เด็กบ้านนอกบ้านนาอาศัยการเล่นกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวมาเป็นเป็นเครื่องกล่อมเกลาอารมณ์ของพวกเราให้สามารถเรียนรู้การอยู่กับเด็กคนอื่นๆได้ และฝึกฝนเราให้แก้ปัญหาจากการละเล่นเหล่านั้น
จำได้ว่าหลังข้าวเย็นเกือบทุกวันในหน้าแล้ง พวกผู้ใหญ่มักจับวงพูดคุยกันตรงเดิ่นบ้านหรือชานบ้าน เด็ก ๆจากคุ้มบ้านใกล้กันมักจับมารวมตัวและมีกิจกรรมเล่นกันในยามค่ำคืนการเล่นที่แสนสนุกคือ ลู่ลี่ หรือเล่นซ่อนหานั้นเองโดยก่อนเล่นจะมีการวางกติกาและกำหนดอาณาบริเวณในการซ่อนเอาไว้ กำกับพฤติกรรมของคนเล่นและบอกกล่าวถึงพื้นที่ที่ปลอดภัยที่เราสามารถเล่นได้ในยามค่ำคืน
ส่วนเด็กผู้หญิงที่ไม่ชอบผจญภัยก็มักเล่นกิจกรรมที่ไม่ใช้พื้นที่มากนักอาจเล่นอยู่ข้าง ๆ กลุ่มผู้ใหญ่ที่มาคุยกันอย่างออกรส เด็กคนไหนง่วงก็จะหาทางซุกตักพ่อหรือแม่ที่ยังสนุกในการเว้านัวหัวม่วนอยู่
ผมจำได้พื้นฐานสำคัญสุดของการเล่นการรวมตัวกันของเด็ก ๆ ในอีสานนั้นจะเริ่มต้นจากกติกาของความรักสามัคคีก่อนเป็นอันดับแรก เพราะเมื่อจะมีการรวมตัวเล่นกัน หัวหน้าแก้งหรือผู้เริ่มแรกจะหาพื้นที่โล่งและใช้เท้าขีดพื้นดินเป็นวงกลมและท่องบทที่เรียกความรักสามัคคี ผมจำบทนี้ได้แม่น บทนี้ความว่า “ ขีด ขีด ขีด ผู้ได๋บ่ขีดบ่ให้เล่นนำ”
บทนี้จะท่องไปเรื่อย ๆจนกว่าจะได้สมาชิกเด็ก ๆ พอสมควรดังนั้นเด็กคนไหนได้ยินจะรีบมาต่อท้ายกันและขีดเป็นวงกลมตามก้นคนแรกไปเรื่อย ๆ เป็นการเรียกความสามัคคีของเด็ก ๆ ด้วยกันเพราะคนที่ไม่ยอมมาขีดวงกลมจะไม่ได้เล่นเกมใด ๆ ร่วมกับเพื่อนเพราะถือว่าขี้คร้าน
ผมพยายามนึกถึงถ้อยคำที่เป็นขนบวัฒนธรรมการเล่นของตนเอง แต่ยังนึกไม่ออก
สมัยเด็กเล่นหลายอย่าง แต่ก็เรียกภาษากลางไม่ถูก
แต่ก็อบอุ่นครับที่ได้อ่านบันทึกเหล่านี้..คิดถึงบ้าน คิดถึงวันเวลาที่ล่วงผ่านมา
น่ารัก ดีแหละออต ที่ว่า........หัวหน้าแก้งหรือผู้เริ่มแรกจะหาพื้นที่โล่งและ
ใช้เท้าขีดพื้นดินเป็นวงกลมและท่องบทที่เรียกความรัก
สามัคคี ผมจำบทนี้ได้แม่น บทนี้ความว่า
“ ขีด ขีด ขีด ผู้ได๋บ่ขีดบ่ให้เล่นนำ”
มันเหมือนการรวมพล / โหมโรม อะไรทำนองนั้น
พี่ไม่ค่อยได้ฟังเรื่องการละเล่นแบบนี้เท่าไหร่...แต่น่าจะ
เอามาประยุกต์ เป็นเกม เล่นกันสนุกๆในค่ายได้อ่ะ
ออต สบายดีนะ