วิชชาธรรมกายสอนให้ติด "นิมิต" จริงหรือ?


วิชชาธรรมกายสอนให้ติด "นิมิต" จริงหรือ?

     ก่อนที่จะ กล่าวเหตุผลใดๆ ในหัวข้อกระทู้ ผมขอแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับท่านผู้อ่านกันก่อนว่า ท่านมีความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ เหล่านี้ในทิศทางใด

     ถามตัวท่านเองแล้วตอบด้วยความจริงใจออกมาก่อนว่าท่านเชื่อหรือไม่เชื่อใน เรื่องเหล่านี้ เราจึงจะพูดคุยกันรู้เรื่องในพื้นฐานของความเห็นที่ตรงกัน 

     ๑.ท่านเชื่อหรือไม่ว่า คนเราตายแล้วไม่สูญ

          (หมายเอาการสืบต่อแบบสันตติ เมื่อจุติจิต(ตาย)มีขึ้น ปฏิสนธิจิต(เกิด)ก็ตามมาโดยไม่มีระหว่างคั่น แม้หลังตายแล้วถ้ายังไม่หมดกิเลสก็ต้องเกิดอีก)

     ๒.ท่านเชื่อหรือไม่ ในเรื่องกฎแห่งกรรม (บุญ-บาป) ที่จะนำสัตว์โลก (หลังตาย) ไปสู่สุคติภูมิ หรือไปสู่ทุคติภูมิ

          (หมายเอาความเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม(บุญ-บาป)ที่ส่งไปสู่นรก-สวรรค์)

     ๓.ท่านเชื่อหรือไม่ ในเรื่องภพภูมิต่างๆ อันเป็นสถานที่รองรับการเวียนว่ายตายเกิด จนกว่าสัตว์โลกนั้นๆ จะพ้นทุกข์หมดกิเลส

          (หมายเอาความเชื่อเรื่องภพภูมิอันได้แก่ กามภพ(สวรรค์ โลก นรก) รูปภพ(พรหม) อรูปภพ(อรูปพรหม)

     ๔.ท่าน เชื่อหรือไม่ เรื่องวัฏฏสงสารอันยาวนานไม่มีเบื้องต้นเบื้องปลายอันสัตว์ผู้ยังติดอยู่ใน กิเลส ตัณหา อุปาทาน ยังต้องท่องเที่ยวไปตลอดไม่มีสิ้นสุด

          (หมายเอาเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสารแบบสันตติ)

     ๕.ท่าน เชื่อหรือไม่ ว่าผู้บำเพ็ญสมาธิภาวนาสามารถมีอิทธิปาฏิหาริย์ เช่น หูทิพย์ ตาทิพย์ ละลึกชาติของตนและคนอื่นได้ แสดงฤทธิ์ทางใจอื่นๆ ได้

          (หมายเอาสมาธิในพระพุทธศาสนาจนถึงขั้นแสดงฤทธิ์ได้)

     ๖.ท่านเชื่อหรือไม่ ว่าผู้บำเพ็ญสมาธิภาวนาสามารถถอดจิตหรือถอดกายทิพย์ไปท่องเที่ยวยังภพภูมิต่างๆ ได้

          (หมายเอาสมาธิที่สามารถเห็นภพภูมิและกายทิพย์ตลอดจนสัตว์ในภพภูมินั้น ๆ ได้)

     ขอให้ท่านตอบมาก่อนแล้วการพูดคุยของเราจะชัดเจนขึ้น ถ้าความเข้าใจตรงจุดนี้ไม่ตรงกันการพูดคุยในเรื่องอื่นๆ ก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะความคิดพื้นฐานของความรู้ไม่ตรงกันแต่แรกแล้ว โปรดตอบก่อนนะครับ

     ถ้าท่านตอบว่า ท่านมีความเชื่อตามนั้น ถ้าเช่นนั้นท่านก็ต้องยอมรับว่า คนเราหลังตายแล้วไม่สูญ ยังมี จิต เจตสิก รูป ที่ยังสืบต่อเป็นสันตติให้ไปเกิดยังภพภูมิใหม่ รวมทั้งบุญและบาปที่ติดตามไป ดังนั้น ท่านก็ต้องยอมรับว่าคนเราไม่ใช่มีแค่กายมนุษย์หยาบที่(นั่งอ่านอยู่นี่) เพียงกายเดียว เพราะกายนี้เมื่อเราตายมันก็เน่าเปื่อยผุพังไป กายละเอียดซึ่งอาจจะเรียกว่า กายทิพย์ นั้นรับช่วงสืบต่อหลังตายโดยไม่มีระหว่างคั่นคือเกิดขึ้นทันที ไปอยู่ยังภพภูมิต่างๆ ตามระดับคุณภาพของจิต ที่มีกรรม(บุญ+บาป) คือการกระทำเป็นตัวสนับสนุน

     เมื่อเข้าใจเช่นนี้ ท่านก็คงไม่ปฏิเสธว่ามีกายในกายที่สืบต่อกรรมคือบุญและบาปของกายมนุษย์ ปัจจุบันนี้รองรับช่วงต่อในสัมปรายภพเบื้องหน้า ฉะนั้นต่อไปก็คือทำอย่างไรเราจะได้พบเห็นกายละเอียดเหล่านี้แม้ในขณะที่เรา ยังมีชีวิตอยู่ อย่าลืมเรื่องที่เราเคยได้ยินกันคือ มีผู้ปฏิบัติจิตภาวนาสมารถถอดเอากายทิพย์ซึ่งเป็นกายละเอียดขณะยังมีชีวิต อยู่ไปท่องเที่ยวยังภพภูมิต่างๆ ได้ เช่นพระภิกษุที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั้งหลายซึ่งก็มีอยู่มากมาย

     ฉะนั้นเรื่องกายในกายจึงเป็นเรื่องที่ไม่เกินความจริงใดๆ สามารถปฏิบัติให้รู้ให้เห็นได้ วิชชาธรรมกายกล่าวถึงกายในกายซึ่งมีเป็นชั้นๆ เข้าไปจึงเป็นไปได้อย่างแน่นอน อยู่แต่ว่าเราจะเข้าถึงไปรู้ไปเห็นเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร และเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่แค่เป็นเพียงรูปนิมิตอย่างที่บางท่านเข้าใจไปเอง แล้ว แต่เป็นเรื่องของกายในกาย หรือกายซ้อนกายที่ทุกคนมีอยู่แล้ว ตรงนี้เราต้องเข้าใจให้ตรงกันก่อน

     หลวงพ่อวัดปากน้ำโชคดีที่ไปรู้ไปเห็นเรื่องกายในกาย เป็นชั้นๆ เข้าไปถึง 18 กาย จึงได้เข้าถึงกรุวิชชา หลวงพ่อใช้เวลาใครครวญวิชชาอยู่ถึง 8 ปี นั่นคือหลวงพ่อพิจารณาทุกเรื่องจนแน่ใจว่านี่ของจริง ไม่ใช่เรื่องนิมิตแน่นอน เพราะก่อนหน้านี้หลวงพ่อก็เคยไปเรียนกัมมัฏฐานจากครูบาอาจารย์หลายท่าน ย่อมทราบดีว่าอะไรคือของจริงหรือของหลอก ซึ่งหลวงพ่อปรารถตอนนั่งเข้าที่ ณ วัดโบสถ์บน บางคูเวียง ว่าถ้าไม่ได้เห็นของจริงอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น เป็นไม่ลุกจากที่ นั่นหมายความว่าความรู้ที่ได้ในครั้งนั้นคือ การเห็นดวงปฐมมรรคและการเห็นเรื่องกายในกาย หลวงพ่อจึงต้องใคร่ครวญพิจารณาเป็นอย่างดีว่าจริงแท้แค่ไหน จนในที่สุดหลวงพ่อตัดสินใจทำวิชชาชั้นสูงที่เรียกว่า ปราบมาร โดยตั้งกองทัพปราบมาร ในวัดปากน้ำ เกณฑ์ผู้ที่ได้ธรรมกายระดับสูงเข้าทำวิชชาที่เรียกว่า "โรงงาน" ทำต่อเนื่องไม่หยุดเลยตลอดเวลา 30 กว่าปี กวดขันกันอย่างนั้นทั้งพระภิกษุและแม่ชีอุบาสิกาและอุบาสก ได้ความรู้ออกมาเป็นตำรา เป็นมรดกธรรม ถึง 4 เล่ม คือ

1. ทางมรรคผล 18 กาย
2.คู่มือสมภาร
3.มรรคผลพิสดาร เล่ม 1
4.มรรคผลพิสดาร เล่ม 2

     มีนักปราชญ์หลายท่านในยุคนั้นเข้าไปสืบความจริงจนเข้าใจในความรู้ของหลวงพ่อวัดปากน้ำว่า นี่แหละของจริง ดังนี้

พระทิพย์ปริญญา

     เท่าที่ข้าพเจ้าได้ฟังมา วิธีปฏิบัติของหลวงพ่อวัดปากน้ำ มีผู้กล่าวออกความเห็นกันไปหลายอย่างต่าง ๆ กัน พวกหนึ่งว่าเป็นฌานโลกีย์ พวกหนึ่งว่าติดรูป บางพวกว่า ติดนรกสวรรค์ แต่อีกพวกหนึ่งว่าท่านเลยเถิดไปถึงนิพพาน ซึ่งมองไม่เห็น

     ข้าพเจ้าเคยนำวาทะเหล่านี้ไปสนทนากับผู้ปฏิบัติในสำนักหลวงพ่อวัดปากน้ำแล้ว เขาตอบขบขันเหมือนกัน เขาว่าที่ติดรูปนั้นดีนะให้มันรู้ว่าติดรูปเถอะ จะได้มีโอกาสแกะรูปออก แต่ข้อสำคัญว่าเราไม่รู้ว่าติดรูปนี่ซิ เมื่อไม่รู้ว่าติดก็ไม่รู้จักรูป เมื่อเราไม่รู้ว่าติดเราก็ไม่ได้แกะ เมื่อเราไม่แกะมันจะหลุดได้อย่างไร เหมือนของโสโครกติดหลังเสื้อที่เราสวมอยู่ เมื่อเราติดไม่รู้ว่ามันติดเราก็ไม่พยายามเอาออกแล้วมันจะไปไหน ฟังดูก็แยบคายดี

     แต่สำหรับความเห็นของข้าพเจ้านั้น เห็นควรรวมวาทะที่ว่าติดรูปกับวาทะที่ว่าเป็นฌานโลกีย์รวมวินิจฉัยเสียเป็น ข้อเดียว เพราะตามที่ว่านี้คงหมายถึงรูปฌาน เมื่อเช่นนั้นทางที่จะปลดเปลื้องความสงสัยของเจ้าของวาทะเหล่านี้ก็ง่าย ขึ้น 

     สมเด็จพระบรมศาสดาก่อนที่จะได้ตรัสรู้นั้น พระองค์ผ่านรูปฌาน อรูปฌานหรือเปล่า ข้อนี้จะต้องรับกันว่าผ่าน ก็เมื่อเช่นนี้ใครจะปฏิเสธได้หรือว่าโลกีย์ฌานนั้นจะไม่เป็นอุปการะแก่ พระองค์ การตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ

     ความข้อนี้ข้าพเจ้าเคยนำไปสนทนาวิสาสะกับพระเถระบางรูปซึ่งฝักใฝ่ทั้ง ปริยัติและปฏิบัติ ท่านได้กล่าวอุปมาให้ฟังว่าการข้ามแม่น้ำหรือมหาสมุทร ถ้าไม่ใช้เรือหรือเครื่องบินเป็นพาหนะแล้ว มันจะข้ามไปได้อย่างไร ในที่สุดท่านยืนยันว่าฌานโลกีย์นั้นแหละ ยังพระองค์ให้ข้ามถึงซึ่งฝั่งโลกุตตระ 

     เมื่อนำเอาบาลีข้างต้นมาประกอบการวินิจฉัยความข้อนี้จะแจ่มใสยิ่งขึ้น เพราะคำว่า “นัตถิ ปัญญา อะฌายิโน” นั้น เป็นหลักอยู่ ซึ่งแปลได้ความอยู่ชัด ๆ ว่า ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน ดังนี้เราจะไปยกวาทะติฌานโลกีย์อย่างไรกัน

     อันวาทะที่ว่าติดนรกสวรรค์นั้น ข้อนี้น่าเห็นใจผู้สงสัย เธอคงจะไม่ได้มีโอกาสไปฟังการแสดงธรรมของหลวงพ่อวัดปากน้ำเสียเลย เธอคงจะได้ฟังหางเสียงของบางคนที่ฟังไม่ได้ศัพท์จับเอาไปกระเดียดเข้าแล้ว เพราะการแสดงธรรมนั้น เมื่อถึงเรื่องบาปบุญคุณโทษก็ต้องอ้างเรื่องนรกสวรรค์ 

     ท่านมีอะไรพิสูจน์แล้วหรือว่า นรกสวรรค์ไม่มีท่านมีปัญญาพอจะพิสูจน์แล้วหรือว่า นรกสวรรค์นั้น ไม่มีผู้รู้ ผู้เห็นท่านได้เคยสนใจอ่านวิสุทธิมรรคบ้างหรือเปล่า ถ้าเคยสนใจในคำว่า “ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ” ดีแล้วหรือ ว่ากินความเพียงไร หรือตัวท่านมีภูมิปัญญาเหนือพระคันถรจนาจารย์เหล่านั้น ขอจงใคร่ครวญเอาเอง

     ส่วนวาทะที่ว่าเลยเถิดไปถึงนิพพานนั้นข้าพเจ้าจะขอพูดแต่โดยย่อ เพราะถ้าจะพูดกันกว้างขวางแล้วจะเกินหน้ากระดาษหนังสือเล่มนี้จะต้องเป็น อีกเล่มหนึ่งต่างหาก

     ท่านคงจะได้เคยอ่านคำถวายวิสัชนาของพระเถรานุเถระ ๑๘ ความเห็น ที่พิมพ์แจกกันแพร่หลายอยู่แล้วนั้น ในหนังสือนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชปุจฉาถึงเรื่อง นิพพาน ว่าคืออะไร พระเถรานุเถระ ๑๘ รูป ถวายความเห็นโดยโวหารต่าง ๆ กัน 

     แต่ในที่สุดมีรูปหนึ่ง ถวายวิสัชนาหลักแหลมโดยกล่าวว่า แปลคำว่านิพพานนั้นไม่ยาก ข้อยากอยู่ที่ ทำให้แจ้ง ท่านพูดทิ้งไว้เท่านี้เอง 

     ขอให้เรามาคิดกันดูทีหรือทำให้แจ้ง หมายความว่ากระไร นี่ก็จะเห็นได้แล้วว่า เรื่องนิพพานนั้นเป็นของยากหรือง่ายคนซึ่งมีปัญญาอย่างสามัญจะพูดได้ไหม เราต้องรู้ตัวดีว่าไม่สามารถ เพราะเป็นวิสัยของมรรคญาณ และการบำเพ็ญให้บรรลุมรรคญาณนั้น ทำกันอย่างไร เรารู้ไหม ถ้าเราไม่รู้จะแปลว่าคนอื่นก็ไม่รู้เหมือนกับเรากระนั้นหรือ สิ่งที่เราก็ไม่รู้ สมควรหรือที่เราจะยกวาทะกล่าวถึงผู้อื่น 

     ในที่สุดข้าพเจ้าเห็นว่า ทางดีที่สุด เราควรปฏิบัติตัวของเราเองให้รุดหน้าไปตามแนวปฏิบัติ ดีกว่าจะมามัววิจารณ์ผู้อื่น อย่าลืมคำว่า “สันทิฎฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ”

อนุสรณ์คุณพระทิพย์ปริญญา
โดย พระธรรมธีรราชมหามุนี
วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร
เมษายน พ.ศ. ๑๕๒๐

     เหตุที่ได้ไปมาหาสู่นั้น ก็ด้วยต้องการแสวงหาธรรมะ ธรรมะฝ่ายปริยัติ คุณพระไม่ต้องไปแสวงหา เพราะตัวเองเป็นเปรียญ ๖ ประโยค และสำเร็จวิชากฎหมายอีกด้วย ที่ต้องการแสวงหาก็คือธรรมะฝ่ายปฏิบัติ จนในวันหนึ่งได้ไปพบหลวงพ่อที่วัดปากน้ำ ได้สนทนาปราศรัยได้ไต่สวนซักถาม ได้เหตุได้ผล จากวันนั้นก็ได้ไปฟังพระธรรมเทศนาของหลวงพ่อเสมอ ในที่สุดได้ออกปากลั่นวาจาต่อหน้าหลวงพ่อว่า “ของจริงกระผมพบแล้ว แต่ตัวกระผมจะจริงหรือไม่จริงเท่านั้นเอง”

พระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสฺโส)

     ความเชื่อว่าพระอรหันต์นิพพานแล้ว ยังมีอยู่อีกส่วนหนึ่งซึ่งเป็นพระอรหันต์แท้ไม่สลายตามกาย คือความเป็นพระอรหันต์ไม่สูญ ความเป็นพระอรหันต์นี้ท่านก็จัดเป็นอินทรีย์ชนิดหนึ่งเรียกว่า อัญญาตาอินทรีย์ พระผู้มี พระภาคเจ้าคงหมายเอาอินทรีย์นี้เอง บัญญัติเรียกว่า วิสุทธิเทพ เป็นสภาพที่คล้ายคลึงวิสุทธาพรหมในสุทธาวาสชั้นสูง เป็นแต่บริสุทธิ์ยิ่งกว่าเท่านั้น 

     เมื่อมีอินทรีย์อยู่ก็ย่อมจะบำเพ็ญประโยชน์ได้ แต่ผู้จะรับประโยชน์จากท่านได้ก็จะต้องมีอินทรีย์ผ่องแผ้วเพียงพอที่จะรับ รู้เห็นเท่าท่านได้ เพราะอินทรีย์ของพระอรหันต์ประณีตสุขุมที่สุด แม้แต่ตาทิพย์ของเทวดาสามัญก็มองไม่เห็นมนุษย์สามัญซึ่งมีตาหยาบ ๆ จะเห็นได้อย่างไร 

     อินทรีย์ของพระอรหันต์ นั่นแหละเรียกว่า อินทรีย์แก้ว หู ตา จมูก ลิ้น กาย และใจของท่านเป็นแก้ว คือ ใสบริสุทธิ์ดุจแก้วมณีโชติ ผู้บรรลุถึงภูมิแก้วแล้วย่อมสามารถพบเห็นพระแก้ว คือพระอรหันต์ที่นิพพานแล้วได้ 

     ราชโอรสในรัชกาลที่ ๔ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นวิวิธวรรณ-ปรีชา 

     “...พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา ทรงเล่าว่าแต่ก่อนนั้นพระองค์ทรงเห็นว่า ตายสูญมานาน ครั้นภายหลังทรงเฉลียวพระหฤทัยถึงรัชกาลที่ ๔ ว่า จะทรงเห็นอย่างไร จึงเสด็จไปทูลถามสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทววงศ์วโรปการก็ทรงได้รับตอบว่า ทูลหม่อมไม่ได้ทรงเห็นว่าตายสูญ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทรงดำริว่า ว่าด้วยความรู้ ความคิด ความอบรมศึกษาปรีชาสามารถทุกอย่าง ทูลหม่อมสูงกว่าพระองค์มาก บางทีที่พระองค์ทรงเห็นอย่างนี้จะยังไม่ถูกกระมัง จึงทรงสอบสวนต่อไป จนที่สุดทรงเจริญกัมมัฎฐาน วันหนึ่งทิพยกายออกจากพระสรีระมาดูพระสรีระของพระองค์ หรือบางครั้งเสด็จลุกพระกายลงจากพระแท่นบรรทม แต่ทิพยกายออกไปยืนอยู่ข้างล่าง แลดูพระกายเดิมที่กำลังทรงคลานจากพระแท่นนั้น ก็ทรงเชื่อว่ามีอีกชั้นหนึ่ง เรื่องทิพยกายนี้ยังมีอีกมาก...”

     ผู้ที่เรียนวิชชาธรรมกายอย่างถูกต้อง จะทราบเป็นอย่างดีถึงความละเอียดลึกซึ้งในพระพุทธศาสนาของเรา ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเมื่อแรกตรัสรู้ว่า "ธรรมที่เราตรัสรู้แล้วเป็นของลุ่มลึก เห็นได้ยาก อันความตรึกนึกตรองจะหยั่งไม่ถึง" ถึงกับพระองค์ทรงพิจารณาว่าจะไม่ประกาศธรรมสั่งสอนสัตว์โลก พระพรหมจึงต้องทรงอาราธนา ว่า ของพระสุคตเจ้าได้ทรงโปรด ผู้มีธุลีในจุกขุเบาบางยังมีอยู่ เขาเหล่านั้นจะเข้าใจธรรมของพระองค์ ขอพระสุคตเจ้าจงขวยขวายในการแสดงธรรมโปรดสัตว์โลกเถิด 

     เห็นได้ว่า พระธรรมของพระพุทธเจ้าที่ได้มาด้วยวิธีการปฏิบัตินั้น ต้องพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติเช่นกัน ไม่ใช่มานั่งนึกตรึกตรองไปตามตัวหนังสือ แล้วจะเข้าใจได้ ข้อนี้ผู้เป็นวิชชาธรรมกายชั้นสูงทราบเป็นอย่างดี

     สำหรับความรู้ในตำราทั้ง 3 เล่ม ที่เป็นเนื้อวิชชาธรรมกายแท้ๆ ซึ่งเราก็เรียนเหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าตรงตรัสสอน ทั้งในภาคสมถะและวิปัสสนา เพียงแต่ว่าเราเรียนรู้โดยใช้กายในกายเรียน ไม่ใช่เรียนธรรมของพระพุทธเจ้าโดยใช้กายมนุษย์หยาบ(ที่นั่งอ่านอยู่นี่) เพียงกายเดียว จึงได้ความละเอียดลุ่มลึกยากที่จะใช้สมองนึกตึกตรองได้ มีดังนี้

1. ทางมรรคผล 18 กาย

ทางมรรคผล

     เป็นตำราที่เราเหล่าศิษย์หลวงพ่อเคยเห็นกันทุกคน ตำราวิชาธรรมกายหลักสูตรเบื้องต้นนี้ เป็นหนังสือแจกเป็นธรรมทานของวัดปากน้ำ

2.คู่มือสมภาร

คู่มือสมภาร

     เป็นตำราหลักสูตรระดับกลาง ความเป็นมาเกิดจากสมเด็จพระสังฆราช (สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์) วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงบัญชาให้แม่ชีนวรัตน์ หิรัญรักษ์ เขียนความรู้ที่หลวงพ่อวัดปากน้ำสอน มาถวายแก่พระองค์ ด้วยพระองค์ทรงสนพระทัย แม่ชีนวรัตน์ก็นำความนี้ไปกราบหลวงพ่อ ศิษย์ของหลวงพ่อซึ่งประกอบด้วย แม่ชีนวรัตน์, แม่ชีสมทรง สุดสาคร, คุณฉลวย สมบัติสุข จึงได้ร่วมกันเรียบเรียงตำราคู่มือสมภาร ตามความรู้ที่หลวงพ่อได้สอนไว้ รวมเป็นเล่มหนังสือ จัดพิมพ์ขึ้นถวายแด่สมเด็จพระสังฆราช พิมพ์ในนามของ น.ส.ฉลวย สมบัติสุข เมื่อปี พ.ศ. 2492

     แต่ปรากฏว่าสมเด็จพระสังฆราชทรงประชวร แพทย์ห้ามใช้ความคิด จึงถวายหนังสือนี้แก่พระสาธุศีลสังวร (สนธ์ กิจฺจกาโร) ซึ่งท่านเจ้าคุณรูปนี้เป็นเลขานุการของสมเด็จฯ และท่านเจ้าคุณรูปนี้เป็นผู้เขียนคำนำไว้ในตำราคู่มือสมภารนั้นด้วย

3.มรรคผลพิสดาร เล่ม 1  และ 4.มรรคผลพิสดาร เล่ม 2


     วิชชามรรคผลพิสดารเล่ม ๑

มรรคผลพิสดาร 1

     เป็นวิชาธรรมกายหลักสูตรระดับยาก เป็นหนังสือปกแข็ง ภาพปกเป็นภาพรูปวงกลมแสดงลักษณะของฐานที่ 7 เป็นรูปของธาตุ 6

     ความเป็นมาของตำราหลักสูตรนี้ พระมหาจัน (ป.ธ. 5) ได้บันทึกความรู้นี้ไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2481 แต่ยังมิได้พิมพ์ออกเผยแพร่ ทางวัดปากน้ำได้นำความรู้หลักสูตรนี้จัดพิมพ์เผยแพร่ในปี พ.ศ. 2517 หลวงพ่อมรณภาพเมื่อปี พ.ศ. 2502 แปลว่าหลวงพ่อมรณภาพไปแล้ว 15 ปี จึงนำความรู้หลักสูตรนี้มาตีพิมพ์ได้

     ประวัติแห่งความพิสดารวิชาธรรมกายหลักสูตรนี้ หลักสูตรนี้นับว่าเป็นวิชาชั้นสูงยิ่ง ยากที่ใครจะเรียนรู้ได้ ผู้จดวิชาคือพระมหาจัน (ป.ธ. 5) ต้องยกย่องท่านว่าท่านเก่งมาก สามารถจดวิชายากๆอย่างนี้ได้

     วิชชามรรคผลพิสดารเล่ม ๒

มรรคผลพิสดาร 2

     เป็นวิชาธรรมกายหลักสูตรระดับยากมาก เป็นความรู้ที่ท่านเจ้าคุณภาวนาโกศลเถร (อาจารย์วีระ คณุตฺตโม) อาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาเป็นผู้จดบันทึกความรู้ เพิ่งพิมพ์เผยแพร่ในปี พ.ศ. 2519 ซึ่งหลวงพ่อมรณภาพไปแล้วถึง 17 ปี ทางวัดปากน้ำจึงได้พิมพ์วิชาธรรมกายหลักสูตรนี้เผยแพร่

******

สมถะ

----------------------------------------

 

 



ความเห็น (6)
สามเณรวัฒนชัย ปั้นมณี

โดยส่วนตัวแล้วข้าพเจ้าคิดว่าวิชชาธรรมกายนั้นนมีอยู่จริง แต่คนรอบข้างข้าพเจ้าเองพยายามพูดเพื่อให้ข้าพเจ้าไขว้เขว แต่ข้าพเจ้าคิดว่าวิชชาธรรมกานคือสิ่งที่นำไปสู่การพ้นจากพญามารได้ดีที่สุด ใครจะว่าๆเป็นคนติดสุข ติดรูปก็ว่าไป ข้าพเจ้าคิดว่าอดีตชาติเคยทำบุญเรียนวิชชาสายนี้มาก่อนแล้ว เพราะเมื่อตอนเด็กยังจำความได้ว่ามีหญิงแก่คนหนึ่งเห็นข้าพเจ้าแล้วนำหนังสือวิชชาพระธรรมกายมาให้ข้าพเจ้า ทั้งๆที่ตอนนั้นยังออ่านหนังสือไม่ค่อยรู้เรื่องเลยด้วยซ้ำไป และเม่อโตขึ้ข้าพเจ้าได้ศึกษาก็ได้เห็นดวงแก้วกลายมาเป็นองค์พระได้อย่างง่ายดายจนกระทั่งสามารถขยายได้หลายเท่า ทั้งๆที่บางคนที่เริ่มฝึกพร้อมกับข้าพเจ้านั้นบอกว่านึกยากบ้างนึกไม่ได้บ้าง จึงเป็นที่ฉุกคิดว่าข้าพเจ้าอาจเคยได้ผ่านการเรียนนี้มาก่อนแล้ว ช่วยแก้ข้อข้องใจผมด้วยนะครับว่าส่งที่เกิดขึ้นกับผมเป็นเพราะอะไรครัตอบกลับมาที่ [email protected]

ขอเจริญพร

สามเณรวัฒนชัย ปั้นมณี

อิมินาปุญญะกัมเมนะ อนาคตาเล โพธิสัตโต โหมิ.

สามเณรวัฒนชัย ปั้นมณี

ขอเจริญไมตรีจิต

ขอขอบคุณโยมปราชญ์ ที่ได้เสียสละเวลาในการปฏิบัติธรรมอันมีค่ามาตอบคำถามของผมนะครับ ขออนุโมทนาบุญด้วยจริงๆ ผมสามารถขยายกายออกมา -สิบแปดกาย ตอนที่อยู่บนรถไฟ ตอนเดินทางไปบวชที่ต่างจังหวัดหนะครับ อธิบายคือ มีรูปกายองค์พระที่ผิดแปลกจากเดิมออกมาให้เห็น ทีละกาย ละเอียดมากขึ้นด้วยครับ องค์พระก็ยิ่งใสสว่างมากขึ้น ไม่ได้ยินเสียงรอบข้างเลยมีความรู้สึกเหมือนกับว่า ขนลุกเหมือนกับว่าวิญญาณจะหลุดออกจร่างให้ได้ และรู้สึกว่ามีความสุขอบ่างบออกไม่ถูกจริงๆ เดี๋ยวนี้ เกิดเหตุการที่แปลกๆกับตัวของเณรคือ เวลาหลับอยู่แล้วใครโทรมามักจะฝันถึงคนนั้นก่อนเสมอ สักพักเสียงโทรศัพท์จึงดังขึ้นแล้ว คนที่โทรมา ก็เป็นคนที่ฝันจริงๆด้วย มีเรืองแปลกหลายอย่าง บางทีหลวงอาว์ไม่สนับสนุนให้่งสมาธิสายนี้เลยโดย บอกว่าในพระไตรปิฎกไม่ไดบอกวิธีปฏิบัติแบบนี้ จึงทำให้เขวไปครับ มีวิธีอย่างไรครับที่จะทำให้หนักแน่นมากขึ้น แะสิ่งที่เกิดกับตัวเณรเองคืออะไร รบกวนเวลาโยมช่วยตอบด้วยนะครับ

          เจริญพร

สามเณรวัฒนชัย ปั้นมณี

อิมินาปุญญะกัมเมนะ อนาคตาเล โพธิสัตโตโหมิ

นมัสการสามเณรครับ...

ประสบการณ์ที่สามเณรพบเจอนั้นถือว่าเป็นวาสนาบารมีแต่ปางก่อนนะครับ เสียแต่ว่าไม่สามารถที่จะเข้าใจเหตุผลและไม่สามารถที่จะปฏิบัติตามหลักวิชชาธรรมกายอย่างชัดเจนเท่านั้น นั่นอาจเพราะสามเณรมิได้ศึกษาวิชชาธรรมกายมาเป็นลำดับและขาดพี่เลี้ยงที่ดีในการพัฒนาการปฏิบัติตามหลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

สามเณรมีความโชคดีที่ได้เห็นธรรมกายเพียงแต่สามเณรยังไม่ทราบถึงวิธีปฏิบัติที่ตรงตามหลักของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ถ้าสามเณรศึกษาปฏิบัติให้ตรงสามเณรจะสามารถเข้าใจหลักพุทธศาสนาและวิชชาธรรมกายได้ชัดเจนขึ้นครับ

สำหรับวิชชาธรรมกายและหลักปฏิบัติเพื่อให้ถึงธรรมกายหรือเรื่องของธรรมกายในพระไตรปิฎกนั้นสามเณรสามารถหาความรู้นั้นได้จากที่นี่หรือจะถามไถ่พูดคุยกันตามอีเมล์ของผมก็ได้ครับ [email protected] อยู่แต่ว่าสามเณรต้องการเข้าถึงธรรมกายและศึกษาตามหลักวิชชาจริงแค่ไหนนะครับ "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต ตถาคตคือธรรมกาย"...

บรรพชา บุณยรัตพันธุ์

สวัสดีครับคุณสมถะ

ผมมีความปรารถนาที่จะได้คุยสนทนาธรรมกับคุณสมถะมานานเพิ่งมีโอกาสตอนนี้ครับ เมลนี้ที่ให้แด่ท่านสามเณรวัฒนชัยเป็น เมลส่วนตัวของคุณสมถะหรือเปล่าครับ ถ้าใช่ขออนุญาตส่งข้อสงสัยหรือคำถามต่างๆไปหานะครับ ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ ผมมีคำถามมาเรียนถามคุณสมถะนิดหนึ่งนะครับคือผมและครอบครัวได้ทำบุญส่งไปถวายแด่องค์ต้นปราบใหญ๋และคุณลุงการุณย์ท่านทุกเดือน และได้อธิษฐานส่งบุญนี้ให้แก่คุณพ่อที่เสียชีวิตไปแล้วถามว่าคุณพ่อของผมจะได้รับบุญใหญ่นี้ไหม ถ้าได้บุญใหญ่ขนาดนี้มีผลทำให้ภพภูมิที่ท่านอยู่นั้นเปลี่ยนแปลงไปได้หรือไม่ครับ หากเราใส่ชื่อของท่านไปเลยในการทำบุญคือให้เป็นเจ้าภาพเองอย่างนี้จะได้ไหมครับผิดหลักอะไรตรงไหนบ้างครับ ขอความเมตตาไขความกระจ่างตรงนี้ด้วยครับขอบคุณครับ

เรียนคุณบรรพชา นี่คืออีเมล์ของผมนะครับ [email protected]

และถ้าต้องการถาม-ตอบเพื่อความรู้ สามารถเข้าไปตั้งกระทู้ถามได้ที่ห้องสนทนาที่นี่ครับ http://forums.212cafe.com/samatha/

สำหรับเรื่องที่ถามมานั้น ขอเรียนว่า เมื่อท่านส่งเงินบูชาต้นปราบเป็นประจำ และประสงค์จะช่วยคุณพ่อที่เสียชีวิตไปแล้ว ก็ขอให้คุณบรรพชาโทรไปกราบเรียนคุณลุงการุณย์ท่านโดยตรงเถิดครับ แล้วคุณลุงฯ ท่านว่าอย่างไรก็ทำไปตามนั้น

บรรพชา บุณยรัตพันธุ์

เรียน คุณสมถะ

ขอบพระคุณมากครับ หากผมมีคำถามส่วนตัวขออนุญาตคุณสมถะถามไปทางเมลเพื่อทราบคำตอบจะได้หรือไม่ครับเพราะบางเรื่องผมสงสัยมานานรวมถึงบางแง่มุมที่หาคำตอบจากที่ไหนไม่ได้ ขอรบกวนถามทางเมลจะสะดวกหรือไม่ครับ ขอบพระคุณมาณที่นี้ด้วยครับ

บรรพชา

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท