พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการก็ยังกล่าวอ้างอีกเช่นกันว่าสัตว์เลื้อยคลานบางชนิดได้เปลี่ยนไปเป็นสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนม แต่ถึงอย่างนั้น สัตว์ทั้งสองจำพวกนี้ก็มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวที่แตกต่างกันมากเช่นกัน
สัตว์เลื้อยคลานจะวางไข่ส่วนสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนมจะคลอดลูกออกมาเป็นตัว ลำตัวของสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนมจะปกคลุมไปด้วยขนปุกปุยซึ่งตรงกันข้ามกับเกล็ดที่อยู่บนลำตัวของสัตว์เลื้อยคลาน ระบบในการคัดหลั่งน้ำนมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมก็มีลักษณะเฉพาะพิเศษของมัน ซึ่งพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการไม่มีวันที่จะอธิบายถึงลักษณะที่เฉพาะพิเศษในการคัดหลั่งน้ำนมนี้ได้
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับข้อเท็จจริงทางด้านซากฟอสซิลที่มีปรากฏให้เห็นอยู่ พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการก็เบนความสนใจไปยังข้อกล่าวอ้างที่ไร้หลักฐานอีกอย่างหนึ่งที่ว่า มนุษย์ได้วิวัฒนาการมาจากสัตว์ที่คล้ายลิง
จนถึงปัจจุบันนี้ได้มีลิงถึง 6500 ชนิดที่ได้เคยอาศัยอยู่บนโลกเรานี้ แต่ส่วนมากได้สูญพันธุไปหมดแล้ว กะโหลกของลิงจำนวนมากที่ได้สูญพันธุไปแล้วนี้ไม่ว่าจะมีขนาดเล็กหรือใหญ่ กะโหลกเหล่านี้ ก็เป็นตัวการสำคัญที่พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการนำมาใช้เป็นข้อกล่าวอ้างถึงทฤษฎีการวิวัฒนาการตามที่พวกเขาเฝ้อฝันกันต่อไป โดยพวกเขาเหล่านี้ได้กุเรื่องและสร้างฉากขึ้นมาหลอกผู้คน โดยพวกเขาจัดเรียงกะโหลกของลิงที่สูญพันธุไปแล้วเหล่านี้ โดยเริ่มตั้งแต่กะโหลกที่มีขนาดเล็กที่สุดไปจนถึงขนาดใหญ่ที่สุด โดยในขณะเดียวกันพวกเขาก็แอบแซรกกะโหลกศีรษะของเผ่ามนุษย์ที่สูญพันธุไปแล้ว เข้าไปปนอยู่ในบรรดากะโหลกของลิงเหล่านี้ด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะตบตาผู้คน
สัตว์จำพวกลิงชนิดหนึ่งที่สูญพันไปแล้วที่เรียกกันว่า Australopithecus นี้เป็นตัวการสำคัญที่สุดที่พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการนำมาใช้จัดฉากตบตาผู้คน
ซากฟอสซิลของ Australopithecus ได้ถูกขุดพบเป็นครั้งแรกในปี1924 โดยนักชีววิทยาทางด้านพืชและสัตว์โบราณนั้นคือ Raymond Dart และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการก็ได้ถือโอกาสกล่าวอ้างว่าลิงชนิดนี้ เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทหนึ่งที่คล้ายมนุษย์ และลิงชนิดนี้ถ้าแปลตามเชื่อแล้วหมายถึง ลิงที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้
อย่างไรก็ตามเมื่อได้มีการนำกะโหลกของ Australopithecus มา เปรียบเทียบดูกับกะโหลกของลิงซิมแพนซี ดู แล้วก็พบได้ว่าไม่มีความแตกต่างกันไปมากเท่าไหร่เลยระหว่างกะโหลกทั้งสอง
เมื่อเป็นเช่นนี้พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการก็สร้างสมมุติฐานขึ้นมาใหม่ว่า Autralopithecus นั้นจะเดินบน สองเท้าตัวตรง ซึ่งต่างกันจากลิงประเภทอื่นๆ
แต่ถึงกระนั้นนักกายวิภาควิทยาผู้มีชื่อเสียงโด่งดังทั้งสองท่าน นั้นคือ Lord Solly Zuckerman และ ศาสตราจารย์ Charles Oxnard เขาทั้งสองนี้ ได้โต้แย้งและหักล้างคำกล่าวอ้างเช่นนี้ กล่าวง่ายๆก็คือ Autrolopithecus ซึ่งพวกนัก ทฤษฎีวิวัฒนาการใช้นำมากล่าวอ้างว่าเป็น บรรพบุรุษของมนุษย์นี้ไม่มีอะไรนอกไปจากเป็นเพียงลิงชนิดหนึ่งที่ได้สูญพันธุไปแล้วเท่านั้น
กล่าวอีกนัยก็คือ ซากฟอสซิลที่พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการนำมาใช้กล่าวอ้างโดยได้จัดแบ่งประเภทต่างๆไปตามที่พวกเขาจิตนาการขึ้นมา เช่น โฮโมอีแร็คทัส โฮโมเออแก็สเทอ หรือ โฮโมซาเพียน ซึ่งโฮโมซาเพียนนี้ จัดว่าอยู่ในยุคโบราณมาก ซากฟอสซิลที่นำมาอ้างทั้งหมดเหล่านี้นั้น จริงๆแล้วเป็นเพียงเผ่าพันธุ์มนุษย์เผ่าต่างๆที่แตกต่างกันไปเท่านั้น
เมื่อได้มีการสำรวจตรวจสอบดูจากฟอสซิลต่างๆเหล่านี้ก็พบว่า โครงกระดูกเหล่านี้จริงๆแล้วก็เหมือนกันกับโครงกระดูกของมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในยุคปัจจุบัน ที่จะไม่เหมือนกันก็เป็นเพียงแค่ลักษณะโครงสร้างทางกะโหลกศีรษะที่แตกต่างกันไม่กี่อย่าง ถึงกระนั้นความแตกต่างกันเช่นที่กล่าวมานี้ก็สามารถพบได้ในเผ่าพันธุมนุษย์ที่แตกต่างกันที่อาศัยอยู่บนโลกนี้ในยุคปัจจุบัน
Richard Leakey นักชีววิทยาทางด้านพืชและสัตว์โบราณและเป็นนักทฤษฎีวิวัฒนาการที่มีเชื่อเสียงที่โด่งดัง เขาผู้นี้ก็กล่าวยอมรับว่าความแตกต่างเล็กๆน้อยๆระหว่างกะโหลกศีรษะของ โฮโมอีเล็คทัส ตามที่เราจัดแบ่งประเภทกัน กับความแตกต่างกันกับกะโหลกศรีษระของมนุษย์ปัจจุบันนั้นเป็นเพียงความแตกต่างกันทางด้านชนชาติและเผ่าพันธุเพียงเท่านั้นเอง เขากล่าวว่าข้อแตกต่างเหล่านั้นจริงๆ ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าความแตกต่างระหว่างมนุษย์ในยุคปัจจุบันของชนชาติต่างๆที่อาศัยอยู่ในภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน (Richard Leakey, The Making of Mankind,1981,p.62)
พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการเมื่อต้องเผชิญกับความจริงทางด้านวิทยาศาสตร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็เหลือเพียงสิ่งๆเดียวที่จะใช้ปกป้องทฤษฎีของตนเองให้อยู่รอดและสิ่งเดียวที่เหลืออยู่สิ่งนั้นก็คือ การโฆษณาชวนเชื่อ การจัดฉากสร้างภาพการวิวัฒนาการของมนุษย์ให้ดูเหมือนจริงที่ได้มาจากการจิตนาการโดยไม่มีมูลฐานแห่งความจริงแต่อย่างใด โดยสิ่งเหล่านี้ได้ถูกยัดเยียดให้กับสาธารณะชนโดยผ่านทางสื่อและสิ่งตีพิมพ์ของพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการ
ในภาพวาดที่แสดงให้เห็นถึงการวิวัฒนาการนี้จะมีสิ่งมีชีวิตที่มีขนขึ้นตามตัวและมีหน้าตาคล้ายลิง โดยภาพนี้จะถูกตกแต่งกันขึ้นให้รู้กันเป็นนัยๆว่า นี้คือมนุษย์ที่กำลังวิวัฒนาการ และสิ่งที่ภาพนี้ต้องการที่จะบอกก็คือสิ่งมีชีวิตจำพวกครึ่งมนุษย์ครึ่งลิงนี้ครั้งหนึ่งได้เคยมีชีวิตอาศัยอยู่บนโลกนี้
บ่อยครั้งที่ภาพวาดเหล่านี้ถูกวาดขึ้นเพื่อต้องการให้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ทางด้านสังคมของสิ่งมีชีวิตประเภทนี้ ภาพวาดที่หลอกลวงและตบตาคนเช่นนี้ได้ถูกวาดขึ้นในลักษณะที่เรียบเรียงลำดับการวิวัฒนาการ ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะให้ความคิดและความเชื่อในเรื่องการวิวัฒนาการของมนุษย์นี้ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของผู้คนโดยไม่รู้ตัว
แม้แต่ในสำนักพิมพ์ผลงานทางวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง ก็บ่อยครั้งที่ยังสร้างภาพจัดฉากหลอกลวงผู้คนโดยที่เราเรียกกันว่า สิ่งที่ถูกจัดประกอบกันขึ้นมาใหม่ หรือที่เรียกว่า reconstructions และก็มีภาพวาดแผนภูมิที่เรียงลำดับการวิวัฒนาการที่ได้มาจากจิตนาการซึ่งสิ่งที่พวกเขาทำขึ้นมาเหล่านี้ เกิดขึ้นมาจากแรงดลใจอันเฟ้อฝันของพวกเขา การสร้างภาพจินตนาการของพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการเหล่านั้น ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่ การสร้างหุ่นจำลอง หรือการวาดภาพตามจิตนาการที่เฟ้อฝันเพียงเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังสร้างภาพยนตร์ที่มีตัวละครเป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นครึ่งคนครึ่งลิงตามที่พวกเขาจิตนาการกันขึ้นมาเพื่อลวงโลกด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งทั้งหมดเหล่านี้เป็นการหลอกลวงตบตากันอย่างชัดเจนโดยทั่วไปแล้วหลักฐานชิ้นเดียวที่มีอยู่นั้นก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าเศษกะโหลกศีรษะเพียงไม่กี่ชิ้นหรือไม่ก็กระดูกหน้าแข้ง ผม ผิวหนัง จมูก หู ริมฝีปาก และลักษณะทางโฉมหน้าอื่นๆของสิ่งมีชีวิตนั้นไม่สามารถที่จะถูกบ่งชี้หรือกำหนดได้โดยดูจากซากกระดูกที่เหลืออยู่
นักทฤษฎีวิวัฒนาการเหล่านี้ได้จัดแต่งเนื้อเยื้ออ่อนขึ้นมาซึ่งเนื้อเยื้อเหล่านี้ไม่สามารถพบได้ในซากฟอสซิลเลย ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะให้เข้ากับความต้องการของทฤษฎีการวิวัฒนาการของพวกเขา และเพื่อที่พวกนักทฤษฎีเหล่านี้จะได้สร้างและประกอบสิ่งใหม่ๆขึ้นมาจากห้องปฏิบัติงาน โดยเป็นไปตามจินตนาการของพวกเขา Earnst Hooten จากมหาวิทยาลัยฮาวาดกล่าวว่า ภาพเหล่านี้ไม่คุณค่าที่คู่ควรแก่การยกย่องทางวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด
ท่านสามารถที่จะสร้างลักษณะโฉมหน้าของลิงซิมแพนซีหรือ โฉมหน้าของนักปรัชญาคนใดคนหนึ่งขึ้นมาได้โดยใช้กะโหลกศีรษะของ Neanderthaloid ด้วยวิธีการและแบบอย่างเดียวกันสิ่งที่ถูกประกอบและสร้างกันขึ้นมาใหม่ของมนุษย์โบราณตามที่กล่าวอ้างกันเหล่านี้ ถ้าจะมีคุณค่าที่สมควรยกย่องทางวิทยาศาสตร์ก็มีน้อยมาก และก็ดูเหมือนจะเป็นเพียงสิ่งที่ทำให้สาธารณะชนเข้าใจผิดกันไปเสียมากกว่า (EarnstHooten, Up From The Ape,1931,p.332)
พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการยิ่งไปไกลไปกว่านั้น จนกระทั่งพวกเขาได้สร้างหน้าตาหรือโฉมหน้าที่แตกต่างกันไปจากการใช้กะโหลกศีรษะเพียงกะโหลกเดียว พวกเขาได้สร้างซากฟอสซิลที่เรียกว่า Zinjantropus ขึ้นมาใหม่โดยพวกเขาสร้างซากฟอสซิลนี้ขึ้นมาใน สามแบบที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
และทั้งหลายเหล่านี้ก็เป็นเครื่องบ่งบอกให้เรารู้เป็นอย่างดีว่า พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการเหล่านี้มีความดื้อรั้นและฝังหัวเพียงไร โดยพวกเขายังคงทำหน้ากากอันจอมปลอมและหลอกลวงเหล่านี้ขึ้นมาอีก
พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะสร้างกลอุบายทางภาพวาดและการปั้นรูปขึ้นมาเพื่อหลอกลวงคนเพียงเท่านั้น แม้ในบางครั้งพวกเขาก็ยังเจตนาทำสิ่งปลอมแปลงขึ้นมาเสียด้วยซ้ำ และสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาเพื่อหลอกลวงสาธารณะชนที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดก็คือซากฟอสซิลของ Piltdown ที่ถูกนำมาแสดงในประเทศอังกฤษ ในปี1912 โดยนักทฤษฎีวิวัฒนาการคนหนึ่งที่มีเชื่อว่า Charles Dawson โดยซากฟอสซิลดังกล่าวนี้ได้ถูกนำมากล่าวอ้างว่าเป็นหลักฐานที่สำคัญที่สุดที่บ่งชี้ถึงการวิวัฒนาการระหว่างมนุษย์กับลิง และซากฟอสซิลนี้ได้ถูกตั้งโชว์ อยู่ในพิพิธภัณฑ์ในประเทศอังกฤษ เป็นระยะเวลานานกว่า 30ปี ผู้เชี่ยวชาญได้ทำการตรวจสอบซากฟอสซิลนี้ดู อีกครั้งหนึ่งในปี 1949 และผลปรากฏออกมาว่าซากฟอสซิลนี้ทำขึ้นมาเองเพื่อหลวกลวงประชาชนให้หลงเชื่อ โดยมันถูกทำขึ้นมา โดยการต่อขากรรไกรของลิงอุรังอุตรังเข้ากันกับกะโหลกของมนุษย์
อีกอย่างหนึ่งที่นักทฤษฎีวิวัฒนาการได้ปลอมแปลงขึ้นมาเพื่อหลอกลวงผู้คนให้หลงเชื่อไปกับทฤษฎีการวิวัฒนาการก็คือ Nebraska Man โดยสิ่งนี้ได้ถูกทำขึ้นมาในปี 1922 เพียงแค่อยู่บนพื้นฐานของซากฟอสซิลของฟันเพียงซี่เดียว พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการเหล่านี้ก็ไม่รอช้าที่จะตั้งชื่อให้ มันเสียอย่างหรูหรา โดยตั้งเป็นภาษาลาตินว่า Hesperopithecus Haroldcooki และพวกเขาก็ไม่รอช้าเช่นกันที่จะวาดภาพเกี่ยวกับซากฟอสซิลที่พบอันนี้ขึ้นมา ไปตามจิตนาการของพวกเขา
แต่ไม่ช้าก็ถูกเปิดเผยว่าฟันซี่นี้ที่เป็นตัวการสำคัญที่พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการนำมากล่าวอ้างว่าเป็น Nebrask Man นั้นความเป็นจริงแล้วเป็นเพียงฟันของหมูป่าชนิดหนึ่ง
ซากฟอสซิลอันมากมายที่ถูกนำมาเป็นข้อกล่าวอ้างว่าเป็นหลักฐานของการวิวัฒนาการในที่สุดก็ต้องตกไปทีละชิ้น
Ø Neanderthal Man ถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างหลักฐานทางการวิวัฒนาการ ในปี 1856 แต่ก็ถูกยกเลิกไป ในปี 1960
Ø Pildown Man ถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างหลักฐานทางการวิวัฒนาการในปี 1912 แต่ก็ถูกยกเลิกไป ในปี 1953
Ø Hesperopithecus ถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างหลักฐานทางการวิวัฒนาการ ในปี 1922 แต่ก็ถูกยกเลิกไปในปี 1927
Ø Zinjantropus ถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างหลักฐานทางการวิวัฒนาการ ในปี 1959 แต่ก็ถูกยกเลิกไปในปี 1960
Ø Ramapithecus ถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างหลักฐานทางการวิวัฒนาการ ในปี 1964 แต่ก็ถูกยกเลิกไปในปี 1979
ถึงแม้ความจริงจะเป็นเช่นนี้แล้วก็ตาม แต่กะโหลกศีรษะเหล่านี้ก็ยังคงถูกนำมาเสนอต่อหน้าสาธารณะชน โดยผ่านทางสื่อมวลชนหรือไม่ก็ผ่านทางหนังสือหรือตำราเรียนที่เขียนโดยพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการราวกับว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นความจริง
หลักฐานทางการวิวัฒนาการตามที่พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการได้นำขึ้นมากล่าวอ้างเช่นนั้นโดย ส่วนมากแล้วก็ได้ถูกหักล้างและปฏิเสธโดยตัวของพวกเขาเอง
แต่กระนั้นมันก็ยังคงถูกนำมาสอนในตำราเรียนให้กับเด็กในโรงเรียน และในหนังสือเรียนเหล่านั้นก็จะมีภาพวาดเพื่อแสดงให้เห็นถึงบรรพบุรุษของมนุษย์ แต่โดยความเป็นจริงแล้ว ข้อเท็จจริงที่พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการได้พยายามอย่างหนักที่จะปฏิเสธและพยายามปกปิดไว้ ก็ได้มีอยู่ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ชัด แล้วแก่ทุกๆคน สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาบนโลกนี้อย่างฉับพลันและอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ทุกส่วน นั้นก็คือพวกมันได้ถูกสร้างขึ้นมานั้นเอง พระผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงมีอำนาจปกครองเหนือทั้งธรรมชาติ พระองค์ได้ทรงสร้างทุกสิ่งขึ้นมาพร้อมด้วยกับคุณลักษณะ เฉพาะตัวของสิ่งเหล่านั้นโดยสมบูรณ์
พระเจ้าผู้ทรงสร้างนั้นก็คือ อัลลอฮฺ พระผู้เป็นเจ้าเพียงองค์เดียว พระองค์ทรงเป็นพระผู้ทรงอภิบาลแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน ตลอดจนสิ่งที่อยู่ในระหว่างชั้นฟ้าและแผ่นดิน
“โอ้มนุษย์อะไรหรือที่ล่อลวงเจ้า(ให้ทรยศ) กับองค์อภิบาลของเจ้า ผู้ทรงเกียรติยิ่ง พระองค์ทรงบันดาลเจ้า แล้วทรงจัดความสมดุลแก่เจ้าแล้วทรงประทานความสมส่วนแก่เจ้า ในรูปแบบใดที่พระองค์ทรงประสงค์พระองค์ก็ทรงประกอบแก่เจ้า(ให้เป็นไปตามรูปนั้น)” (คำแปลคัมภีร์ อัลกุรอาน ซูเราะฮ อัลอิมฟิฎอร บทที่ 82โองการ6-8 )สำหรับผู้ที่ต้องการค้นคว้าหรืออ่านข้อมูลเสริมเป็นภาษาอังกฤษเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็เข้าได้ที่ http://www.harunyahya.com/c_refutation_darwinism.php
http://www.darwinism-watch.com/index.php
แปลและเรียบเรียงโดย อ.ชารีฟ วงศ์เสงี่ยมมีอะไรดีดีดู