เมื่อคืนได้เวลางามยามดี เพื่อนสมัยเรียนปริญญาตรีกลับมาขอนแก่นจึงหมายมั่นชวนกันไปดูหนัง หนังที่ว่าเพื่อนสมัยเรียนเป็นคนกำกับภาพและช่วยกำกับ และข่าวดีคือเรื่องราวเป็นเรื่องราวขอคนอีสาน ถ่ายทำที่ขอนแก่น จึงป็นที่มาของอาการอยากไปดู อยากไปอุดหนุนงานเพื่อน และอุดหนุนหนังไทย(อีสาน) เรื่องที่ว่าคือ คนไฟบิน
คิดว่าคนจะมาก แต่ในรอบที่ไปดูนี้ไม่มากอย่างที่คิดทั้งโรงไม่เกินโหลแน่ ๆ เนื้อเรื่องของหนังเป็นเรื่องการตามแก้แค้นคนที่ฆ่าพ่อแม่ของชายหนุ่มอีสานคนหนึ่ง การตามไปแก้แคนนี้เป็นการย้อนเวลาไปที่แผ่นดินอีสานในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ช่วง พ.ศ.2389 ที่ไทยเริ่มเปิดสัมพันธ์การค้ากับต่างประเทศอย่างจริงจัง
เมื่อมองในแง่ท้องถิ่นนิยม หนังเรื่องนี้เป็นความพยายามของผู้กำกับที่จะสำแดงพลังของคนอีสานที่มีความทัดเทียมกับคนบางกอกโดยสร้างบทที่ใช้ให้เป็นภาษาที่พูดในแผ่นดินอีสานทั้งหมดต่างจากหนังหลายเรื่องที่มีฉากเป็นคนอีสานแต่เมื่อตัวเอกที่พูดจะพูดภาษาไทยกลางกับตัวประกอบที่เป็นคนอีสาน(ตัวอย่างเช่น 15 ค่ำเดือน 11) เรื่องนี้นับว่ายกระดับภาษาอีสานขึ้นมาอีกครั้ง
ในเรื่องนี้มีสองภาษาที่สำคัญคือ ภาษาลาวที่ตัวละครใช้กันทั่วไป และภาษาไทโคราช ซึ่งหากสังเกตดีดจะพบว่าทั้งสองภาษาไม่เหมือนกันเลย นั้นแสดงให้เห็นชัดว่า อีสานมีความหลากหลายทางภาษามาก
ในส่วนของการศึกษาพื้นถิ่นอีสาน ออกจะปรบมือชมอยู่สักหน่อยเพราะทีมงานได้ศึกษาเรื่องนี้อย่างดีและเข้าใจภาพอีสานในอดีตได้ใกล้เคียงเห็นจากบ้านเรือน สิมเก่า และประเพณีบางอย่างที่แสดงออกมาอย่างเข้าใจเห็นว่าเรื่องนี้ต้องปรบมือชม ถึงแม้รายละเอียดเล็ก ๆน้อยจะหลุดไปบ้าง
ผมมองเห็นว่าหนังเรื่องนี้น่าจะเป็นอีกบทเรียนหนึ่งที่ครูสามารถนไปสอนหรือเป็นเครื่องมือในการสอนเรื่องอีสานศึกษาหรือท้องถิ่นอีสานได้ และได้ดีด้วยในส่วยที่เป็นวัฒนธรรมอีสาน
แต่จุดสำคัญที่ขอกล่าวในบันทึกนี้คือ ความไม่สนุกและการดำเนินเรื่องแบบอารมณ์เดียวมองเห็นจุดจบของเรื่องตั้งแต่ฉายในสิบนาทีแรก ทำให้ความสนใจในเรื่องขาดหายไป อารมณ์ของภาพยังขาดสีสันที่หลากหลายและกล่อมให้คนดูคลอยตามทั้ง รัก โศกและตลดโปกฮาอย่างคนอีสาน มีแต่อารมณ์การต่อสู้ฟาดฟันเท่านั้น
ดังนั้นหลังออกจากโรงหนังจึงออกจะอยากกินน้ำเพราะมันแค้น (แค้นในความหมายภาษาอีสาน) เพราะอาหารมื้อนี้ไม่นัวเลย มีรสเดียว นั่งกินหมัด เท้า ศอก เข่าจนแค้นไป
ไม่มีความเห็น