โรคซึมเศร้านี้หากได้รับการรักษาผู้ที่เป็นจะอาการดีขึ้นมาก
อาการซึมเศร้า ร้องไห้บ่อยๆ หรือรู้สึกท้อแท้หมดกำลังใจ
จะกลับมาดีขึ้นจนผู้ที่เป็นบางคนบอกว่าไม่เข้าใจว่าตอนนั้นทำใมจึงรู้สึกเศร้าไปได้ถึงขนาดนั้น
ข้อแตกต่างระหว่างโรคนี้กับโรคจิตที่สำคัญประการหนึ่งคือ
ในโรคซึมเศร้าถ้าได้รับการรักษาจนดีแล้วก็จะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม
ขณะที่ในโรคจิตนั้นแม้จะรักษาได้ผลดีผู้ที่เป็นก็มักจะยังคงมีอาการหลงเหลืออยู่บ้าง
ไม่สามารถทำอะไรได้เต็มที่เหมือนแต่ก่อน
ยิ่งหากมารับการรักษาเร็วเท่าไรก็ยิ่งจะอาการดีขึ้นเร็วเท่านั้น
ยิ่งป่วยมานานก็ยิ่งจะรักษายาก
การรักษาที่สำคัญในโรคนี้คือการรักษาด้วยยาแก้เศร้า
โดยเฉพาะในรายที่อาการมาก ส่วนในรายที่มีอาการไม่มาก
แพทย์อาจรักษาด้วยการช่วยเหลือชี้แนะการมองปัญหาต่างๆ
ในมุมมองใหม่ แนวทางในการปรับตัว
หรือการหาสิ่งที่ช่วยทำให้จิตใจผ่อนคลายความทุกข์ใจลง
ร่วมกับการให้ยาแก้เศร้าหรือยาคลายกังวลเสริมในช่วงที่เห็นว่าจำเป็น
การรักษาด้วยยาแก้เศร้า
ยาแก้เศร้ามีส่วนช่วยในการรักษาโรคนี้
แม้ผู้ที่ป่วยบางคนอาจรู้สึกว่าความทุกข์ใจหรือปัญหาต่างๆ
ที่เกิดขึ้นกับตนเองนั้นเป็นเรื่องของจิตใจ
แต่ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า
ถ้าเป็นโรคซึมเศร้าแล้วแสดงว่าได้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในร่างกายของคนเราจนทำให้เกิดมีอาการต่างๆ
เช่น น้ำหนักลด อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ ร่วมอีกหลายๆ อาการ
ไม่ใช่มีแต่เพียงอารมณ์เศร้าอย่างเดียว
ซึ่งยาจะมีส่วนช่วยในการบำบัดอาการต่างๆ เหล่านี้
อีกทั้งยังสามารถทำให้อารมณ์ซึมเศร้า
ความวิตกกังวลใจทุเลาลงได้ด้วย
จากการศึกษาพบว่าผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้า 10
คนหากได้รับการรักษาด้วยยาแก้เศร้าอาการจะดีขึ้นจนหายถึง 8-9 คน
ในขณะที่หากไม่รับการรักษานั้นอาการจะดีเองขึ้นเพียง 2-3 คนเท่านั้น
(เฉพาะในรายที่อาการไม่รุนแรง
หากอาการรุนแรงอาจจะกล่าวได้ว่ายากที่จะหายเอง)
ข้อควรทราบเกี่ยวกับการรักษาด้วยยาแก้เศร้า
- อาการของโรคไม่ได้หายทันทีที่กินยา
โดยเฉพาะอาการซึมเศร้า โดยส่วนใหญ่แล้วจะใช้เวลาประมาณ 1-2
สัปดาห์ขึ้นไปอาการจึงจะดีขึ้นอย่างเห็นชัด
แต่ยาก็ยังมีส่วนช่วยในระยะแรกๆ โดยทำให้ผู้ป่วยหลับได้ดีขึ้น
เจริญอาหารขึ้น เริ่มรู้สึกมีเรี่ยวแรงจะทำอะไรมากขึ้น
ความรู้สึกกลัดกลุ้มหรือกระสับกระส่ายจะเริ่มลดลง
- ยาทุกชนิดสามารถทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้ทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นยาแก้ปวด ยาแก้แพ้ หรือยาระบาย ก็ตาม
แม้ว่าโอกาสที่เกิดอาการข้างเคียงจะมากน้อย และมีความรุนแรงต่างกันไป
การใช้ยาจึงควรใช้ในขนาดและกินตามเวลาที่แพทย์สั่งเท่านั้น
หากมีความจำเป็นที่ทำให้กินยาตามสั่งไม่ได้
และควรแจ้งแพทย์ทุกครั้งหากเกิดอาการใดๆ
ที่ไม่แน่ใจว่าเป็นอาการข้างเคียงหรือไม่
- ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่ไม่กล้ากินยามากตามที่แพทย์สั่ง
แพทย์สั่งกิน 4 เม็ดก็กินแค่ 2 เม็ด หรือกินบ้างหยุดกินบ้าง
เพราะกลัวว่าจะติดยา หรือกลัวว่ายาจะไปสะสมอยู่ในร่างกาย
แต่ตามจริงแล้วยาแก้เศร้าไม่มีการติดยา ถ้าขาดยาแล้วมีอาการไม่สบาย
นั่นเป็นเพราะว่ายังไม่หายจากอาการของโรค การกินๆ หยุดๆ
หรือกินไม่ครบขนาดกลับจะยิ่งทำให้การรักษาไม่ได้ผลดี
และรักษายากมากขึ้น
- ยาแก้เศร้ามีอยู่เป็นสิบขนาน
จากการศึกษาไม่พบว่าตัวไหนดีกว่าตัวไหนอย่างชัดเจน
เรียกว่าผู้ป่วยคนไหนจะถูกกับยาตัวไหนเป็นเรื่องเฉพาะตัว หรือ
ลางเนื้อชอบลางยา
ซึ่งโดยรวมแล้วก็มักจะรักษาได้ผลทุกตัว
การใช้ยาขึ้นอยู่กับว่าแพทย์มีความชำนาญ คุ้นเคยกับการใช้ยาขนานไหน
และผู้ป่วยมีโรคทางกายหรือกำลังกินยาอื่นๆ
ที่ทำให้ใช้ยาบางตัวไม่ได้หรือไม่
ส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยจะตอบสนองต่อยาแก้เศร้าตัวแรกที่ให้
หากอาการยังไม่ดีในระยะแรกๆ อาจเป็นเพราะยังปรับยาไม่ได้ขนาด
หรือยังไม่ได้ระยะเวลาที่ยาออกฤทธิ์ได้เต็มที่เสียมากกว่า
ถ้าแพทย์รักษาไประยะหนึ่งแล้ว
และเห็นว่าให้ยาในขนาดที่พอเพียงแล้วผู้ป่วยยังอาการดีขึ้นไม่มาก
ก็อาจเปลี่ยนไปใช้ยาตัวอื่นต่อไป
ยาที่ใช้ในการรักษา
สมัยหลายสิบปีก่อนยาแก้เศร้ามีอยู่เพียง 4-5 ขนาน
แม้ว่ายารุ่นก่อนจะมีประสิทธิภาพในการรักษาที่ดี
(ยาที่มีใช้ในช่วงหลังๆ มีแต่ดีเท่าหรือด้อยกว่ายารุ่นเก่า)
การใช้ยามักจะมีข้อจำกัดด้วยเหตุว่าผู้ป่วยเกิดอาการข้างเคียงจากยาบ่อย
แม้ว่าส่วนใหญ่จะไม่ใช่อาการที่รุนแรง
แต่ผู้ป่วยบางคนก็ไวต่ออาการข้างเคียงมาก
ทำให้การปรับเพิ่มขนาดยาทำได้ลำบาก
ปัจจุบันมียาใหม่มากขึ้นซึ่งมีอาการข้างเคียงน้อยกว่ายาเก่า
ทำให้การใช้สะดวกขึ้น
ปัญหาคือยาเหล่านี้ราคาค่อนข้างแพง
แพทย์จึงจะเลือกใช้ในกรณีที่เห็นว่าผู้ป่วยมีความจำเป็นที่ทำให้ใช้ยารุ่นเก่าไม่ได้
ในผู้ป่วยสูงอายุ และผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวบางโรค
ยาที่ใช้มักจะมีขนาดต่ำกว่าขนาดที่ใช้กับคนปกติทั่วไป
ยาบางตัวอาจมีปฏิกิริยากับยาแก้เศร้าที่กิน
ดังนั้นผู้ป่วยที่กินยาอื่นๆ
จึงควรแจ้งแพทย์ทุกครั้ง
ยาที่เราใช้กันจะมีชื่ออยู่ 2 แบบ ได้แก่ชื่อสามัญ และชื่อการค้า
ชื่อสามัญคือชื่อที่บอกองค์ประกอบหรือลักษณะยา
ส่วนชื่อการค้าคือชื่อที่แต่ละบริษัทตั้งขึ้นเพื่อให้รู้ว่าผลิต
จากบริษัทของตน
ยาชื่อสามัญตัวเดียวอาจมีชื่อการค้าได้หลายๆ
ชื่อถ้ามีผู้ผลิตหลายบริษัท เช่น ยาแก้ปวดชนิดหนึ่งมีชื่อสามัญว่า
พาราเซตามอล และมีชื่อการค้าหลายชื่อเช่น คาปอล เซตามอล เป็นต้น
ซึ่งทุกยาทุกชื่อก็ได้ผลเช่นเดียวกันเพราะเป็นยาตัวเดียวกัน
ตารางแสดงรายชื่อยาที่มีใช้ในประเทศไทย
อาการข้างเคียงที่พบได้ในยาแก้เศร้ากลุ่มเก่า
- ง่วง เพลีย ซึมๆ
ยาแต่ละตัวมีฤทธิ์ทำให้ง่วงมากน้อยแตกต่างกัน ยาที่พบบ่อยได้แก่
อะมิทริปไทลีน และด็อกเซปิน
แพทย์จึงมักให้ยาเหล่านี้กินตอนเย็นหรือก่อนนอน ซึ่งก็เหมาะกับโรค
เพราะโรคนี้ผู้ที่เป็นมักจะนอนหลับไม่ดีอยู่แล้ว
ยาจึงช่วยให้หลับได้โดยไม่ต้องใช้ยานอนหลับ
ในช่วงแรกของการรักษาห้ามขับรถและควรหลีกเลี่ยงการทำงานกับเครื่องจักร
เนื่องจากการง่วงซึมแม้จะมีเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้การตัดสินใจ
หรือการเคลื่อนไหวที่ต้องการความรวดเร็วนั้น เชื่องช้าลงได้มาก
หากสังเกตว่ากินยาแล้วง่วงมาก ซึมแทบทั้งวัน
ควรแจ้งแพทย์เพื่อจะได้พิจารณาปรับยา
แต่พบว่าบางครั้งพอกินยาไปนานๆ
เข้ากลับไม่มีง่วงเหมือนเดิมอีกก็มี
- อาการปากคอแห้ง
เป็นอาการข้างเคียงที่พบได้บ่อย
แก้โดยให้จิบน้าบ่อยๆ
- ตามัว มองเห็นไม่ชัด อาการพวกนี้จะค่อยๆ
ดีขึ้นเอง ไม่ต้องตัดแว่นใหม่
- ท้องผูก กินอาหารจำพวกผัก ผลไม้ที่มีกากมากๆ
หรืออาจกินมะขามเปียกช่วยในการระบาย
- เวียนศีรษะ หน้ามืด จากยาไปทำให้หลอดเลือดขยายตัว
เลือดจึงค้างอยู่ในร่างกายมาก ไปเลี้ยงสมองน้อย
อาการนี้มักเป็นเวลาเปลี่ยนอิริยาบท เช่น นอนนานๆ นั่งนานๆ
แล้วลุกกระทันหัน หากมีอาการบ่อยๆ อาจแก้โดยรับประทานของเค็มๆ
บ่อยขึ้น เพื่อทำให้ความดันเลือดเพิ่มมากขึ้น
(ผู้ที่เป็นโรคความดันสูงอยู่ไม่ควรใช้วิธีนี้)
การเปลี่ยนท่าทางต้องค่อยๆ ทำ หากจะลุกจากตื่นนอน
ให้ลุกนั่งสักพักหนึ่ง ขยับแขนขาไปมา ให้เลือดไหลเวียนดี แล้วจึงค่อยๆ
ลุกขึ้น
หากมีอาการเวียนศีรษะขณะยืนอยู่ให้รีบนั่งพิงพนักหรือนอนทันที
ถ้ายิ่งนอนในท่าที่ส่วนศีรษะต่ำกว่าส่วนลำตัวและยกขาสูงได้ก็ยิ่งดี
หากมีอาการเช่นนี้บ่อยๆ แก้ไขแล้วยังไม่ดีขึ้น ควรแจ้งแพทย์
ซึ่งแพทย์อาจปรับลดยาลงหรือเปลี่ยนยา
อาการข้างเคียงที่พบได้ในยาแก้เศร้ากลุ่มใหม่
ยาแก้เศร้ากลุ่มใหม่นี้ กล่าวโดยรวมแล้วมีอาการข้างเคียง
บ่อยกว่ายากลุ่มเก่า โดยเฉพาะอาการปากคอแห้ง ท้องผูก
หรืออาการหน้ามืด เวียนศีรษะ
ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะยากลุ่มใหม่ที่ออกฤทธิ์เฉพาะระบบซีโรโตนิน(กลุ่มที่มีเครื่องหมาย
* ในตาราง) เนื่องจากมียาหลายขนาน
ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ในการรักษาโดยไปปรับสารเคมีในสมองเฉพาะระบบซีโรโตนิน
ยาแต่ละขนานจะมีอาการข้างเคียงต่อไปนี้มากน้อยต่างกัน
- กระวนกระวาย บางคนกินยาแล้วมีอาการกระวน กระวาย
ซึ่งพบได้กับยาแก้เศร้ากลุ่มใหม่ขนานอื่นบางตัวเหมือนกัน
(ดูในตาราง)
ถ้ากินยาแล้วรู้สึกว่าตนเองหงุดหงิดง่ายขึ้น กระวนกระวาย
รู้สึกเหมือนอยู่ไม่สุข ต้องทำโน่นทำนี่ ให้บอกแพทย์
ซึ่งแพทย์อาจให้ยาคลายกังวลร่วม ลดขนาดยาลง
หรือเปลี่ยนไปใช้ยาขนานอื่น
- นอนไม่หลับ ข้อดีของยาเหล่านี้คือไม่ทำให้ง่วงนอน
แพทย์จึงมักนิยมให้ตอนเช้า
หากกินก่อนนอนแล้วอาจจะทำให้หลับไม่ดีได้
- คลื่นไส้ บางคนกินยาแล้วมีอาการพะอืดพะอม
คลื่นไส้ จุก แน่นท้อง ส่วนใหญ่มักจะเป็นช่วงสั้นๆ หลังกินยา
ถ้ามีอาการให้ลองเปลี่ยนมากินยาตอนท้องว่าง (ก่อนกินอาหาร)
ถ้าเป็นมื้อเช้าก็คือ ตื่นมาสักครู่ก็กินยาเลย
ถ้ายังไม่ดีขึ้นให้แจ้งแพทย์
- ปวดหัว มักเป็นไม่นาน ดีขึ้นเอง