงานยังเป็นผู้ผลิตกระแสไฟฟ้ารายย่อย โดยใช้กากอ้อยเป็นเชื้อเพลิงในการ ผลิตกระแสไฟฟ้าและไอน้ำเพื่อใช้ในโรงงาน และได้นำกระแสไฟฟ้าที่เหลือใช้ จำหน่ายให้กับการไฟฟ้า ฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่งนับเป็นการแบ่งเบาภาระของรัฐด้านการพลังงานได้อีกทางหนึ่ง โดยที่โรงงานน้ำตาลทุกโรงงานของกลุ่มวังขนาย ยึดมั่นในอุดมคติ “คุณภาพ ปลอดภัย บริการ”

    ตลอดเวลาที่ผ่านมา กลุ่มวังขนายได้มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ และการบริการอย่างต่อเนื่องใน ระดับสากล ส่งผลให้โรงงานผลิตน้ำตาลของกลุ่มวังขนายได้รับการรับรองระบบบริหารคุณภาพตาม มาตรฐาน ISO 9001:2000, ISO 9002, ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม ISO 14001, ระบบการจัดการ อาชีวอนามัยและความปลอดภัย มอก. 18001 , ระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย OHSAS 18001 และระบบการวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤติที่ต้องควบคุม HACCP สิ่งนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ กลุ่มวังขนายเติบโตอย่างมั่นคงและมีคุณภาพ

    กลุ่มวังขนายเป็นผู้ผลิตน้ำตาลที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมน้ำตาลของประเทศ โดยผลิตน้ำตาลทรายดิบ น้ำตาลทรายขาว น้ำตาลทรายขาวบริสุทธ์ น้ำตาลธรรมชาติ น้ำตาลคาราเมล และ น้ำตาลทรายแดงที่มีคุณภาพ “หวานคุณภาพ” ภายใต้เครื่องหมายการค้า “มดเขียว” และ “วังขนาย”

    กลุ่มวังขนายมีนโยบายในการผลิตน้ำตาลให้ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากที่สุด เริ่มตั้งแต่การปลูกอ้อย จะส่งเสริมให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยอินทรีย์แทนปุ๋ยเคมี และผ่านกระบวนการผลิตที่ปลอดภัยได้มาตรฐาน ดีต่อสุขภาพผู้บริโภค เพราะกลุ่มวังขนายตระหนักถึงสุขภาพของผู้บริโภคมากที่สุด ภายใต้แนวคิด Health Concern

    น.ส.พิมพ์ผกา ยาวิชัย กจ.2 รหัส 51591251017-6

    ฟาร์มเฮาส์

    ธุรกิจฟาสต์ฟู้ดและ Catering

    เป็นลักษณะผลิตภัณฑ์ที่ผลิตและจำหน่ายสินค้าตามคำสั่งของลูกค้า ซึ่งก็ได้แก่ ฟาสต์ฟู้ด

    ต่างๆ เช่น แมคโดนัลด์ เคเอฟซี เบอร์เกอร์คิงส์ และซับเวย์ เป็นต้น ตลอดจนธุรกิจประเภท

    ร้านอาหาร สายการบิน รวมถึงธุรกิจร้านกาแฟต่างๆ ที่ล้วนเป็นร้านอาหารชื่อดังที่มียอดขาย

    สูงสุดทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย

    ในเดือนสิงหาคม 2546 บริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจจากร้านฟาสต์ฟูดระดับโลก เช่น

    เบอร์เกอร์คิงส์ จากไมเนอร์กรุ๊ป และซับเวย์ ร้านฟาสต์ฟู้ดเชนระดับโลกยอดนิยมในสหรัฐ-

    อเมริกา โดยบริษัทฯ ทำการผลิตและจำหน่ายขนมปังสำหรับแฮมเบอร์เกอร์และฮอตดอก

    ให้กับร้านเบอร์เกอร์คิงส์ และได้ผลิตและจำหน่ายขนมปังสไตล์อิตาลีทั้งรูปแบบของขนมปัง

    ขาวและขนมปังโฮลวีต ในลักษณะแช่แข็ง รวมไปถึงคุกกี้ เพื่อจำหน่ายภายในในร้านซับเวย์

    เดือนกรกฎาคม 2547 บริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจจากร้านฟาสต์ฟูดระดับโลก เครือไมเนอร์

    อาทิเช่น ซิลเลอร์ เดลี่ควีน เดอะพิซซ่าคอมปานี โดยบริษัทฯ ได้ทำการผลิตและจำหน่าย

    ขนมปังสำหรับแฮมเบอร์เกอร์ ฮอตดอก และในรูปแบบอื่นๆ ที่มีจำหน่ายภายในร้าน

    เดือนมีนาคม 2548 บริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจจากผู้ผลิตสินค้าส่งออกและสินค้า Frozen

    บริษัท สุรพลฟู้ด จำกัด โดยบริษัทฯ ทำการผลิตและจำหน่ายขนมปังแซนด์วิช รูปแบบ

    พัฒนาพิเศษ เพื่อเป็นวัตถุดิบในการจัดทำสินค้าส่งออกของบริษัท สุรพลฟู้ด จำกัด

    Fastfood & Catering

    (1) Fastfood

    ผลิตภัณฑ์ที่ทำการผลิตและจำหน่าย ได้แก่ ผลิตภัณฑ์แช่แข็ง, ขนมปังแฮมเบอร์เกอร์

    และ ขนมปังฮอทดอกในหลากหลายขนาด ทั้งแบบโรยงาและไม่โรยงา ซึ่งบริษัทมีการผลิต

    แบบอัตโนมัติทั้งกระบวนการผลิต มีความสามารถในการผลิต 36,000 ชิ้น/ชั่วโมง ปัจจุบัน

    ถือได้ว่าบริษัทเป็น Supplier รายใหญ่ที่สุดของประเทศ

    (2) Catering

    นอกเหนือจากฟาสต์ฟู้ดต่างๆ แล้ว บริษัทยังได้ขยายการจำหน่ายไปยังกลุ่มร้านอาหาร

    สายการบิน ตลอดจนธุรกิจร้านกาแฟต่างๆ ที่ต้องการเบเกอรี่เป็นส่วนหนึ่งของเมนูในร้าน

    ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายนอกจากจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่บริษัทมีการผลิตและจำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน

    อยู่แล้ว ยังหมายรวมถึงผลิตภัณฑ์ที่บริษัทได้ทำการพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้า

    แต่ละกลุ่มโดยเฉพาะ

    Fried Products

    เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ประเภทชุบทอด ได้แก่ เกล็ดขนมปัง และขนมปังป่นปรุงรส ซึ่งใช้ใน

    การทำอาหารชุบทอดต่างๆ ได้แก่

    (1) เกล็ดขนมปัง “สูตรพิเศษ” ผลิตจากขนมปังสดใหม่สูตรพิเศษ

    ขนาดเกล็ดได้มาตรฐานไม่ป่นละเอียด สีขาวนวลสามารถเกาะติดอาหาร

    ได้ดี เหมาะกับอาหารที่สุกยาก เช่น น่องไก่, เนื้อหมู, เนื้อไก่, หรือเนื้อต่างๆ

    ให้สีอาหารเหลืองทองน่ารับประทาน กรอบนาน อร่อย ไม่อมน้ำมัน

    (2) เกล็ดขนมปัง “สูตรกรอบพิเศษ” ผลิตจากขนมปังสดใหม่สูตรพิเศษ

    ขนาดเกล็ดได้มาตรฐานไม่ป่นละเอียด สีขาวนวลสามารถเกาะติดอาหาร

    ได้ดี เหมาะกับอาหารที่สุกง่าย เช่น กุ้ง, ปลา, เนื้อ และผักต่างๆ ให้สี

    อาหารเหลืองทองน่ารับประทาน กรอบนาน อร่อย ไม่อมน้ำมัน

    สับสนมากตอนนี้กำลังจะเป็นเหยื่อเกมการเมือง

    ข้อแตกต่างระหว่างธุรกิจชุมชน,สหกิจชุมชนและเศรษฐกิจชุม

    อุปสรรคที่ขวางกั้นมิให้การค้าระหว่างประเทศเจริญก้าวหน้าและขยายตัวมีสาเหตุจากปัจจัยอะไรบ้าง

    พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
    ClassStart
    ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
    ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
    ClassStart Books
    โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท