ทฤษฎีการวิวัฒนาการ ความเท็จที่ถูกเชื่อถือ(3)


การล้มสลายของลัทธิการวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน และ ความเป็นจริงแห่งการสร้างและการดลบันดาล

บันทึกจากซากฟอสซิล

ในศตวรรษที่ 20 นี้ทฤษฎีการวิวัฒนาการไม่เพียงแต่จะถูกหักล้างด้วยกับวิทยาศาสตร์ทางด้านชีววิทยาโมเลกุลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ก็ยังถูกหักล้างด้วยกับวิทยาศาสตร์ทางด้านชีววิทยาที่เกี่ยวกับชีวิตของพืชและสัตว์โบราณอีกด้วยเช่นกัน

จากการขุดค้นที่ทำกันอยู่ทั่วโลกก็ทำให้เราทราบว่า ไม่มีการขุดพบซากฟอสซิลครั้งใดเลยที่จะสามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานสนับสนุนทฤษฎีวิวัฒนาการนี้ได้

ฟอสซิลก็คือซากของสิ่งมีชีวิตที่ได้เคยมีชีวิตอยู่ในอดีต โครงกระดูกของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นสามารถคงอยู่ในสภาพเดิมได้ไม่เปลี่ยนแปลงถ้าโครงกระดูกมันถูกปกป้องให้พ้นจากอากาศ ซากฟอสซิลที่เหลืออยู่นี้แหละที่จะทำให้เราสามารถรับรู้ได้ถึงประวัติความเป็นมาของชีวิตบนโลกนี้ ดังนั้นซากของฟอสซิลนี้เองที่จะเป็นตัวตอบคำถามทางวิทยาศาสตร์ในปัญหาที่เกี่ยวกับแหล่งกำเนิดและที่มาของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย

ทฤษฎีการวิวัฒนาการได้กล่าวอ้างว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน ตามทฤษฎีนี้แล้ว สิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่แตกต่างกันไปเหล่านี้เป็นผลเกิดมาจาก การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในลักษณะที่ค่อยๆเป็นค่อยๆไปทีละเล็กทีละน้อยในช่วงระยะเวลาที่ยาวนาน ทฤษฎีนี้ได้อ้างเหตุผลว่าสิ่งมีชีวิตประเภทแรกที่มีเซลเดียวนี้ ได้เกิดขึ้นมาและต่อจากนั้นเป็นระยะเวลาร้อยๆล้านปีก็ค่อยๆกลายเป็นสัตว์ทะเลที่ไม่มีกระดูกสันหลังและก็กลายมาเป็นปลาไปตามลำดับ และก็ทึกทักกันไปว่าปลานี้ก็เกิดขึ้นมาอยู่บนบกและค่อยๆกลายเป็นสัตว์เลื่อยคลานไป และ ยังไม่จบเพียงแค่นั้น ก็ยังทึกทักอ้างกันต่อไปอีกว่านกและสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหลายที่มีอยู่ได้วิวัฒนาการมาจากสัตว์เลื้อยคลานอีกทีหนึ่ง

ข้อกล่าวอ้างทั้งหลายเหล่านั้นจะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อ ปรากฏว่ามีสิ่งที่มีชีวิตที่อยู่ในช่วงกึ่งๆกลางๆที่กำลังจะกลายพันธุจากชนิดหนึ่งไปสู่อีกชนิดหนึ่งให้ได้เห็น เช่น ถ้าสัตว์เลื้อยคลานที่มีอยู่วิวัฒนาการไปเป็นนกจริงแล้วล่ะก็ ก็จะต้องมีสัตว์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ครึ่งตัวเป็นนกอีกครึ่งตัวเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่ได้อาศัยอยู่ไม่ช่วงใดก็ช่วงหนึ่ง และสัตว์เช่นนั้นก็จะต้องมีอวัยวะที่ยังไม่สมบูรณ์หรือยังพัฒนาไปได้ไม่เต็มรูปแบบ

ดาร์วินได้เรียกสัตว์ที่เขาสันนิษฐานเอาเองเช่นนี้ว่า “transitional forms”  หรือสัตว์ที่กำลังอยู่ในช่วงของการวิวัฒนาการจากชนิดหนึ่งไปสู่อีกชนิดหนึ่ง ดาร์วินรู้ว่าการที่จะทำให้ทฤษฎีของเขาเป็นที่ยอมรับหรือได้รับการสนับสนุนก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการคุดพบซากสัตว์ หรือฟอสซิลที่มีลักษณะดังกล่าวนั้นคือซากฟอสซิลของ สัตว์ที่กำลังอยู่ในช่วงการวิวัฒนาการจากชนิดหนึ่งไปสู่อีกชนิดหนึ่ง ในหนังสือของดาร์วิน    the Origin of Species   เขาได้เขียนไว้ว่า ถ้าทฤษฎีของผมเป็นจริงแล้วละก็ นั้นก็หมายความว่าจะต้องมีสิ่งมีชีวิตเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนที่มีลักษณะทางด้านลำตัวที่อยู่ในช่วงการวิวัฒนาการปรากฏให้เห็นอยู่อย่างแน่นอน  และสัตว์ที่ว่านั้นก็จะเป็นตัวเชื่อมไปสู่สัตว์ทุกชนิดที่แตกมาจากกลุ่มเดียวกัน และเมื่อเป็นอย่างที่ว่านี้แล้วก็จะต้องมีซากฟอสซิลของสัตว์ให้พบเห็นที่จะเป็นตัวบอกให้รู้ว่ามันได้เคยเป็นสัตว์ชนิดใดมาก่อนที่จะวิวัฒนาการมาเป็นสัตว์อีกประเภทหนึ่ง (Charles Darwin,the Origin of Species,1st ed p.179)

อย่างไรก็ตามดาร์วินรู้ดีว่าซากฟอสซิลที่ถูกค้นพบนั้นไม่มีปรากฏให้เห็นเลยถึงข้อสันนิษฐานของเขาที่เกี่ยวกับสัตว์ที่อยู่ในช่วงการวิวัฒนาการจากสัตว์ชนิดหนึ่งไปสู่สัตว์อีกชนิดหนึ่ง นั้นคือเหตุผลที่เขาได้ยอมลงทุนเขียนบทๆหนึ่งขึ้นมาเป็นพิเศษในหนังสือของเขา  โดยกล่าวเกี่ยวกับปัญหานี้ไว้ดาร์วินได้ตั้งคำถามที่น่าปวดหัวนี้ขึ้นมาว่า

ถ้าสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาโดยผ่านขั้นตอนการวิวัฒนาการจริงแล้วล่ะก็ ทำไมเราไม่พบเห็นสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนสักที่เดียวที่จะมีลักษณะโครงสร้างที่กำลังจะกลายพันธุจากสัตว์ประเภทหนึ่งไปสู่สัตว์อีกประเภทหนึ่ง

แต่ทว่าตามทฤษฎีนี้แล้วจะต้องมีสิ่งมีชีวิตประเภทดังที่กล่าวมา ให้ปรากฏเห็นนับจำนวนไม่ถ้วนที่กำลังจะกลายพันธุ์หรือกำลังวิวัฒนาการไปสู่สัตว์อีกชนิดหนึ่ง  แต่ทำไมเราไม่พบสัตว์ที่กล่าวมานี้ที่ถูกฝังอยู่ตามชั้นดินต่างๆเลย ทั้งๆที่มันน่าจะมีจำนวนที่นับไม่ถ้วน (Charles Dawin,The Origin of Species,1st, ed p.172)

ดาร์วินได้นึกจิตนาการเอาไปเองว่าสิ่งมีชีวิตที่กำลังอยู่ในช่วงการวิวัฒนาการนี้จะหาเจอได้ก็ต่อเมื่อซากฟอสซิลได้ถูกตรวจสอบกันเป็นอย่างดีมากกว่านี้

ต่อจากนั้นนักทฤษฎีวิวัฒนาการที่หลงเชื่อตามดาร์วินก็พยายามตรวจสอบชั้นดินทางด้านธรณีวิทยาทั่วโลกดูอีกในช่วง 104 ปีที่ผ่านมาโดยพยายามหาซากฟอสซิลที่หายไปของสิ่งมีชีวิตตามการวิวัฒนาการที่เขาจิตนาการขึ้นมาเองนี้ แต่ความพยายามทั้งหลายเหล่านั้นก็ต้องจบลงด้วยความผิดหวังสิ่งมีชีวิตตามการวิวัฒนาการที่ดาร์วินได้จิตนาการไว้นี้ก็ยังคงเป็นการจิตนาการต่อไป

นักชีววิทยาทางด้านพืชและ สัตว์โบราณชาวอังกฤษ Derek Anger ได้ยอมรับความจริงข้อนี้ ถึงแม้ตัวเขาเองจะเป็นนักทฤษฎีวิวัฒนาการก็ตาม

จากการสำรวจดูซากฟอสซิลอย่างละเอียดแล้วไม่ว่าจะดูตามลำดับชั้นตระกูลหรือตามประเภทชนิด  เราก็ไม่สามารถพบร่องรอยที่จะบ่งได้ถึงการวิวัฒนาการไปทีละเล็กทีละน้อยตามที่กล่าวอ้างเลยแม้สักครั้งเดียว  แต่จะพบว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นเกิดขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ในทันทีทันใดในกลุ่มชนิดของมันโดยไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ และนั้นก็หมายความว่ามันมิได้วิวัฒนาการมาจากกันนั้นเอง (Derek Ager, Proceedings of the British Geological Association,Vo.87,p.133,ข้อมูลการบันทึกของสมาคมทางด้านธรณีวิทยาของประเทศอังกฤษ)

ชั้นพื้นดินที่มีอายุเก่าแก่มากที่สุดที่ซึ่งได้มีการขุดพบซากฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตนั้นก็คือชั้นดินในยุคของแคมเบรียน ซึ่งมีอายุเก่าแก่ประมาณ 500-530 ล้านปี ในชั้นพืนดินที่มีอายุมากกว่ายุคของแคมเบรียนนี้ไม่มีการขุดพบซากฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตใดๆนอกจากสิ่งมีชีวิตเล็กๆไม่เพียงกี่ชนิดที่มีเพียงเซลเดียว  แต่กระนั้นก็ดีในยุคของแคมเบรียนนั้นจะเห็นได้ว่า มีสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดมากมายปรากฏขึ้นมาอย่างฉับพลัน

สัตว์ที่ไร้กระดูกสันหลังมากกว่า 30 ชนิดปรากฏขึ้นมาในทันที่ทันใดโดยไม่มีร่องรอยแห่งการวิวัฒนาการกันมาแต่อย่างใดสัตว์ที่พบ  เช่นแมงกะพรุน ปลาดาว แมงทะเล หอยทาก สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีระบบการทำงานในตัวของมันที่ซับซ้อน เช่นระบบการหมุนเวียนขับถ่ายและมันก็ยังมีระบบการทำงานของอวัยวะส่วนต่างๆที่น่าซับซ้อนเป็นอย่างมากอีกด้วยเช่นกัน เช่นตาของแมงทะเลนั้นจะมีช่องเล็กๆมองดูคล้ายกับรวงผึ้งเป็นร้อยๆช่องโดยที่แต่ละช่องนั้นจะมีระบบเลนส์แบบสองชั้น และนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งแห่งมหัศจรรย์แห่งการสร้างสรรค์และการออกแบบมาและแมงทะเลนี้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดแรกของโลกที่มีตา และสิ่งนี้ก็จะใช้เป็นตัวที่จะมาหักล้างอย่างเด็ดขาดถึงข้อกล่าวอ้างของพวกที่ยึดถือลัทธิดาร์วินที่ว่าสิ่งมีชีวิตค่อยๆวิวัฒนาการจากสิ่งมีชีวิตที่หยาบๆไม่ซับซ้อนอะไรไปสู่สิ่งมีชีวิตที่มีระบบการทำงานที่ซับซ้อน

ยิ่งไปกว่านั้นลักษณะโครงสร้างของตาที่คล้ายๆรวงผึ้งของแมงทะเลนี้ได้มีมานานแล้วตั้งแต่  530 ล้านปีโดยไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อยแมลงที่มีอยู่ในปัจจุบันเช่น ผึ้ง และแมงปอ ก็มีลักษณะโครงสร้างทางตาที่เหมือนกันกับแมงทะเลนี้

ตามทฤษฎีการวิวัฒนาการนี้สิ่งมีชีวิตจะต้องค่อยๆวิวัฒนาการเกิดขึ้นมาจากสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่ก่อนแล้ว แต่อย่างไรก็ตามไม่ปรากฏว่าจะมีสิ่งที่มีชีวิตชนิดใดที่จะมีลักษณะโครงสร้างอันซับซ้อนปรากฏหรือเกิดขึ้นมาก่อนหน้าแมงทะเลนี้ หรือก่อนหน้าสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆที่มีอยู่ในยุคแคมเบรียนสิ่งมีชีวิตในยุคแคมเบรียนเกิดขึ้นมาอย่างกะทันหันโดยที่มันมิได้วิวัฒนาการมาและมันก็ไม่มีบรรพบุรุษด้วย Richard Dawkins นักสัตว์วิทยาชาวอังกฤษผู้ที่เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นผู้ที่สนับสนุนทฤษฎีการวิวัฒนาการนี้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังกล่าวยอมรับในสิ่งนี้ไว้ดังนี้

ดูเหมือนกับว่าสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในยุคแคมเบรียนจะมีอยู่อย่างนั้นก่อนแล้วโดยไม่มีร่องรอยทางประวัติศาสตร์ที่จะบอกให้รู้ถึงการวิวัฒนาการเลย ( Richard Dawkins, The Blind Watchmaker   , 1986 p.,229)

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับไปหักล้างทฤษฎีการวิวัฒนาการลงอย่างแน่นอนและเด็ดขาด เพราะดาร์วินได้เขียนไว้ในหนังสือของเขาเองว่า

ถ้าสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่มาจากตระกูลเดียวกันเหล่านี้เกิดขึ้นมาพร้อมๆกัน ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงแล้วล่ะก็นั้นก็จะทำให้ทฤษฎีที่ว่าด้วยการเลือกสรรทางธรรมชาติโดยผ่านขั้นตอนการวิวัฒนาการต้องจบลงอย่างแน่นอน (Charles Darwin,The Origin of Species,1st ,ed p.,302)

และสิ่งที่ดาร์วินกลัวนี้เองก็เกิดขึ้นมาจริงในยุคของแคมเบรียนนี้เอง ซึ่งเป็นช่วงที่มีการบันทึกซากฟอสซิลขึ้นในซากฟอสซิลที่มีอยู่ตามชั้นดินต่างๆ ที่มีมาในยุคหลังจากแคมเบรียนนี้ ก็จะเห็นได้ว่าสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหัน โดยอยู่ในรูปลักษณะโครงสร้างที่สมบูรณ์โดยไม่มีร่องรอยแห่งการวิวัฒนาการอยู่เลย สัตว์จำพวกปลา สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ นก สัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนมและสิ่งมีชีวิตอื่นๆอีกเป็นแสนๆชนิด เหล่านี้ เกิดขึ้นมาโดยฉับพลันและก็มีโครงสร้างลักษณะเฉพาะพิเศษในตัวของมันเอง โดยไม่มีร่องรอยแห่งการวิวัฒนาการใดๆเกิดขึ้นเลยในระหว่างจำพวกสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆเหล่านั้นอย่างที่พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการได้คิดจิตนาการกันไปเอง

ความจริงข้อนี้เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดเหล่านี้ได้ถูกสร้างขึ้นมาตามแต่ชนิดและลักษณะของมัน โดยพระผู้เป็นเจ้า Mark Czarneck  ซึ่งเป็นนักชีววิทยาทางด้านพืชและสัตว์โบราณและตัวเขาเองก็เป็นนักทฤษฎีวิวัฒนาการ ได้ยอมรับถึงความจริงข้อนี้ไว้ว่า

ปัญหาใหญ่ของทฤษฎีการวิวัฒนาการนี้อยู่ที่ซากฟอสซิล จากการขุดพบซากฟอสซิลไม่ได้บ่งบอกถึงร่องรอยที่จะบอกถึงการวิวัฒนาการตามที่ดาร์วินได้สมมุติฐานไว้เลย   แต่ในทางตรงกันข้าม สิ่งมีชีวิตเหล่านี้เกิดขึ้นมาและก็หายสาบสูญไปโดยฉับพลัน และสิ่งที่ดูเป็นเรื่องแปลกนี้ก็เป็นสิ่งที่จะมาช่วยสนับสนุนการกล่าวอ้างเหตุผลของผู้ที่เชื่อว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดนั้นได้ถูกสร้างขึ้นมาโดยพระผู้เป็นเจ้า (Mark Czarnecki,McLean's,19 January 1981,p.56)

ยิ่งไปกว่านั้น ซากฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตที่มีอายุเป็นร้อยล้านปีกับสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ก็ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรกันเลย อย่างเช่น ซากของ ปลาฉลามที่มีอายุถึง 400 ล้านปี กับปลาฉลามที่มีอยู่ในปัจจุบันก็มีลักษณะโครงสร้างที่เหมือนกันทุกอย่างเลย เช่นเดียวกัน ซากฟอสซิลของมดที่มีอายุถึง 100 ล้านปีกับมดที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซากฟอสซิลของแมลงปอ อายุ135 ล้านปี กับแมลงปอที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซากฟอสซิลของ เต่าอายุ 100 ล้านปีกับ เต่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซากฟอสซิลของ ค้างคาวอายุ 55 ล้านปีกับ ค้างคาวที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรกันเลย

นั้นก็หมายความว่า สิ่งที่มีชีวิตทุกประเภทและทุกชนิด ได้ถูกสร้างขึ้นมา โดยพระผู้เป็นเจ้า โดยที่มันมิได้ผ่านขั้นตอนการวิวัฒนาการมาแต่อย่างใด หลังจากที่มันได้ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว

แต่กระนั้นก็มีซากฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตบางชนิดที่พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการได้หยิบยกขึ้น เพื่อนำมากล่าวอ้างให้คนเชื่อว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาจากการวิวัฒนาการจริง แต่ต่อมาในภายหลังก็ปรากฏออกมาว่าไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลย

หนึ่งในฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตที่เป็นตัวการสำคัญ ที่ทำให้พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการนำมาใช้กล่าวอ้าง เพื่อที่จะสนับสนุนทฤษฎีนี้ก็คือ  ซากฟอสซิลของปลาชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่า Coelacanth  เป็นเวลาหลายปีด้วยกันที่นักทฤษฎีวิวัฒนาการ กล่าวอ้างว่าปลาชนิดนี้เป็นซากฟอสซิลชนิดเดียวเท่านั้นที่มีคุณลักษณะที่เหมือนกันกับสัตว์ที่อาศัยอยู่บนบก โดยพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการเหล่านี้ได้อ้างเหตุผลว่าปลาชนิดนี้มีโครงสร้างของขาและปอดที่หยาบๆที่ไม่มีระบบที่ซับซ้อนอะไรมาก และข้อกล่าวอ้างของพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการเหล่านี้ก็ถูกเชื่อกันไปว่าเป็นความจริงทางวิทยาศาสตร์ และก็ยังมีการวาดภาพขึ้นมาจากจิตนาการ  โดยเป็นภาพของสัตว์ชนิดหนึ่งที่กำลังคลานขึ้นมาจากน้ำเพื่อที่จะขึ้นมาบนบก และภาพวาดจิตนาการที่ถูกวาดขึ้นนี้ก็มีอยู่ให้เห็นตามหนังสือและตำราเรียนโดยทั่วไป ราวกับเป็นจริง

แต่พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการก็ต้องตกตะลึงเป็นอย่างมากเมื่อสัตว์ตัวอย่างที่พวกเขายกขึ้นมา กล่าวอ้างว่า เป็นปลา  Coelacanth ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว  นั้นถูกจับได้ที่มหาสมุทรอินเดียเมื่อปี 1938 และหลังจากนั้นก็เป็นที่รู้กันว่าปลาชนิดนี้ที่พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการกล่าวอ้างนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรไปกับปลาที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันนี้เลย และปลา Coelacanth ที่ว่านี้ก็ไม่ได้มีขาและปอดที่หยาบๆ ที่ยังไม่สมบูรณ์เหมือนอย่างที่พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการได้กล่าวอ้างกันไว้เลยและที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ปลา Coelacanth  ที่ทึกทักกันไปว่าคลานขึ้นมาบนบกนี้ จริงๆแล้วเป็นปลาชนิดที่จะอยู่อาศัยเฉพาะในน้ำทะเลลึกเพียงเท่านั้น และมันจะไม่ขึ้นมาเหนือน้ำ ภายในระยะ180เมตรจากพื้นน้ำ

สัตว์อีกชนิดหนึ่งที่ถูกนำมากล่าวอ้างว่าเป็นสัตว์ที่มาจากการวิวัฒนาการนั้นก็คือ ซากฟอสซิลของนกชนิดหนึ่งซึ่งถูกเรียกว่า  Archaeopteryx  เป็นเวลาหลายทศวรรษด้วยกันที่ พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการ ได้กล่าวอ้างว่านก ชนิดนี้เป็นสัตว์ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการวิวัฒนาการระหว่างสัตว์เลื้อยคลานกับนก 

แต่อย่างไรก็ตาม จากการค้นพบซากฟอสซิลซึ่งเป็นฟอสซิลที่ 7 ของนก Archaeopteryx  ในปี 1992 นี้ก็ทำให้รู้ว่านกชนิดนี้มีกระดูกสันหน้าอกหรือกระดูกกลางหน้าอก ที่เป็นส่วนสำคัญต่อกล้ามเนื้อที่ใช้ในการบิน สิ่งนี้ได้พิสูจน์ให้รู้ว่า นกชนิดนี้เป็นนกที่บินได้ที่สมบูรณ์ มาแต่แรกไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันกับการวิวัฒนาการ เลย และคำกล่าวอ้างของพวกทฤษฎีวิวัฒนาการที่เกี่ยวกับเล็บที่มองดูเหมือนอุ้งเท้าที่อยู่บนปีกทั้งสองของนกชนิดนี้ ก็ต้องตกไปเช่นกัน ทั้งนี้ก็เพราะมีการค้นพบลักษณะโครงสร้างของนกที่มีอยู่ในปัจจุบันที่เหมือนกันกับลักษณะโครงสร้างของนก   Archaeopteryx  เช่นนก  Hoatzin  เนื่องด้วยเหตุนี้นี่เองที่  Stephen Jay Gould  นักชีววิทยาทางด้านพืชและสัตว์โบราณของมหาวิทยาลัยฮาวาดและเขาผู้นี้ก็เป็นผู้คอยปกป้องทฤษฎีการวิวัฒนาการเขาต้องกล่าวยอมรับว่านก Archaeopteryx  นี้ไม่สามารถที่จะเป็นตัวบ่งชี้ถึงร่องรอยแห่งการวิวัฒนาการได้

เมื่อเราได้ตรวจสอบดูลักษณะทางด้านโครงสร้างของสัตว์ชนิดต่างๆเราก็จะพบว่า มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีขั้นตอนการวิวัฒนาการเกิดขึ้นมาระหว่างสัตว์ที่ต่างชนิดกันเหล่านั้น เช่นมันเป็นไปไม่ได้เลยที่ปลาที่มีระบบการหายใจ การขับถ่ายตลอดจนลักษณะทางด้านโครงสร้างของตัวมันเองและระบบการเผ่าผลาญที่ได้ถูกออกแบบและกำหนดมาเป็นอย่างดีให้เหมาะแก่การมีชีวิตอยู่ในน้ำ  เป็นไปไม่ได้ที่มันจะเปลี่ยนตัวของมันเองไปเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่บนบกโดยคลานขึ้นมาจากน้ำมาสู่บก

แม้แต่สัตว์บกก็ยังมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมากเลย พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการกล่าวอ้างว่า นกวิวัฒนาการมาจากสัตว์เลื้อยคลาน โดยมันเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ แต่กระนั้นสัตว์เลื้อยคลานนั้นเป็นสัตว์เลือดเย็น ส่วนนกนั้นเป็นสัตว์เลือดอุ่น ลักษณะลำตัวของนกจะถูกปกคลุมไปด้วยขนที่ถูกจัดสร้างและเรียบเรียงมาอย่างสลับซับซ้อนและละเอียดอ่อน ส่วนลักษณะลำตัวของสัตว์เลื้อยคลานนั้นจะมีเกล็ดเต็มตัว ซึ่งไม่ได้มีความเหมือนกันกับขนของนกเลย นกมีระบบการทำงานของปอดที่ไม่เหมือนกันกับระบบการทำงานของปอดของสัตว์บกประเภทอื่นๆ คุณสมบัติในการล่อนไปในอากาศของปีกนกก็ไม่สามารถเป็นผลที่เกิดมาจากการวิวัฒนาการได้เลยอย่างเด็ดขาด มันเป็นไปไม่ได้ที่ปีกของนกจะค่อยๆ พัฒนาหรือวิวัฒนาการมาเหมือนอย่างที่พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการได้กล่าวอ้างกัน ทั้งนี้ก็เพราะปีกของนกที่ยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ที่เป็นแบบครึ่งๆ กลางๆ นั้นนอกจากจะไม่เป็นข้อดีแล้วยังจะเป็นข้อเสียอีกด้วยและอาจถึงอันตรายได้
คำสำคัญ (Tags): #ศาสนาอิสลาม
หมายเลขบันทึก: 94298เขียนเมื่อ 4 พฤษภาคม 2007 15:15 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 18:28 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท