ไม่มีความเห็น
จะศึกษาอภิธรรมให้เข้าใจ ต้องมีความจำพื้นฐานเกี่ยวกับหมวดธรรมมาก เช่น อริยสัจ ๔ ขันธ์ ๕ ธาตุ ๑๘ ... ถ้าไม่มีความจำพื้นฐานเหล่านี้แล้ว ความเข้าใจก็ตัดทิ้งไปแล้ว...
ส่วนจะเข้าใจมากน้อยแค่ไหน เพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีของแต่ละคน...
ใน อินเทอร์บรรณ (หนังสือที่ค้นหาได้ทางอินเทอร์เน็ต) มีวิชาการวิชาเกินด้านอภิธรรมเยอะแยะ ว่างๆ ท่านเลขาฯ ก็เปิดอ่านเล่นๆ เพิ่มพูนปัญญาไปเรื่อยๆ...
ถ้าจำไม่ได้ ไม่เข้าใจ รู้สึกเครียด ก็ให้คิดว่า อภิธรรมจัดเป็นเดรัจฉานวิชา (โบราณาจารย์กล่าวไว้) ได้เหมือนกัน เพราะกีดกั้นการบรรลุ แล้วก็ไม่ต้องอ่าน (5 5 5...)
โยมผู้หญิงผิดหวังด้านความรักจึงมาบวชชี แล้วก็เรียนอภิธรรม เจอกับพระอาจารย์บุคคลิกดี พูดอะไรก็เข้าใจ ค่อยๆ เห็นอกเห็นใจกันขึ้นมา จึงชวนกันสึกจากความเป็นพระเป็นชีไปใช้ชีวิตชาวบ้านอีกครั้ง เพื่อจะได้เรียนได้สอนอภิธรรมกันตามสะดวก... เรื่องราวทำนองนี้ มีเยอะในโลกความเป็นจริง
อาตมาบวชมาเกินยี่สิบพรรษา ไม่เคยเรียนอภิธรรมในระบบ แต่เคยสอนอภิธรรมปิฏก พอจะอธิบายเรื่องวิถีจิตได้เล็กน้อยเท่านั้น ก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องและเข้าใจนัก...
ถ้าท่านเลขาฯ ศึกษาอธิธรรมคราใด ระลึกถึงอาตมาก็แล้วกันว่า มีภูมิปัญญาวาสนาพอๆ กัน (5 5 5...)
เจริญพร
ครับ...พระอาจารย์...ลองอ่านดูแล้วหลายอย่างก็เป็นจริงเช่นพระอาจารย์ว่า...
บังเอิญได้มาพบน้องที่ทำงาน...เขาเล่าให้ฟังหมดเลยว่าเขาผ่านอะไรมาบ้าง...แม้แต่คัมภีร์วชิระญาณ ก็ฝึกจนแทบหมดสิ้นอารมณ์เพศจนต้องรีบดึงเส้นฟางสุดท้ายกลับมา...เพราะยังมีภรรยารออยู่...555
เขาบอกว่าความรู้(ธรรม)ทั้งหลายแหล่นั้น...หามีความจำเป็นไม่... เขาแค่กำหนดรู้ว่ามีสติเป็นตัวสกัดกั้นความอยากทั้งปวง...แล้วใช้ปัญญากำกับ...ฝึกเท่านี้พอ(ไอ้ที่อ่าน/เรียนมามากทิ้งให้หมด...555)
พอดีจริตผม(วาสนา)เป็นพวกชอบสอน...ก็เลยต้องพยายามทำความเข้าใจให้กระจ่างแล้วจัดหมวดหมู่(Concept)ตามความเข้าใจตน...เพื่อสอนคนอื่นต่อไป(จริตไม่น่าต่างจากพระอาจารย์มากนัก...555)...
ผมคิดอย่างนี้ครับ...พระอาจารย์
ที่ผมเรียนรู้จนเชื่อว่าตนเองเก่งพอ(ในทางโลก)เพราะสามารถสอนลูกชายคนโตจนเรียนได้เก่งเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ พอมาฝึกสติ(ไม่อยากเรียกว่าสมาธิ...สมถกัมมฐาน)ตามแนวทางของ อาจารย์วรภัทรเขา ก็พบว่าส่งผลให้ความกลัวที่ซ่อนอยู่ลึกๆ(ในก้นบึ้งของใจ...อิอิ)สลายไปสิ้น และเกิดความปิติ(ยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก...555) เริ่มเข้าใจนิวรณ์ 5 ขันธ์ 5 ... จึงหันกลับมาทำความเข้าใจ 2 อย่างนี้อย่างละเอียด...แล้วลามเลยไปดูปฏิจจสมุทปบาท(ที่เคยเทศน์สอนโยมแม่ขณะบวชได้ 21 วัน...นานกว่า 20 ปีแล้ว...555...พบว่าตนเองเทศน์ไปได้ยังไงวุ้ย...อิอิ) โห...มันยาก(เพราะคนเขียน)เลยวางมันดีกว่า...555
ขั้นแรกสุดที่ผมจะอธิบายให้คนอื่นฟังเรื่องขันธ์ 5
รูป = สิ่งที่มองเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รสชาด ได้สัมผัส
เวทนา = มีการรับรู้เกิดขึ้น
สัญญา = มีการจำได้หมายรู้
สังขาร = เกิดการประมวลผล(ปรุงแต่ง)
วิญญาณ = จิตเหนี่ยวรั้งยึดถือไว้
ผมเพิ่ม
อุปปทาน= ทึกทักเอาว่าเป็นตัวเราของเรา
อย่างนี้พอไหวมั้ยครับ...
กราบ 3 หน
ตอนที่บวชได้ ๒-๓ พรรษา เริ่มเรียนนักธรรมนั้น อาตมาอ่านหนังสือธรรมะ ทุกเล่มที่ใกล้มือ ธรรมวิภาคคือหมวดธรรมนั้นก็จำหมดทั้งเล่ม สามารถอธิบายได้ ก็คิดว่ามีความเข้าใจ...
แต่พอมาเรียนบาลี และแปลอรรถกถาที่อธิบายธรรมะ รู้สึกว่ายาก และไม่ค่อยเข้าใจ เคยได้ยินอาจารย์ผู้สอนบ่นครั้งหนึ่งว่า ธรรมะยากจริงๆ ... จึงเริ่มสำเนียกตนเองว่า เป็นเพียงความจำตามที่เค้าอธิบายไว้เท่านั้น มิได้เข้าใจอะไรนัก...
ธรรมะหรือพุทธพจน์ นั้น ว่าง่ายก็ง่าย ว่ายากก็ยาก โบราณาจารย์เปรียบเทียบไว้หลายนัย อาทิเช่น...
อนุโมทนาอย่างยิ่งในการใคร่ต่อการศึกษาธรรมของท่านเลขาฯ
เจริญพร
ขณะนี้ผมกำลังตามอ่าน เจ็ดเดือนบรรลุธรรม ของ ดังตฤณhttp://dungtrin.com/7months/00beforego.html
ตามคำแนะนำของน้องเขา...ว่าอาจตรงจริตผมก็ได้...
จริงดั่งคาดครับพระอาจารย์...แค่จั่วหัวเรื่องมาก็โดนเข้าเต็ม ๆ
สงสัยว่าจริตเราชอบนิยาย...555
คงต้องไปหาซื้อไว้อ่านติดตัวซักเล่ม...อ่านในเนตคงไม่พอใจแน่...555
กราบ 3 หน
หนังสือของ ดังตฤณ ก็เคยหยิบดู แต่ไม่เคยอ่าน...
แนะนำให้ท่านเลขาฯ ลองอ่าน คัมภีร์วิสุทธิมรรค ในอินเทอร์บรรณ ตอนนี้ฉบับแปลภาษาไทยค้นได้ ๓ สำนวน...
เจริญพร
คัมภีร์วิสุทธิมรรค...ต้องใช้เวลาศึกษา
ผมลองอ่านดูคร่าว ๆ ทั้ง 3 ฉบับ...ยังไม่โดนใจครับ
แต่อ่าน 7 เดือน ของดังตฤณ จบเดือนแรกของเขา...เริ่มมองเห็นภาพ โพชฌงค์ 7 ชัดเจนขึ้น...
กราบ 3 หน
วันก่อนพบอาจารย์หมอบุญชัย...เขาถามหาว่าผมไม่เขียนอะไรนานแล้ว...ผมบอกว่ากำลังทดสอบสติปัฏฐาน4อยู๋...เลยใช้เวลาส่วนใหญ่คุยส่วนตัวกับพระอาจารย์...เขาชวนคุยเรื่องราวบ้านเมือง...ผมบอกว่าแก้ไขได้ด้วยวิชชาอย่างเดียว...เขาบอกว่าความคิดอย่างนี้แหละเป็นอวิชชา...55555555
อานิสงส์จากการตามสำรวจรู้ลมหายใจ...ตามสำรวจรู้จากอริยาบถต่าง ๆ ของกาย...แม้บางครั้งจะตามไม่ทัน...บางคราก็กระเจิดกระเจิงฟุ้งซ่าน...
ตอนนี้ผมประเมินว่าผมรู้ตัวจากการใช้ตัวรู้(สติ)...สัก 10 % ของแต่ละวัน...และเข้าใจเรื่องราวตามกระบวนธรรมมากขึ้น...ความสงบระงับเกิดขึ้นมากกว่าแต่ก่อนจริง ๆ ครับ...
เข้าใจว่าพระอาจารย์คงผ่านเส้นทางนี้มานาน...แต่ไม่สามารถบอกใครได้...(เฉพาะโพชฌงค์ 7 ที่ผมอ่านของพระอาจารย์แต่แรก...ความหมายช่างลึกซึ้งที่ต้องใช้จิตลึกซึ้งกว่าและลึกซึ้งจนถึงที่สุด...จึงจะตีแตกจนหมดเปลือกได้...อิอิ)
กราบ 3 หน
ก็เข้าไปดูอยู่เหมือนกัน รับทราบว่าท่านเลขาฯ ไม่เขียนอะไรนานแล้ว...
ท่านเลขาฯ หันมาสนใจธรรมะ ก็ระลึกได้ที่เคยเล่าว่า บ้านอยู่ใกล้วัด พ่อเป็นมรรคทายก ส่วนท่านเลขาฯ ค่อนข้างจะต่อต้านมาตั้งแต่เล็กๆ...
แนวคิดหนึ่งบอกว่า คนเรานั้นมักจะมีความคิดโต้แย้งความเชื่อความเห็นพื้นฐานตอนเด็กๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเริ่มเป็นวัยรุ่น แต่พออายุสูงขึ้นเข้าสู่วัยกลางคน สิ่งที่เป็นความเห็นความเชื่อพื้นฐานมักจะเริ่มเข้ามามีอิทธิพลต่อเรา...
เป็นไปได้หรือไม่ ? ว่าท่านเลขาฯ กำลังเดินทางมาถึงจุดนี้ (..............)
เจริญพร
หลังจากอ่าน 7 เดือนบรรลุธรรมของดังตฤณจบ... เริ่มจับใจความกระบวนธรรมได้ชัดเจนขึ้น...แม้จะมีบางอย่างที่ไม่เห็นด้วย(เช่นการวิ่งจงกรม) เนื้อหาส่วนใหญ่ก็โน้มนำให้ผมเริ่มปฏิบัติตามอย่างเป็นระบบมากขึ้น...
ผนวกกับการที่มีสติเพิ่มขึ้น...จนเห็นผลว่าคราใดที่กำหนดรู้ลมหายใจที่แตกซ่านไปนานก็ระลึกได้โดยอัตโนมัติ...กายานุสติขั้นต้นก็ฝึกได้ถึงขั้นที่รู้การเคลื่อนไหวเดินเท้าซ้ายขวา...บางครั้งคล้ายชำนาญจนรู้เองโดยไม่ต้องเพ่ง...
อานิสงฆ์ที่เกิดขึ้นจากการฝึกก็เห็นชัดเจนขึ้น...เช่น แต่ก่อนเคยถูกภรรยาใช้ไปล้างจานถูบ้าน ก็ไม่พอใจนักและขี้เกียจอีกด้วย...แต่ตอนนี้เห็นการทำงานบ้านเป็นการฝึกสติไปด้วย...จนบางครั้งอยากทำงานบ้านตลอดเวลาเพราะได้ตามรู้ได้หลากหลายกว่าการตามรู้การเดินและลมหายใจอย่างเดียว...
อีกเรื่องหนึ่งก็คืออาการง่วงหงาวหาวนอน...ซึ่งเมื่อก่อนเข้าใจว่าเป็นอาการปกติของทุกคน...หลังจากพิจารณาร่างกายและอาการทางกายพบว่า..การกินของเราเกิดจากความอยากของจิตปรุงแต่งมากกว่าความต้องการของร่างกาย(ด้วยติดนิสัยเก็บของเหลือในวงอาหารกินจนหมดเหมือนแม่ทำให้ดูจนชิน...ก็ท่านให้พวกเรากินก่อนเมื่อเหลือแล้วท่านจึงกิน...บางครั้งเหลือมากท่านก็กินจนหมด)
ผมเฝ้าสังเกตุดูว่าพลังงานที่ใช้ไปในร่างกายเหมือนกับสูญเสียไปกับจิตที่วุ่นวายมากเหลือเกิน...หากจิตนิ่งจริง ๆ คงสูญเสียพลังงานน้อยมาก...
กราบ 3 หน
ขยายความว่า ยามเป็นเด็กไม่ศึกษาหาความรู้ เมื่อโตเป็นหนุ่มสาวก็ไม่ขยันทำมาหากินสร้างฐานะ ครั้นเริ่มรู้สึกตัวว่าแก่ก็ยังไม่สนใจธรรมะ ถ้าใกล้ตายแล้วจะไปทำอะไรได้...
สำหรับท่านเลขาฯ วัยแรกและวัยที่สองนั้นถือว่าประสบความสำเร็จพอสมควร (แม้ว่าจะไม่ชนะเลิศ แต่ก็ไม่ถึงกับพ่ายแพ้) และขณะนี้ก็ยังพยายามเพื่อเอาชนะอยู่ตามวัยที่สาม...
อนุโมทนาอย่างยิ่ง...
เจริญพร
สัปดาห์ที่ผ่านมาผมใช้เวลาในการขับรถมากกว่า 5,000 กม.
เดินทางไปภาคตะวันตก ข้ามไปภาคตะวันออก เลยไปอีสาน และขึ้นไปเหนือสุดที่แม่สายเชียงราย...เสียดายไม่ได้ลงใต้ไปกราบพระอาจารย์...
ผมได้อ่าน ไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็น ที่ลูกชายยืมของเพื่อนมาอ่าน... ปรากฏว่าผมอ่านรวดเดียวเข้าใจโดยไม่ต้องอ่านซ้ำเหมือน 7 เดือนบรรลุธรรม ... ก็พอประมาณได้ว่าผมมีสัญญาเดิมเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์มากกว่านิยาย...555
ผมมีโอกาสทดลองใช้ความรู้(วิชชา)สติปัฏฐาน4กับการอบรมพัฒนาองค์กรให้กับศูนย์อนามัย...ดูเหมือนกับช่วยทบทวนให้มีความชัดเจนมากขึ้นในภูมิธรรม...
บางครั้งเวลาอยู่กับตัวเองก็เกิดความเข้าใจบางเรื่องแวบเข้ามาเฉย ๆ ...ต้องเตรียมสมุดบันทึกมาเขียนเป็นบทเรียนของความเข้าใจไว้ทบทวน...
รู้สึกอยากพูดให้น้อยลง...เพราะพูดมากไปก็เปล่าประโยชน์...ยกเว้นสนทนากับคนรู้ใจเช่นพระอาจารย์...555
กราบ 3 หน
หนังสือเล่มนี้อาจารย์บัญชาได้ตั้งประเด็นไว้ (คลิกที่นี้) แต่อาตมาไม่เคยอ่าน จึงไม่วิจารณ์...
ท่านเลขาฯ น่าจะเขียนบันทึกวิจารณ์หนังสือเล่มนี้ เผื่อจะมีประเด็นใหม่ๆ คุยกันบ้าง (5 5 5...)
เจริญพร
ไปตามดูมาแล้วครับ... อ่านจบแล้วคิดว่าจะแสดงความเห็นในบล็อกของอาจารย์บัญชา...แต่เล็งเห็นว่า เป็นสนามแห่งการตอบโต้ที่หาข้อสรุปอันเกิดประโยชน์ได้ยาก...เพราะต่างฝ่ายก็ยึดมั่นถือมั่นในปัญญาของตน...
เช่น อาจารย์บัญชาเขียนว่า ทพ.สม เจตนาจะยก"พระพุทธเจ้า เหนือกว่าไอนสไตน์" อันมีความหมายโดยเจตนาของอาจารย์บัญชาในทางกลับกันได้...ซึ่งหากผู้ใดมีเจตนาเช่นนั้น ก็ย่อมมีผู้ตกร่องกระแสธรรมคัดค้านหัวชนฝาเช่นกัน...อย่าว่าแม้แต่มายกให้เทียบเท่ากันเลย...สุดท้ายย่อมเกิดมิจฉาทิฐิด้วยกันทั้งสองฝ่าย...
จึงขออนุญาตพระอาจารย์ผ่านข้ามเลยไป...เพราะไม่ช่วยส่งเสริมให้เกิดการเจริญสติสัมปชัญญะครับ...
กราบ 3 หน
ช่วงนี้ผมติดตามอ่านเรื่องราวที่ท่าน ปอ.ปยุตโตเขียนไว้หลายเรื่อง...รวมทั้งไปเยี่ยมบ้านเกดท่านที่ศรีประจันต์มาแล้วครับ...
รู้สึกเหมือนว่า...อ่านงานเขียนของท่านแล้วเข้าใจง่าย(นัยว่าตรงจริตประมาณนั้น) นึกถึงพระอาจารย์...คงเป็นศิษย์ท่านด้วย(เนื่องเพราะอยู่ในข่าย มจร.)
คุยกับพรรคพวกกัลยาณมิตรก็บอกว่า...เมื่อรู้ว่าตรงจริตก็ขอให้รู้ว่าตรงจริต...เมื่อกระจ่างแจ้งก็ขอให้รู้ว่ากระจ่างแจ้ง...แล้วสังเกตุว่ามันดับหรือปล่าว...ปรากฎว่าไม่ดับครับ...อยากไปกราบท่านที่วัดญาณเวศสกวันสักครั้ง(จะได้รู้ว่าดับหรือไม่...555)
กราบ 3 หน
อาตมาวาสนาน้อย มิได้เรียนกับท่านอาจารย์เจ้าคุณฯ เพราะตอนแรกเข้าเรียนนั้น ท่านเลิกสอนหนังสือไปทำงานอื่นแล้ว เพียงแต่ได้ฟังเวลาท่านมาบรรยายหรือปาฐกถาในคราวมีงานสำคัญเท่านั้น...
ส่วนหนังสือของท่านนั้น เมื่อก่อนก็อ่านทุกเล่มที่เห็น โดยเฉพาะหนังสือ "พุทธธรรม" อ่านหลายจบทั้งเล่มเล็กเล่มใหม่ แต่ก็เลิกอ่านหนังสือท่านมาหลายปีแล้ว จะหยิบจับบ้างเฉพาะในส่วนที่ต้องการค้นคว้าหรืออ้างอิงเท่านั้น...
คุณโยมไปเที่ยวที่วัดก็ได้ แต่ไม่จำเป็นต้องไปกราบท่านต่อหน้า ให้ท่านได้พักผ่อนน่าจะเป็นบุญกว่า (...........)
เจริญพร