ผมกลับมาถึงบ้านที่แก่งคอย ประมาณซัก 17.00 น.หลังจากเก็บข้าวของเรียบร้อย ไม่คิดอะไรแล้วครับ นอนเอาแรง (ชารท์แบตฯ) ก่อนเลยครับ..แต่ก็นอนได้ไม่นาน ก็มีเสียงโทรศัพท์ปลุกให้ตื่น..พอตื่นมาก็เลยพอมีแรง ไปอาบน้ำอาบท่า..ครับ..
หลังพิธีมอบบ้านเสร็จแล้วผมได้คุยกับหลายท่าน..ซึ่งก็เจอคำถามคล้ายกัน..ว่า โครงการนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร อยากรู้ที่มาที่ไป...ขอตอบอย่างนี้ครับจุดเริ่มต้น....เริ่มจากที่ผมได้รับโจทย์จากคณะจัดการของบริษัท ว่า..อยากให้จัดหลักสูตรพัฒนาพนักงานที่เป็นแบบ Action Learning โดยมีจุดประสงค์หลักๆคือ...
1. เพื่อให้พนักงานมีความเข้าใจถึงกระบวนการเรียนรู้ (Learning process)
2. เพื่อพัฒนาศักยภาพของพนักงาน เพื่อเป็นพื้นฐานสนับสนุนการบริหารงานแบบ Empowerment
3. เพื่อพัฒนาทีมงาน และสร้าง Network ในกลุ่มพนักงานที่อยู่ต่าง Location กัน
4. พัฒนา วุฒิภาวะ และความฉลาดทางอารมณ์ของพนักงาน
การวัดผลของหลักสูตร ดูจากการประเมินองค์กร 2 อย่างครับ
1. ความผาสุขหรือการทำงานอย่างมีความสุขของพนักงานโดยดูจากผลการสำรวจสุขภาพองค์กร (OHI)
2. ประเมินจากระดับการพัฒนาการของการบริหารงานแบบ Empowerment ที่มีระดับการพัฒนาสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา 1 ระดับค้นหาแนวทาง.
.เมื่อรับโจทย์มาเช่นนี้ ผมและทีมงานจึงคิดออกแบบหลักสูตร ที่จะตอบโจทย์ และวัตถุประสงค์ดังกล่าว..ในช่วงนี้เราใช้เวลาค่อนข้างมาก คิดแล้วคิดอีก คิดกันมาหลายรูปแบบ ที่หนักที่สุดเห็นจะเป็นว่า จะหาวิทยากรที่ไหน มาทำ..เราติดต่อวิทยากรหลายท่าน..แต่ละท่านล้วนแล้วแต่ระดับพระกาฬ ความเชี่ยวชาญระดับต้นๆของประเทศไทย ..แต่เมื่อ แต่ละท่านส่งรูปแบบมาให้ดู..ซึ่งกิจกรรมหรือเนื้อหาก็น่าสนใจทั้งนั้น แต่เราติดที่รูปแบบ ส่วนใหญ่ก็เป็นกาศบรรยา หรือไม่ก็ work shop ทางทีมเรามองว่าก็น่าจะออกมาแบบเดิมเหมือนทุกครั้งที่เคยจัดกัน..ประกอบกับ ครั้งหนึ่งผมได้พบปะกับพนักงานที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ก็เลยลองสอบถามเล่น (แต่เอาจริง) ว่าอยากจะให้จัดอบรมแบบไหน ...เสียงส่วนใหญ่ตอบมาว่า ไม่อยากให้จัดแบบ Class room ...จึงกลับมาคิดกันอีกครั้ง....ในระหว่างที่คุยกันอยู่นั้นพวกเราแต่ละคนก็คิดสารพัดรูปแบบ จนมีคนหนึ่งในวง คือคุณวราวุฒิ พิมเสน ที่เป็นเจ้าหน้าที่บุคคลของบริษัท ถามผมมาว่า “ ทุกครั้งที่ไปวัดธรรมอุทยาน มีกิจกรรมอะไรบ้าง” ....ผมก็ตอบไปว่า “ ก็ให้พนักงานปฏิบัติธรรมในรูปแบบที่ตามแต่ถนัด จะเดิน จะนั่ง จะนอน ก้ให้มีสติรู้ตัว ฝึกดูลมหายใจ อยู่กับปัจจุบัน ส่วนตอนกลางวัน ก็ช่วยกันทำงานวัด แบบ ค่ายอาสาฯ..”..คุณวราวุฒิ ปรบมือแปะๆๆ สว่นผมงง ครับ พูดแค่นี้มาปรบมือทำไม...คุณวราวุฒิ..พูดต่อว่า.... “ถ้าเราจัดเป็นแบบการออกค่ายอาสาล่ะ จะสามารถผนวกเข้ากับกระบวนการเรียนรู้ได้หรือเปล่า”...เท่านั้นแหละครับ เหมือนแสงสว่างวาวเข้ามาในวงสนทนาของพวกเรา....หลังจากนั้นผมได้รับมอบหมายจากวงสนทนาครั้งนั้น ให้ร่างรูปแบบโครงการ พร้อมนำเสนอสถานที่ ที่เราจะดำเนินการ....หลังจากนั้นผมก็ดำเนินงานตามรับมอบหมายซึ่งก็ใช้เวลาพอสมควร..จนได้ข้อสรุปที่พร้อมนำเสนอดังนี้ครับ...·
รูปแบบ...เป็นการออกค่ายเพื่อการเรียนรู้...เน้น..การเรียนรู้ด้วยตนเอง ...เรียนรู้จากสถานการณ์จริง เรียนรู้จากสิ่งที่อยู่รอบๆตัว..·
สถานที่..ผมเสนอเป็นที่สวนป่าครูบาสุทธินันท์..แห่งเดียว..ซึ่งเป็นการนำเสนอที่ต้องออกแรงอธิบายค่อนข้างมากครับ เพราะว่า ..สถานที่อยู่ห่างจากบริษัทค่อนข้างมาก..และเป็นโครงการหรือหลักสูตรแรก ที่ไปทำในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ..มุขในการนำเสนอของผม ก็ทำแบบไม่ให้รู้ตัวว่าผมเสนองานครับ...โดย..ก่อนที่จะมีการนำเสนอ..โครงการผมได้ ส่ง File ของครูบาสุทธินันท์ ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องก่อน แต่ไม่ได้บอกว่าส่งให้เพื่ออะไร..หลังจากส่งไปแล้ว ก็มีคำถามกลับมาทาง E-Mail เยอะมากแบบว่าแต่ละคนอยากรู้ว่างั้นเถอะ..ผมก็ตอบคำถามทาง E-Mail เมื่อประมวลภาพแล้วคิดว่า คนสนใจมากแล้ว จึงได้ขอนัดประชุมเพื่อ เสนอโครงการ..ผลก็คือ..ผ่านฉลุยครับ.
. ...โดยสรุปแล้วเราดำเนินโครงการนี้ในปี 2549 จำนวนทั้งหมด 5 รุ่น และตกค้างมาปีนี้ 1 รุ่นเป็น 6 รุ่น มีจำนวนพนักงานเข้าร่วมโครงการนี้ทั้งหมด 243 คน ใช้งบประมาณ ทั้งค่าอุปกรณ์สร้างบ้าน ค่าอาหาร และที่พัก ค่าตอบแทนวิทยากร ทั้งหมด ประมาณ 1,700,000 บาท ถึงแม้จะเป็นงบประมาณที่ค่อนข้างสูงแต่ทางคณะผู้บริหารก็พอใจกับผลที่ออกมา..ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพฤติกรรมของพนักงานที่เข้าร่วมโครงการ ที่แสดงออกมาหลังจากเข้าร่วมโครงการแล้ว..และที่สำคัญ..ผลจากการจัดโครงการครั้งนี้ ทำให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม ตามอุดมกาณ์ของเครือซิเมนต์ไทยที่ว่า “ถือมั่นในความรับผิดชอบต่อสังคม” จนในที่สุดมีมติออกมาแล้วว่า ในปี 2550 ให้ดำเนินโครงการนี้ต่อ อีก 4 รุ่น..ซึ่งขณะนี้ได้จัดหาสถานที่และเตรียมการเรียบร้อยแล้ว โดยจะเริ่ม “คนพันธ์ s ภาค 2 รุ่นที่ 7” ในช่วงต้นเดือนมีนาคมนี้ ที่ “โครงการร่มโพธิ์แก้ว 2” อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ครับ
ตามคุณเมตตา มาเก็บเกี่ยววิทยายุทธ์ดี ๆ อีกกระบวนท่าหนึ่งค่ะ
ยอดเยี่ยมจริง ๆ ค่ะ
ขอบคุณมุกม่านครับที่ร่วม ลปรร.
ดีครับกับประสบการณ์ดีๆ ที่เอามาฝากครับ
คุณภูคา ค่ะ
สนใจในส่วนของการวัดผลความสัมฤทธิ์ของโครงการมานานแล้วค่ะ จากการที่คุณภูคา ตั้งโจทย์ของการวัดผลของหลักสูตรนี้ โดยดูจากการประเมินองค์กร 2 อย่าง คือ
1. ความผาสุขหรือการทำงานอย่างมีความสุขของพนักงานโดยดูจากผลการสำรวจสุขภาพองค์กร (OHI)
2. ประเมินจากระดับการพัฒนาการของการบริหารงานแบบ Empowerment ที่มีระดับการพัฒนาสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา 1 ระดับค้นหาแนวทาง.
แล้วในส่วนของการวัดผลระดับบุคคลหละคะ สำหรับโครงการนี้ ทางปูนฯ ได้ออกแบบการวัดผลไว้อย่างไรค่ะ สนใจอยากแลกเปลี่ยนเรียนรู้ค่ะ
ขอบคุณทุกท่าครับ..ทั้งคุณเมตตา ,คุณปรีดิ์ผาติ,ท่านอาจารย์แพนด้า และคุณรัตติจาครับ..
ขอบพระคุณมากคะคุณภูคา
ทำให้พอมองเห็นแนวทางค่ะ ชื่นชมทางปูนฯ มากค่ะ ที่ถึงแม้ว่าสิ่งที่ถือว่าวัดยากสุด ซึ่งคือการวัดพฤติกรรมของคน แต่ทางปูนฯ ก็สามารถทำให้เกิดกระบวนการวัดผลในส่วนนี้ได้
ขอชื่นชมด้วยใจจริงค่ะ