อ่านหนังสือ การก่อรูปของเศรษฐกิจก่อนระบบทุนนิยม แล้วสะท้อนคิดชีวิตของตนเอง เอามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน หากจะเป็นการยกหางตนเองบ้าง ก็อย่าถือสากันนะครับ ถือเป็นการตีความประสบการณ์ชีวิตส่วนตัว เอามาทำความเข้าใจหลักการเรื่องความเชื่อร่วมกัน ที่ผมคิดว่าส่งผลให้ผมมีชีวิตที่ดียิ่งอย่างในปัจจุบัน
เพิ่งอ่านหนังสือที่แปลจากหนังสือที่ Karl Marx เขียนไว้เมื่อเกือบสองร้อยปีก่อนเล่มนี้ได้นิดเดียว ก็ได้เรียนรู้ว่า ระบบทุนนิยมก่อตัวมาจากการที่แรงงานทาสในอดีต พัฒนาขึ้นเป็นแรงงานเสรี ซึ่งได้ค่าจ้างเป็นเงิน เอาเงินไปทำอะไรที่งอกเงยได้ คือเป็นทุน
ผมตีความต่อว่า ทรัพย์สมบัติต่างๆ เช่นที่ดิน ก็ใช้เป็นทุนได้ และเมื่อผมอายุ ๒๐ กว่าๆ เกือบ ๓๐ ผมก็เชื่อว่าผมมีทุนสำหรับดำรงชีวิตได้อย่างมั่นคงแล้ว คือความรู้หรือสมรรถนะในการเป็นหมอ เป็นอาจารย์ รวมทั้งเป็นนักวิจัย ซึ่งต่อมาผมเป็นนักบริหารด้วย ก็เป็นสมรรถนะที่ให้ความมั่นคงในชีวิตได้อีก
เดาว่าตอนอายุ ๓๐ เศษ ผมคงจะมั่นใจมากว่าตนเองมีความมั่นคงในเรื่องทุนสำหรับการดำรงชีวิต และคิดลามไปถึงน้องอีก ๒ คนที่เป็นหมอ และอีกคนหนึ่งเป็นพยาบาลที่สามีเป็นหมอ ว่าน่าจะมีทุนในการประกอบอาชีพดำรงชีวิตที่มั่นคง ไม่น่าจะต้องพึ่งสมบัติที่ดินของพ่อแม่ ที่ควรจะแบ่งให้น้องอีก ๓ คนที่เรียนจบเกษตรและกลับไปอยู่บ้านประกอบอาชีพเกษตรกร
ผมถือโอกาสที่เป็นลูกคนโต บอกพ่อว่า ลูกสามคนที่เป็นหมอไม่ต้องแบ่งสมบัติที่ดินให้ ขอให้แบ่งให้น้องๆ เกษตรกร ๓ คน จำไม่ได้ว่าผมบอกว่าสมบัติที่เป็นเงินก็ไม่ต้องแบ่งให้ลูกที่เป็นหมอ ๓ คนหรือเปล่า แต่จำได้แม่นว่า ผมบอกเลยว่า ไม่ต้องแบ่งสมบัติใดๆ ให้ผม
และจำได้แม่นว่า พ่อแย้งผมทันทีว่า ที่ดินริมทะเลในอนาคตจะไม่มีอีก อยากให้ลูกทุกคนมีที่ดินติดริมทะเลคนละ ๑ ผืน ท่านจึงแบ่งที่ดินชายทะเลให้ลูกทุกคนมีที่ติดริมทะเลหน้ากว้าง ๑ เส้น ส่วนที่ ๖ มากกว่า ๑ เส้นหลายเท่า ยกให้น้องคนที่อ่อนแอที่สุดไป ผมจึงมีที่ดินริมทะเลที่ตำบลท่ายาง อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร เนื้อที่ ๒ ไร่เศษ อยู่ติดกับที่ดินของน้องชายอีก ๕ คน เป็นที่ผืนโตแปดสิบกว่าไร่
มาตีความตอนนี้ เมื่ออ่านหนังสือ การก่อรูปของเศรษฐกิจก่อนระบบทุนนิยม ผมก็นึกได้ว่า จริตของผมไม่ผูกพันกับทุนนิยมเลย แต่ผูกพันกับบุญนิยม กับปัญญานิยม
บุญนิยม รับถ่ายทอดมาจากพ่อแม่ ที่พูดบอกผมว่า อยากได้ลูกเป็นหมอสักคน จะได้ช่วยเหลือคนอื่นและญาติพี่น้องยามเจ็บป่วย ซึ่งเอาเข้าจริงผมได้ช่วยเหลือคนอื่นในฐานะหมอน้อยมาก เพราะประกอบอาชีพหมออยู่ไม่ถึง ๑๐ ปี ชีวิตก็หักเหไปทำอย่างอื่น ไกลความเป็นหมอออกไปเรื่อยๆ แต่ผมก็จำคำพูดพ่อฝังใจเรื่องการมีชีวิตเพื่อทำประโยชน์แก่สังคม ซึ่งผมตีความว่าเป็นบุญนิยม
ปัญญานิยมนี่น่าจะติดตัวมาแต่กำเนิด คือใจมันชอบตั้งคำถาม และเมื่อได้คำตอบก็มักเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เฝ้าหาข้อมูลหลักฐานมาแย้งบ้างหนุนบ้าง ทำให้เกิดความเข้าใจแง่มุมต่างๆ ที่ตนเองไม่เคยตระหนัก ตอนหลังมาเรียนรู้เรื่องการเรียนรู้จากประสบการณ์ และค่านิยมศึกษา จึงเกิดความเข้าใจว่า ผมมีจริตด้านพัฒนาค่านิยมใส่ตัวมาตั้งแต่เด็ก ก่อคุณประโยชน์ให้มีชีวิตที่ดียิ่งมาจนบัดนี้
ทุนนิยมหวังรวย ปัญญานิยมหวังเรียนรู้ บุญนิยมมุ่งทำประโยชน์แก่สังคม สาธุ
วิจารณ์ พานิช
๒๗ ก.ค. ๖๗
ไม่มีความเห็น