“... วิทยาศาสตร์แบบกลไกที่พัฒนามาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 กำลังจะหมดความหมายไป วิทยาศาสตร์แบบใหม่ที่เราเรียกว่า Postmodern Science กำลังเข้ามาแทนที่และมีความสำคัญมากขึ้นในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับจักรวาลของเรา ปัญหาที่วิทยาศาสตร์กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้สะท้อนให้เราเห็นถึงปัญหาใหญ่ของมนุษย์ชาติที่กำลังมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความล้มเหลวของยุคทันสมัยนิยม (Modernism) ซึ่งถูกครอบงำโดยโลกทัศน์แบบกลไกมาเป็นเวลาหลายร้อยปี จนเกิดความหายนะใหญ่หลวงแก่การดำรงอยู่ของเรา ... ในขณะเดียวกัน เรากำลังพบว่า Postmodern Science กำลังท้าทายขีดจำกัดของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่...” (โครงการปริญญาเอกสหวิทยาการ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2547 น. 1) ข้อความข้างต้นคือเค้าโครงการศึกษา วิชา สห.844 ปรัชญาวิทยาศาสตร์ ของโครงการปริญญาเอกสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงให้เห็นถึงความรู้ และความจริง[1] ที่ได้จากวิทยาศาสตร์กำลังถูกท้าทาย หนังสือรวมบทความทางปรัชญาวิทยาศาสตร์ เรื่อง Philosophy of Science Today ตีพิมพ์เมื่อปี 2003 จากบทความเรื่อง New Age Philosophies of Science : Constructivism, Feminism and Postmodernism ตอบโต้กลุ่มที่ต่อต้านวิทยาศาสตร์ว่า นักภาษาศาสตร์ที่ไม่มีความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์มากนัก ได้เล่นบทบาทการทำสงครามกับวิทยาศาสตร์ (Science Wars) ทั้งที่ตนเองก็ไม่เคยยอมรับตรรกทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการศึกษาแต่เป็นความพยายามที่จะพัฒนาสาขา วรรณคดีวิจารณ์ (Literary Criticism) ให้เกิดความก้าวหน้า และใช้วิธีการที่ได้ซึ่งได้แก่การ “รื้อสร้าง” (Deconstruction) โจมตีวิทยาศาสตร์ นำไปสู่การเขียนวิพากษ์วิจารณ์วิทยาศาสตร์ในกลุ่มที่ได้รับการศึกษามาในสาขาวรรณกรรม แต่มีพื้นฐานเล็กน้อยในเรื่องวิทยาศาสตร์ บทความนี้ได้เรียกร้องให้นักปรัชญาวิทยาศาสตร์ออกมาตอบโต้ ความเห็นที่คัดค้านวิทยาศาสตร์ก่อนที่จะเกิดผลกระทบในทางที่เลวร้ายต่อสังคม เมื่อความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่สอนกันในโรงเรียน การพัฒนาเทคโนโลยี ทุนวิจัย การตัดสินใจทางนโยบาย ถูกล้มเลิก (Koertge, Naretta. Edited by Cark, Peter and Hawley, pp.83-96) ความคิดของกลุ่มต่อต้านวิทยาศาสตร์ได้รับการยอมรับ และมีความแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ มีหนังสือหลายเล่มที่เขียนขึ้นเพื่อชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่องของการแสวงหาความรู้ ความจริง ด้วยวิทยาศาสตร์ เช่นเดียวกัน ในประเทศไทย ยกตัวอย่างที่ใกล้ตัวที่สุดคือภายใน หาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อาจารย์ของคณะต่าง ๆ ด้านสังคมศาสตร์ได้ตีพิมพ์หนังสือที่แสดงให้เห็นข้อบกพร่องของแนวคิดตะวันตกที่ศึกษาด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เช่น งานของ ศ. ดร.อภิชัย พันธเสน เรื่อง พุทธเศรษฐศาสตร์ กล่าวถึง วิชาเศรษฐศาสตร์กระแสหลักว่า “วิชาเศรษฐศาสตร์ในปัจจุบันมีความเข้าใจมนุษย์ไม่ครบถ้วนอย่างรอบด้าน เป็นการนำความจริงบางส่วนของมนุษย์มาเน้นหรือขยายจนเกินความเป็นจริง จนนำไปสู่ข้อสรุปที่ผิดพลาด จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนำเอากระบวนทัศน์แบบพุทธเข้ามาประยุกต์ โดยที่ผู้เขียนมีความเห็นว่ากระบวนทัศน์ดังกล่าวช่วยให้สามารถเข้าใจมนุษย์ในมิติที่กว้างขวางและลึกซึ้งกว่า เพื่อใช้ปรับแก้ข้อสรุปที่ผิดพลาดอันเกิดจากกรอบความคิดที่แคบกว่าของเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก ซึ่งปัจจุบันมีผู้เรียกว่า เศรษฐศาสตร์ที่มิได้อยู่บนฐานความจริง (Autistic Economics)” (อภิชัย พันธเสน, 2547 น.3-4) หรืออย่างงานของ อ.ธีรยุทธ บุญมี ของคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ที่เสนอความคิดเรื่อง หลังตะวันตก (Post western) “ความคิดโพสต์โมเดิร์นเป็นทั้งการวิพากษ์และปฏิกิริยาของปัญญาชนตะวันตกต่อโลกโมเดิร์นแบบตะวันตก กล่าวอย่างง่าย ๆ ปัญญาชนตะวันตกเหล่านี้มองว่า โปรแกรมการสร้างสังคมสมัยใหม่ที่ตะวันตกได้ดำเนินมาหลายศตวรรษไม่ได้พัฒนาซึ่ง “ความสุข” “การหลุดพ้น” หรือ “การมีชีวิตที่เป็นเหตุเป็นผล” อย่างที่กล่าวอ้างกัน พวกเขาจึงต้องการผลักสังคมของเขาให้ก้าวไปอีกขั้น เพื่อไปสู่สังคมโพสต์โมเดิร์นที่มนุษย์ปัจเจกจะมีเสรีภวะ มีการหลุดพ้น มีการดำรงอยู่ในโลกที่ความหมายไม่มีเสถียรภาพได้ดีขึ้น...” ความคิดหลังตะวันตก (Post western) ได้รับอานิสงค์จากโพสต์โมเดิร์น แต่พยายามจะไปให้ไกลกว่า คือการปลดเปลื้องความคิดตะวันตก และเสนอเสรีภวะใหม่ มีค่านิยมบางอย่างเป็นเครื่องนำทาง (ธีรยุทธ บุญมี, 2546 น.7-8) เช่นเดียวกันงานของ ดร.ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร แห่งคณะรัฐศาสตร์ เรื่อง วาทกรรมการพัฒนา ได้รับเอาแนวคิดที่โจมตีองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ว่าเป็นเพียง “วาทกรรม” (Discourse) ที่ถูกสร้างขึ้น มาศึกษาและตีความคำว่า “พัฒนา” ซึ่ง “วาทกรรม” ถือเป็น Concept หลักของกลุ่ม Postmodern แนวคิดนี้มองว่า วาทกรรม โดยตัวของมันไม่มีเนื้อหาความจริง แต่เป็นกระบวนการสร้าง และการผลิต เอกลักษณ์ (Identity) และความหมาย (Meaning) “ในฐานที่เป็นวาทกรรม “การพัฒนา” ก็เป็นเพียงเทคนิควิทยาการของอำนาจแบบหนึ่ง ที่ประเทศมหาอำนาจตะวันตกคิดค้นขึ้นมาใช้เพื่อเพิ่มการปกครอง ควบคุม จัดระเบียบ… ความรู้ของวาทกรรมการพัฒนายุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง จึงเป็นความรู้ที่มีฐานสังคมแคบมาก เป็นความรู้ที่สั่งสมมาจากประสบการณ์ของประเทศตะวันตก และเป็นความรู้ความเชี่ยวชาญ เฉพาะด้าน ขาดสุนทรียภาพ เพราะเน้นแต่การต้องการหาความจริง ต้องการเป็นวิทยาศาสตร์เท่านั้น” (ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร, 2545ว น. 51-60) แม้ว่าตัวอย่างงานข้างต้นจะเป็นเพียง ตัวอย่างเดียวในผลงานของนักวิชาการที่สังกัดอยู่ในคณะรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา แต่ก็แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของแนวคิดกลุ่ม Postmodernism ที่ไม่เห็นด้วยกับวิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์ กับการขยายสู่แวดวงวิชาการของไทย บทความนี้ต้องการจะค้นหารากฐานทางปรัชญา ความเชื่อ ของวิทยาศาสตร์ และกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะกลุ่ม Postmodern เพื่อค้นหา เอกลักษณ์ และความหมาย ของทั้งสองแนวคิดนำมาใช้จัดการกับ “ความจริง” ภายใต้การปะทะกันอย่างรุนแรงของแนวคิดทั้งสองกลุ่ม ความคิดหลังความทันสมัยประเด็นข้อโต้แย้งวิทยาศาสตร์ จุดเริ่มต้นของ Postmodern เริ่มขึ้นจากความไม่เห็นด้วยในการศึกษาวรรณกรรม ภาษา ในแวดวงสาขามนุษย์ศาสตร์ ของประเทศฝรั่งเศส นับแต่ปี 1960 ที่ในขณะนั้นยอมรับเรื่อง โครงสร้างทางภาษา ว่า เป็นกฎเกณฑ์แน่นอนตายตัว และสามารถเข้าใจได้ ด้วยการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์ ภาษาเป็นเรื่องที่เมื่อรับรู้กฎเกณฑ์ของมันแล้ว ก็สามารถนำมาใช้สื่อสารกันได้เข้าใจ และถูกนำมาใช้ประโยชน์ในสาขาวิชาต่าง ๆ อย่างกว้างขวางในฐานะการส่งผ่านความรู้ ความคิด และความจริงที่ได้จากข้อค้นพบ ไม่เพียงภาษาเป็นตัวแทนของสัญญะ (Signs) เท่านั้น แต่มันยังเป็นตัวแทนของพฤติกรรมทางสังคมของมนุษย์ด้วย แนวคิดข้างต้นได้เชื่อมโยงกับความคิดทางสังคม ที่มองว่า สังคมมีโครงสร้าง ที่คอยกำกับคนให้แสดงออกตามโครงสร้าง ดังเช่นแนวคิดของ Marx ที่มองว่า โครงสร้างสังคม (Super Structure and Sub Structure) ซึ่งได้แก่ กฎ ระเบียบ แบบแผนการกระทำต่อกันระหว่างคนในสังคม ความเชื่อ ค่านิยม รวมทั้งสถาบันทางสังคม ถูกสร้างขึ้นด้วยภาษา โดยชนชั้นปกครอง สร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นเพื่อเอารัดเอาเปรียบ และแสวงหาผลประโยชน์จากชนชั้นถูกปกครอง ที่จะต้องยอมทำตามข้อกำหนดของโครงสร้างเหล่านี้ โดยไม่รู้ตัว (แนวคิดในลักษณะนี้เป็นความคิดของกลุ่มนักสังคมวิทยากระแสหลัก ที่ให้ความสำคัญกับโครงสร้างทางสังคม (Social Structure) ว่ามีอิทธิพลกำกับการกระทำของคน) Jacques Derrida (1966) คือจุดเริ่มแนวคิดหลังโครงสร้างนิยม (Post Structurism)[2] ซึ่งต่อมาถูกรวมเรียกว่า แนวคิดหลังความทันสมัย (Post modern) เห็นว่า งานเขียนไม่ได้มีอิทธิพลใด ๆ ต่อคน ไม่สามารถส่งผ่านความคิด ความเห็นของผู้เขียนถ่ายทอดมายังผู้อ่านได้ แต่มันขึ้นอยู่กับการตีความของตัวผู้อ่านเอง งานเขียน หรือตัวบท (Text) เมื่อถูกเขียนออกมาแล้วมันเป็นอิสระโดยตัวของมันเองไม่ผูกพันกับผู้เขียนอีกต่อไป การตีความภาษาขึ้นอยู่กับบริบทเฉพาะ (Social Context) ที่แตกต่างกันทำให้คำ ๆ เดียวกัน ถูกใช้ในความหมายที่แตกต่างกัน ดังนั้นตัวบทจึงมีลักษณะไม่แน่นอน และไม่สามารถค้นหาระเบียบแบบแผนได้ และในเมื่อความจริงทางสังคมถูกสร้างขึ้นด้วยภาษา เมื่อภาษามีความไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับบริบทเฉพาะ ความจริงทางสังคม เช่น สถาบันทางสังคม จึงไม่มีอยู่จริงแต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อประโยชน์บางอย่างของผู้สร้าง Derrida สนใจที่กระบวนการรื้อโครงสร้างทางภาษาที่ก่อรูปขึ้นเป็นตัวบท (Deconstruction of Logocentrism) เพื่อเปิดเผยให้เห็นแบบแผนบางอย่างที่ซ่อนอยู่ (Derrida, 1978, Smith, 1996 Cited by Ritzer, 2000 pp.454-459) กลุ่ม Postmodern มองว่า “ความจริง”ไม่สามารถค้นหาได้ด้วยประสบการณ์ (Empirical) มันไม่มีอยู่โดยธรรมชาติอย่างเป็นสากล (Universal) แต่เป็นสิ่งที่อยู่ภายในตัวบุคคลที่จะมีความปรารถนาหรือยืนยัน (Insist) ต่อสิ่งใด ๆ ภายในบริบทเฉพาะ (Local) ดังนั้นเราจึงไม่สามารถสร้างมุมมองที่มีต่อโลกได้อย่างตายตัว ไม่มีอะไรที่เป็น”ความจริง” (Fact) ไม่มีอะไรที่จะวัดออกมาได้ ความรู้ข้อค้นพบในทางทฤษฎี หรือกฎเกณฑ์ใด ๆ นั้นใช้ได้ในกรณีนั้น ๆ เท่านั้น ไม่สามารถนำไปใช้เป็นกฎเกณฑ์ทั่วไปที่จะอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างได้ การอธิบายโลกทางกายภาพ ในลักษณะที่ต้องสังเกตได้ จับต้องได้ในเชิงประจักษ์นั้น เป็นความผิดพลาด เพราะปราศจากความรู้สึก ไม่สนใจความแตกต่างของความเชื่อ และบริบททางสังคม (Trigg, 1993, pp.64-69) องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์นั้นเป็นเพียงเรื่องเล่าที่ยิ่งใหญ่ (Grand Narrative) ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อควบคุม และครอบงำนักวิชาการโดยส่งผ่านในรูปของทฤษฎีมหภาค (Grand Theory) และสร้างความจริงที่คิดว่าเป็นความจริงแน่นอนขึ้นจาก “ความจริง” สัมพัทธ์ (Truth Relative) ที่อยู่ในความรู้สึกนึกคิดที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล Postmodern เรียกความจริงที่วิทยาศาสตร์สร้างขึ้น ว่าเป็นเพียง “วาทกรรม” (Discourse) (Sayer, 2000 pp.67-79) วิทยาศาสตร์กับการค้นหาความจริงเป้าโจมตีของ Postmodern แนวคิดในทางปรัชญาวิทยาศาสตร์ที่เป็นเป้าโจมตีที่สำคัญที่สุด คือแนวคิดวิทยาศาสตร์กระแสหลักที่เรียกว่า Scientific Realism ที่เน้นการนำความรู้ทางทฤษฎีไปใช้ได้อย่างกว้างขวาง (Generalization) และเป็นทฤษฎีที่เปิดโอกาสให้นำมาพัฒนาต่อในวงกว้าง แต่การสร้างทฤษฎีในลักษณะนี้มีข้อจำกัดของการใช้ Term ที่จะต้องเป็นนามธรรมสูง จนยากที่จะทดสอบด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์ (Unobservation) ข้อเสนอ (postulation) ของทฤษฎีแนวนี้มักจะไม่ได้รับการทดสอบยืนยัน และล่อแหลมต่อการใช้ประสบการณ์ที่ไม่สามารถจะพิสูจน์ได้ ตรงข้ามกับทฤษฎีแนว Instrumentalist ที่เน้นการสร้างทฤษฎีเฉพาะที่มีลักษณะเป็นหลักเกณฑ์ หรือกฎ (principle or rule) ที่กระชับ และเหมาะสมสำหรับการทดสอบด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์ เน้นการใช้ทฤษฎีเป็นเครื่องมือที่จะจัดการกับคำถามในปรากฏการณ์ที่เฉพาะเจาะจง มากกว่าที่จะนำไปใช้ได้ทั่วไป (Negel, ed.Balshov and Rosenberg, pp.197-210) อย่างไรก็ตามทั้งสองแนวของวิทยาศาสตร์ก็มีลักษณะร่วมกันและเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน กล่าวคือ การนำหลักเกณฑ์พื้นฐานทางทฤษฎีหนึ่งไปใช้ในอีกทฤษฎีหนึ่ง ซึ่งไม่เพียงแต่มีการใช้ภายในสาขาวิชาแล้ว ยังมีการใช้ข้ามสาขาวิชาด้วย และไม่จำกัดอยู่เพียงในสาขาทางวิทยาศาสตร์ด้วยกันเท่านั้น แต่ถูกนำมาใช้ในทางสังคมศาสตร์ด้วย ตรรกวิทยาแบบนิรนัย (Logic of Deductive) คือเครื่องมือสำคัญของการสร้างทฤษฎีขึ้นใหม่ จากทฤษฎีเดิม โดยเฉพาะการสร้างสัจพจน์ (Axioms) ขึ้นจากข้อเสนอของทฤษฎีที่ถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นระบบ (Proposition)[3] (บางครั้งเรียก Postulate) สัจพจน์มีลักษณะเป็นนามธรรมผ่านกระบวนการอนุมาน (Inference) ในลักษณะนิรนัย กระบวนการนี้ไม่ได้เป็นการอนุพันธ์ (Derivation) แต่เป็นการตั้งสมติฐานว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกโดยไม่ต้องพิสูจน์ (Assumed) ตามข้อเสนอทางทฤษฎี[4] การสร้างทฤษฎีในระบบ Axioms มีข้อดีคือมันสามารถลดระดับลงมาใช้ (Reduction) ในทฤษฎีอื่น ๆ ซึ่งจะทำให้มีคำอธิบายที่ลึกซึ้งและเฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้น นอกจากนั้นเมื่อมันถูกนำไปใช้ในทฤษฎีอื่นแล้ว ยังสามารถจะย้อนกลับมา “reduction” ตัวมันเองได้อีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น Axioms เมื่อถูกนำไปใช้กับทฤษฎีอื่น ๆ และได้รับการตรวจสอบด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์ (Empirical) อาจนำไปสู่การปฏิเสธทฤษฎีซึ่งเป็นที่มาของมันและข้อปฏิเสธดังกล่าวอาจกลับไปแทนที่ทฤษฎีเดิม (Rosenberg, 2000 p.71-96) ซึ่งลักษณะนี้คือการสร้างทฤษฎีเฉพาะเจาะจงขึ้นตามแนว Instrumentalism โดยลดระดับลงมาจากทฤษฎีในแนว Realism และเมื่อนำไปตรวจสอบด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์มันก็อาจนำไปยืนยันทฤษฎีในแนว Realism ถ้าทฤษฎีนั้นเป็นจริงซึ่งช่วยให้ทฤษฎีทางวิทยานั้นแข็งแกร่งขึ้น ขณะเดียวกันก็จะได้ทฤษฎีวิทยาศาสตร์ที่อธิบายปรากฏการณ์ได้อย่างเฉพาะเจาะจงด้วย หลักการสำคัญของการค้นหาความจริงที่วิทยาศาสตร์ยอมรับนั้นจะต้องสามารถสังเกตได้ด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์ที่เรียกว่า Empiricism ซึ่งได้แก่การเข้าถึงความจริงด้วยประสบการณ์ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ การสัมผัส ได้ยิน มองเห็น รับรู้รส และได้กลิ่น ถ้าหากเราไม่สามารถจะรับรู้ (perceived) สิ่งเหล่านี้ได้ก็แสดงว่าสิ่งนั้นไม่มีอยู่จริง[5] (ดังนั้นประสบการณ์จึงเกิดขึ้นก่อนความรู้) การรับรู้ความจริงโดยใช้ประสาทสัมผัสนี้เป็นกระบวนการที่บรรจุความทรงจำเข้าสู่สมอง แต่การจะยอมรับได้ว่าสิ่งที่รับรู้นั้นถูกต้องหรือไม่จะต้องใช้กระบวนการย้อนกลับไปหาความจริงที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าถูกต้อง (Regress Argument) การย้อนกลับไปนี้ก็ด้วยการกลับไปทบทวนทฤษฎีหรือความรู้ที่มีมาก่อนตามหลักนิรนัย (Deductive) ถ้าหากข้อค้นพบ หรือสิ่งที่รับรู้นั้นสอดคล้องกับความจริงที่มีมาก่อนก็ถือว่าเป็นความจริง อย่างไรก็ตามวิทยาศาสตร์จะไม่ยอมรับว่าเป็นความจริงทั้งหมด แต่จะยอมรับโดยอาศัยหลักความน่าจะเป็น (Probability) โดยใช้คณิตศาสตร์เป็นเครื่องมือในการประมาณค่า เรียกวิธีการหาความจริงในลักษณะนี้ว่า Foudationalism (Dancy, 1987 pp.10, 54-58,147) การมองความจริงแบบวิทยาศาสตร์จึงมีลักษณะที่มองความจริง ที่จับต้องได้ด้วยประสาทสัมผัส เป็นสิ่งที่เป็นรูปธรรม (Materialism) มุ่งค้นหาให้พบกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติที่มีอยู่ เพื่อสร้างกฎที่สามารถอธิบายได้ทั่วไป (Generalization) เชื่อว่ากฎเกณฑ์เหล่านี้จะมีความสัมพันธ์กันเชิงเหตุผล (Causation) โดยใช้คณิตศาสตร์เป็นเครื่องมือคำนวณและทดสอบความจริง (Putnam, 1982 ed.by Worrall, pp.3-8) ปรัชญาของแนวคิดหลังสมัยใหม่ : ข้อโต้แย้งการแสวงหาความจริงแบบวิทยาศาสตร์ ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ยุคที่เรียกว่า หลังสมัยใหม่ได้เกิดแนวความคิดที่มอง “ความจริง” และวิธีการแสวงหา”ความจริง” ที่แตกต่างจากวิธีการทางวิทยาศาสตร์ มาก่อนหน้านั้นแล้วซึ่งนักปรัชญาวิทยาศาสตร์เรียกแนวคิดกลุ่มที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ว่า Anti Science หรือบางครั้งเรียก Anti Realism 1.การค้นหา “ความจริง” คู่ตรงข้ามของการแสวงหาความรู้ตามแนว Fundationism[6] ที่อยู่ในทฤษฎีของการแสวงหาความรู้ (Epistemology) ซึ่งมีลักษณะร่วมกับความคิดของกลุ่ม Post modern ก็คือ แนวคิดที่เรียกว่า Coherentism แนวคิดนี้เชื่อว่า”ความจริง” เป็น”ความจริง”เพียงชั่วเวลา พิจารณาปรากฏการณ์จากทั้งหมดที่แวดล้อม (Holistic) โดยตรวจสอบสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ที่สอดคล้องและสนับสนุนกับความเชื่อ ไม่มองความสัมพันธ์ในลักษณะที่เป็นเส้นตรงแต่สนใจทั้งหมดที่คิดว่าเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ศึกษา ในบริบทเฉพาะเจาะจง (Local) เพราะไม่เชื่อว่าจะสามารถค้นหาความจริงสากลได้ (Universal) ไม่สนใจการตรวจสอบข้อค้นพบกับความจริงที่อยู่สูงกว่า หรือกระบวนการอนุมาน (Inference) ในลักษณะนิรนัย แต่ใช้หลักการตีความ (Williams, 2001 pp.117-126) 2.การรับรู้ “ความจริง” ขณะที่ Foudationalism เชื่อในการรับรู้ของประสบการณ์ แต่กลุ่ม Phenomenalism ซึ่งถือเป็นรูปแบบแนวคิดที่จัดอยู่ในกลุ่ม Idealism (Williams, 2001 p.138) ไม่เชื่อว่า”ความจริง”จะรับรู้ได้ด้วยประสบการณ์ผ่านประสาทสัมผัส เพราะเชื่อว่าเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ประสาทสัมผัสย่อมไม่สามารถจะตรวจสอบสิ่งที่ต้องการศึกษาได้อย่างคงที่ เช่นเดียวกัน กับประสบการณ์ของคนคน หนึ่งในช่วงเวลาหนึ่ง ย่อมต่างไปจากของอีกคนหนึ่ง หรือของคนคนเดียวกัน แต่ช่วงเวลา หรือพื้นที่ต่างกัน การสังเกตสิ่งที่ศึกษาย่อมแตกต่างกันตามไปด้วย การรับรู้ความจริงจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในใจของบุคคล ไม่ใช่การรับรู้ภายนอกที่มีความไม่แน่นอน (Dancy, 1987 pp.89-90) 3.ลักษณะของ “ความจริง” กลุ่ม Anti Science เชื่อว่า “ความจริง”มีลักษณะเป็นอัตวิสัย สัมพัทธ์ไปตามช่วงเวลา และสถานที่ ที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างกัน เรียกแนวคิดนี้ว่า Relativism (Williams, 2001 p.220-221)การค้นหา”ความจริง” ค้นหาได้เฉพาะตัวบุคคลหรือ เฉพาะบริบททางวัฒนธรรมย่อยเท่านั้น ไม่สามารถจะหาสิ่งที่เป็นสากลได้ ไม่มีสิ่งที่คนรับรู้ร่วมกัน (Common Ground) ปฏิเสธความคิด ที่เป็นวัตถุวิสัยการค้นหา”ความจริง”สามารถทำได้โดยการพรรณนาให้เห็นถึงรายละเอียดในบริบทเฉพาะเจาะจง (Sater, 2000 p.47) 4.วิธีการค้นหา “ความจริง” Postmodernism พยายามชี้ให้เห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของการสร้างความจริง ว่าเป็นเพียงสิ่งหลอกลวงและถูกสร้างขึ้นเพื่อกระบวนการทางอำนาจของผู้สร้างความรู้ แนวคิดนี้ถูกเสนอโดย Michel Foucault นักคิดคนสำคัญในกลุ่ม Postmodernism เขาสนใจที่การค้นหา ระบบของการก่อรูปและการส่งผ่านประโยคที่เรียกว่า “วาทกรรม” การค้นหาดังกล่าวไม่ได้เป็นไปเพื่อการทำความเข้าใจ แต่ค้นหาสิ่งที่อยู่ลึกลงไป (Ritzer, 2000 p.460) ซึ่งได้แก่อำนาจ ในรูปแบบของความรู้ ที่สะท้อนออกมาในรูปกฎเกณฑ์ จารีตประเพณี ของบรรดาผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาต่าง ๆ ทั้งหลาย เช่น วิทยาศาสตร์ ชีววิทยา แพทย์ศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ “การวิเคราะห์วาทกรรม ก็คือการศึกษา สืบค้น ถึงกระบวนการ ขั้นตอน ลำดับเหตุการณ์ รายละเอียดปลีกย่อยต่าง ๆ ในการสร้างเอกลักษณ์ และความหมายให้กับสรรพสิ่ง” การแสดงออกของวาทกรรมผ่านระบบภาษานั้น เป็นสิ่งที่วาทกรรมเป็นตัวกำหนดผู้พูด หรือผู้เขียน ให้เลือกใช้ชุดของวาทกรรมในบริบทเฉพาะๆ ที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น นักเศรษฐศาสตร์ พูดเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจ แพทย์พูดถึงการรักษาพยาบาลคนไข้ ซึ่งถ้าหากผู้พูดไม่อยู่ในสถานะของน