ปรากฏการณ์พิศวง เดชาวู (déjà vu) เกิดขึ้นได้อย่างไร?


เคยไหมครับที่คุณกำลังทำอะไรเพลิน ๆ อยู่ จู่ ๆ ก็กลับมีความรู้สึกว่า “เอ๊ะ! เหตุการณ์แบบนี้ มัน เคยเกิดขึ้น มาแล้วนี่!”

เคยไหมครับที่คุณกำลังทำอะไรเพลิน ๆ อยู่ จู่ ๆ ก็กลับมีความรู้สึกว่า “เอ๊ะ! เหตุการณ์แบบนี้ มัน เคยเกิดขึ้น มาแล้วนี่!”  แถมบางครั้งยังรู้อีกด้วยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น ... แต่ความรู้สึกที่ว่านี้มักจะเกิดในช่วงสั้น ๆ แล้วก็หายไป

 

ฝรั่งมีศัพท์หลายคำที่ใช้เรียกความรู้สึกเช่นนี้ เช่น promnesia และ paramnesia แต่ที่นิยมที่สุด คือเรียกเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า เดชาวู (déjà vu) แปลว่า เคยเห็นมาก่อนแล้ว คำว่า déjà vu นี้ นักวิจัยชาวฝรั่งเศสซึ่งศึกษาเรื่องลึกลับของจิตชื่อ Emile Boirac (เกิด ค.ศ.1851 ตาย ค.ศ.1917) ใช้เป็นครั้งแรกในหนังสือชื่อ L'Avenir des Sciences Psychiques

 

ในปี ค.ศ.1986 ได้มีการทำโพลสำรวจพบว่า คนอเมริกันราว 67% เคยมีประสบการณ์เดชาวู ส่วนคนไทยเป็นเท่าไรนั้นยังไม่เคยเห็นสถิติ แต่ที่แน่ ๆ ผมเองก็เคยมีประสบการณ์นี้มากกว่า 1 ครั้ง ตั้งแต่ตอนยังเอ๊าะ ๆ เรียนอยู่มัธยมต้น (นานมาแล้ววว ...) ยังจำได้แม่นว่า เคยคุยกับเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่มีประสบการณ์นี้เหมือนกัน ถึงขนาดที่ว่า ถ้าสร้างเงื่อนไขอย่างหนึ่ง เหตุการณ์แบบนี้จะเกิดตามมา แต่ถ้าสร้างเงื่อนไขอีกอย่าง เหตุการณ์อีกแบบจะเกิดตามมา...โม้กันถึงขนาดนั้นเลย!

 

ปกหนังสือ The Psychology of Deja Vu 

 

น่ารู้ด้วยว่า คำว่าเดชาวูนี้เป็นคำกลาง ๆ ที่ใช้เรียกประสบการณ์ประเภท "เคย ... มาแล้ว" (déjà experience) เพราะถ้าแบ่งอย่างละเอียดตาม ดร.เวอร์นอน เอ็ม เนปเป (Dr.Vernon M. Neppe) ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเดชาวู ก็จะได้ถึง 21 แบบ

 

  

 

ตัวอย่างประสบการณ์ เดชาวู (déjà vu) บางแบบ
  • déjà vécu (already lived) = เคยใช้ชีวิตในลักษณะเช่นนี้มาแล้ว

  • déjà senti (already felt) = เคยรู้สึกเช่นนี้มาแล้ว

  • déjà visitè (already visited) = เคยเยือนสถานที่นี้มาแล้ว

  • déjà entendu (already heard) = เคยได้ยินมาแล้ว

  • déjà eprouvè (already experienced) = เคยมีประสบการณ์มาแล้ว

  •  déjà fait (already done) = เคยทำเสร็จสิ้นไปแล้ว

  •  déjà pensè (already thought) = เคยคิดมาก่อนแล้ว

  •  déjà su (already known intellectually) = เคยรู้มาก่อนแล้ว

  •  déjà dit (already said/spoken) = เคยพูดมาก่อนแล้ว

  •  déjà lu (already read) = เคยอ่านมาแล้ว

  •  déjà revè (already dreamt ) = เคยฝันแบบนี้มาแล้ว

  •  déjà rencontrè (already met) = เคยพบคน ๆ นี้มาแล้ว
  •  déjà goutè (already tasted) = เคยรับรู้รสในลักษณะเช่นนี้มาแล้ว
  •  

    อย่างไรก็ดี นักวิชาการอีกท่านหนึ่งคือ ดร.อาเทอร์ ฟังค์เฮาสเซอร์ (Dr.Arthur Funkhouser) กลับบอกว่า น่าจะเลิกใช้คำว่า เดชาวู ได้แล้ว แต่ให้เจาะจงไปเลยว่าเป็นประสบการณ์แบบไหน โดยในบรรดาประสบการณ์ย่อยทั้งหมดนี้ มีอยู่ 3 แบบที่น่าสนใจ เพราะมีตัวอย่างอ้างอิงชัดเจน ได้แก่ 

     

    • เดชา เวกู (déjà vécu)
    • เดชา ซองติ (déjà senti)
    • เดชา วิซีต (déjà visitè)

    ทั้ง 3 แบบนี้มีส่วนคล้ายหรือต่างกันอย่างไร ลองมาดูรายละเอียดกันหน่อย

     

    เดชาวูที่น่ารู้จัก 3 แบบหลัก

     

    • เดชาวูแบบแรกคือ เดชา เวกู (déjà vécu) หรือ "เคยใช้ชีวิตในลักษณะเช่นนี้มาแล้ว" ก็เหมือนกับเกริ่นเรื่องเอาไว้ นั่นคือ คนที่มีประสบการณ์นี้จะรู้สึกเหมือนกับว่า ตัวเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันนั้น ได้เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้วในอดีต ตรงกันหมดในรายละเอียดไม่ว่าสถานที่ สิ่งของ คนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งคำพูด และกิริยาท่าทางของคนรอบข้าง

      นี่เองที่ทำให้ ดร.อาเทอร์ ฟังค์เฮาส์เซอร์ เสนอว่าควรจะเลิกใช้คำว่า เดชาวู ซึ่งมีความหมายตรงตัวเพียงแค่ "เคยเห็น" เพราะในกรณีเดชา เวกู นั้นมีครบเครื่องทุกการรับรู้และความรู้สึก (เห็น+ได้ยิน+สัมผัส+อื่น ๆ) ราวกับว่าเคยใช้ชีวิตในช่วงนี้มาแล้วนั่นเองจากการสำรวจ (ของฝรั่ง) พบว่า ประชากรประมาณ 1 ใน 3 เคยมีประสบการณ์นี้ โดยมักเกิดในช่วงที่อายุประมาณ 15-25 ปี โดยจุดสำคัญของเดชา เวกู ก็คือ เรื่องที่รู้สึกว่าเคยเกิดขึ้นมาแล้วนั้น มักจะเป็นเรื่องแสนจะธรรมดา แต่กลับมีรายละเอียดที่เกี่ยวข้องอย่างน่าพิศวง เช่น จำได้ว่าตรงนี้เป็นยังไง ใครพูดหรือทำอะไร และที่น่าพิศวงที่สุดก็คือ จะรู้สึกมั่นใจว่า จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปในอีกไม่กี่อึดใจอีกด้วย!
    • ส่วนแบบที่สองคือ เดชา ซองติ (déjà senti) หรือ "เคยรู้สึกเช่นนี้มาแล้ว" นั้น มีจุดแตกต่างจากเดชา เวกู ตรงที่ว่า เดชา ซองติ เป็นความรู้สึกที่ขึ้นในใจเป็นหลัก และมักจะถูกกระตุ้นด้วย "คำ" เช่น ได้ยินคนอื่นพูด คิดคำอยู่ในใจ หรืออ่านคำ ๆ หนึ่งแล้วคิดตาม  และที่สำคัญคือ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ (ทำนายเหตุการณ์ไม่ได้) ซึ่งต่างจากกรณีของเดชา เวกู

      นักประสาทวิทยาพบว่า เดชา ซองติ มักจะเกิดควบคู่ไปกับโรคลมบ้าหมูอันเนื่องมาจากมีปัญหาที่สมองกลีบขมับ (temporal lobe epilepsy) โดยก่อนอาการชักอย่างเต็มขั้นนั้น คนไข้อาจจะมีความรู้สึกในลักษณะนี้นำมาก่อน ด้วยเหตุนี้เอง นักประสาทวิทยาบางท่านจึงได้เสนอว่า เดชา ซองติ น่าจะเกิดจากสาเหตุเดียวกับโรคลมบ้าหมู
    • สำหรับแบบที่สามคือ เดชา วิซีต (déjà visitè) หรือ “เคยเยือนสถานที่นี้มาแล้ว” นี่ก็ลึกลับไม่เบา เพราะมีหลายกรณีที่บางคนบันทึกไว้ว่า รู้สึกคุ้นเคยราวกับว่าเคยอาศัยอยู่ใน (หรือเคยไปเยี่ยมเยือน) สถานที่หนึ่ง ๆ มาแล้ว ทั้ง ๆ ที่เพิ่งไปเป็นครั้งแรก

       

      บางคนที่เชื่อในเรื่องการกลับชาติมาเกิด พอได้ยินอย่างนี้เข้า ก็ตีปีกแล้วร้องดัง ๆ ว่า เห็นไหมเป็นเพราะชาติก่อน คน ๆ นี้เคยใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่ดังกล่าว พอกลับมาเยือนอีกครั้งก็เลยจำได้

      ส่วนคนที่เชื่อเรื่องกายทิพย์ (astral body) หรือประสบการณ์ออกนอกกายเนื้อ (out-of-body experience, OBE) ก็จะบอกว่าเป็นเพราะกายทิพย์ของคนนั้นได้ไปเยือนสถานที่แห่งนั้นมาแล้ว (เช่น ในระหว่างที่เขากำลังหลับอยู่) พอกายเนื้อไปที่นั่นจริง ๆ ก็เลยจำได้

      อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าทฤษฎีกลับชาติมาเกิดและกายทิพย์นี่จะใช้กับ “เดชาแบบอื่น ๆ” ไม่ได้ เช่น ไม่ได้ตอบคำถามว่า แล้วรู้สึกได้อย่างไรว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้นในกรณีของเดชา เวกู เป็นต้น

       

      มีเหมือนกันที่เชื่อเพียงว่า เดชา วิซีต เกิดจากการที่เราเคยไป (หรือเคยรับรู้เกี่ยวกับ) สถานที่นั้นมาแล้ว แต่ดันลืมไปเอง แม้ทฤษฎีนี้จะดูง่ายไปหน่อย แต่ก็มีหลักฐานสนับสนุนอยู่ เช่น กรณีที่นาทาเนียล ฮอว์ทอร์น (Nathaniel Hawthorne) ไปเยือนคฤหาสน์ Stanton Harcourt ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองออกซ์ฟอร์ดในอังกฤษในปี ค.ศ.1856 ฮอว์ทอร์นเขียนไว้ในบันทึกการเดินทางชื่อ Our Old Home ว่าเขารู้สึกตื่นตะลึงเมื่อได้เห็นห้องครัวขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนว่าเขาจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่ต่อพอไล่เลียงสาเหตุไปมาก็กลับพบว่า ที่เขารู้สึกเช่นนั้นเป็นเพราะเคยอ่านงานเขียนของอะเล็กซานเดอร์ โป๊ป (Alexander Pope) ซึ่งกล่าวถึงสถานที่นั้นมาก่อนนั่นเอง

       

     

    นอกจากแนวคิดเรื่องการกลับชาติมาเกิด กายทิพย์ และทฤษฎีลมบ้าหมูแล้ว ยังมีคำอธิบายอื่น ๆ เกี่ยวกับเดชาวูอีกหลายแบบ ตัวอย่างเช่น

     

    • เฟเดอริก ไมเออร์ส (Frederic W.H. Myers) เสนอว่า เดชาวูเกิดจากการที่จิตใต้สำนึกบันทึกเหตุการณ์ไว้ก่อนจิตสำนึกเล็กน้อย ทำให้สมองตีความไปว่า เหตุการณ์ที่กำลังดำเนินไปอยู่นั้นเคยเกิดขึ้นในอดีตมาก่อน
    • อีกทฤษฎีหนึ่งที่น่าจะเทียบเคียงกับทฤษฎีของไมเออร์สเสนอว่า เดชาวูเกิดจากความผิดพลาดในขั้นตอนกระบวนการรับรู้ (perception) และการระลึกได้ (cognition) ของสมอง โดยข้อมูลจากประสบการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นและรับรู้อยู่นั้นถูกส่งไปเก็บเป็นความจำก่อน จากนั้นสมองจึงนำมาแปลความหมายและระลึกได้ภายหลัง เลยกลายเป็นว่าประสบการณ์ ณ ขณะนั้น ถูกตีความว่าเป็นประสบการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอดีต
    • Pierre Gloor เสนอว่า เดชาวูเกิดในขณะที่ระบบความจำส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดึงข้อมูลออกมาใช้ (retrieval system) ไม่ทำงาน ในขณะที่ส่วนที่เกี่ยวข้องกับความคุ้นเคย (familiarity system) ทำงานเป็นปกติ แต่ก็มีคนแย้งว่า ระบบดึงข้อมูลออกมาใช้ไม่น่าจะปิดตาย แต่ระบบทั้งสองน่าจะทำงานไม่ประสานกันซะมากกว่า

    ฟังทฤษฎีเยอะแยะพวกนี้แล้ว ก็อาจจะรู้สึกมึนๆ ปนฉงนไม่แพ้ กับความรู้สึกเดชาวู

     


    แล้วคุณล่ะ คิดว่า เดชาวู เกิดจากอะไร?

     


     

    ประวัติของบทความ

     

     

     

     

    • ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร สารคดี (* กำลังสืบค้นว่าเล่มไหน *)
    • ตีพิมพ์รวมเล่มในหนังสือ กฎพิสดาร ปรากฏการณ์พิศวง, สนพ. สารคดี
    • เผยแพร่ในเว็บ โลกจิต ของ แทนไท ประเสริฐกุล ตามไปดู comments ได้เลย

     

     


    หมายเลขบันทึก: 73390เขียนเมื่อ 19 มกราคม 2007 09:17 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 17:45 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


    ความเห็น (49)

    สวัสดีครับ พี่ชิว

    ผมเองก็ชอบเรื่องราวแบบนี้ครับ ดีครับ ชอบหนังสือที่พี่เขียนด้วย เคยได้อ่านแล้วครับ

    แล้วจะแวะเข้ามาเรียนรู้บ่อย ๆ ครับ

    ขอบคุณครับ

     

    สวัสดีครับ อุทัย (ชื่อเล่น อะไรเอ่ย?)

              ด้วยความยินดีครับ ตอนนี้พี่กำลังเขียนแนวจิตวิทยาแปลกๆ อีกเล่มหนึ่ง ประเภท

              - ม้าแสนรู้ คิดเลขได้ (กรณี Clever Hans) 

              - ปรากฏการณ์อัจฉริยะแบบซาวัง (Savant Syndrome)

              - ความฝันแบบรู้ตัว (Lucid Dreaming)

             เอาไว้ว่างๆ นัดคุยกันพร้อม ดร.นำชัย (ชิ้น) ที่ BIOTEC ก็ได้ครับ

    พี่ชิว

    โอ้โห......อาจจะทำให้ผมเสียตังอีกแล้วสิครับ

    ชื่อโอครับ

    สำหรับเวลาว่างคุยกันก็ดีครับ

    ผมก็เคยเป็นแบบเดชา วิซีตเหมือนกันครับเพราะพอผ่านสถานที่นั้นก็นึกขึ้นมาได้เองว่าเคยเห็นที่นี่มาก่อนทั้งที่เคยไปครั้งแรก

    สวัสดีครับ คุณ coconan

           ถ้าผ่านมาทางนี้อีก ช่วยเล่ารายละเอียดเพิ่มเติมสักหน่อยได้ไหมครับ ว่าสถานที่อะไร รู้สึกอยู่นานแค่ไหน & มีเหตุการณ์อะไรพิเศษบ้างไหมครับ

    ขอบคุณครับ 

    อาจารย์ชิวเขียนได้ดีครับ

    ผมคิดว่าทฤษฎีของ Frederic W.H. Myers และโรคลมชักจากสมองส่วน temporal lobe น่าจะถูกต้อง  เพราะ déjà vu มักต้องมีเหตุการณ์หรือตัวกระตุ้นเร้าจากสิ่งแวดล้อมนำมาก่อน แล้วเราจึงเกิดความรู้สึกว่าเคยเกิดขึ้นมาแล้ว ดังนั้น น่าจะอธิบายได้ตรงไปตรงมาจากกระบวนการทำงานของสมองนั่นเอง  ซึ่งแตกต่างกับปรากฎการณ์ของการล่วงรู้อนาคต การทำนายอนาคตได้อย่างแม่นยำ หรือ การระลึกชาติ โดยมีการตรวจสอบหลักฐานอ้างอิงต่างๆยืนยัน โดยไม่ต้องมีสิ่งกระตุ้นเร้านำมาก่อน

    ความสำคัญทางการแพทย์ของ déjà vu  คือ ภาวะนี้เกิดในคนทั่วไปได้ หรือ เป็นอาการหนึ่งของโรคลมชัก temporal lobe epilepsy 

    ส่วนประสพการณ์ déjà vu ของผม มักเป็นลักษณะ สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันมันคล้ายๆกับฝันที่ผ่านมาในคืนก่อนๆ

    สวัสดีครับ หมอเบ๊

            เรื่อง déjà vu นี่ ดูเหมือนจะมีคนสนใจเยอะทีเดียวครับ เพราะส่วนใหญ่เคยเป็นกันทั้งนั้น

            เคยทราบมาว่า ในปี พ.ศ. 2496 นพ. วิลเดอร์ เพนฟิลด์ (Wilder Penfield) ซึ่งเป็นศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดสมอง ได้ทำลองใช้กระแสไฟฟ้าอ่อนๆ กระตุ้นสมองบริเวณกลีบขมับของคนทั่วไป และพบว่าประมาณ 8% ของผู้ถูกทดลองเกิดมีความจำขึ้นมา ซึ่งอาจเรียกว่าเป็น เดชาวูที่เกิดจากการกระตุ้น (artificially stimulated  déjà vu) ได้ครับ

    เรื่องอย่างนี้  คงจะมีน้อยคนหล่ะครับ  ที่จะบอกว่าไม่เคยเกิดขึ้นกับตนเอง

     

    ไม่ว่าเป้นไครก้ต้องเคยหยุดคิดุ้นมาเหมือนกันครับ ว่า เหมือนเราเคยทำ  เหมือนเราเคยไป ประมาณนี้อะครับ

     

    คิดดู เรื่องนี้มันก็เป็นวิทยาศาสตร็ด้วยอะครับ

     

     

    สวัสดีครับ คุณวาทิน

            มีเหมือนกันครับคุณวาทิน เด็กวัยรุ่นบางคนบอกว่า ยังไม่เคยมีประสบการณ์เดชาวู แต่ส่วนใหญ่รู้จักกันครับ และจะรู้สึกพิศวงอยู่มากทีเดียว (ประสบการณ์แปลกๆ ที่เกี่ยวกับจิตมักจะเป็นเช่นนี้)

    สวัสดีครับ ได้ความรู้เยอะเลยครับ  แล้วยังไม่มีใครสรุปออกมาอย่างแน่ชัดว่าเกิดขึ้นได้อย่างไรหรือครับ  และจะหาซื้อหนังสือได้ที่ไหนครับ ขอบพระคุณครับ

    สวัสดีครับ คุณ sniper (เอ่อ..ขอชื่อจริงหน่อย ส่งมาทาง e-mail พี่ก็ได้ครับที่ [email protected])

            เรื่อง เดชาวู นี่ยังไม่มีหนังสือภาษาไทยครับ แม้แต่บทความ ก็เห็นจะมีพี่เขียนอยู่คนเดียว! ตอนนี้ไปรวมเล่มอยู่ในหนังสือ กฎพิสดาร ปรากฏการณ์พิศวง เล่ม 1 สนพ. สารคดี มีข้อมูลมากกว่าในบันทึกนี้นิดหน่อยครับ

            ส่วนของฝรั่ง เห็นมีหนังสืออยู่บ้าง แต่พี่ไม่มีครับ ลองค้นชื่อของ Dr. Vernon M. Neppe ดูได้ครับ

    สวัสดีครับ ดร.บัญชา

                ผมส่ง  อีเมล ไปหาแล้วครับ ขอบคุณครับ

    ได้เพิ่มเติมข้อมูลเข้าไปในบทความวันนี้

    ดีมากขอมูลที่ให้ดีมาก

    น่าแปลก เคยทั้งสามแบบเลยค่ะ แต่แบบแรกกับแบบที่สองนี่หลายครั้ง โดยเฉพาะแบบแรกนี่บ่อยที่สุด มึนๆ เอ๊ะ เคยทำ พูด และอยู่ในเหตุการณ์นี้แล้วนี่นา แล้วรู้สึกว่าเหมือนทำซ้ำ แต่แบบที่สามเคยแค่หนเดียว อาจจะเป็นได้ว่าทั้งสามแบบเกิดจากอ่านหนังสือ ดูหนัง และพบปะคนเยอะ เลยประมวลมั่วไปหมด ต้อง defrag สมองบ้างอาจจะหาย แต่เดี๋ยวนี้เป็นน้อยลงค่ะ ช่วงวัยรุ่นถึงยี่สิบกลางๆ นี่เป็นมากทีเดียว สรุปว่าไม่รู้สาเหตุ แต่ก็ไม่ได้ติดค้างในใจอะไรมากมาย แต่ถ้ามีใครบอกได้เป็นทฤษฎีที่พิสูจน์ได้ก็สนใจที่จะศึกษาค่ะ

    สวัสดีครับ ซูซาน

           ดีจัง...พี่เคยเป็นแค่แบบแรกอย่างเดียวครับ ตอนช่วงวัยรุ่นประมาณ ม.ต้น!

           ทางจิตวิทยานี่มีการศึกษากันครับ แต่ดูเหมือนว่าผลงานวิจัยจะไม่แพร่หลายเท่าไร สังเกตว่า แทบไม่เคยมีใครเขียนถึงเลย

           ต้อง defrag สมองเลยหรือครับ? ;-) อย่าให้ถึงกับต้อง re-format เชียวนา...เดี๋ยวเพื่อนๆ ใน G2K หายหมด...อิอิ

    ผมเคยเจอประสบการณ์แบบนี้ มาประมาณ 70% ผมงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาก

    สิ่งที่ผมกลัวคือ มีวันนึงผมฝันเห็นวันที่ผมหมดลมหายใจ และเหตุการณ์เหล่านี้มันเริ่มเห็นจากปี เป็นเดือน จากเดือน เป็นสัปดาห์ และเป็นวัน ในที่สุด ผมว่ามันเริ่มน่ากลัวสำหรับผมแล้ว ไม่รู้ใครเชื่อมั้ย แต่ผมเล่าให้ใครฟังไม่มีใครสนใจผมเลย

    สวัสดีครับ คุณเสมอเทพ

          ตอนนี้อายุเท่าไรแล้วครับ?  เดชาวูไม่ใช่ความฝัน แต่เป็น "ความรู้สึก" ในขณะตื่นอยู่ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเคยเกิดขึ้นมาก่อนครับ

    • ธุ อาจารย์ชิว..

    เคยบ่อยๆ จนบางทีแยกไม่ออกว่านี่คือความฝัน ความจริง    แต่พอหลังๆ ก็ชินและรับมือกับมันได้

    สวัสดีครับ ต้อม

           น่าสนใจมากครับว่า บางทีความฝันกับความจริงก็คล้ายกันจนแยกลำบาก

    • อาจารย์ชิวคะ..

    หยิบหนังสือ "กฎพิสดาร  ปรากฏการณ์พิศวง" ของอาจารย์มาอ่านอีกครั้ง (ก่อนส่งคืนเจ้ในวันนี้--เธอบอกจะเตรียมเก็บไว้ล่าลายเซ็นต์อาจารย์)   แน่นอนที่จะพลิกไปหน้าที่เขียนถึงประสบการณ์เดชาวู

    เดชาวูแบ่งได้ออกเป็นหลายแบบเหลือเกินตามทฤษฎี    ซึ่งต้อมคิดเอาเองว่าถ้าทุกสิ่งล้วนแล้วแต่เรา "เคย" พบ/เห็น/กระทำ มาแล้วทั้งนั้น    มันก็ไม่ต่างกับการกลับชาติมาเกิด หรือการถอดกายทิพย์ได้ล่ะสิคะ    แต่พอเอาเข้าจริงๆ  เราจะรู้ได้อย่างไร  ว่าไอ้เจ้าเดชาวูที่เราคิดว่าจะเป็นนั่น    ไม่ใช่มาจากการดูหนัง ดูละคร จากในจอตู้มากเกินไปหรือเปล่า   จนกระทั่งเรานำไปผูกโยงให้เป็นเรื่องเป็นราว   หรือทำให้เกิดกระบวนการคิดโดยไม่ตั้งใจ

    สงสัยน่ะค่ะ..

     

    สวัสดีครับ ต้อม

            เรื่อง เดชาวู นี่น่าสนใจจริงๆ แถมยังไม่ค่อยมีบทความให้อ่านด้วย แต่จะว่าไปแล้ว ปรากฏการณ์นี้ต่างจากการกลับชาติมาเกิด และการถอดกายทิพย์ นะครับ ไว้จะหาโอกาสขยายความอีกที

    ...สวัสดีค่ะ...

    ดูเหมือนว่าจะเข้ามาช้าไปหรือเปล่า

    ปอนด์เคยมีปรากฎการณ์เดชาวูอย่างนี้บ่อยเหมือนกัน (แต่ไม่ทราบว่าเค้าเรียกว่า "เดชาวู") เคยสงสัยแต่ก็หาคำตอบไม่ได้

    เป็นทั้งการเจอสถานที่ ทั้งการกระทำ การพูดจา เล่าให้เพื่อนฟังเค้าก็บอกว่าเคยเป็น แต่บางคนก็ว่าเราเป็นเอามาก...

    หนังสือยังมีอยู่หรือเปล่าคะ ...

    ขอบคุณค่ะ

    สวัสดีครับ PanPound

             ไม่ช้าไปหรอกครับ ยังคุนกันได้ตามแต่ละคนจะสะดวก

             หนังสือ กฏพิสดาร ปรากฏการณ์พิศวง ซึ่งมีบทความเรื่องนี้ ก็เหมือนกับที่ผมนำมาลงในบล็อกนี้ครับ

             ตอนี้ยังเป็นอยู่หรือเปล่าครับ สำหรับผมไม่ได้เป็น เดชาวู มานานมากๆ แล้ว

    ก่อนหน้านี้เคยได้ยินเรื่อง เดชาวูมาบ้าง แต่ไม่เคยได้รายละเอียดมากขนาดนี้เลยค่ะ

    โดยส่วนตัวรู้สึกว่ามีประสบการณ์ที่น่าจะจัดอยู่ในกลุ่มของเดชา เวกู เพราะจะมีบางครั้วที่รู้สึกว่าสิ่งที่เราทำอยู่ตอนนี้หรือเหตุการณ์ที่เราเจออยู่ตอนนี้ เราเคยผ่านมาแล้ว และมีเว๊บสั้นๆที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปแล้วก็เกิดตามนั้นจริงๆ

    แต่รู้สึกว่ายิ่งอายุมากขึ้นอาการเหล่านี้ค่อยๆน้อยลง

    จึงไม่ทราบว่าปรากฎการณ์ เดชาวู เกี่ยวข้องกับช่วงอายุของคนหรือไม่ค่ะ

    สวัสดีคะ

    เคยเป็นอยู่หลายครั้งเลยคะ บางทีก้อเคยรู้สึกว่าเคยเกิดขึ้นมาแล้ว แล้วก้อคิดต่อว่ามันต้องเป็นอย่างงี้ต่อแน่ๆเลย

    บางทีคิดล่วงหน้าก้อถูกตามที่คิดแต่ส่วนใหญ่ก้อไม่เดป็นไปตามที่คิดไว้

    ตอนนี้กำลังขึ้น ม.ปลายคะ

    ช่วงนี้เป็นบ่อยมากแต่รู้สึกเริ่มน้อยลงเมื่อมีงานให้ทำ

    คือ..ถ้าอยู่แบบว่างๆไม่ได้คิดอะไรมันก้อจะเกิดขึ้นมา

    จริงๆแล้วไม่เคยรู้จัก เดชาวู มาก่อนเลยคะ

    ข้อมูลนี้ดีจริงๆเลยคะ

    ขอบคุณมากนะคะ

    สวัสดีครับ คุณฐา

            จากข้อมูลที่ผมค้นคว้ามาได้ พบว่าถ้าอายุมากขึ้น ก็จะรู้สึกว่าเกิด เดชาวู น้อยลงจริงๆ ครับ

    สวัสดีครับ คุณแจน

          ข้อสังเกตที่ว่า ถ้ามีงานทำยุ่งๆจะไม่เกิดเดชาวูนี่ น่าสนใจทีเดียวครับ

    อายุ 13 ปี ชื่อ กิ่ง

    เราฝันว่า เราไปพักบ้านหลังที่2 ฝันว่าบ้านหลังที่1ทาสีใหม่ปลูกหญ้าใหม่

    พอกลับมาบ้านหลังที่1ทำเหมือนในฝัน เป๊ะเลย

    สวัสดีครับ กิ้ง

            แบบนี้ไม่ใช่ เดชาวู แต่เป็น "ฝันที่เป็นจริง" ส่วนที่ว่าทำไมจริงนั้น อาจมีหลายสาเหตุ :- เก็บข้อมูลจากการได้ยินได้ฟัง ไปฝัน ก็เลยตรง เป็นต้นครับ

    ผมเป็น ผมหามานานเเล้วว่า

    ตัวผมเป็นอะไรบางคนว่าผมบ้า

    บางคนก็คิดไปเอง เย้มันมีจิงๆด้วย

    ผมไม่ได้บ้า

    ผมก็เคยเป็น บ่อยด้วย มันแปลกมาก มันเหมือนกันเปะเลย ทั้งมุมมองเสียงคำพูดบรรยกาศ บางคนก็ไม่เชื่อผม อยากรู้มันเกิดอะไรขึ้น บางครั้งก็เดาเหตุการณ์ได้จริงๆนะ ไม่ได้โกหก จริงๆนะ

     ผมเปน บอยมากครบ

    เรียนท่านอาจารย์ บัญชา นึกว่าจะได้เจอในงาน ชา แต่ผมมาไม่ทันติดประชุมสมัชชาสุขภาพที่ไบแทค

    ตอนเป็นเด็ก ถึงวัยรุ่น ไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมตัวเองคุ้นเคยกับสถานที่..ที่เราเพิ่งเคยมาครั้งแรก บางครั้งคุ้นเคยกับเหตุการณ์บางอย่างที่กำลังเกิดขึ้นเหมือนเคยเห็นมาก่อน จนวันหนึ่งหลังจากเรียนจบป.ตรี ขับรถไปงานแต่งงานเพื่อนที่ต่างจังหวัด ระหว่างทางก็รู้สึกคุ้นกับถนนและวิวทิวทัศน์ ก็บอกเพื่อนว่า...เราเคยมาที่นี่มาก่อน แล้วเดี๋ยวมันจะมีอุบัติเหตุข้างหน้าด้วยนะ ..เพื่อนก็งง รู้ได้ไง อย่างกะมีตาทิพย์...แล้วในวินาทีนั้น ..ความรู้สึกปิ้งแว๊บเข้ามาในหัว..ชั้นเคยฝัน...ฝันเห็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดนี้มาก่อน มันเหมือนกันมาก ชั้นถึงได้รู้สึกคุ้นเคย....เพียงเสี้ยวนาทีที่ปิ้งแว๊บขึ้นมา เด็กชายปั่นจักรยานตัดหน้ารถปิ๊คอัพที่วิ่งอยู่ข้างหน้าเรา  เบรคเอี๊ยด  เหมือนความฝันที่เคยฝันผ่านมาแล้ว...นาจะผ่านมาเป็นปีกว่าแล้ว


    แล้วหลังจากนั้นก็จะมีฝัน ฝัน ฝัน แล้วมันก็จะมีเหตุการณ์ หรือว่าความรู้สึกที่คุ้นๆกับเหตุการณ์เหล่านั้นมาก่อน เกิดขึ้นอีก เกิดแล้วเกิดอีก แม้แต่การได้เจอสามีที่แคนาดา ก็เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่เคยฝันมาก่อน ก่อนได้เจอได้รู้จักเขาเช่นกันค่ะ

    จากเดชาวู  มาจนถึงการฝันแบบรู้ตัว....

    เคยคุยให้กับจิตแพทย์ที่ทำงานด้วยกันที่เมืองไทยฟัง เพราะว่าการฝันแบบรู้ตัว แล้วเราควบคุมเหตุการณ์ หรือว่าบอกว่าให้เหตุการณ์ในฝันเป็นอย่างไร  มันเกิดบ่อยจนทำให้นอนไม่อิ่ม เป็นความกังวลว่าตัวเองผิดปกติ ทั้งที่ตัวเองก็เป็นพยาบาลจิตเวชและรู้ว่ามันเกิดขึ้นได้จากอะไรบ้าง...แต่ความกังวลใจก็ทำให้ต้องไปคุยกับหมอ

    จิตแพทย์หลายๆท่านที่เมืองไทยบอกว่า ไม่รู้จะรักษาอย่างไร ให้ไปฝึกสมาธิ  สมาธิก็ทำก่อนอนนะคะ แต่เรื่องฝันก็ยังเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ

    แต่ปีที่แล้ว....ที่เครียดในหลายๆเรื่อง แล้วเรื่องฝันแบบรู้ตัวและเดชาวูมันเเกิดขึ้นต่อๆกัน  จนรู้สึกเหนื่อย บางครั้งแยกไม่ออกเลยว่าเป็นอะไรกันแน่ แต่ที่รู้ๆ เราพูดกับตัวเองในความฝันได้ บอกคนอื่นให้ขับรถเร็ว หรือช้า อย่าไปแซงเขา เพราะเรากลัวอุบัติเหตุ แล้วก็พูดโต้ตอบ เถียงกัน


    ไม่นานมานี้  ฝันว่าวิ่งขึ้นเขา สึนามิกำลังมา ต้องรีบหนีสึนามิ ไม่งั้นต้องตายแน่ ในฝันเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่นมองเห็นตัวเองนอนอยู่ในบ้าน แล้วตะโกนให้ตัวเองตื่นๆๆๆ เดี๋ยวสึนามิจะเข้าบ้านเราแล้ว...เราต้องรีบวิ่งขึ้นเขาเดี๋ยวนี้ (บ้านที่แคนาดาที่นอนอยู่ในตอนที่ฝันเรื่องนี้ อยู่ใกล้มหาสมุทรแปซิฟิกค่ะ แล้วเคยอ่านในนิตยสารเขาบอกว่าหากสึนามิเข้าแวนคูเวอร์ บ้านเราก็จะโดนเต็มๆเลย..แล้วก็เก็บไปฝัน  วิ่งและตะโกนให้ลูกกับสามีวิ่ง  วิ่งเร็วๆ จนเหนื่อย เหมือนว่าตัวเองวิ่งจริงๆ  แล้วอยู่ๆ(ในฝัน) ก็มองเห็นว่าตัวเองนอนหลับและฝันไป(ทั้งที่ยังหลับอยู่) ก็บอกตัวเองว่า อ้าวเราฝันนี่นา ...งั้น เดี๋ยวฝันใหม่ ไม่ต้องวิ่งเหนื่อยขนาดนี้ล่ะ  เดี๋ยวฝันใหม่ว่าขับรถหนีไปให้ไกลจากทะเลดีกว่า ก็ควบคุมให้ตัวเองเดินลงเขาแล้วมาขับรถไปคัลการี ไปเที่ยวเทือกเขาร๊อกกี้ได้ด้วย  แต่พอตื่นขึ้นมานี่ล่ะคะ เหนื่อยมาก แล้วเช้าวันนั้นก็เกิดแผ่นดินไหวทางตอนเหนือของจังหวัดที่อยู่(บริติสโคลัมเบีย) ห่างจากบ้านพันกิโล  แต่ไปเกิดสึนามิที่ฮาวาย 


    ตอนนี้อยู่แบบเรียนรู้ความฝันของตัวเองแล้วล่ะคะ คิดอีกทีมันก็ท้าทายเพราะเราไม่รู้ล่วงหน้าว่าเราจะฝันเรื่องอะไร และมันจะเกิดเป็นแบบเดชาวูหรือป่าว  บางครั้งตื่นมาก็แทบจะจไม่ได้ว่าเมื่อกี้ฝันเรื่องอะไร  บางครั้งเรื่องราวก็จำได้อย่างแม่นยำ  แต่หากเป็นไปได้ จะขอนอนหลับแบบไม่ฝันเลย ขอให้หลับสนิท ตื่นเช้ามาสดใสพร้อมจะออกไปทำงานทำสิ่งดีดีเพื่อสังคมจะดีกว่าค่ะ


    มาแลกเปลี่ยนค่ะ  ดีใจที่ได้คุยกับอาจารย์ในวันนี้นะคะ

    เคยเป็นบ่อยมากค่ะ บ่อยจนน่ากลัว บางทีก็ฝัน บางทีก็แวปขึ้นมาซะเฉยๆ

    ปกติเป็นคนหลับลึกไม่ค่อยฝันอะไร จะฝันก็เมื่อมีเรื่องเครียด, คิดมาก, ดีใจ, เสียใจ หรือถ้าอยู่ๆก็ฝันขึ้นมาแบบไม่มีสาเหต จะรู้เลยว่าอีกไม่นานจะมีเหตการแบบนี้เกิดขึ้น เช่น 

     มีอยู่ครั้งนึงฝันว่าแฟนรถชน แล้วไม่นานต่อมามันก็เกิดขึ้นจริงๆ เห็นแฟนแล้วใจหายแวปเลย รู้ทันทีว่าใช่แน่ ภาพที่เห็นมันเหมือนกับที่ฝันเลย บางครั้งเวลาฝันแปลกๆก็เลยกลัวๆ 

    *เป็นมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ แรกๆก็คิดว่าคิดไปเอง แต่เอาเข้าจริงผ่านมาสิบกว่าปีแล้วก็เป็นอยู่ เห็นอยู่ ฝันอยู่เรื่อยๆ 

    มีอาการเดจาวูตั้งแต่เด็กๆ ถามใครก้อไม่มีคำตอบ พอรู้อีกทีมีคนมีอาการแบบนี้เยอะมาก...มันไม่ใช่ความพิเศษแต่คือกลุ่มอาการอย่างหนึ่ง  ซึ่งก็น่าสนใจมากสำหรับประสบการณ์ที่ไม่ได้เป็นกันทุกคน...

    หายไปนานเลยนะครับ อาจารย์

    ..

    ด้วยความระลึกถึงครับ

    ผมมีอาการคล้ายๆคุณJen เดชาวูผมส่วนใหญ่จะมาจากฝัน เคยฝันเห็น แล้วก็จะมาพบอีกที ตอนวัยรุ่นจะชัดมากมีจำได้ส่วนใหญ่ ตอนนี้สามสิบกว่าแล้วก็ยังเป็น แต่จะจำฝันนั้นไม่ได้ มันจะดูสับสน จะมาอีกทีก็เอ๊ะมาไง เคยทำแบบนี้แล้วนี่ แล้วก็มีอาการฝันที่ควบคุมได้มีบ่อยมากคับแต่ยังไม่ถึงขั้นกลับไปฝันใหม่ได้ แค่ฝันต่อคล้ายๆเรื่องเดิม บางทีหลังจากตื่นมาแล้วด้วยยังต้องนอนต่อกลับไปฝันอีก เหมือนจะเป็นปัญหาบ้างเพราะถ้ายังฝันไม่จบ จะไม่ยอมถึงแม้จะตื่นมาแล้วก็ต้องนอนต่อกลับไปฝันให้จบ อยากได้คำแนะนำคับ

    ขอบคุณสำหรับบทความค่ะ

    เป็นบ่อยมากขึ้นค่ะ ส่วนมากเป็นแบบแรกค่ะ ตอนเกิดขึ้นครั้งแรกกลัวมากคะ คนอื่นๆเริ่มมองเราแปลกๆตอนที่เล่าให้ฟัง บางครั้งก็เก็บไว้คนเดียวเพราะเดี๋ยวจะไม่มีเพื่อน มันน่ากลัวมากค่ะสำหรับหนูนะ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงจนมาเจอบทความนี้ก็ทำให้ไม่ค่อยคิดมากแล้วล่ะค่ะ...

    ...ผม ยู อายุ 16 ผมแปลกใจกบเรื่องนี้มากปรากฏการนี้ผมเคยเกิดขึ้นเกิน10กว่าครั้งแล้วเกิดขึ้นตั้งแต่ตอน ม.ต้น มีอยู่ว่านั้งอยู่ที่ห้องเรียนและอยู่ดีๆก็เหมือนมีนิมิตขึ้นมาในหัวว่าอาจารย์จะเดินเข้ามาที่ห้องและใส่เสื้อสีส้มแต่อาจารย์ลืมหนังสือและกลับไปเอาและผมก็งงที่เหตุการณ์เป็นไปตามนั้นและอีกครั้งคือมีเพื่อนเดินมาเราก็แวปไปว่าเพื่อนมันจะเอาหนังสือมาให้สุท้ายก็ใช้ผมเราให้ใครฝังเข้าก็ไม่สนใจ


    คงมีอีกโลกนึงเหมือนในเกมที่ทับซ้อนกันละแลคมั้ง

    ผมก็เคยเป็นเหมือนกันครับ มันมีเรื่องหลายเรื่องมากที่แว็บเข้ามาในหัวตอนที่เกิดเดชาวูในหัวตอนนั้นคิดอยู่ว่าเรารู้เหตุการณ์นั้นได้ยังไงแต่อีกความคิดก็คือหรือเราจะมโนไปเองแต่เหตุการณ์ก็เกิดขึ้นตามสิ่งที่ผมคิดในหั

    ดีคัฟ ผมมเคยมีอาการเดจาวุเช่นกันคัฟ ตอนนี้ผมยุ่ม.2 ตอนที่เกิดอาการเดจาวูผมยุ่ป.6 วันหนั้นผมไปเข้าค่ายช่วงนั้นเป็นกลางคืน กลุ่มผมก็เดินไปฐานตะเกียงอาลาดิน สถานที่จัดฐานตะเกียงอาลาดินคุ้นตาเลยคัฟ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร

    ของผมรู้สึกแบบ เดชา เวกู รู้สึกเหมือนว่าเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นแล้ว คำพูดนี้ในสถานการณ์ตอนนั้น ความรู้สึกในตอนนั้น มันเหมือนเคยเกิดขึ้นมาแล้ว

    อย่าเพิ่งดีใจครับ มันคืออาการเริ่มต้นของโรคลมชักแบบเงียบครับ..ตอนแรกผมรู้สึกดีใจกับตัวเองที่มีความรู้สึกแบบนี้ตอนผมอายุประมาณ 15 ผมรู้สึกแบบนี้ ปีละประมาณ 3-4 ครั้ง และมันก็เริ่มบ่อยขึ้น และอาการก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากรู้สึกว่าเหตุการณ์เคยผ่านมาแล้วกลายเป็นว่า รู้สึกว่าเหตุการเคยผ่านมาแล้วร่วมกับเริ่มรู้สึกว่าลืมชั่วขณะแต่รู้สึกตัวและงงว่าตัวเองกำลังอยู่ที่ไหนและทำอะไรอยู่ขณะเกิดอาการและเริ่มมีความถี่ของอาการบ่อยขึ้นเรื่อยๆ เป็นเดือนละประมาณ 1 ครั้ง จนกระทั่งผมไปเข้าพบแพทย์ แต่แพทย์แจ้งว่าผมเป็นโรค Panic ผมก็ทานยามาอีกประมาณ 5 ปี แต่ไม่รู้สึกดีขึ้น จนกระทั่งอาการผมเปลี่ยนจากที่เคยเห็นเหตุการณ์นี้ผ่านมาแล้วและลืมชั่วขณะกลายเป็นว่าเวลาเกิดอาการจะไม่รู้สึกตัว จนผมขับรถชนบนถนน 2 ครั้ง ขณะเกิดอาการ อาการจะเกิดประมาณ 10-15 วินาที จนความถี่ของอาการบ่อยขึ้นเป็นสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จนผมพยายามหาคำตอบด้วยตัวเองไปพร้อมกับการรักษา จนผมต้องยอมเปลี่ยนสถานที่รักษา และไล่เรียงเหตุการณ์ทั้งหมดให้หมอท่านใหม่ฟัง จนผมเพิ่งรู้ว่าผมเป็นโรคลมชักแบบเงียบ ไม่ใช่โรค Panic ซึ่งผมรักษาผิดมาถึง 8 ปี ปัจจุบัน ผมรับการรักษาโรคนี้มาประมาณ 1ปีแล้ว อาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ความถี่ของอาการน้อยลง และเปลี่ยนจากขณะเกิดอาการที่ไม่รู้สึกตัวกลับมาเริ้มรู้สึกตัวแล้วครับ…. เชื่อผม ..

    การเห็นว่าเหตุการณ์ผ่านมาแล้ว คือการทำงานของสมองที่ผิดปกติครับ ไม่ใช่ เดจาวู…

    อย่าเพิ่งดีใจครับ มันคืออาการเริ่มต้นของโรคลมชักแบบเงียบครับ..ตอนแรกผมรู้สึกดีใจกับตัวเองที่มีความรู้สึกแบบนี้ตอนผมอายุประมาณ 15 ผมรู้สึกแบบนี้ ปีละประมาณ 3-4 ครั้ง และมันก็เริ่มบ่อยขึ้น และอาการก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากรู้สึกว่าเหตุการณ์เคยผ่านมาแล้วกลายเป็นว่า รู้สึกว่าเหตุการเคยผ่านมาแล้วร่วมกับเริ่มรู้สึกว่าลืมชั่วขณะแต่รู้สึกตัวและงงว่าตัวเองกำลังอยู่ที่ไหนและทำอะไรอยู่ขณะเกิดอาการและเริ่มมีความถี่ของอาการบ่อยขึ้นเรื่อยๆ เป็นเดือนละประมาณ 1 ครั้ง จนกระทั่งผมไปเข้าพบแพทย์ แต่แพทย์แจ้งว่าผมเป็นโรค Panic ผมก็ทานยามาอีกประมาณ 5 ปี แต่ไม่รู้สึกดีขึ้น จนกระทั่งอาการผมเปลี่ยนจากที่เคยเห็นเหตุการณ์นี้ผ่านมาแล้วและลืมชั่วขณะกลายเป็นว่าเวลาเกิดอาการจะไม่รู้สึกตัว จนผมขับรถชนบนถนน 2 ครั้ง ขณะเกิดอาการ อาการจะเกิดประมาณ 10-15 วินาที จนความถี่ของอาการบ่อยขึ้นเป็นสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จนผมพยายามหาคำตอบด้วยตัวเองไปพร้อมกับการรักษา จนผมต้องยอมเปลี่ยนสถานที่รักษา และไล่เรียงเหตุการณ์ทั้งหมดให้หมอท่านใหม่ฟัง จนผมเพิ่งรู้ว่าผมเป็นโรคลมชักแบบเงียบ ไม่ใช่โรค Panic ซึ่งผมรักษาผิดมาถึง 8 ปี ปัจจุบัน ผมรับการรักษาโรคนี้มาประมาณ 1ปีแล้ว อาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ความถี่ของอาการน้อยลง และเปลี่ยนจากขณะเกิดอาการที่ไม่รู้สึกตัวกลับมาเริ้มรู้สึกตัวแล้วครับ…. เชื่อผม ..

    การเห็นว่าเหตุการณ์ผ่านมาแล้ว คือการทำงานของสมองที่ผิดปกติครับ ไม่ใช่ เดจาวู…

    ผมเคยมีอาการแบบว่าเวลาไปสถานที่แปลกๆ แบบตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ทั้งที่เราไม่เคยมาแต่จิตใต้สำนึกเรากลับบอกว่า…เราเคยมาที่นี่แล้ว หรือเคยฝันว่ามาที่นี่แล้ว มียู่ครังนึงหลงเข้าซอยซึ่งเป็นทางลัดกลับบ้าน ซึ่งซอยนั้นอยู่ห่างจากบ้านมาก แต่จิตใต้วำนึกกลับส่งภาพตอนเราไปนั่งรอพระมาบิณบาทตรงนั้นตรงนี้นี้ได้ชัดเจน แต่ก็ผ่านมาได้อีกระยะ ก็เริ่มมีอาการนอนไม่ค่อยหลับ พอจะหลับๆร่างกายเหมือนถูกกระชสกด้วยไฟฟ้า (ชัก) ให้เราต้องตื่นจากพวัง มานอนนับลมหายใจต่อ บางครั้งตอนชัก สติเรามาถึงก่อนที่ส้นเท้าจะกระทบที่นอน เราจึงมันใจว่าเราถูกกระตุกแรงมาก! ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร คืนนั่นเป็นอยู่ 3 ครั้งจนไม่กล้านอนหลับ หลังจากเหตุการนั้น ก็รู้สึกเหมือนเหตุการณ์ในชีวิต การกระทำรวมถึงกิจกรรมต่างๆในชีวิต เหมือนเราเคยผ่านมันมาเเล้ว ยิ่งตอนนั่งดูหนังหรือคลิปต่างๆในโทรศัพท์คนเดียวเงียบๆตอนดึก รู้สึกเหมือนเราเคยดู เคยฟัง แต่ยังไม่สามารถที่จะบอกล่วงหน้าได้ แต่ก็กด stop และพยายามนึกคนเดียวว่าเหตุการณ์ต่อจากนี้จะเป็นยังไง ก็ยังนึกไม่ออก จะออกมาแวบๆ ำพอกด play ไปถึงแต่ละช่วงๆเราก็ยิ่งมั่นใจว่าเราเคยดูและเคยได้ยิน สิ่งเหล่านี้มาแล้ว อยากได้ช้อมูลเพิ่มเติมกับเหตุการณ์เหล่านี้มาก หรืออาจจะเป็นอาการเเรกเริ่มของโรค “ลมชัก” เหมือนเม้นท์ข้างบนว่าก็เป็นได้ ยังไงหากมีข้อแนะนำดีๆรบกวนแนะนำด้วยว่าควรทำยังไงต่อไป 088-4306121 เอก

    ผมเคยมีอาการแบบว่าเวลาไปสถานที่แปลกๆ แบบตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ทั้งที่เราไม่เคยมาแต่จิตใต้สำนึกเรากลับบอกว่า…เราเคยมาที่นี่แล้ว หรือเคยฝันว่ามาที่นี่แล้ว มียู่ครังนึงหลงเข้าซอยซึ่งเป็นทางลัดกลับบ้าน ซึ่งซอยนั้นอยู่ห่างจากบ้านมาก แต่จิตใต้วำนึกกลับส่งภาพตอนเราไปนั่งรอพระมาบิณบาทตรงนั้นตรงนี้นี้ได้ชัดเจน แต่ก็ผ่านมาได้อีกระยะ ก็เริ่มมีอาการนอนไม่ค่อยหลับ พอจะหลับๆร่างกายเหมือนถูกกระชสกด้วยไฟฟ้า (ชัก) ให้เราต้องตื่นจากพวัง มานอนนับลมหายใจต่อ บางครั้งตอนชัก สติเรามาถึงก่อนที่ส้นเท้าจะกระทบที่นอน เราจึงมันใจว่าเราถูกกระตุกแรงมาก! ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร คืนนั่นเป็นอยู่ 3 ครั้งจนไม่กล้านอนหลับ หลังจากเหตุการนั้น ก็รู้สึกเหมือนเหตุการณ์ในชีวิต การกระทำรวมถึงกิจกรรมต่างๆในชีวิต เหมือนเราเคยผ่านมันมาเเล้ว ยิ่งตอนนั่งดูหนังหรือคลิปต่างๆในโทรศัพท์คนเดียวเงียบๆตอนดึก รู้สึกเหมือนเราเคยดู เคยฟัง แต่ยังไม่สามารถที่จะบอกล่วงหน้าได้ แต่ก็กด stop และพยายามนึกคนเดียวว่าเหตุการณ์ต่อจากนี้จะเป็นยังไง ก็ยังนึกไม่ออก จะออกมาแวบๆ ำพอกด play ไปถึงแต่ละช่วงๆเราก็ยิ่งมั่นใจว่าเราเคยดูและเคยได้ยิน สิ่งเหล่านี้มาแล้ว อยากได้ช้อมูลเพิ่มเติมกับเหตุการณ์เหล่านี้มาก หรืออาจจะเป็นอาการเเรกเริ่มของโรค “ลมชัก” เหมือนเม้นท์ข้างบนว่าก็เป็นได้ ยังไงหากมีข้อแนะนำดีๆรบกวนแนะนำด้วยว่าควรทำยังไงต่อไป 088-4306121 เอก

    พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
    ClassStart
    ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
    ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
    ClassStart Books
    โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท