ตั้งแต่ได้เริ่มปฏิบัติกรรมฐานมานี่ เรารู้สึกได้ว่า ความคิดต่างๆ เริ่มลดลง ความยาก ความต้องการต่างๆ เริ่มลดลงเรื่อยๆ จากสมัยก่อนที่เรามักจะเป็นคนชอบเขียนคิด ชอบเขียน แต่มาบัดนี้ เรารู้สึกได้ว่า มันเริ่มลดลงเรื่อยๆ จนบางครั้ง ทำให้เรานึกไปว่า หากเราเป็นอย่างนี้มากยิ่งขึ้น การทำงานของเรามันจะเป็นอย่างไรนะ แต่ทุกขั้นตอนของชีวิต เราก็พยายามที่จะทำหน้าที่ทุกหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เราเชื่อแน่ว่า ทางสายนี้ที่เรากำลังเดินมันไม่มีทางที่จะเป็นทางที่ผิดพลาด เพราะนี่คือทางสายเอก เพียงแต่เราปฏิบัติยังไม่ได้ถึงที่สุด เราจึงยังคงมีความสับสนอยู่บ้างในระหว่างทางที่ก้าวเดิน ...
เราจำได้ว่า ครั้งแรกที่เราได้พบกับสหายอย่างยิ่งของเรา เราเริ่มต้นสนทนากันเรื่องการปฏิบัติธรรม โดยสำหรับเราแล้ว เรากล่าวว่า "การทำงาน คือ การปฏิบัติธรรม" แต่ สำหรับเขาแล้ว เขากล่าวว่า "การปฏิบัติธรรม คือ การทำงาน" นั่นคือ ทั้งสองคนมีส่วนที่เหมือนและต่างกัน สำหรับเขาแล้วทั้งชีวิต เขาใช้สำหรับการปฏิบัติธรรม แต่สำหรับเรา ชีวิตเราเต็มไปด้วยการทำงาน ซึ่งเราใช้ธรรมะร่วมกับการทำงานทุกขั้นตอนของ นั้นคืออัตถะของสองคนที่ต่างกัน.
มาบัดนี้ ถ้าเลือกได้ เราก็อยากที่จะเลือกที่จะปฏิบัติอย่างเขา แต่เมื่อหน้าที่ของเราในขณะนี้มันไม่สามารถที่จะสละทิ้งไปได้ เราจึงยังจำเป็นที่จะเดินในเส้นทางเดิม และเราก็หวังไว้ว่า สักวันหนึ่งเมื่อหน้าที่ของเราเหมาะสม เราคงจะได้เลือก การปฏิบัติธรรมคือการงาน อย่างเขาบ้าง :)
สำหรับผม การปฏิบัติธรรม คือ การระลึกรู้ อยู่กับปัจจุบัน เห็นการเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นทางกาย หรืออารมณ์ความรู้สึก เห็นความคิด แต่ไม่เข้าไปในความคิด
ครูอาจารย์ท่านสอนต่อไปอีกว่าการทำงานนั้นจำเป็นที่เราต้องเข้าไปในความคิด เขาไม่ได้จ้างให้เรามา "เฝ้าดู" ความคิด แต่เมื่อใดก็ตามที่เรามีโอกาส เช่น หัวหน้าชมเชย ใจพองโต เพื่อนว่าแล้วจิตตก เราก็เพียง"ตามรู้" ดูกาย ดูใจ ไปเรื่อยๆ เท่าที่จะทำได้ หากทำได้เช่นนี้ในชีวิตก็จะมีการทำงานและการปฏิบัติธรรมที่กลมกลืนไปด้วยกันครับ
ถึงตรงนั้นการใช้ชีวิตในที่ทำงานก็เป็นการปฏิบัติธรรมไปโดยปริยาย ไม่ต้องไปอยู่ที่วัด 7 คืน 8 วัน อีกต่อไป เพราะที่ทำอยู่ทุกๆ วันนั้น ก็คือการปฏิบัติธรรม