ขั้นตอนและวิธีการที่ได้มาจากการจิตนาการในขบวนการทฤษฎีการวิวัฒนาการ
การปั้นเรื่องขึ้นมาของพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการที่ทำให้เห็นว่าชีวิต นั้นสามารถเกิดมาจากสิ่งที่ไม่มีชีวิตนั้นได้ถูกหักล้างด้วยกับวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันไปแล้ว นอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีระบบหรือขั้นตอนการทำงานในธรรมชาติใดๆที่จะเป็นไปตามทฤษฎีการวิวัฒนาการตามที่ได้ถูกนำมากล่าวอ้างมา ไม่มีระบบโครงสร้างการทำงานทางธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตประเภทใดๆ ที่จากเซลล์ๆเดียวจะสามารถเปลี่ยนแปลงหรือกลายไปเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีระบบการทำงานที่ซับซ้อนมากขึ้นจนกลายเป็นที่มาหรือบรรพบุรุษของสิ่งมีชีวิตอีกเป็นล้านๆชนิด
ดาร์วินได้นำเสนอแนวความคิดเพียงอย่างเดียวที่จะมาเป็นตัวอธิบายระบบทางด้านการวิวัฒนาการของเขา และแนวความคิดนั้นก็คือ การเลือกสรรทางธรรมชาติ จากหนังสือที่เขาเขียนก็ทำให้เรารู้ว่าดาร์วินได้ให้ความสำคัญต่อแนวความคิดนี้เป็นอย่างมาก (The Origin of Species by Means of Natural Selection) แหล่งกำเนิดของสิ่งมีชีวิตโดยวิธีการสรรทางธรรมชาติ การเลือกสรรทางธรรมชาตินี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเชื่อที่ว่า ผู้ที่แข็งแรงที่สามารถปรับตัวเองได้ดีต่อสภาพแวดล้อมก็จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้ ยกตัวอย่างเช่นฝูงกวางที่ถูกไล่ล่าโดยสัตว์ล่าเหยื่อ กวางตัวที่วิ่งได้เร็วกว่าก็จะสามารถมีชีวิตรอดมาได้หลังจากนั้นกวางส่วนใหญ่ในฝูงก็จะมีแต่กวางตัวที่แข็งแรงและฉับไวเนื่องจากตัวที่เชื่องช้าและอ่อนแอกว่าก็จะตกเป็นเหยื่อไปหมดแล้ว
แต่ถึงแม้ระบบความเป็นอยู่ทางธรรมชาติจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้ทำให้กวางต้องมีการวิวัฒนาการแต่อย่างใด มันไม่ได้เปลี่ยนกวางให้ไปเป็นสัตว์อีกประเภทหนึ่งเลย เช่นเปลี่ยนไปเป็นม้า การเลือกสรรทางธรรมชาตินี้ก็เป็นเพียงการกำจัดตัวที่ป่วยหรือพิการอ่อนแอออกไปและมันก็ยืนยันถึงการมีอยู่ต่อไปตลอดจนความสมบูรณ์แข็งแรงของสิ่งมีชีวิตอีกบางจำพวก และการเลือกสรรทางธรรมชาตินี้ก็ไม่ได้มีแรงผลักดันหรือเป็นตัวที่จะทำให้เกิดการวิวัฒนาการขึ้นมาได้
ดาร์วินก็รู้ตัวดีถึงสิ่งนี้เช่นกันและนี้ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ดาร์วินกล่าวยอมรับไว้ในหนังสือของเขา (The origin of species) แหล่งกำเนิดของชีวิต โดยเขากล่าวว่า การเลือกสรรทางธรรมชาติไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงที่เอื้ออำนวยและเหมาะเจาะที่จะเกิดขึ้นเองด้วยความบังเอิญในสิ่งมีชีวิต (Charles Darwin, The origin of Species, 1st, ed, p.177)
ดาร์วินได้รับอิทธิพลเป็นอย่างมากจากเพื่อนร่วมสมัยของเขาคนหนึ่ง ในแนวความคิดที่ว่าสิ่งมีชีวิตนั้นสามารถเกิดขึ้นมาเองและมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวของมันเองในสภาพการที่เหมาะสมและเอื้ออำนวย และเพื่อนร่วมสมัยของดาร์วินคนนั้นก็คือ Lamarck ลาร์มาค นักชีววิทยาชาวฝรั่งเศส
Lamarck มีความเชื่อว่า สิ่งมีชีวิตจะถ่ายทอดลักษณะพิเศษเฉพาะตัวที่มีอยู่ไปสู่รุ่นต่อไปที่จะมีมาทีหลัง ในแนวความคิด ของ Lamarck นั้นยีราฟวิวัฒนาการมาจากสัตว์ที่คล้ายกวาง นั่นก็คือลำคอของสัตว์จำพวกนี้จะคอยๆยืดออกมาไปตามกาลเวลาจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากมันพยายามที่จะเอื้อมไปกินใบไม้ที่อยู่บนกิ่งสูงๆ
Lamarck ก็มีความเชื่อเช่นกันว่าถ้าแขนของคนในสมาชิกในครอบครัวถูกตัดออกเป็นเวลาหลายชั่วอายุคน เด็กที่เกิดขึ้นมาใหม่ในภายหลังก็จะเริ่มแขนกุดหรือไม่มีแขน
ดาร์วินผู้ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากสิ่งเหล่านี้ที่กล่าวมา ก็ยิ่งมีแนวความคิดที่ฮึกเหิมมากไปกว่านั้นโดยที่เขาได้กล่าวไว้ในหนังสือ The Origin of Species ของเขาโดยที่ เขาได้กล่าวอ้างให้เหตุผลว่า หมีบางชนิดที่พยายามหาเหยื่อในน้ำก็ได้วิวัฒนาการไปเป็นปลาวาฬในที่สุด
แต่กระนั้นแนวความคิดทั้งของ Lamarck และดาร์วินนั้นก็ผิดพลาด ทั้งนี้เนื่องจากแนวความคิดของเขาทั้งสองนั้นไปขัดแย้งกับกฎขั้นพื้นฐานที่สำคัญของชีววิทยา ในสมัยนั้นวิชาพันธุศาสตร์ วิทยาศาสตร์ทางด้านเคมีวิทยา ของสิ่งมีชีวิตตลอดจนจุลชีววิทยายังไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสาขาวิชาทางด้านวิทยาศาสตร์เลย กฎแห่งการถ่ายถอดลักษณะทางด้านพันธุกรรมก็ยังไม่เป็นที่รู้จักกันเลยในขณะนั้น ในความเป็นจริงแล้ว ทั้ง Lamarck และดาร์วินมีความเชื่อว่าลักษณะพิเศษทางพันธุกรรมนั้นสามารถถูกถ่ายถอดได้โดยผ่านทางกระแสเลือด
เนื่องจากความล้าหลังทางวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้น จึงไม่ได้ทำให้สิ่งที่ Lamarck และดาร์วินคิดขึ้นมาตามจินตนาการดูเป็นสิ่งที่แปลกแต่อย่างใด
ข้อสมมติฐานของดาร์วินมีผลต่อแวดวงทางวิทยาศาสตร์ในสมัยของเขาเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามดาร์วินก็ยังคงมีปัญหาที่แก้ไม่ตกอยู่ในหนังสือของเขาในบนที่เขากล่าวถึง ปัญหาทางทฤษฎีการวิวัฒนาการดาร์วินได้กล่าวไว้ว่า
ถ้ามีการพิสูจน์ให้เห็นว่า สิ่งมีชีวิตนั้นมีระบบการทำงานที่ซับซ้อนและอวัยวะต่างๆที่ช่วยในการปฏิบัติงานที่ซับซ้อนเหล่านั้นก็มิได้เกิดขึ้นมาตามขั้นตอนและขบวนการวิวัฒนาการ แต่เกิดขึ้นมาพร้อมๆกันในทีเดียว ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ทฤษฎีการวิวัฒนาการของดาร์วินเองก็จะต้องพังลงอย่างราบคาบ (Charles Darwin,The Origin of Species,1st ed ,p.189)
แต่ความจริงสิ่งที่ดาร์วินกลัวนี้ก็เกิดขึ้นเป็นจริงหลังที่เขาตายไปได้ไม่นาน จากกฎแห่งการถ่ายทอดลักษณะทางด้านพันธุกรรมที่ค้นพบโดยนักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรียนั่นคือ Gregor Medel ก็ทำให้สิ่งที่ทั้ง Lamarck และดาร์วินได้กล่าวอ้างยืนยันไว้ต้องจบลง จากวิทยาศาสตร์ทางด้านพันธุศาสตร์ที่ได้มีการพัฒนามาในช่วงเริ่มต้นแห่งศตวรรษที่20 นี้ ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการถ่ายทอดพันธุกรรมไปยังรุ่นถัดๆไปนั้นมิได้ถ่ายทอดกันโดยผ่านทางลักษณะเฉพาะพิเศษที่ได้รับมาทางด้านร่างกายหากแต่จะถ่ายทอดโดยผ่านทางยีนส์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
จากการค้นพบกฎการสืบพันธุกรรมนี่เองที่ทำให้เป็นที่รู้ชัดเจนว่า ความเชื่อจากการจินตนาการไปเองที่ว่าลักษณะเฉพาะตัวที่ได้มานั้นได้มาโดยการค่อยๆก่อตัวสะสมกันมาจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่งและในที่สุดก็ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตใหม่ขึ้นมา ซึ่งการคิดจิตนาการขึ้นมาเองเช่นนั้นเป็นสิ่งที่ไร้เหตุผลและไม่น่าเชื่อถือ
การเปลี่ยนแปลงจากสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งไปสู่สิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งที่มีความแตกต่างกันโดยผ่านทางพันธุกรรมตามที่ระบบกลไกลการเลือกสรรทางธรรมชาติของดาร์วินได้บอกไว้นั้น เป็นไปไม่ได้เลยและไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นมาเป็นจริงได้ ด้วยเหตุนี้เองทฤษฎีการวิวัฒนาการที่ดาร์วินนำมากล่าวอ้างก็ต้องล่มสลายและจบลงไปในต้นศตวรรษที่ 20 ที่ผ่านมานี้เองได้มีความพยายามอุสาหะของพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการคนอื่นๆในศตวรรษที่ 20 เพื่อจะพิสูจน์ทฤษฎีนี้ แต่ความจริงแล้วในทางตรงกันข้ามมันมีแต่จะยืนยันความจริงที่ว่าการเลือกสรรทางธรรมชาตินั้นไม่มีมูลเหตุแห่งความเป็นจริงที่จะเกี่ยวข้องกับการวิวัฒนาการแต่อย่างใด
Colin Patterson นักชีววิทยาทางด้านพืชและสัตว์โบราณชาวอังกฤษและก็เป็นนักทฤษฎีวิวัฒนาการที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งด้วย ได้กล่าวยอมรับถึงสิ่งนี้โดยเขาได้กล่าวว่า
ไม่มีใครเลยที่จะมีความสามารถที่จะสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นด้วยวิธีการหรือกลไกที่ได้มาจากการเลือกสรรทางธรรมชาติ ไม่มีใครพยายามทำสิ่งนี้ได้สำเร็จ และข้อถกเถียงที่มีอยู่ในลัทธิดาร์วินสมัยใหม่ในปัจจุบันนี้ ก็สาละวนอยู่กับปัญหาที่หาทางออกไม่ได้นี้ (Colin Patterson, BBC ,Cladistics,4th , March 1982)
วิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 20 นี้ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วเช่นกันว่า สิ่งมีชีวิตทั้งหลายนั้นมีระบบการทำงานและอวัยวะต่างๆที่มีกลไกการปฏิบัติงานที่ซับซ้อนและยุ่งยากเป็นอย่างมาก ถ้าขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปแม้เพียงส่วนเดียวระบบการทำงานทั้งระบบตลอดจนอวัยวะส่วนต่างๆก็จะไม่สามารถทำหน้าที่ปฏิบัติงานได้เลย นั่นก็หมายความว่าอวัยวะและระบบการทำงานเหล่านั้นจะต้องมีขึ้นมาพร้อมๆกันในเวลาเดียวกัน ลักษณะพิเศษเฉพาะเช่นนี้ซึ่งเรียกว่า “Irreductible Complexity” นั้นคือระบบการทำงานของสิ่งมีชีวิตที่ทุกๆส่วนจะต้องเกิดขึ้นมาพร้อมๆกันโดยจะขาดส่วนหนึ่งส่วนใดเสียมิได้
ลักษณะเฉพาะพิเศษที่กล่าวมาแล้วเช่นนี้เองที่เป็นหลักฐานพิสูจน์ให้เห็นว่าองค์ประกอบและโครงสร้างของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายเหล่านี้จะต้องเกิดขึ้นมาพร้อมๆกันโดยอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์
ความเป็นจริงนี้เองที่ลบล้างคำกล่าวอ้างของพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการได้ลงอย่างเด็ดขาด ที่พวกเขากล่าวอ้างว่าสิ่งมีชีวิตค่อยๆวิวัฒนาการเกิดขึ้นมาโดยการเลือกสรรทางธรรมชาติโดยผ่านขบวนการและขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงไปทีละเล็กละน้อยตามกาลเวลา และเมื่อเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ระบบกลไกลของการเลือกสรรทางธรรมชาติของดาร์วินนั้นไม่มีมูลฐานแห่งความเป็นจริงใดๆทางด้านการวิวัฒนาการ พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการที่ต้องการให้ทฤษฎีมีอยู่ต่อไปก็ต้องทำการเปลี่ยนแปลงแนวทางใหม่เป็นการใหญ่ในทางทฤษฎีนี้
นอกเหนือไปจากแนวความคิดของการเลือกสรรทางธรรมชาตินี้แล้วพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการเหล่านี้ก็คิดค้นระบบกลไกใหม่ขึ้นมาซึ่งเรียกว่า Mutation หรือกระบวนการเปลี่ยนแปลงของยีนส์
กระบวนการนี้คือการเปลี่ยนแปลงไปหรือการผิดเพี้ยนไปจากรูปเดิมของลักษณะที่มีอยู่ใน DNA ของสิ่งมีชีวิต โดยส่วนมากจะมีสาเหตุมาจากผลกระทบภายนอกเช่นกัมมันตภาพรังสีหรือปฏิกิริยาทางเคมี มาถึงตอนนี้ทฤษฎีการวิวัฒนาการก็ยังมีความเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่มีความแตกต่างกันไปและมีการพัฒนาการก็ เพราะมีสาเหตุมาจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใน DNA นี้ แต่สิ่งนี้ไม่สามารถเป็นจริงขึ้นมาได้ ทั้งนี้ก็เพราะการเปลี่ยนแปลงนี้จะยังแต่จะให้เกิดผลเสียต่อระบบข้อมูลใน DNA นี้เพียงอย่างเดียว และก็มีแต่จะเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตด้วย จากการทดลองที่กระทำกันทั้งในห้องแลปและตามธรรมชาติก็ไม่เคยพบว่าการเปลี่ยนแปลงในลักษณะนี้จะก่อให้เกิดผลดีขึ้นตามมา ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่าการเปลี่ยนแปลงเช่นที่ว่านี้นั้นจะไม่ช่วยทำให้เกิดข้อมูลใหม่ทางพันธุกรรม ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่สิ่งมีชีวิตจะมีอวัยวะใหม่ขึ้นมาได้โดยผ่านขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงเช่นที่ว่านี้ ไม่มีสัตว์เลื้อยคลานตัวไหนสามารถมีปีกได้และสิ่งมีชีวิตที่ไร้ดวงตาก็ไม่สามารถมีตาขึ้นมาเองได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในลักษณะเช่นนั้น
หลายทศวรรษด้วยกันที่นักทฤษฎีการวิวัฒนาการได้ลองนำสิ่งที่มีชีวิตไปทดลองโดยการให้สัมผัสกับกัมมันตภาพรังสีและสารเคมีทั้งนี้ก็เพื่อหวังที่จะได้การเปลี่ยนแปลงที่มีผลในทางบวกขึ้น แต่แล้วพวกเขาก็ต้องจบลงด้วยกับการได้มาซึ่งสิ่งมีชีวิตที่พิการบกพร่องไม่สมบูรณ์และยังเป็นหมัน
มีการทดลองนับครั้งไม่ถ้วนที่ทำกับแมลงวันผลไม้และมันแสดงให้เห็นว่าผลที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นนอกจากจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แต่อย่างใดแล้วยังจะก่อให้เกิดความเสียหายและเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตนั้นอีกด้วย
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใน DNA เช่นนั้นจะเป็นตัวไปก่อกวนรหัสทางพันธุกรรมที่ถูกจัดวางไว้เป็นอย่างดี และก็จะทำให้สิ่งมีชีวิตกลับกลายสภาพไปสู่สิ่งที่น่าแปลกประหลาดทั้งนี้ก็เนื่องมาจากความพิการและความบกพร่องดังที่ได้กล่าวมา
นั้นคือสาเหตุที่ว่าทำไมศาสตราจารย์ Richard Dawkins ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่สนับสนุนทฤษฎีการวิวัฒนาการผู้เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดคนหนึ่งในปัจจุบันต้องแสดงความลังเลออกมาเมื่อถูกขอให้ยกมาซักตัวอย่างหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเช่นที่ว่านั้นที่จะไปช่วยเพิ่มข้อมูลทางพันธุกรรมให้ดีขึ้นมา
ผู้สัมภาษณ์ศาสตราจารย์ Dawkins ถามว่า: ช่วยยกมาสักตัวอย่างหนึ่งได้ไหมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางด้านพันธุกรรมหรือขั้นตอนทางด้านการวิวัฒนาการที่ทำให้เราเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นจะไปช่วยเพิ่มข้อมูลให้กับหน่วยทางพันธุกรรมได้? แต่ศาสตราจารย์ Richard Dawkins ก็นิ่ง ไม่สามารถที่จะตอบคำถามนั้นได้
ความจริงเป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่าสิ่งมีชีวิตนั้นมีระบบการทำงานที่ซับซ้อนอยู่ในตัวซึ่งไม่มีวันที่มันจะเกิดขึ้นมาเองได้เลยด้วยความบังเอิญ นาฬิกาที่มีกลไกลการทำงานที่ซับซ้อนก็ยังไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นมาเองได้โดยการเข้ามารวมตัวกันเองของฟันเฟืองโดยความบังเอิญและนั้นก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่ามันจะต้องมีช่างทำนาฬิกานั้นขึ้นมา และเป็นช่างนาฬิกาที่มีความฉานฉลาดและความสามารถ ฉันใดก็ฉันนั้นสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดนั้นเต็มไปด้วยระบบการทำงานและมันถูกออกแบบมาเป็นอย่างดีซึ่งมันเป็นสิ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงการมีอยู่ของผู้สร้างผู้ที่สร้างมันมาจากความว่างเปล่าจากความไม่มีอะไรมาก่อน
สิ่งที่มีชีวิตในจักรวาลทั้งหมดล้วนแต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างมาอย่างไร้ข้อบกพร่องและไม่มีที่ติ เราสามารถที่จะรับรู้ถึงความมีวิทยปัญญาอันสูงส่งอำนาจและความรอบรู้ของผู้ทรงสร้างสิ่งเหล่านี้มาได้ด้วยการใคร่ครวญดูในสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา
แม้แต่การสร้างมนุษย์เองก็ยังเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งซึ่งเผยถึงความจริงที่ทฤษฎีการวิวัฒนาการพยายามที่จะหลบหลีกไม่กล้าเผชิญหน้ากับความจริง
“พระองค์อัลลอฮฺทรงบันดาล ทรงประดิษฐ์ ทรงกำหนดรูปสันถาน พระองค์ทรงพระนามอันไพจิตร สรรพสิ่งในฟากฟ้าและแผ่นดินต่างแซ่ซ้องสดุดีพระองค์ และพระองค์ทรงอำนาจเป็นที่สุด ทรงปรีชาญาณเป็นที่สุด” (คำแปลคัมภีร์ อัลกุรอาน ซูเราะฮ อัลฮัชรุ ,59:24)
ต่อภาค 2
ไม่มีความเห็น