ในระดับปรัชญาแล้ว แนวคิดของสาขาวิชาต่าง ๆ มีฐานความคิดที่ร่วมกันอยู่อย่างน่าตื่นเต้น องค์ความรู้ในปรัชญาวิทยาศาสตร์ ได้บ่งชี้ให้เราเห็นเรื่องนี้อย่างชัดเจน ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วต้นสายของแขนงความรู้ของมนุษย์อาจบรรจบกันเข้าเป็นเส้นทางเดียวกัน ดังเช่น สายพันธุ์ของมนุษย์ ศาสนาต่าง ๆ ของโลก และเป้าหมายสุดท้ายของชีวิตมนุษย์ ถ้าหากเราทำความเข้าใจกฎพื้นฐานเหล่านี้ได้แล้ว ความเป็นอื่น (Others) อาจลดความเข้มข้น (Degree) ลง และวิถีทางของมนุษย์อาจเดินไปในเส้นทางที่ไม่ขัดแย้ง ราบรื่น สงบสุข มากกว่าที่เป็นอยู่ AS THE FUTURE CATCHES YOU หนังสือเล่มแรก ๆ ที่นายกฯ ทักษิน ชินวัตร แนะนำให้รัฐมนตรีร่วมรัฐบาลอ่าน กล่าวถึงความรู้ทางชีววิทยาว่า “พันธุศาสตร์... ภาษาหลักลำดับต่อไป ... สังคมใดที่ไม่เข้าใจถึงการค้นพบทางพันธุกรรมหรือไม่เข้าใจถึงความท้าทายที่จะตามมาจากการค้นพบครั้งนี้ ... ก็จะกลายเป็นคนไม่รู้หนังสือ “ ... หนังสือเล่มนี้พูดถึง เทคโนโลยีชีวภาพ ที่กำลังมีการศึกษา วิจัย อย่างกว้างขวาง โดยพยายามจะนำความรู้ที่ได้มา “ควบคุมวิวัฒนาการของเผ่าพันธุ์มนุษย์ และสายพันธ์อื่น ๆ ทั้งหลาย บนดาวเคราะห์ดวงนี้ อย่างโดยตรงและจงใจ …” รวมไปถึงการสร้างคอมพิวเตอร์ที่คิด แก้ปัญหา และซ่อมแซมตัวเองได้ โดยนำชิปซิลิคอน กับดีเอ็นเอ มาผสมกัน Biocomputing (Enriquez, 2003, p. XIV,90,106) การศึกษาสังคมด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ย้อนกลับไปเมื่อปี 1975 มีความพยายามที่จะสร้างศาสตร์สองศาสตร์เข้าด้วยกันภายใต้ชื่อว่า Sociobiology โดย Edward Wilson ทำการศึกษาสังคมของสัตว์ และนำความรู้ที่ได้มาอธิบายสังคมของมนุษย์ โดยมีฐานคติว่า (Assumption) สิ่งมีชีวิตมีลักษณะทางพันธุกรรมบางอย่างร่วมกัน และถูกกำหนดโดยสิ่งที่เรียกว่า Biological Programming เมื่อเราเข้าใจสิ่งนี้ก็จะทำให้เราสามารถเข้าใจพฤติกรรมที่มนุษย์แสดงออกได้ (Thompson, 2001, p.132) แต่การรวมกันของ สังคม (Social) และ ชีวิต (Bio) มีรากฐานที่ซับซ้อนและยาวนานกว่านั้น Aguste Comte (1798-1857 ) เห็นว่า สังคมวิทยา และชีววิทยา สนใจเรื่องเดียวกันคือ Organic Bodies เมื่อเราเข้าใจโครงสร้างทางชีวิทยา เราก็จะเข้าใจ อินทรีย์ทางสังคม (Social Organism) ด้วย นี่คือจุดเริ่มต้นของการเปรียบโครงสร้างทางสังคม (Social Structures) กับแนวคิดทางชีววิทยา Hebert Spencer (1820-1903) ทำให้แนวคิดการเปรียบสังคมกับอินทรีย์เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น กล่าวคือ ทั้งสังคมและอินทรีย์สามารถจะพิจารณาได้จากการเติบโต และการพัฒนา ซึ่งในกระบวนการดังกล่าวประกอบด้วยการเพิ่มขึ้นของขนาด ความซับซ้อน และการจำแนกแตกต่าง[1] กระบวนการนี้เป็นไปเพื่อความสมบูรณ์ของการทำหน้าที่ในส่วนต่าง ๆ ของสังคม ซึ่งเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงในส่วนใดส่วนหนึ่ง (Parts) ก็จะมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในส่วนอื่น ๆ ด้วย (Comte, 1875, pp. 239-240; Spencer, 1860 p.680 Cited by Turner, 1971 pp.21-24) วิวัฒนาการทางสังคมกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต การเทียบเคียง[2] (Analogy) ระหว่างสังคมกับอินทรีย์ ที่ส่วนต่าง ๆ (ของสังคม) หรือสิ่งมีชีวิต จะต้องปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติหรือโครงสร้างทางสังคมนั้น คือการรับเอาแนวคิดวิวัฒนาการ Evolution และ การคัดเลือกโดยธรรมชาติ (Natural Selection) ของ Charles Darwin (1809 ) มาอธิบายสังคม (Gross, 1959 p.260; Kinloch, 1977 p.58; Ritzer, 2000 pp.14-15; Sztompka, 1974 pp.143-144) Darwin ศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของสิ่งมีชีวิตจาก ฟอสซิล (fossil) ที่ถูกบันทึกไว้ในช่วงเวลาต่างกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของลักษณะทางกายภาพที่เกิดจากการวิวัฒนาการ ภายใต้การคัดเลือกโดยธรรมชาติ ความคิดนี้เป็นเรื่องที่ยากลำบากพอสมควรสำหรับ Darwin ด้วยเหตุที่หลักฐานเชิงประจักษ์ (Empirical) นั้นมีน้อยมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความขัดแย้งกับแนวคิดของศาสนาในเวลานั้น “But I am bound to confess, that, with all my faith in this principle, I should ever have anticipated that natural selection could have been efficient in so high a degree…” (Darwin, 1974 p.262 Cited by Ankerberg and Weldon, www.johnankerberg.org/Articles/ _PDFArchives/science/SC3W0602.pdf) สำหรับแนวคิดของ Darwin ก็คือ สิ่งมีชีวิตมีความหลากหลายและปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม แต่ไม่ทั้งหมดของสิ่งมีชีวิตที่จะอยู่รอดและสืบเผ่าพันธุ์ ยกเว้นสิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวได้ดีกว่า(Farabee,[email protected],www.emcmaricopa. edu/faculty/BIOBK/BioBookEVOLI.html) ความคิดของ Darwin ได้รับการสนับสนุนจากการทดลองของ Thomus Multhus ที่อธิบายว่า ทำไมการคัดเลือกโดยธรรมชาติจึงเกิดขึ้น ทั้งนี้ด้วยเหตุที่ว่า สิ่งมีชีวิตขยายเผ่าพันธุ์เพิ่มจำนวนขึ้นในพื้นที่หนึ่ง ๆ (Geometric) ในลักษณะทวีคูณ (2,4,6,8) ขณะที่พื้นที่ และอาหารเพิ่มขึ้นในโดยลำดับของจำนวนนับ (1,2,3,4) ดังนั้น ประชากรของสิ่งมีชีวิตจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงความผันแปรของทรัพยากร (ธรรมชาติ) ได้ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้สิ่งมีชีวิตต้องแข่งขันท่ามกลางสิ่งมีชีวิตด้วยกัน นำไปสู่การต้องปรับตัวและสร้าง Species ใหม่ขึ้นซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเทียบเคียง (Analogies) สิ่งที่ Multhus ทดลอง (Artificial Selection) กับการเลือกสรรโดยธรรมชาติ (Natural Selection) ดังนี้ (Thagard, 1992 pp.140-141)
Multhusian Principles |
Struggle for
existence
|
Natural
selection
|
Evolution
|
Embryology
|
Geographical
distribution
|
Etc.
|
ในปี 1858 Darwin ร่วมกับ Wallace ที่สนใจแนวคิดวิวัฒนาการพัฒนาทฤษฎีขึ้น โดยผนวกเอาแนวคิดของ Geology ของ Lyell และแนวคิดของ Multhus กล่าวคือ ปัจเจกประชากร (Individual Population) นั้นผันแปรไปตามระดับของการปรับตัว ขนาด ความสามารถในการหาอาหาร การเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณของจำนวนประชากรได้นำไปสู่การขาดแคลนของทรัพยากร นำไปสู่การต่อสู้ แย่งชิง ซึ่งในที่สุด ปัจเจกประชากรที่ประสบผลสำเร็จมากกว่าก็จะอยู่รอดและสืบเผ่าพันธุ์ที่ขยายออกไปมากกว่าปัจเจกประชากรที่ไม่ประสบผลสำเร็จ เมื่อเวลาผ่านไปก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทาง species ที่ส่งผ่านไปยังรุ่นต่อ ๆ มา เป็นผลให้เกิดการส่งผ่านของ species เดิมไปสู่ species ใหม่ที่แตกต่างจากพ่อแม่ (parent species) (Farabee, [email protected], www.emcmaricopa.edu/faculty/BIOBK/ BioBookEVOLI.html) จากรากฐานของทฤษฎีวิวัฒนาการ และการเลือกสรรโดยธรรมชาติ นักสังคมวิทยาได้ใช้หลักการเทียบเคียง Term ที่ Darwin ใช้มาอธิบายสภาวะสังคม ได้แก่ สิ่งมีชีวิต (Organisms) = ส่วน (Parts) ต่าง ๆ ที่ก่อรูปขึ้นเป็นสังคม การต่อสู้ (Struggle) = การเติบโตและพัฒนา (เพื่อความสมบูรณ์ของการทำหน้าที่ ) การคัดเลือกโดยธรรมชาติ (Natural Selection) = การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้าง (Change of Structure) การเกิดขึ้นของโครงสร้างสังคม ความไม่ชัดเจนของ ส่วนต่าง ๆ ที่ก่อรูปขึ้นเป็นสังคม การเปลี่ยนแปลงและเป้าหมายของการเปลี่ยนแปลง ได้ถูกพัฒนาให้ชัดเจนขึ้น ในปี 1937 Talcott Parsons ได้ตีพิมพ์ผลงาน The Structure of Social Action โดยพยายามสร้างทฤษฎีทางสังคมวิทยาให้มีความสมบูรณ์และเข้มแข็งในลักษณะที่เป็นวัตถุวิสัย (Objective) เขาเห็นว่าจะต้องสร้าง Concept ที่มีลักษณะเป็นนามธรรมขึ้นจากความจริงเชิงประจักษ์ (Empirical Reality) Parsons ได้สร้างองค์ประกอบของสังคมขึ้นโดยเรียกว่า Actor ที่มีอิสระในการคิด ตัดสินใจและแสดงออก (Voluntarism) เพื่อที่จะไปให้ถึงเป้าหมาย แต่การตัดสินใจนั้นอยู่ภายใต้ บรรทัดฐาน (Normative) และเหตุการณ์ (Situation) ทำให้บุคคลจะต้องเลือกวิธีการที่จะไปให้ถึง จากนั้น Parsons ได้เพิ่มความซับซ้อนเข้าไปในโครงสร้างทางสังคมเพื่อต้องการจะวิเคราะห์การหน้าที่ (Functional Analysis) ในงานชิ้นต่อ ๆ มาของ Parsons ได้พยายามที่จะชี้ให้เห็นถึงการทำหน้าที่ที่มีอยู่ในองค์ประกอบของโครงสร้าง โดยให้ Actor ที่ตัดสินใจและสร้างทางเลือกเพื่อจะไปให้ถึงเป้าหมายภายใต้เงื่อนไขของ บรรทัดฐาน และเหตุการณ์ เป็นระบบหนึ่งที่ประกอบขึ้นในโครงสร้างสังคม เรียกว่า Personality System ระบบนี้จะทำหน้าที่จัดสรรทรัพยากรเพื่อไปให้สู่เป้าหมาย เรียกว่า Goal Attainment แต่นอกจาก Actor จะไปสู่เป้าหมายแล้วลักษณะทางกายภาพ (Organism System) ของ Actor ซึ่งอยู่ภายใต้สิ่งแวดล้อมจำเป็นจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมด้วย เรียกการทำหน้านี้ว่า Adaptation ส่วนบรรทัดฐานที่คอยกำหนดควบคุมการกระทำของ Actor เป็น Cultural System ซึ่งนอกจากจะทำหน้าที่กำหนดการกระทำของ Actor แล้วยังทำหน้าที่ธำรงรักษาแบบแผนของสถาบันทางสังคมที่เป็นองค์ประกอบในระบบทางสังคมด้วย เรียกการทำหน้าที่นี้ว่า Latency (ในงานชิ้นหลัง ๆ ของ Parsons ใช้คำว่า Pattern Maintenance การที่บุคคลในระบบแสดงบทบาท เพื่อแสวงหารางวัลและหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษ ภายใต้เงื่อนไขของบรรทัดฐาน และเหตุการณ์เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายนั้น นำไปสู่แบบแผนที่เป็นมาตรฐาน และบุคคลซึมซับเป็นค่านิยมที่คนในโครงสร้างสังคมยอมรับร่วมกัน บทบาทที่บุคคลแสดงออกภายใต้ค่านิยมนี้นำไปสู่การเกิดขึ้นของสถาบันทางสังคม หรือกระบวนการกลายเป็นสถาบัน (Institutionalization) สถาบันทางสังคมเหล่านี้มีการจำแนกแตกต่างของการทำหน้าที่เพื่อสนองตอบต่อการกระจายทรัพยากรให้กับ Actor และแสดงบทบาทในการทำหน้าที่ที่ซับซ้อนที่สังคมมีความต้องการ เมื่อสถาบันทางสังคมเกิดขึ้นหลาย ๆ สถาบันและต่างทำหน้าที่สนองตอบต่อกันได้นำไปสู่ระบบทางสังคม Social System และเนื่องจากสถาบันทางสังคมก่อรูปขึ้นจากความเหนียวแน่นของค่านิยมชุดต่าง ๆ ที่คนในสังคมยึดถือร่วมกันและมีสถาบันทางสังคมขึ้นมาทำหน้าที่ ดังนั้น ระบบทางสังคมจึงมีหน้าที่ที่สำคัญคือการทำให้เกิดบูรณาการทางสังคม (Social Integration) ดังนั้นโครงสร้างสังคมของ Parsons ประกอบไปด้วยระบบคือ Organism System ทำหน้าที่ ในการปรับตัว (Adaptation), Personality System ทำหน้าที่จัดสรรทรัพยากรเพื่อไปให้สู่เป้าหมาย เรียก(Goal Attainment), Social System ทำหน้าที่ให้เกิดบูรณาการทางสังคม (Social Integration) และ Cultural System ธำรงรักษาแบบแผนของสถาบันทางสังคม (Pattern Maintenance) โครงสร้างทางสังคมอันประกอบขึ้นด้วยระบบทั้งสี่ระบบสามารถเขียนเป็น Proposition ได้ดังนี้ 1.ระบบมีส่วนประกอบย่อยของตนเองที่เป็นระเบียบ และมีอิสระ 2.ระบบธำรงรักษาแบบแผนของตนเอง หรือรักษาดุลยภาพ (Equilibrium) 3.ระบบอาจไม่เปลี่ยนแปลง (Static) หรือเปลี่ยนแปลงจากกระบวนการจัดระเบียบ 4.ส่วนหนึ่งส่วนใดของระบบจะได้รับผลกระทบจากส่วนอื่นของระบบ 5.ระบบจะธำรงรักษาเขตแดนของตนเอง 6.การจัดสรร (Allocation) ทรัพยากรและการบูรณาการเป็นกระบวนการพื้นฐานที่สำคัญของความจำเป็นที่จะนำไปสู่ภาวะดุลยภาพของระบบ (กระบวนการนี้เกิดขึ้นในระบบสังคม) (Parsons, Alexander ed. 2001 pp.100-124; Turner, 1971 pp.38-53; Ritzer, 2000 pp.233-239) การสร้างทฤษฎีของ Parsons มีพื้นฐานจากความคิดของนักทฤษฎีรุ่นก่อนหน้า โดยสร้าง ความหมายของคำให้เป็นระบบ และมีลักษณะเป็นนามธรรม ซึ่งมีความหมายอื่น ๆ ร่วมอยู่ในคำนั้น ๆ ด้วย โดยสร้างขึ้นจาก Primitive Term หรือคำที่นักทฤษฎีก่อนหน้าใช้ในการพรรณนาสังคม การสร้าง Term ขึ้นใหม่ให้มีความหมายเฉพาะ และมีลักษณะเป็นนามธรรมนี้เรียกว่า General Term หรือ Technical Term จากคำว่า ส่วน (Path) ถูกแทนที่ด้วยคำว่าระบบ ซึ่งหมายถึง ส่วนประกอบต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่ตอบสนองต่อเป้าหมายของสังคมโดยรวม โดยมี Term ต่าง ๆ ที่ถูกสร้างขึ้น ดังนี้ ส่วน (Path) ระบบ (System) การเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง การหน้าที่ การเติบโตและพัฒนา เป้าหมาย จากนั้นได้แบ่งระบบออกเป็นสี่ระบบ ที่ประกอบขึ้นเป็นโครงสร้างของสังคม ระบบแต่ละระบบมีหน้าที่ และเป้าหมายของตนเอง การแบ่งแยกระบบออกเป็นสี่ระบบนี้ในทางสังคมวิทยาเรียกวิธีการนี้ว่า Typologies คือการจัดระบบแนวคิดออกเป็นประเภทต่าง ๆ หรือบางครั้งเรียกว่า Idea type หลักในการสร้างก็คือ การค้นหาคำที่ใช้แทนองค์ประกอบที่เป็นสมาชิกของแนวคิดและให้คำนิยามมันในฐานะเป็นส่วนประกอบที่มีความหมาย (Runder, 1966 pp.54-56) ซึ่งในที่นี้ Parsons แยกส่วนต่าง ๆ ของสังคมออกเป็นระบบ และภายในระบบแต่ละระบบมีส่วนประกอบย่อยของระบบ ความคิดของ Parsons ข้างต้นคือรากฐานสำคัญ ของโครงสร้าง (สังคม) และการหน้าที่ ซึ่งถือได้ว่าเป็นเสาหลักของสังคมวิทยามาจนกระทั่งปัจจุบัน และเป็นจุดเริ่มต้นของดุลยภาพในทางสังคม (Social Equilibrium) แต่แม้ว่าทฤษฎีของ Parsons จะสร้างตัวตนของ โครงสร้างสังคม (Social Structure) และ การหน้าที่ (Function) ได้เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น แต่สิ่งที่ Parsons ได้รับการโจมตีอย่างมากก็คือคำอธิบายเกี่ยวกับ Equilibrium ของเขาที่ไม่สามารถจะตรวจสอบด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์ได้ โดย Parsons ได้ใส่องค์ประกอบเข้าไปในภาวะดังกล่าวมากเกินไป (Ritzer, 2000 p.235) แม้ว่าเขาจะพยายามชี้ให้เห็นถึงการมีอยู่ของภาวะดุลยภาพ โดยการเสนอแนวทางวิเคราะห์หน้าที่ (Functional Analysis) ไว้ว่า 1. ระบบต่าง ๆ มีองค์ประกอบที่แตกต่างกัน 2. ระบบสังคมคือระบบที่นำไปสู่ภาวะดุลยภาพ 3. การส่งเสริมให้เกิดภาวะดุลยภาพของระบบสังคมก็โดยการบูรณาการความแตกต่างในระบบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน 4.สังคมวิทยาจึงต้องวิเคราะห์โครงสร้างทางสังคมที่มีบูรณาการ และวิเคราะห์บูรณาการระหว่างระบบต่าง ๆ ที่รักษาดุลยภาพของสังคมทั้งหมดไว้ การวิเคราะห์โครงสร้างคือการทำความเข้าใจโครงสร้างทำงานว่าอย่างไร และมันผันแปรไปตามความต้องการที่จะไปสู่ดุลยภาพอย่างไร สิ่งที่สามารถอธิบายความจำเป็นที่นำไปสู่ภาวะดุลยภาพได้ก็คือโครงสร้างที่ได้รับการเลือกสรรให้ต้องปรับตัวเข้าสู่ภาวะดุลยภาพ (Turner, 1971 pp.97-98, 64) ข้อเสนอของ Parsons P 1 โครงสร้างสังคมประกอบด้วยระบบ P 2 ระบบมีองค์ประกอบย่อยที่แตกต่างกัน P 3 องค์ประกอบย่อยทำหน้าที่ต่อระบบ P 4 ระบบทำหน้าที่ต่อโครงสร้างทางสังคม ดังนั้น องค์ประกอบย่อยทำหน้าที่ต่อโครงสร้าง P 5 ระบบสังคมคือระบบที่ทำหน้าที่ไปสู่ภาวะดุลยภาพ P 6 การเกิดภาวะดุลยภาพคือการทำให้เกิดบูรณาการในความแตกต่างของระบบ ดังนั้น ภาวะดุลยภาพคือภาวะของบูรณาการของระบบสังคม P 7 โครงสร้างสังคมที่มีบูรณาการทำหน้าที่รักษาดุลยภาพ p 8 ระบบทำหน้าที่บูรณาการโครงสร้าง ดังนั้นระบบทำหน้าที่รักษาดุลยภาพของโครงสร้าง
ในฐานะทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์แนวคิดของ Parsons นับว่ามีจุดอ่อนอยู่มาก โดยยังคงมีลักษณะที่เป็นทฤษฎีเชิงพรรณนามากกว่าจะอธิบาย และมีความห่างไกลจากการตรวจสอบด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์ Thomas Kuhn ได้ให้หลักการของทฤษฎีที่ดีไว้ 5 ประการคือ (Kuhn, 2002 ed.by Balashov and Rosenberg 421-437) 1.ทฤษฏีจะต้องชัดเจนในสิ่งที่มันอธิบาย ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ การนิรนัยทฤษฏีจะต้องแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่จะทดลอง และสังเกตมันได้ (Observation) 2.ทฤษฎีจะต้องมีความสอดคล้อง (Consistent) ไม่เพียงในตัวของมันเองเท่านั้นแต่จะต้องสอดคล้องกับทฤษฎีที่ยอมรับกันในขณะนั้น เพื่อที่จะนำไปใช้ร่วมกันได้ด้วย 3.จะต้องมีขอบข่ายที่กว้าง ขยายออกไปเพื่อที่จะสร้างการสังเกต สร้างกฎ หรือทฤษฎีย่อย ในการอธิบายได้เพิ่มขึ้น 4.ง่าย และเป็นระบบ 5.ทฤษฎีจะต้องช่วยในการตัดสินใจได้ และใช้ประโยชน์สำหรับการทำวิจัยใหม่ ๆ ที่จะเปิดเผยประกฎการณ์ที่ยังไม่สามารถค้นพบ อย่างไรก็ตามเราปฏิเสธไม่ได้ว่าทฤษฎีของ Parsons มีคุณูปการอย่างมากต่อนักสังคมศาสตร์ในรุ่นต่อ ๆ มา โดยใช้เป็นพื้นฐานของการวิเคราะห์ และสร้างทฤษฎีใหม่ ๆ รวมไปถึงนักปรัชญาทางสังคมศาสตร์ได้ให้ความสนใจการวิเคราะห์หน้าที่อย่างกว้างขวาง การศึกษาโครงสร้างสังคมและการสร้างทฤษฎีระดับกลาง Robert K Merton ศิษย์คนสำคัญของ Parsons พยายามที่จะลดข้อจำกัดของการสร้างทฤษฎีที่มีขอบเขตกว้างขวางรวมทุกสิ่งทุกอย่างเข้าด้วยกัน ซึ่งไม่มีความชัดเจนและขาดระเบียบ โดยใช้คำที่คลุมเครือมากกว่าจะสร้างให้เกิดความเข้าใจ เขาเสนอการสร้างทฤษฎีในระดับกลางที่เรียกว่า Middle Theories โดยเป็นทฤษฎีที่สร้างขึ้นด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์
ไม่มีความเห็น