BM.chaiwut
พระมหาชัยวุธ โภชนุกูล ฉายา ฐานุตฺตโม

ความเกียจคร้าน


ความเกียจคร้าน

คงจะไม่มีใครไม่เข้าใจคำนี้ จึงไม่จำเป็นต้องอธิบาย... ส่วน ขี้เกียจ หรือ ขี้คร้าน เป็นคำที่เป็นไวพจน์ซึ่งใช้แทนกันได้กับคำนี้... แม้ว่าจะใช้แทนกันได้ก็จริง แต่คำว่า เกียจคร้าน ดูดี หรือน่าใช้กว่า  ... ยังจำได้ว่าตอนเขียนวิทยานิพนธ์ อาจารย์ที่ปรึกษาบอกว่าให้แก้ ขี้เกียจ เป็น เกียจคร้าน ด้วยเหตุผลนี้เหมือนกัน...   

เมื่อเกือบสิบปีก่อน หลวงพี่ซึ่งอยู่กุฏิเดียวกับผู้เขียน ปรารภว่า ไม่รู้ยังไง เดียวนี้ ผมขี้คร้านเหลือเกิน ... และผู้เขียนก็สนทนาไปตามเรื่องตามราว...

ประมาณ ๔ - ๕ ปี มานี้ ผู้เขียนก็รู้สึกเหมือนกับหลวงพี่ กล่าวคือ รู้สึกว่าขี้เกียจเหลือเกิน ... และเมื่อวานนี้ ความเกียจคร้านก็เข้ามาครอบงำผู้เขียนอย่างหนัก จนกระทั้งก่อนเขียนบันทึกนี้ หรืออาจกล่าวได้ว่า บันทึกนี้เขียนขึ้นมาเพื่อค้นหาบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้....

ถ้าจะค้นหาสาเหตุของความเกียจคร้าน ผู้เขียนคิดว่า ความเบื่อ ความเซ็ง ความจำเจ ความไม่ได้ดังใจ ... น่าจะเป็นสิ่งต้นๆ ที่เป็นสาเหตุ...

สิบกว่าปีก่อน ผู้เขียนเบื่อและเซ็งเต็มที่ จึงถามเพื่อนป.ธ. ๙ รูปหนึ่ง ท่านบอกว่า คนเราปรารถนาสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ แต่มักจะแก้ปัญหาด้วยวิธีการเดิมๆ ... ทำนองนี้

และเกือบสิบก่อน ผู้เขียนเบื่อและเซ็งสุดๆ อีกครั้ง (อันที่จริงก็เป็นบ่อยๆ เพียงแต่ไม่มีสิ่งสะดุดใจที่จะนำมาเล่าเท่านั้น) ไปพลิกหนังสือเล่มโน้นเล่มนี้เพื่อจะนำมาอ่านคลายเบื่อๆ เซ็งๆ ได้อีกคราว ก็ไปเจอข้อความหนึ่งบอกว่า ชีวิตไม่ต้องกังวลอะไรนัก มันจะแสวงหาความลงตัวของมันเอง.....

................ 

วิธีการแก้ปัญหาความเบื่อ ความเซ็ง ความหดหู่ หรือท้อถอย... สำหรับผู้เขียนก็มีหลายวิธี เช่น อ่านหนังสือ ดูหนัง ไปเที่ยว หรืออยู่อย่างขี้เกียจ....

นิยายจีน หรือหนังจีนโบราณ เช่น ฤทธิ์มีดสั้น ช่อลิ้วเฮียง มังกรหยก ... ก่อให้เกิดพลังใจในการต่อสู้ชีวิตได้ดี ... แต่เมื่อผ่านพ้นวัยมา นิยายจีนหรือหนังจีนโบราณเหล่านั้น ก็ไม่สามารถตอบสนองหรือแก้ปัญหาได้ คล้ายๆ กับว่า ความเบื่อความเซ็งของผู้เขียนดื้อยาชนิดนี้เสียแล้ว... ประมาณนั้น

การไปเที่ยว ผู้เขียนชอบไปเที่ยวร้านหนังสือ หรือห้องสมุด ไปเดินดูว่ามีหนังสืออะไรบ้าง พลิกไปพลิกมา หยิบวางหยิบวาง... และก็อาจซื้อมาหรือยืมมาอ่าน ตามกรณี ... แต่หลายปีหลัง หนังสือที่ผู้เขียนสนใจก็ค่อนข้างจะหาได้ยากขึ้นตามลำดับ... สายตาก็มิได้ควรแก่การอ่านดังสมัยก่อน

ถ้าไม่ไปเที่ยวดูหนังสือ ก็อาจไปหาเพื่อน... แต่พออายุมากขึ้น เพื่อนที่จะไปหาได้ก็น้อยลง... และเพื่อนที่พอมีเหล่านั้น เดียวนี้ก็มีงานมีการ มีภารกิจของตัวเอง... ดังนั้น การไปหาเพื่อน ก็มิใช่สิ่งที่ทำได้ดังเช่นสมัยก่อน....

การเป็นอยู่อย่างขี้เกียจ อาจเริ่มตั้งแต่ น้ำไม่อาบ ห้องไม่กวาด ข้าวก็เกือบจะไม่ฉัน เป็นอยู่อย่างสกปรก... เมื่อก่อนผู้เขียนก็ทำอย่างนี้ พอเป็นไปประมาณ ๒-๓ วัน ก็จะลุกขึ้นมากวาดห้อง ถูห้อง จัดหนังสือ ... เริ่มชีวิตใหม่อันสดชื่นอีกครั้ง... แต่ระยะหลังมานี้ วิธีการนี้ก็ดื้อยาแล้วเช่นเดียวกัน....

...........

แม้ว่าจะรู้สึกเบื่อ เซ็ง หรือขี้เกียจอย่างไร แต่ชีวิตยังอยู่ก็ต้องดำเนินต่อไป...มหาวิทยาลัยเปิดแล้ว ภาคเรียนนี้ผู้เขียนจะสอนศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งเป็นวิชาใหม่ ก็ยังไม่ได้เตรียมการสอนเลย ตอนนี้ ผู้เขียนจึงต้องรวบรวมแรงกายแรงใจเพื่อจะเตรียมการสอนต่อไป จึงมาเขียนบันทึกนี้เล่นๆ...

พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า การศึกษาธรรมก็คือการศึกษากายและใจ โดยใช้สรีระ กว้างศอก ยาววา หนาคืบ ของเรานี้เอง... มิใช่การศึกษาจากตำหรับตำราหรือครูบาอาจารย์ใดๆ เพราะคัมภีร์หรือครูเหล่านั้นประดุจแผนที่หรือผู้ชี้แนวทางเท่านั้น...

ท่านพุทธทาส นำคำสอนนี้มาใช้คำง่ายๆ ว่า มหาวิทยาลัยในตัวคน

...และตอนนี้ ผู้เขียนก็กำลังศึกษาความขี้เกียจจากมหาวิทยาลัยของผู้เขียนเอง... ประมาณนั้น

และกำลังรับแลกเปลี่ยนศาสตร์แขนงนี้ก็ผู้สนใจทั่วไป....         

คำสำคัญ (Tags): #ความเกียจคร้าน
หมายเลขบันทึก: 99416เขียนเมื่อ 29 พฤษภาคม 2007 15:06 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มิถุนายน 2012 05:20 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

กราบนมัสการท่านอาจารย์

      ความเกียจคร้านเป็นสมบัติของมนุษย์โลกทุกคนครับพระอาจารย์ แล้วแต่ว่าใครจะมีมากหรือน้อย ตามกรรมเวรของแต่ละคน นี่เป็นสัจจะธรรมน่ะครับพระอาจารย์

กราบนมัสการสามครั้ง.

ไม่มีรูป
ยุทธศักดิ์ ว.

เห็นด้วยกับคุณโยม....

สมดังสำนวนที่ว่า อย่านึกว่าเราขี้เกียจแล้วคนอื่นจะขยัน เพราะคนอื่นก็ขี้เกียจเหมือนกัน

เจริญพร

นมัสการ...เรื่องของความขี้เกียจหรือเกียจคร้าน ผมก็ไม่เป็นสองรองใครครับ ตอนผมลาไปเรียนปริญญาโท พรรคพวกสองสามปี เขาก็จบกันแล้ว แต่ผมเรียนเอาความรู้แน่นครับ ห้าปี ครับ ถึงจบปริญญาโท ผมมาวิเคราะห์ตัวเองก็พอได้คำตอบครับ ผมว่าที่ผมขี้เกียจ ก็เพราะว่าไม่รู้จะขยันไปทำไมครับ คือ ในมุมมองของผม บางครั้งเราต้องการทำสิ่งใดที่แสดงถึงความเป็นตัวของตัวเอง เรามุ่งหวังบางสิ่งบางอย่างตามที่ใจเราต้องการ แต่ในสภาพจริง มันไม่ใช่ครับ เราไม่สามารถแสดงความเป็นตัวของตัวเอง เราไม่สามารถทำตามที่ใจเราปรารถนาได้ เราก็ต้องหยุดก่อนครับ หยุดและคิดทบทวน แต่บางครั้งมันหยุดและทบทวนนานไปหน่อย การทบทวนก็เลยกลายเป็นความขี้เกียจไปครับ ผมขอเสนออีกมุมมองครับ บางช่วงที่ผมได้ทำงานที่แสดงความเป็นตัวของตัวเอง ช่วงนั้นผมจะตั้งใจทำงานมากครับ ทำงานด้วยความขยันขันแข็ง จนไม่มีเวลาให้ขี้เกียจครับ สำหรับตัวผมในปัจจุบันนะครับ บางช่วงก็ขยัน บางช่วงก็ขี้เกียจ แต้สรุปแล้ว ขี้เกียจมากกว่าขยันครับ อย่างมีนัยสำคัญ ที่ .01

ผมว่าผมไม่เคยเกียจคร้านนะครับ

         ผมเคยคิดว่าผมอ่านหนังสือและชอบหลับอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าขี้เกียจนะ แต่ผมเลือกเอง ผมไม่ไปกวดวิชานะ ผมจะอ่านเองอยู่บ้าน ผมเลือกเอง  การนอน การไม่ทำอะไรเลย วัน ๆ รู้สึกว่าไร้ค่า แต่ ก็คือการเพิ่มค่า เพราะเราไม่เสียพลังงาน ไม่ออกไปข้างนอก ไม่เสียเงิน ไม่เสียหลายอย่างที่อาจจะเสีย แต่ก็ไม่ได้หลายอย่างที่อาจจะได้  แต่ผมเลือกเอง

          วันที่อ่านหนังสือสอบเอนท์ทรานซ์ สิบกว่าปีก่อน ผมบอกตัวเองว่าหากสอบไม่ได้ ชีวิตไม่ได้เป็นข้าราชการใหญ่มีตังค์เยอะ ก็อย่าได้ตีอกชกตัวในภายหลังว่าเรานี้แย่ ขี้เกียจ เพราะเราเลือกและทำได้เท่าที่เราทำ

         ผมจึงพอใจที่จะอยู่แบบกลาง ๆ ทำไปตามเหตุและผล ไม่เร่ง เพราะเร่งแล้วไม่ได้ เราก็เหมือนขี้เกียจ

ไม่ช้าเกินไป หรือไม่ทำอะไรเลย เพราะเราจะไร้ค่า

         ผมว่าชีวิตก็มีบางทีมันช้า บ้าง เร็วบ้าง พอดีบ้าง

         ขี้เกียจ เป็นคำบ่นที่ต้องการให้ตนเองเร่งกับการใช้ชีวิตเพิ่มขึ้นเมื่อเห็นว่า มันช้าไป และกำลังไร้ค่า กระมังครับ

          กราบนมัสการครับผม 

ผมเคยรู้สึกอย่างนั้นเช่นกัน ครับพระอาจารย์...

 

สมัยเป็นเด็ก...ไม่เคยมีความรู้สึกแบบนั้นเลย...ไม่เคยเซ็ง...ไม่เคยเบื่อ...ไม่เคยคิดว่าไม่อยากทำอะไร...

 

พอโตขึ้นเข้ารับราชการ...ในช่วงวันหยุด...หรือบางวันที่ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร...ให้รู้สึกเบื่อหน่ายรำคาญเซ็งเป็นยิ่งนัก...

 

พอหลวมตัวมีภรรยาใหม่ ๆ ก็ตื่นเต้นเร้าใจ...พอนานไปก็เกิดความรู้สึกแบบนั้นขึ้นได้อีก...

 

จนกระทั่งมีลูก(มิได้เจตนาจะเย้ยหยันพระอาจารย์แต่ประการใด..555555555555)กลายเป็นบทเรียนใหม่ของชีวิตที่ปุถุชนอย่างผมจะหาเวลาหยุดนิ่งกับตัวเองให้เกิดอาการเบื่อหน่ายเซ็งได้เลย(ดันมีเข้าไปได้...ตั้ง 3 คน)

 

แค่เห็นหน้าลูกสาวคนเล็กผมทุกวัน...ใจผมก็บอกได้อย่างเดียวว่า...สู้สู้...

 

 อาจเป็นเพราะช่วงนี้ผมได้รับประสบการณ์ใหม่ ๆ เลยไม่ค่อยเกิดความรู้สึกเซ็ง...เหมือนช่วงที่ผ่านมากับงานที่ผมรับผิดชอบทำมากว่า 20 ปี...

 

หากอยู่ใกล้พระอาจารย์...ผมคงไปชวนทำอะไรต่อมิอะไรให้หายเกียจคร้านเลยนะครับ...

 

อย่างไรก็ตาม...นั่นคือเส้นทางชีวิตอย่างที่mr. สุมิตรชัย คำเขาแดง เขาว่าครับ...ทำไปตามเหตุตามผลอ่านดูเหมือนธรรมดาไม่น่าสนใจ...แต่นั่นคือความจริงของชีวิตครับ...

 

ลูกชายผม 2 คนเลี้ยงแตกต่างกันอย่างชัดเจน...

 

คนโตถูกผมใช้กระบวนยุทธ์ในการเสกสรรปั้นแต่งให้เขาเป็นนักสู้(มุ่งมั่นต่อการเป็นจอมยุทธ์อันดับหนึ่งของแผ่นดิน...ว่างั้น...55555)

คนส่วนใหญ่ต่างชื่นชมยินดีปรีดาไปกับเขา...เส้นทางชีวิตก็บังคับให้เขาบุกบ่าฝ่าฟันไปเรื่อย ๆ...

 

ลูกคนที่สองของผมกลับกลายเป็นคนเกียจคร้านต่างกันคนละขั้ว(ทั้งที่ไอคิวสูงกว่า) มิใยว่าแม่ของเขาจะบ่นว่าทุกวันก็หาได้เปลี่ยนแปลงอันใดได้ไม่...

 

แม่เขาเป็นหว่งอนาคตว่าจะไม่ได้ตามที่ต้องการ...แต่ผมกลับคอยขัดคอ(ทำให้เขาได้ใจเกียจคร้านยิ่งขึ้น...555)

 

อ้าว...ตกลงนี่เป็นบันทึกของพระอาจารย์หรือของผมกันเนี่ย...55555 

 

พระอาจารย์ไม่มีลูก...ก็คงต้องหาศิษย์ที่รับถ่ายทอดพลังฝีมือแล้วครับ..ไม่เช่นนั้นนอกจากคัมภีร์เก้าอิมจะสูญหายไปจายุทธจักรแล้ว...ยังมิอาจได้เห็นกระบวนท่าใหม่ ๆ จากเหล่าอัจฉริยชนรุ่นหลังให้เป็นที่บรรเทิงใจด้วยครับ...อิอิ

 

mr. สุมิตรชัย คำเขาแดง .....

เพิ่งเห็นว่าคุณโยม เข้ามาเยี่ยม คงไม่ว่านะ ถ้าจะตอบรับช้าไปหลายวัน.....

ตามที่คุณโยมว่าก็ถูก และเห็นด้วยกับความเห็นของคุณโยม... อนึ่ง บางครั้งความเกียจคร้านหรือความขยันอาจดูที่ผลหรือสถานภาพปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร...

สำหรับอาตมาเอง รู้สึกว่าตัวเอง ขี้คร้านตลอด ขี้คร้านสุดๆ  เมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนสนิทหลายๆ ท่าน เค้าจะขยันสุดๆ.... คิดว่า ถ้าขยันแบบเค้าก็คงจะผลิตผลหรือสร้างงานอะไรได้อีกเยอะ แต่อาตมาก็ยังคง ขี้คร้านเหมือนเดิม....

เจริญพร 

นายขำ .....

ก่อนหน้านี้ อาตมาก็คิดอยู่ว่า ท่านเลขาฯ คงจะไม่ค่อยมีงานนัก จึงมีเรื่องสนุกๆ มาเล่าได้เรื่อยๆ...

เมื่อได้งานใหม่ อาตมาก็คิดอยู่ว่า ท่านเลขาฯ คงจะมีจินตนาการกับงานใหม่ จึงไม่ว่างพอที่จะมาเล่าเรื่องสนุกๆ...

ส่วนตัวอาตมา... หลวงพี่ที่กุฏิและเพื่อนๆ หลายท่านบอกว่า อาตมาไม่มีงานที่เหมาะสมให้ทำ....

อาตมาก็ว่างเป็นพักๆ ยุ่งเป็นพักๆ ... แต่ขี้คร้านนี้ มหาอมตนิรันตร์กาล ... ประมาณนั้น 

ยังคิดอยู่เลยว่า ถ้าไม่มีบล็อกเขียนเล่นๆ แล้ว อาตมาจะใช้เวลาไปทำอะไรอีกยามว่าง....

เรื่องลูกๆ นั้น อาตมาก็คุยกับเพื่อนที่สุขภาพไม่ค่อยดีซึ่งเข้ามาปรับทุกข์ว่า ยังตายไม่ได้ ต้องอยู่ต่อไปอีก ๑๕ ปี กว่าลูกจะเรียนจบหรืออยู่ตามลำพังได้.... ท่านเลขาฯ ก็คงจะประมาณนั้น

เจริญพร

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท