จากผลการศึกษา เมื่อนำทฤษฎีทางจิตวิทยาสังคมมาอธิบายว่า สถานการณ์ความไม่สงบ มีผลต่อการปฏิบัติงานและความรู้สึกของบุคลากรสาธารณสุข อำเภอกาบัง จังหวัดยะลา ดังนี้ด้านการปฏิบัติงาน พบว่า สามารถใช้ทฤษฎีการตอบสนองความต้องการของอับราฮัม มาสโลว์ (Maslow Hierachy of Need ) ในเรื่องมนุษย์มีความต้องการความมั่นคงปลอดภัย (Safety of Security Need) จะเห็นได้จากการไม่ออกพื้นที่คนเดียว เพราะกลัวความไม่ปลอดภัย (ท่านไม่ออกพื้นที่คนเดียว เพราะกลัวความไม่ปลอดภัย ร้อยละ 44.00) เพราะมนุษย์ย่อมต้องการความปลอดภัยของชีวิตทั้งในปัจจุบัน และอนาคต (สมนึก ศิริสุวรรณ, 2549 : 11) และยังมีการนัดแนะเพื่อเดินทางพร้อม ๆ กัน (ท่านมีการนัดแนะเพื่อนร่วมงาน เพื่อเดินทางไป-กลับที่ทำงานพร้อม ๆ กัน จริง ร้อยละ 46.00) เพราะ มนุษย์ต้องการความปลอดภัย เพื่อที่จะป้องกันมิให้เกิดอันตรายต่าง ๆ กับร่างกาย ความเจ็บป่วยและความสูญเสียทางด้านเศรษฐกิจ (ธันยา ศรีตุลากร, 2546 : 34) จึงมีการรวมกลุ่มเดินทางไปทำงานเพื่อสมาชิกจะได้มีความมั่นคงปลอดภัยมากขึ้น และสอดคล้องกับข้อมูลทั่วไปในเรื่องการเดินทางไปทำงานจะมีลักษณะเป็นแบบรวมกลุ่มเดินทาง (การเดินทางไปที่ทำงาน ส่วนใหญ่เดินทางร่วมกับผู้อื่น ร้อยละ 58.00 โดยส่วนใหญ่เดินทาง 7 คนขึ้นไป ร้อยละ 55.17) แต่อย่างไรก็ตามบุคลากรสาธารณสุข ที่มีความตระหนักในบทบาท (Role) การทำงานของตน ย่อมทำงานตามที่คาดหวัง (Expectation) ตามบทบาทหน้าที่ เพื่อให้การทำงานลุล่วงและประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี ทำให้ยังมีการทุ่มเทเวลาให้กับการทำงานอยู่ (ท่านไม่ทุ่มเทเวลาให้กับการทำงาน เช่น การทำงานเกินเวลาราชการ เพราะกลัวความไม่ปลอดภัย ไม่จริง ร้อยละ 48.00) และยังคงออกพื้นที่ทำงานตามแผน (ท่านยังคงออกพื้นที่ตามแผนกำหนดการเดิม จริง ร้อยละ 64.00) และเป็นที่น่าสังเกตว่าไม่มีผู้ใดจะไม่ดำเนินงานตามแผนเลย (ท่านยังคงออกพื้นที่ตามแผนกำหนดการเดิม ไม่จริงเลย ร้อยละ 0.00) สรุปได้ว่าบุคลากรสาธารณสุขมีความตระหนักในบทบาทของตนเองมาก และการทำงานในพื้นที่ยังเป็นการทำงานรูปแบบเชิงรุกอยู่ (ท่านไม่ดำเนินงานเชิงรุกเข้าหาผู้รับบริการในพื้นที่ แต่เลือกที่จะให้บริการเชิงรับ โดยให้ผู้รับบริการมารับบริการเอง ไม่จริง ร้อยละ 50.00) แต่ปรับเปลี่ยนวิธีการโดยให้ผู้นำชุมชน และอาสาสมัครสาธารณสุข มีส่วนร่วมในการช่วยติดตามผู้ป่วยมากขึ้น (ท่านมีการประสานงานกับอาสาสมัครสาธารณสุข และผู้นำชุมชนมากขึ้น เพื่อช่วยติดตามผู้ป่วยมารับบริการที่สถานบริการสาธารณสุขเอง จริง ร้อยละ 66.00) อย่างไรก็ตาม พบว่า มีสัดส่วนของข้อมูลที่ขัดแย้งกันในเรื่องประสิทธิภาพในการทำงาน (สถานการณ์ความไม่สงบส่งผลให้ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของท่านลดลง จริงและไม่จริง ในสัดส่วนที่เท่ากัน ร้อยละ 38.00) แสดงว่า บุคลากรสาธารณสุขส่วนหนึ่งยังมีภาวะคับข้องใจ (Frustration) อยู่ เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการปฏิบัติงานในพื้นที่ให้เข้ากับสถานการณ์ ทำให้บุคลากรสาธารณสุขที่ปรับตัวได้ยังคงปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนบุคลากรสาธารณสุขที่ปรับตัวไม่ได้ และมีความวิตกกังวล (Anxiety) อยู่ จะมีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานลดลงด้านความรู้สึก เมื่อใช้ทฤษฎีต้นไม้จริยธรรมมาอธิบายปรากฏการณ์ พบว่าบุคลากรสาธารณสุข มีจิตลักษณะด้านทัศนคติ (Attitude) ที่ดีในการทำงาน รวมทั้งมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูง คือ บุคลากรมีความพยายาม ความตั้งใจสูง ในการปฏิบัติงานตามหน้าที่ ตามแผนงานที่กำหนดไว้ให้สำเร็จจงได้ โดยไม่คำนึงว่าเหตุการณ์ความไม่สงบจะมีผลต่อการปฏิบัติงานหรือไม่ ยังรักในงานและสนุกที่จะทำงานที่ตนรับผิดชอบ (ท่านยังรักและสนุกกับการทำงาน แม้จะมีสถานการณ์ความไม่สงบรายวันก็ตาม จริง ร้อยละ 52.00) มีความรู้สึกเชื่ออำนาจในตน ว่าทำดี (ต่อผู้รับบริการ) ย่อมได้ดี คือ บุคลากรได้ปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือผู้ป่วยให้หายจากอาการเจ็บป่วยด้วยความบริสุทธิ์ใจแล้ว จึงเชื่อว่า ผู้รับบริการไม่น่าจะมีเจตนาที่จะมุ่งทำร้าย มีเหตุผลเชิงจริยธรรมในการทำงานเพื่อส่วนรวม คือ มีความเสียสละเพื่อส่วนรวม ทำให้บุคลากรสาธารณสุขยังมีความไว้วางใจต่อผู้รับบริการ (ท่านรู้สึกไม่ไว้วางใจต่อผู้รับบริการในพื้นที่ ไม่จริง ร้อยละ 44.00) และยังมุ่งอนาคตควบคุมตน อดได้รอได้ คือ ยังคงปฏิบัติงานในหน้าที่เพื่อให้ครอบครัวมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ในการที่จะอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป (ถ้ามีโอกาสท่านจะย้ายออกนอกพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทันที ไม่จริง ร้อยละ 50.00)เมื่ออธิบายปรากฏการณ์ การรับรู้ผลตอบแทนจากการทำงาน โดยใช้ทฤษฎีการแลกเปลี่ยนทางสังคม (Social exchange theory) ซึ่งบุคคลมักจะคำนึงถึงผลได้ผลเสียในการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมหรือแม้แต่การทำงานร่วมกัน คือ ปฏิบัติงานเพื่อหวังความดีความชอบ หรือโบนัส ถ้ารู้ว่าไม่มีความดีความชอบก็จะปฏิบัติงานไม่เต็มความสามารถ และยังต้องการความเป็นธรรม (Equity) ในส่วนของค่าตอบแทน พบว่า บุคลากรยังไม่พึงพอใจกับค่าตอบแทนที่ได้รับ (ท่านรู้สึกพึงพอใจกับค่าตอบแทนที่ได้รับจากการทำงานในพื้นที่นี้ ไม่จริง ร้อยละ 48.00) และเงินเสี่ยงภัยที่ได้รับ ไม่ทำให้ขวัญกำลังใจ ดีขึ้น (เงินเสี่ยงภัยทำให้ท่านมีขวัญกำลังใจที่ดีในการทำงาน ไม่จริง ร้อยละ 36.00) และสอดคล้องกับข้อมูลทั่วไปในเรื่องเงินเพิ่มพิเศษ พบว่า มีความแตกต่างกันมากระหว่างบุคลากรสาธารณสุขด้วยกันเอง คือ ในระดับผู้บริหารได้รับเงินเสี่ยงภัย แต่บุคลากรในระดับปฏิบัติงานกลับไม่ได้รับ ทั้งที่มีความเสี่ยงมากกว่า เพราะต้องออกไปปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงต่อเหตุการณ์ความไม่สงบ และมีความรู้สึกว่าการปฏิบัติงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ได้รับสิทธิพิเศษ และความก้าวหน้าในหน้าที่การงานเมื่อเทียบกับจังหวัดอื่น ๆ (การปฏิบัติงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้ท่านได้สิทธิพิเศษ และความก้าวหน้าในหน้าที่การงานสูงกว่าจังหวัดอื่น ๆ ที่ใกล้เคียง ไม่จริง ร้อยละ 52.00) อย่างไรก็ตามพบว่า ยังมีสัดส่วนของข้อมูลที่ขัดแย้งกันในเรื่องความสุขในการทำงาน (ท่านรู้สึกไม่มีความสุขในการทำงาน จริงและไม่จริง ในสัดส่วนที่เท่ากัน ร้อยละ 32.00) ความต้องการในการทำงานต่อในพื้นที่ (ภายใน 5 ปีนี้ท่านยังอยากทำงานที่นี่ต่อไป จริง ร้อยละ 38.00 และไม่จริง ร้อยละ 34.00) และความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างบุคลากร (ท่านรู้สึกว่าสถานการณ์ความไม่สงบ ทำให้คนในหน่วยงาน ห่วงใย อนาทร รักใคร่กันมากยิ่งขึ้น จริง ร้อยละ 38.00 และไม่จริง ร้อยละ 36.00) เนื่องจากความคับข้องใจ (Frustration) ในความสัมพันธ์ระหว่างบุคลากร หรือในการปฏิบัติงาน รวมทั้งหน่วยงานอาจมีสภาพแร้นแค้น (Scarcity) เช่น ขาดแคลนเครื่องมืออุปกรณ์ในการปฏิบัติงาน ขาดแคลนเครื่องมือสื่อสารหรือยานพาหนะ และสภาพแวดล้อมไม่เอื้อต่อการปฏิบัติงาน ซึ่งต้องมีการศึกษาเพื่อหาสาเหตุของปัญหาดังกล่าวต่อไป