คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
ผู้อำนวยการโครงการความร่วมมือเพื่อพัฒนาสถาบันการจัดการความรู้ชุมชนท้องถิ่น
และทีมงานได้มาเยี่ยมพื้นที่รับผิดชอบของนักจัดการความรู้ท้องถิ่นตำบลจรเข้ร้อง
อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง คือ คุณวลีรัตน์ จำนงค์เวช
หรือตุ๊กตา ซึ่งได้มานัดพบกันที่โรงเรียนบางศาลา ตำบลชัยฤทธิ์
จังหวัดอ่างทอง ในวันนี้ (4
ธ.ค.48)มีครูผู้ดูแลเด็กปฐมวัยเข้าร่วมแลกเปลี่ยนจำนวน 3 คนด้วยกัน
มีครูอึ่ง ครูมะลิวัลย์และครูวรรณวิมล
ประเด็นแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในวันนี้เป็นการแลกเปลี่ยนในประเด็นเล็กๆ
ที่ครูทั้ง 3 ท่านได้สะท้อนออกมาให้ทางทีมงานโครงการฯ
และนักจัดการความรู้ท้องถิ่นได้รับฟังกัน เรื่องเล็กๆ
ของครูศูนย์เด็กเล็กจะเล็กเท่ากับเด็กตัวน้อยหรือไม่
มาติดตามกันครับ...
ประเด็นเล็กๆ ประเด็นแรก (1) คือ
ความต้องการในการพัฒนาตนเองของครูศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทั้ง 3 คน
ซึ่งจุดนี้ ครูบางคนได้ไปอบรมมาแล้วหลายครั้งหลายที่
จึงพอมีความรู้ความเข้าใจต่อการจัดการเรียนการสอนและพัฒนาศักยภาพของตนเอง
แต่สำหรับครูบางคนไม่ค่อยได้ออกไปร่วมเวทีข้างนอก
จึงส่งผลให้ไม่ได้รับความรู้ที่จะนำมาพัฒนาตนเองและศูนย์เด็กเล็กได้ดีเท่าที่ควร
แต่สิ่งเหล่านี้ยังมีความเอื้ออาทรจากสายสัมพันธ์ของเพื่อนครูที่มีโอกาสไปรับการอบรมจากเวทีต่างๆ
มาถ่ายทอดความรู้ให้เพื่อนๆ ครูด้วยกันในบางครั้ง
ครูมะลิวัลย์เล่าให้ฟังว่า
“อย่างหนูไม่ได้ไปร่วมอบรมเหมือนกับพี่เค้า
แต่พี่อึ่งก็มาถ่ายทอดให้ฟังบ่อย ว่าไปทำอะไรบ้าง
แล้วจะเอามาทำต่ออย่างไร
ก็ได้รับความรู้จากการที่ได้คุยกันแบบตัวต่อตัว
แต่ตรงนี้การที่จะกลับมาขยายความรู้ให้เพื่อนครูคนอื่นๆ
ทั้งหมดยังไม่มากเท่าที่ควร ถ้ามีตรงนี้ได้ก็จะดีเหมือนกัน
เพราะครูศูนย์ฯ อื่นๆ
จะได้รับความรู้และมาแลกเปลี่ยนความรู้กันได้”
ความต้องการพัฒนาตนเองของครูศูนย์พัฒนาเด็กเล็กนั้น
จึงต้องหาวิธีการที่มาหนุนเสริมการพัฒนาศักยภาพโดยตรงต่อครูและเพิ่มพูนประสบการณ์ทางด้านความรู้
ทักษะ ความสามารถ จิตวิทยาสำหรับเด็กให้แก่ครูทุกคน
เมื่อครูเกิดความมั่นใจในความสามารถของตนเองแล้ว
เมื่อนำความรู้ไปสอนเด็กเล็กก็ย่อมจะเกิดความมั่นใจและเชื่อมั่นต่อตนเองที่จะหยิบยื่นสิ่งดีๆ
ให้แก่เด็กเล็กด้วยเช่นกัน
ซึ่งนอกจากนี้ครูก็ยังต้องการได้รับการสนับสนุนในด้านอื่นๆ ด้วย เช่น
วิธีการพัฒนาเด็ก, การประเมินผลเด็ก,
วิธีการจัดการเรียนการสอนและสื่อการสอนต่างๆ
ประเด็นที่ (2) เป็นประเด็นใหญ่ขึ้นมาอีกหน่อย คือ
เรื่องของงบประมาณสนับสนุน ซึ่งปัญหานี้ครูทั้ง 3
ท่านได้สะท้อนให้เห็นว่า
ขณะนี้กำลังรอคอยงบประมาณสนับสนุนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่รับผิดชอบที่จะจัดสรรงบประมาณมาให้ใช้ในการสอน
ถึงแม้ว่าครูได้เคยส่งเสียงสะท้อนตรงไปยังหน่วยงานในเรื่องงบประมาณที่จะมาสนับสนุนการเรียนการสอนของเด็ก
เพราะที่ผ่านมาครูอึ่งบอกว่า “บางทีไปอบรมข้างนอก
พอเราไปเห็นสื่ออะไรดีๆ เช่น นิทาน ของเล่น ที่น่าสนใจเราก็คิดถึงเด็ก
แต่ซื้อของเหล่านี้ก็ต้องใช้เงิน เราก็ต้องใช้เงิน สต. (สตางค์)
ของตัวเองกันทั้งนั้น ที่ผ่านมาก็หมดไปหลายบาทแล้วเหมือนกัน”
ประเด็นนี้ถ้าจะพูดไปก็ไม่เข้าใครออกใครแน่นอน
ถึงแม้ว่าทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตพื้นที่รับผิดชอบจะจัดสรรงบประมาณมาให้ตามกำหนดต่อหัวต่อคนของเด็กเล็ก
แต่งบประมาณเหล่านี้ก็ต้องผ่านทางโรงเรียนที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กไปขอใช้พื้นที่
ปัญหาที่ตามมาอีกก็คือ
ทางโรงเรียนไม่ได้จัดงบประมาณแบ่งมาให้ตามที่ศูนย์ฯ ควรจะได้
ทางครูเองจึงไม่มีงบประมาณและวัสดุอุปกรณ์สำหรับนำมาจัดการเรียนการสอนให้กับเด็กๆ
เช่น กระดาษ สี สื่อ ของเล่น หนังสือ ฯลฯ
ซึ่งตรงจุดนี้ก็ต้องคอยทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดสรรงบประมาณโดยตรงให้แก่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก
แนวทางแก้ไขปัญหาในประเด็นนี้จึงเหมือนเป็นแสงสว่างแห่งความหวังที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กจะได้รับงบประมาณมาใช้ในการบริหารจัดการศูนย์ฯ
ได้เอง
ประเด็นที่ (3)
ถึงไม่ใช่เป็นปัญหาที่ใหญ่โตอะไรมากมายนัก
แต่ก็มีเป็นปัญหาลำบากใจของครูศูนย์ฯ ที่จะยื่นมือเข้าไปจัดการได้ คือ
เรื่องของผู้ปกครองที่ไม่เข้าใจและไม่ให้ความร่วมมือ เช่น
ห้ามไม่ให้ครูฯ ไปตีเด็กหรือลงโทษเด็ก แม้แต่การว่ากล่าวตักเตือน
เพราะลูกของใคร
ใครก็ย่อมรักย่อมหวงแต่การรักการหวงที่ไม่รับฟังเหตุผลก็ย่อมเป็นโทษด้วยเช่นกัน
ทำให้ครูดูแลเด็กได้ยากขึ้น
จะสอนจะกล่าวเตือนก็กลัวว่าเด็กจะนำไปฟ้องผู้ปกครอง
และย่อมส่งผลกระทบต่อการสอนในห้องเรียนด้วย
ครูวรรณวิมลได้สะท้อนให้ฟังถึงหัวอกของครูว่า
“เด็กเดี๋ยวนี้ไม่มีวินัย ไม่ค่อยเรียบร้อยและก็ซนกันมาก
ทำให้ครูดูแลยากขึ้น
ยิ่งเด็กคนไหนที่ผู้ปกครองห่วงมากไม่อยากให้ครูไปแตะเด็กหรือลงโทษเด็ก
ก็จะทำให้ครูห่างจากเด็กคนนั้นไปด้วย บางคนถึงกับไม่พูด
ไม่ใส่ใจเด็กไปเลยก็มี”
การจัดการเรียนการสอนให้กับเด็กจึงต้องใช้ความสัมพันธ์ที่เข้าใจกันด้วยดี
ระหว่างครูและผู้ปกครองให้มากยิ่งขึ้น เพราะมิฉะนั้นแล้ว
ตัวของเด็กเล็กที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรจะได้รับผลกระทบจากการกระทำของผู้ใหญ่ทันที
ปัญหาในประเด็นนี้ คุณทรงพลได้ให้คำแนะนำต่อครูไว้ว่า
“ถ้าเราไปเล่นเรื่องการสร้างวัตถุ เช่น สื่อ อาคาร
เป็นเรื่องที่ยากมาเพราะไม่ใช่จุดมุ่งหมายของการพัฒนาตัวครูและตัวเด็กเองและเป็นเรื่องที่ยากที่จะให้หน่วยงานที่รับผิดชอบหันมาสนใจ
แต่ถ้าจะทำให้ง่ายขึ้นก็ควรจะหันมาดูเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างครูกับผู้ปกครองมากกว่า
ซึ่งครูจะสอนแต่เด็กอย่างเดียวไม่ได้
แต่ครูก็จะต้องหาวิธีการที่จะดึงผู้ปกครองให้เข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลเด็กด้วย
ซึ่งครูจะต้องออกแบบการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับความต้องการของเด็กและผู้ปกครองร่วมกันให้ได้
ที่โครงการฯ ได้เข้ามานี้ ก็มาเพื่อช่วยหนุนเสริมความรู้ให้กับครู
เพื่อให้ครูได้นำความรู้ไปขยายผลต่อ เช่น พาไปศึกษาดูงาน
จัดหาวิทยากรมาเสริมความรู้ให้
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ต้องสอดคล้องกับความต้องการของครูด้วยเช่นกัน
เพราะฉะนั้นครูที่จะเข้ามาร่วมทำงานกับโครงการฯ
จึงต้องมีใจเข้ามาเป็นอันดับแรก
แล้วค่อยมาร่วมกันกำหนดหลักสูตรพัฒนาศักยภาพของครูอีกครั้งหนึ่ง
ประเด็นที่ (4) ที่ครูศูนย์ฯ
รู้สึกปวดหัวใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อต้องพูดถึงเรื่องนี้ คือ
เดี๋ยวนี้ผู้ปกครองของเด็กเล็กในชุมชนต่างหันพาลูกหลานส่งไปเรียนในเมืองกันมากกว่าที่จะส่งมาเรียนตามบ้านนอก
จึงเกิดการตั้งคำถามว่า
ทำไมทางผู้นำชุมชนไม่พัฒนาชุมชนของตนเองให้ดีเสียก่อน
ให้มีความพร้อมในทุกด้าน แล้วค่อยมาพัฒนาศูนย์เด็กเล็กให้ดีมีคุณภาพ
ผู้ปกครองก็จะพาเด็กมาเรียนใกล้บ้านไม่ต้องไปเรียนไกลถึงในเมือง
และหันมาปรับปรุงวิธีการเรียนการสอนให้ดีมากกว่าที่เป็นอยู่นี้ เช่น
มีสื่อการสอนที่พอเพียง ครูมีศักยภาพในการจัดการสอน
ซึ่งที่ผ่านมาเห็นได้ว่าผู้ปกครองเด็กต่างไม่เชื่อมั่นในตัวของครูและศูนย์เด็กเล็กที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในตัวเมือง
เพราะภาพของศูนย์ฯ ในเมืองจะมีปัจจัยต่างๆ เพียบพร้อมมากกว่า เช่น
สื่อ คอมพิวเตอร์ ห้องติดแอร์ ฯลฯ
บทบาทของนักจัดการความรู้ท้องถิ่น
เสียงจากครูที่สะท้อนให้คุณทรงพล เจตนาวณิชย์ ผอ. โครงการฯ
ได้รับฟังถึงการที่ตุ๊กตา
นักจัดการความรู้ท้องถิ่นซึ่งได้เข้ามาช่วยกระตุ้นให้กลุ่มของครูเกิดการเปลี่ยนแปลงและมีหลายเรื่องด้วยกัน
อาทิเช่น
(1)
นักจัดการความรู้ท้องถิ่นได้เข้ามากระตุ้นการเรียนรู้ของครู
โดยเป็นผู้เชื่อมครูศูนย์ฯ ต่างๆ
ให้มีพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้และสร้างความสัมพันธ์ต่อกัน เช่น
นำความรู้มาถ่ายทอดให้ฟัง พาไปศึกษาดูงาน มีเอกสารหรือหนังสือดีๆ
เกี่ยวกับวิธีการจัดการเรียนการสอนให้แก่เด็กก็นำมาให้ครูได้นำไปใช้
ซึ่งเป็นความรู้ใหม่ๆ ที่สามารถให้ครูนำไปใช้สอนเด็กๆ ได้
และเมื่อนำความรู้ไปใช้สอนแล้ว
ก็กลับมาแชร์ประสบการณ์ที่ตนเองได้ไปสอนเด็กมาและแลกเปลี่ยนกันในกลุ่มครู
(2)
เมื่อนักจัดการความรู้ท้องถิ่นได้เข้ามากระตุ้นกลุ่มครูศูนย์ฯ แล้ว
การเปลี่ยนแปลงก็เริ่มเกิดขึ้น ซึ่งเป็นวัฒนธรรมการเรียนรู้รูปแบบใหม่
คือ ได้มีการจัดเป็นเวทีศูนย์เด็กเล็กสัญจรขึ้น
โดยเริ่มต้นที่พาครูทั้ง 10 ศูนย์ไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับศูนย์ฯ
ของเพื่อนครูด้วยกัน ในขณะนี้ได้จัดเวทีไปแล้วที่ศูนย์ฯ
ของครูอึ่งรับผิดชอบและศูนย์ฯ ของครูมะลิวัลย์ไปแล้ว 2
เวทีด้วยกันและคาดว่าจะให้สัญจรไปครบทั้ง 10 ศูนย์
นอกจากนี้ในอนาคตก็จะพาเด็กเล็กของแต่ละศูนย์ไปเรียนรู้ร่วมกันกับเพื่อนเด็กที่ศูนย์ฯ
ในเครือข่ายกันเองด้วย โดยสลับหมุนเวียนกันไป
โดยเน้นฐานกิจกรรมเรียนรู้ อาทิ ฐานการพัฒนากล้ามเนื้อมือ
การพัฒนาสมอง ฯลฯ
แล้วเชิญผู้ปกครองซึ่งอยู่ในพื้นที่มาเข้าร่วมกิจกรรมเรียนรู้กับเด็กเล็กด้วย
(3)
นักจัดการความรู้ท้องถิ่นเป็นตัวประสานระหว่างครูศูนย์ฯ
กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชน
ให้หันมาให้ความสำคัญต่อการพัฒนาเด็กเล็กและตัวของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กให้เพิ่มมากขึ้น
ซึ่งนักจัดการความรู้ฯ
ได้เข้าไปพูดคุยกับผู้บริหารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ได้เสนอแผนงานโครงการฯ พัฒนาครูศูนย์พัฒนาเด็กเล็กให้องค์กรพิจารณา
และวางแผนร่วมกับกลุ่มครูทั้ง 10
ศูนย์ในการออกแบบกิจกรรมเรียนรู้เพื่อที่จะนำไปสู่การพัฒนาศักยภาพของครูเองและการเชื่อมโยงผู้ปกครองของเด็กเล็กให้เข้ามามีส่วนร่วมต่อการพัฒนาคุณภาพเด็กร่วมกัน
(4)
นักจัดการความรู้ท้องถิ่นจะจัดกิจกรรมเรียนรู้เพียงอย่างเดียวไม่ได้อย่างแน่นอน
เพราะการจัดการความรู้จะต้องมีการถอดบทเรียน วิเคราะห์ปัญหา
ผลสำเร็จจากการปฏิบัติอยู่ตลอดเวลา ทั้งก่อนทำ ระหว่างทำและหลังทำ
ซึ่งนักจัดการความรู้ฯ จะเป็นพลังที่จะนำพากลุ่มครูในเครือข่ายทั้ง 10
ศูนย์ได้เกิดการหมุนเกลียวความรู้ให้เพิ่มเติมพอกพูนความรู้ใหม่อยู่ตลอดเวลา
เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดผล
จึงไม่สามารถปฏิเสธการป้อนความรู้ให้เข้าไปเกิดผลต่อการจัดปรับกระบวนการเรียนรู้ใหม่
ซึ่งจะต้องผ่านการวิเคราะห์โจทย์มาแล้วเป็นอย่างดี
และผลลัพธ์ปลายทางที่จะเกิดขึ้น
ย่อมเปลี่ยนเป็นความรู้ใหม่ที่จะยิ่งขยายผลการเปลี่ยนแปลงต่อตัวของครูและเด็กเล็กได้สูงยิ่งขึ้น
คุณครูจะจัดการความรู้ได้อย่างไร
ก่อนลาจากในการพบปะพูดคุยกันวันนี้
คุณทรงพลได้ฝากแง่มุมของหลักการและเครื่องมือการจัดการความรู้แก่ครูทั้ง
3 ท่านไว้ว่า
“เราจะต้องใช้หลักการจัดการความรู้เข้ามาในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก
ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ยากจนเกินไปนัก คือ
เราสามารถสกัดความรู้มาจากการเรียนรู้ของเราเอง
แล้วการเรียนรู้จะมาจากไหน ก็ย่อมต้องมาจากการปฏิบัติ จากการทำงาน
โดยที่เราจะต้องฝึกหัดการบันทึกให้เป็นประจำทุกวัน
โดยใช้การสังเกตดูว่าเด็กเล็กในศูนย์ฯ ของเรามีพัฒนาการดีขึ้นอย่างไร
มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นบ้าง
หรือจะหาทางปรับปรุงให้การทำงานของเราดีขึ้นได้อย่างไร
ซึ่งความรู้เหล่านี้ถ้าบันทึกไว้เป็นประจำก็จะเป็นขุมความรู้ที่มีพลังมาก
เมื่อนำมาแลกเปลี่ยนกับเพื่อนครูศูนย์ฯ อื่นๆ
ก็ยิ่งช่วยกระจายความรู้ได้มากขึ้น หรือไปพูดคุยกับผู้ปกครองของเด็กๆ
ก็สามารถนำข้อมูลไปอธิบาย ไปอ้างอิงกับผู้ปกครองเด็กได้
เพราะฉะนั้นเราจึงต้องทำประสบการณ์ให้เป็นความรู้
โดยใช้การถอดบทเรียนหลังจากจบกิจกรรมในแต่ละครั้งหรือในแต่ละวัน
แล้วนำความรู้มาบันทึกเป็นคู่มือจัดการเรียนการสอนหรือเป็นคู่มือประเมินผลพัฒนาการของเด็กได้เอง
และสามารถนำความรู้ไปแชร์กับเพื่อนครูคนอื่นๆ ได้ด้วย”
การที่คุณทรงพลได้มาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนกับครูศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในวันนี้
ย่อมสะท้อนให้เห็นภาพเชิงเปรียบเปรยได้ว่า
ต้นไม้แม้จะยืนต้นโตขึ้นมาแล้วก็ตาม แต่มิใช่จะเติมโตได้เองเสมอไป
เพราะต้นไม้ยังต้องการการเอาใจใส่ การดูแลบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง
ต้องได้รับการบำรุงด้วยปุ๋ยและป้องกันด้วยยา
เพื่อให้ต้นไม้เติบโตได้อย่างสวยงามและยืนต้นได้อย่างมั่นคงจนเติบใหญ่เป็นต้นไม้ที่แข็งแรง
เหมือนดั่งที่ทางโครงการความร่วมมือเพื่อพัฒนาสถาบันการจัดการความรู้ชุมชนท้องถิ่นได้มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ซึ่งมีบทบาทเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงด้วยการเรียนรู้ในชุมชนที่เรียกว่า
“นักจัดการความรู้ท้องถิ่น” ในขณะนี้นั่นเอง
ชยุต
อินพรหม
เจ้าหน้าที่โครงการฯ