พระประวัติในอดีตชาติของพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวก ตอนที่ ๑๔ กุมารกัสสปเถราปทาน


ผู้นี้จักมีนามว่ากุมารกัสสปะ เป็นธรรมทายาท จักเป็นสาวกของพระศาสดาพระองค์นั้น เพราะอานุภาพแห่งดอกไม้และผ้าอันวิจิตรและรัตนะทั้งหลาย เขาจักถึงความเป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้กล่าวธรรมได้อย่างวิจิตร

พระประวัติในอดีตชาติของพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวก

ตอนที่ ๑๔ กุมารกัสสปเถราปทาน

พลตรี มารวย ส่งทานินทร์

๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๖

 

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก

๕. กุมารกัสสปเถราปทานประวัติในอดีตชาติของพระกุมารกัสสปเถระ

เกริ่นนำ            

ผู้นี้จักมีนามว่ากุมารกัสสปะ เป็นธรรมทายาท เป็นโอรสที่ธรรมเนรมิต จักเป็นสาวกของพระศาสดาพระองค์นั้น เพราะอานุภาพแห่งดอกไม้และผ้าอันวิจิตรและรัตนะทั้งหลาย เขาจักถึงความเป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้กล่าวธรรมได้อย่างวิจิตร

             (พระกุมารกัสสปเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)             

[๑๕๐] พระผู้มีพระภาคพระนามว่าปทุมุตตระ ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก ทรงบำเพ็ญประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ เป็นนักปราชญ์ เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ นับจากกัปนี้ไป             

[๑๕๑] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าเป็นพราหมณ์มีชื่อเสียงเลื่องลือ เรียนจบไตรเพท เที่ยวพักสำราญในเวลากลางวัน ได้เห็นพระผู้มีพระภาค ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก             

[๑๕๒] กำลังทรงประกาศสัจจะ ๔ ช่วยมนุษย์พร้อมด้วยเทวดาให้ตรัสรู้ กำลังสรรเสริญสาวกของพระองค์ ผู้กล่าวธรรมีกถาอย่างวิจิตรอยู่ในหมู่มหาชน             

[๑๕๓] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าเบิกบานใจจึงทูลนิมนต์พระตถาคต แล้วประดับมณฑปด้วยผ้าที่ย้อมด้วยสีต่างๆ             

[๑๕๔] ให้โชติช่วงด้วยรัตนะต่างๆ ทูลนิมนต์พระตถาคต พร้อมทั้งพระสงฆ์ให้เสวยและฉันโภชนะ มีรสเลิศต่างๆ ตลอด ๗ วัน ในมณฑปนั้น             

[๑๕๕] ได้บูชาพระตถาคตพร้อมทั้งสาวก ด้วยดอกไม้อันสวยงามนานาชนิด แล้วหมอบลงแทบพระบาท ปรารถนาตำแหน่งนั้น             

[๑๕๖] ครั้งนั้น พระมุนีผู้ประเสริฐ ทรงมีพระกรุณา ได้ตรัสว่า ‘จงดูพราหมณ์ผู้ประเสริฐนี้ ผู้มีปากและดวงตาเหมือนดอกปทุม             

[๑๕๗] ผู้มากด้วยความปรีดาปราโมทย์ มีโลมชาติชูชันและมีใจฟูขึ้น มีนัยน์ตากลมโต นำความร่าเริงมา มีความอาลัยในศาสนาของเรา             

[๑๕๘] ผู้มีใจดี มีผ้าผืนเดียวหมอบอยู่แทบเท้าของเรา เขาปรารถนาตำแหน่งคือการกล่าวธรรมได้อย่างวิจิตรนั้น             

[๑๕๙] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ นับจากกัปนี้ไปพระศาสดาพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร ทรงสมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลก             

[๑๖๐] ผู้นี้จักมีนามว่ากุมารกัสสปะ เป็นธรรมทายาท เป็นโอรสที่ธรรมเนรมิต จักเป็นสาวกของพระศาสดาพระองค์นั้น             

[๑๖๑] เพราะอานุภาพแห่งดอกไม้และผ้าอันวิจิตรและรัตนะทั้งหลาย เขาจักถึงความเป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้กล่าวธรรมได้อย่างวิจิตร’             

[๑๖๒] ด้วยกรรมที่ข้าพเจ้าได้ทำไว้ดีแล้วนั้น และด้วยเจตนาที่ตั้งไว้มั่น ข้าพเจ้าละกายมนุษย์แล้ว จึงได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์             

[๑๖๓] ข้าพเจ้าเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ เหมือนตัวละครเต้นรำหมุนเวียนอยู่กลางเวที ข้าพเจ้าเป็นลูกของเนื้อชื่อสาขะ ได้ถือปฏิสนธิในครรภ์ของแม่เนื้อ             

[๑๖๔] ครั้งนั้น เมื่อข้าพเจ้ายังอยู่ในครรภ์ ถึงวาระที่จะต้องถูกฆ่า มารดาของข้าพเจ้าถูกเนื้อชื่อสาขะทอดทิ้ง จึงยึดเนื้อชื่อนิโครธเป็นที่พึ่ง             

[๑๖๕] มารดาของข้าพเจ้าได้พญาเนื้อชื่อนิโครธนั้น สละชีวิตของตนช่วยให้พ้นจากความตายแล้ว ตักเตือนข้าพเจ้าผู้เป็นลูกของตนในครั้งนั้นอย่างนี้ว่า             

[๑๖๖] ‘ควรคบแต่เนื้อชื่อนิโครธเท่านั้น ไม่ควรเข้าไปคบหาเนื้อชื่อสาขะ การตายในสำนักของเนื้อชื่อนิโครธยังประเสริฐกว่า การมีชีวิตอยู่ในสำนักของเนื้อชื่อสาขะ จะประเสริฐอย่างไร             

[๑๖๗] ข้าพเจ้า มารดาของข้าพเจ้าและพวกเนื้อนอกนี้ ได้เนื้อชื่อนิโครธผู้เป็นนายฝูงนั้นพร่ำสอน อาศัยโอวาทของเนื้อชื่อนิโครธนั้น จึงได้ไปยังที่อยู่อาศัยคือสวรรค์ชั้นดุสิตที่รื่นรมย์ ประหนึ่งว่าได้ไปยังเรือนของตนที่ทิ้งจากไป             

[๑๖๘] เมื่อศาสนาของพระกัสสปธีรเจ้า กำลังถึงความสิ้นไป ข้าพเจ้าได้ขึ้นไปยังภูเขา บำเพ็ญเพียรตามคำสอนของพระชินเจ้า             

[๑๖๙] ก็บัดนี้ เกิดในตระกูลเศรษฐีในกรุงราชคฤห์ มารดาของข้าพเจ้ามีครรภ์ ออกบวชเป็นบรรพชิต             

[๑๗๐] ภิกษุณีทั้งหลายรู้ว่ามารดาของข้าพเจ้ามีครรภ์ จึงนำไปหาพระเทวทัต พระเทวทัตนั้นกล่าวว่า ‘จงนาสนะภิกษุณีชั่วรูปนี้เสีย’             

[๑๗๑] แม้ในบัดนี้ มารดาผู้ให้กำเนิดของข้าพเจ้า อันพระชินเจ้าผู้เป็นจอมมุนี ทรงอนุเคราะห์ไว้ จึงได้มีความสุขอยู่ในสำนักของภิกษุณี             

[๑๗๒] พระเจ้าแผ่นดินพระนามว่าโกศล ได้ทรงทราบเรื่องนั้นแล้วจึงทรงชุบเลี้ยงข้าพเจ้าไว้ ด้วยเครื่องบริหารพระกุมาร และตัวข้าพเจ้าก็มีชื่อว่ากัสสปะ             

[๑๗๓] เพราะอาศัยท่านพระมหากัสสปเถระ ข้าพเจ้าจึงมีชื่อว่ากุมารกัสสปะ เพราะได้ฟังพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า กายเช่นกับจอมปลวก             

[๑๗๔] จากนั้นจิตของข้าพเจ้าก็หลุดพ้น ไม่ถือมั่นโดยประการทั้งปวง ข้าพเจ้าได้รับตำแหน่งเอตทัคคะ ก็เพราะทรมานพระเจ้าปายาสิ             

[๑๗๕] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ             

[๑๗๖] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า เป็นการมาดีแล้วโดยแท้ วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว             

[๑๗๗] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว สั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล             

ได้ทราบว่า ท่านพระกุมารกัสสปเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้กุมารกัสสปเถราปทานที่ ๕ จบ

--------------------------------------------

 

คำอธิบายเพิ่มเติมนี้นำมาจากบางส่วนของกุมารกัสสปเถราปทาน

               ได้ทราบว่า พระเถระรูปนี้ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ท่านได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ บรรลุนิติภาวะแล้ว วันหนึ่ง ขณะที่กำลังฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา ได้เป็นภิกษุรูปหนึ่งซึ่งพระศาสดาทรงสถาปนาเธอไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าภิกษุผู้กล่าวธรรมกถาอันวิจิตร แม้ตนเองก็ปรารถนาตำแหน่งนั้น ดำรงชีวิตอยู่จนตลอดอายุ จุติจากอัตภาพนั้นท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ได้เสวยสมบัติในโลกทั้ง ๒ แล้ว.
               ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า กัสสปะ เขาได้บังเกิดในเรือนอันมีสกุล บวชในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นแล้ว บำเพ็ญสมณธรรม ท่องเที่ยวไปเฉพาะในสุคติทั้งหลายอย่างเดียว ได้เสวยทิพยสุขและมนุษยสุขแล้ว.
               ในพุทธุปบาทกาลนี้เขาได้บังเกิดในท้องลูกสาวเศรษฐีคนหนึ่ง ในกรุงราชคฤห์.
               ทราบว่า ลูกสาวเศรษฐีนั้น ในเวลาที่เป็นเด็กหญิงนั่นแล มีความประสงค์จะบวช จึงขออนุญาตมารดาบิดา เมื่อไม่ได้รับอนุญาตให้บวชจึงไปยังตระกูลสามี ได้มีครรภ์ แต่ไม่รู้ว่ามีครรภ์นั้น จึงคิดแล้วว่า เราจักทำให้สามียินดี (ทำให้ถูกใจสามี) แล้วจึงจักขออนุญาตบวช.
               เมื่อนางจะทำให้ถูกใจสามี จึงชี้ให้ถึงโทษของสรีระโดยนัยเป็นต้นว่า
               ถ้าว่าในภายในของร่างกายนี้ จะถึงกลับออกมาในภายนอกไซร้ บุคคลก็จะต้องถือท่อนไม้คอยไล่หมู่กาและหมู่สุนัขแน่นอน ดังนี้.
               จึงทำให้สามีผู้ประเสริฐนั้นได้ยินดีแล้ว
               หญิงนั้นได้รับอนุญาตจากสามีแล้ว ไม่รู้ว่ามีครรภ์จึงได้บวชในหมู่นางภิกษุณีฝ่ายของพระเทวทัต. พวกนางภิกษุณีได้เห็นว่านางมีครรภ์จึงไปถามพระเทวทัต. พระเทวทัตนั้นตัดสินว่า นางภิกษุณีนี้ไม่เป็นสมณะ.
               นางภิกษุณีนั้นจึงคิดว่า เรามิได้บวชอุทิศพระเทวทัต. แต่เราบวชอุทิศพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ จึงได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ทูลถามพระทศพล.
               พรศาสดาทรงมอบหมายให้พระอุบาลีเถระรับหน้าที่ไป.
               พระเถระสั่งให้เรียกตระกูลชาวพระนครสาวัตถี และนางวิสาขาอุบาสิกามาแล้ว เมื่อจะวินิจฉัยเรื่อองนั้นพร้อมกับบริษัทผู้มีความขัดแย้ง จึงกล่าวว่า นางได้มีครรภ์ก่อนบวช ครรภ์ไม่มีอันตรายบวชแล้ว.
               พระศาสดาได้ทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว ตรัสว่า อุบาลีวินิจฉัยอธิกรณ์ถูกต้องดีแล้ว จึงทรงประทานสาธุการแก่พระเถระ.
               นางภิกษุณีรูปนี้ได้คลอดบุตรรูปร่างงดงามดุจทองคำ.
               พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงพระดำริว่า การเลี้ยงดูทารกจะเป็นความกังวลใจแก่พวกนางภิกษุณี จึงทรงรับสั่งให้แก่พวกญาติแล้ว รับสั่งให้เลี้ยงดู.
               พวกญาติได้ตั้งชื่อทารกนั้นว่า กัสสป.
               ในกาลต่อมา มารดาประดับตกแต่งแล้ว นำไปเฝ้าพระศาสดาแล้วทูลขอบรรพชาแล้ว. ก็เพราะท่านบวชในเวลาที่เป็นเด็ก เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พวกเธอจงเรียกกัสสปะมา พวกเธอจงให้ผลไม้หรือว่าของที่ควรเคี้ยวนี้แก่กัสสปะ พวกภิกษุจึงทูลถามว่า กัสสปะไหน.
               ต่อมาในเวลาเจริญวัยแล้ว จึงปรากฏชื่อว่ากุมารกัสสปะ เพราะตั้งชื่อเสียใหม่ว่า กุมารกัสสปะ และเพราะเป็นบุตรที่พระราชาทรงชุบเลี้ยง.
               จำเดิมแต่บวชแล้ว ท่านก็บำเพ็ญวิปัสสนากัมมัฏฐาน และศึกษาเล่าเรียนพระพุทธวจนะ.
               ลำดับนั้น ท้าวมหาพรหมผู้เป็นพระอนาคามีบังเกิดในชั้นสุทธาวาส ได้บำเพ็ญสมณธรรมบนยอดภูเขาร่วมกับท่านคิดว่า เราจักชี้ทางวิปัสสนาแล้ว กระทำอุบายเพื่อบรรลุมรรคผลได้ ดังนี้แล้วจึงแต่ง ปัญหาขึ้น ๑๕ ข้อ แล้วบอกแก่พระเถระผู้อยู่ในป่าอันธวันว่า ท่านควรถามปัญหาเหล่านี้กะพระศาสดา.
               ทีนั้น ท่านจึงทูลภามปัญหาเหล่านั้นกะพระผู้มีพระภาคเจ้า.
               แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ทรงวิสัชนาแก่เธอแล้ว.
               พระเถระเล่าเรียนปัญหาเหล่านั้น โดยทำนองที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วทั้งหมด ยังวิปัสสนาให้ถือเอาซึ่งห้องแล้ว ให้บรรลุพระอรหัต.
               พระกุมารกัสสปะนั้น พอได้บรรลุพระอรหัตแล้ว ระลึกถึงบุรพกรรมของตน ได้เกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่ตนเคยได้ประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จึงกล่าวคำเริ่มต้นว่า อิโต สตสหสสมหิ ดังนี้

               อธิบายว่า ครั้นได้สดับพระดำรัสนั้นแล้ว จิตของเราไม่ยึดถืออาสวะทั้งหลาย พ้นแล้วจากกิเลสได้โดยพิเศษ คือดำรงอยู่แล้วในพระอรหัตผล.
               ในกาลต่อมา พระศาสดาได้ทรงทราบจากภิกษุทั้งหลายในที่นั้นๆ ว่า พระเถระนั้นเป็นผู้กล่าวธรรมกถาได้อย่างวิจิตร จึงทรงสถาปนาเธอไว้ในตำแหน่งที่เลิศว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุมารกัสสปะนี้เป็นผู้เลิศแห่งภิกษุสาวกของเราผู้กล่าวธรรมกถาให้วิจิตรแล.

               จบอรรถกถากุมารกัสสปเถราปทาน               
               ----------------------------------------    

วัมมิกสูตร 

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์

๓. วัมมิกสูตร

ว่าด้วยจอมปลวกปริศนา

             [๒๔๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้

             สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี สมัยนั้น ท่านพระกุมารกัสสปะพักอยู่ที่ป่าอันธวัน ครั้งนั้น เมื่อราตรี (ราตรี ในที่นี้หมายถึงปฐมยาม ความนี้มีความหมายว่า เมื่อสิ้นปฐมยามกำลังอยู่ในช่วงมัชฌิมยาม เทวดาก็ปรากฏ) ผ่านไป เทวดาองค์หนึ่งมีวรรณะงดงามยิ่งนักได้เปล่งรัศมีให้สว่างทั่วป่าอันธวัน เข้าไปหาท่านพระกุมารกัสสปะถึงที่อยู่ แล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่สมควร ได้กล่าวกับท่านพระกุมารกัสสปะว่า

             “พระคุณเจ้า จอมปลวกนี้ย่อมพ่นควันในเวลากลางคืน ย่อมลุกโพลงในเวลากลางวัน พราหมณ์ได้กล่าวอย่างนี้ว่า ‘สุเมธ เธอจงนำศัสตราไปขุดดู’

             สุเมธใช้ศัสตราไปขุดก็ได้เห็นลิ่มสลัก จึงกล่าวว่า ‘ลิ่มสลัก ขอรับ’

             พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า ‘สุเมธ เธอจงยกลิ่มสลักขึ้นแล้วใช้ศัสตราขุดต่อไป’

             สุเมธใช้ศัสตราขุดลงไปก็ได้เห็นอึ่ง จึงกล่าวว่า ‘อึ่ง ขอรับ’

             พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า ‘สุเมธ เธอจงนำอึ่งขึ้นมา แล้วใช้ศัสตราขุดต่อไป’

             สุเมธใช้ศัสตราขุดต่อไปได้เห็นทางสองแพร่ง จึงกล่าวว่า ‘ทางสองแพร่ง ขอรับ’

             พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า ‘สุเมธ เธอจงถากทางสองแพร่งออกเสีย แล้วใช้ศัสตราขุดต่อไป’

             สุเมธใช้ศัสตราขุดต่อไปได้เห็นหม้อกรองน้ำด่าง จึงกล่าวว่า ‘หม้อกรองน้ำด่างขอรับ’

             พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า ‘สุเมธ เธอจงยกหม้อกรองน้ำด่างขึ้นมา แล้วใช้ศัสตราขุดต่อไป’

             สุเมธใช้ศัสตราขุดต่อไปได้เห็นเต่า จึงกล่าวว่า ‘เต่า ขอรับ’

             พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า ‘สุเมธ เธอจงนำเต่าขึ้นมา แล้วใช้ศัสตราขุดต่อไป’

             สุเมธใช้ศัสตราขุดต่อไปได้เห็นเขียงหั่นเนื้อ จึงกล่าวว่า ‘เขียงหั่นเนื้อ ขอรับ’

             พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า ‘สุเมธ เธอจงยกเขียงหั่นเนื้อขึ้นมา แล้วใช้ศัสตราขุดต่อไป’

             สุเมธใช้ศัสตราขุดต่อไปได้เห็นชิ้นเนื้อ จึงกล่าวว่า ‘ชิ้นเนื้อ ขอรับ’

             พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า ‘สุเมธ เธอจงหยิบชิ้นเนื้อขึ้นมา แล้วใช้ศัสตราขุดต่อไป’

             สุเมธใช้ศัสตราขุดต่อไปได้เห็นนาค จึงกล่าวว่า ‘นาค ขอรับ’

             พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า ‘นาคจงดำรงอยู่เถิด เธออย่าเบียดเบียนนาคเลย จงทำความนอบน้อมนาค’

             พระคุณเจ้า ท่านควรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้วทูลถามปัญหาทั้ง ๑๕ ข้อนี้ ท่านควรทรงจำคำเฉลยปัญหาเหล่านั้นตามที่พระผู้มีพระภาคตรัสตอบเถิด ในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ยกเว้นพระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคต หรือบุคคลผู้ฟังจากสำนัก(ของข้าพเจ้า) นี้เสียแล้ว ข้าพเจ้ายังไม่เห็นบุคคลผู้จะทำจิต(ของข้าพเจ้า) ให้ยินดีด้วยการตอบปัญหาเหล่านี้ได้”

             เทวดานั้นได้กล่าวคำนี้แล้วก็อันตรธานไปจากที่นั้น

พระกุมารกัสสปะทูลถามปริศนาธรรม

             [๒๕๐] ครั้นคืนนั้นผ่านไป ท่านพระกุมารกัสสปะก็เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

             “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อคืนนี้ เมื่อราตรีผ่านไป เทวดาองค์หนึ่งมีวรรณะงดงามยิ่งนัก เปล่งรัศมีให้สว่างทั่วป่าอันธวัน เข้ามาหาข้าพระองค์ถึงที่อยู่ ยืน ณ ที่สมควรแล้วได้กล่าวกับข้าพระองค์ว่า

             ‘พระคุณเจ้า จอมปลวกนี้พ่นควันในเวลากลางคืน ลุกโพลงในเวลากลางวัน พราหมณ์ได้กล่าวอย่างนี้ว่า ‘สุเมธ เธอจงนำศัสตราไปขุดดู’

             สุเมธใช้ศัสตราขุดลงไปได้เห็นลิ่มสลัก จึงกล่าวว่า ‘ลิ่มสลัก ขอรับ’

             พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า ‘สุเมธ เธอจงยกลิ่มสลักขึ้นแล้วใช้ศัสตราขุดต่อไป’

             สุเมธใช้ศัสตราขุดต่อไปก็ได้เห็นอึ่ง จึงกล่าวว่า ‘อึ่ง ขอรับ’ ฯลฯ ได้เห็นนาค จึงกล่าวว่า ‘นาค ขอรับ’

             พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า ‘นาคจงดำรงอยู่เถิด เธออย่าเบียดเบียนนาคเลย จงทำความนอบน้อมนาค’

             พระคุณเจ้า ท่านควรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้วทูลถามปัญหาทั้ง ๑๕ ข้อนี้ ท่านควรทรงจำคำเฉลยปัญหาเหล่านั้นตามที่พระผู้มีพระภาคตรัสตอบเถิด ในโลก พร้อมทั้งเทวดาโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ยกเว้นพระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคต หรือบุคคลผู้ฟังจากสำนัก(ของข้าพเจ้า)นี้เสียแล้ว ข้าพเจ้ายังไม่เห็นบุคคลผู้จะทำจิต(ของข้าพเจ้า)ให้ยินดีด้วยการตอบปัญหาเหล่านี้’

             เทวดานั้นได้กล่าวคำนี้แล้วก็อันตรธานไปจากที่นั้น

             ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ

             ๑. อะไรหนอ ชื่อว่าจอมปลวก

             ๒. อย่างไร ชื่อว่าการพ่นควันในเวลากลางคืน

             ๓. อย่างไร ชื่อว่าการลุกโพลงในเวลากลางวัน

             ๔. ใคร ชื่อว่าพราหมณ์

             ๕. ใคร ชื่อว่าสุเมธ

             ๖. อะไร ชื่อว่าศัสตรา

             ๗. อย่างไร ชื่อว่าการขุด

             ๘. อะไร ชื่อว่าลิ่มสลัก

             ๙. อะไร ชื่อว่าอึ่ง

             ๑๐. อะไร ชื่อว่าทางสองแพร่ง

             ๑๑. อะไร ชื่อว่าหม้อกรองน้ำด่าง

             ๑๒. อะไร ชื่อว่าเต่า

             ๑๓. อะไร ชื่อว่าเขียงหั่นเนื้อ

             ๑๔. อะไร ชื่อว่าชิ้นเนื้อ

             ๑๕. อะไร ชื่อว่านาค”

พระผู้มีพระภาคทรงเฉลยปริศนาธรรม

             [๒๕๑] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “ภิกษุ

             ๑. คำว่า จอมปลวก นั้น เป็นชื่อของร่างกายนี้ ซึ่งประกอบด้วยมหาภูตรูปทั้ง ๔ มีมารดาบิดาเป็นแดนเกิด เติบโตด้วยข้าวสุกและขนมกุมมาส ไม่เที่ยง ต้องบริหาร ต้องนวดฟั้น จะต้องแตกสลาย และกระจัดกระจายไปเป็นธรรมดา

             ๒. คำว่า อย่างไร ชื่อว่าการพ่นควันในเวลากลางคืน นั้น ได้แก่การที่บุคคลทำการงานในเวลากลางวัน แล้วตรึกตรองถึงในเวลากลางคืน นี้ชื่อว่าการพ่นควันในเวลากลางคืน

             ๓. คำว่า อย่างไร ชื่อว่าการลุกโพลงในเวลากลางวัน นั้น ได้แก่การที่บุคคลตรึกตรองถึงบ่อยๆ ในเวลากลางคืน แล้วประกอบการงานในเวลากลางวัน ด้วยกายและวาจา นี้ชื่อว่าการลุกโพลงในเวลากลางวัน

             ๔. คำว่า พราหมณ์ นั้น เป็นชื่อของตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

             ๕. คำว่า สุเมธ นั้น เป็นชื่อของภิกษุผู้เป็นเสขะ

             ๖. คำว่า ศัสตรา นั้น เป็นชื่อแห่งปัญญาอันประเสริฐ

             ๗. คำว่า จงขุด นั้น เป็นชื่อของการปรารภความเพียร

             ๘. คำว่า ลิ่มสลัก นั้น เป็นชื่อแห่งอวิชชา คำนั้นมีอธิบายว่า ‘สุเมธเธอจงใช้ศัสตรายกลิ่มสลักขึ้น คือ จงละอวิชชา จงขุดขึ้นมา’

             ๙. คำว่า อึ่ง นั้น เป็นชื่อของความคับแค้นใจเนื่องมาจากความโกรธ คำนั้นมีอธิบายว่า ‘สุเมธ เธอจงใช้ศัสตรานำอึ่งขึ้นมา คือ จงละความคับแค้นใจเนื่องมาจากความโกรธ จงขุดขึ้นมา’

             ๑๐. คำว่า ทางสองแพร่ง นั้น เป็นชื่อแห่งวิจิกิจฉา คำนั้นมีอธิบายว่า ‘สุเมธ เธอจงใช้ศัสตราถากทางสองแพร่ง คือ จงละวิจิกิจฉา จงขุดขึ้นมา’

             ๑๑. คำว่า หม้อกรองน้ำด่าง นั้น เป็นชื่อแห่งนิวรณ์ ๕ ประการ คือ

                          กามฉันทนิวรณ์ (สิ่งที่กั้นจิตคือความพอใจในกาม)

                          พยาบาทนิวรณ์ (สิ่งที่กั้นจิตคือความขัดเคืองใจ)

                          ถีนมิทธนิวรณ์ (สิ่งที่กั้นจิตคือความหดหู่และเซื่องซึม)

                          อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ (สิ่งที่กั้นจิตคือความฟุ้งซ่านและร้อนใจ)

                          วิจิกิจฉานิวรณ์ (สิ่งที่กั้นจิตคือความลังเลสงสัย)

             คำนั้นมีอธิบายว่า ‘สุเมธ เธอจงใช้ศัสตรายกหม้อกรองน้ำด่างขึ้นมา คือจงละนิวรณ์ ๕ ประการ จงขุดขึ้นมา’

             ๑๒. คำว่า เต่า นั้น เป็นชื่อแห่งอุปาทานขันธ์  ๕ ประการ คือ

                          รูปูปาทานขันธ์ (อุปาทานขันธ์คือรูป)

                          เวทนูปาทานขันธ์ (อุปาทานขันธ์คือเวทนา)

                          สัญญูปาทานขันธ์ (อุปาทานขันธ์คือสัญญา)

                          สังขารูปาทานขันธ์ (อุปาทานขันธ์คือสังขาร)

                          วิญญาณูปาทานขันธ์ (อุปาทานขันธ์คือวิญญาณ)

             คำนั้นมีอธิบายว่า ‘สุเมธ เธอจงใช้ศัสตรานำเต่าขึ้นมา คือ จงละอุปาทานขันธ์ ๕ ประการ จงขุดขึ้นมา’

             ๑๓. คำว่า เขียงหั่นเนื้อ นั้น เป็นชื่อแห่งกามคุณ ๕ ประการ คือ

             รูปที่จะพึงรู้แจ้งทางตา ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ชวนให้รัก ชักให้ใคร่ พาใจให้กำหนัด

             เสียงที่จะพึงรู้แจ้งทางหู ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ชวนให้รัก ชักให้ใคร่ พาใจให้กำหนัด

             กลิ่นที่จะพึงรู้แจ้งทางจมูก ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ชวนให้รัก ชักให้ใคร่ พาใจให้กำหนัด

             รสที่จะพึงรู้แจ้งทางลิ้น ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ชวนให้รัก ชักให้ใคร่ พาใจให้กำหนัด

             โผฏฐัพพะที่จะพึงรู้แจ้งทางกาย ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ชวนให้รัก ชักให้ใคร่ พาใจให้กำหนัด

             คำนั้นมีอธิบายว่า ‘สุเมธ เธอจงใช้ศัสตรายกเขียงหั่นเนื้อขึ้นมา คือ จงละกามคุณ ๕ ประการ จงขุดขึ้นมา’

             ๑๔. คำว่า ชิ้นเนื้อ นั้น เป็นชื่อแห่งนันทิราคะ(ความกำหนัดด้วยอำนาจ ความเพลิดเพลิน) คำนั้นมีอธิบายว่า ‘สุเมธ เธอจงใช้ศัสตราหยิบชิ้นเนื้อขึ้นมา คือ จงละนันทิราคะ จงขุดขึ้นมา’

             ๑๕. คำว่า นาค นั้น เป็นชื่อของภิกษุผู้เป็นขีณาสพ คำนั้นมีอธิบายว่า ‘นาคจงดำรงอยู่เถิด เธออย่าเบียดเบียนนาคเลย เธอจงทำความนอบน้อมนาค”

             พระผู้มีพระภาคได้ตรัสภาษิตนี้แล้ว ท่านพระกุมารกัสสปะมีใจยินดีชื่นชมพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค ดังนี้แล

วัมมิกสูตรที่ ๓ จบ

-----------------------------------------


คำอธิบายนี้ นำมาจากบางส่วนของอรรถกถา 

มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ โอปัมมวรรค

วัมมิกสูตร ว่าด้วยปริศนาจอมปลวก

               อรรถกถาวัมมิกสูตร               

               วัมมิกสูตร เริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้ :-
               พึงทราบวินิจฉัยในวัมมิกสูตรนั้น
               คำว่า กุมารกสฺสโป เป็นชื่อของท่าน. แต่เพราะท่านบวชในเวลายังเด็ก เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า จงเรียกกัสสปมา จงให้ผลไม้หรือของเคี้ยวนี้แก่กัสสป เพราะภิกษุทั้งหลายสงสัยว่า กัสสปองค์ไหน จึงขนานนามท่านอย่างนี้ว่า กุมารกัสสป ตั้งแต่นั้นมา ในเวลาที่ท่านแก่เฒ่าก็ยังเรียกว่า กุมารกัสสปอยู่นั้นเอง. อีกอย่างหนึ่ง คนทั้งหลายจำหมายท่านว่า กุมารกัสสป เพราะเป็นบุตรเลี้ยงของพระราชา.
               จะกล่าวให้แจ่มแจ้งตั้งแต่บุพพประโยคของท่าน ดังต่อไปนี้.
               ดังได้สดับมา พระเถระเป็นบุตรเศรษฐี ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ต่อมาวันหนึ่ง พระเถระเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสถาปนาสาวกของพระองค์รูปหนึ่ง ผู้กล่าวธรรมได้วิจิตรไว้ในฐานันดร ถวายทาน ๗ วันแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าทำความปรารถนาว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ข้าพระองค์ก็พึงเป็นสาวกผู้กล่าวธรรมได้วิจิตรเหมือนพระเถระรูปนี้ของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล ดังนี้แล้ว กระทำบุญทั้งหลาย บวชในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสป ไม่อาจทำคุณวิเศษให้บังเกิดได้.
               ครั้งนั้นเมื่อพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้วเสื่อมลง ภิกษุ ๕ รูปผูกบันไดขึ้นภูเขากระทำสมณธรรม. พระสังฆเถระบรรลุพระอรหัตต์วันที่ ๓. พระอนุเถระเป็นพระอนาคามีวันที่ ๔. ฝ่ายพระเถระอีก ๓ รูปไม่อาจทำคุณวิเศษให้บังเกิด ก็ไปบังเกิดในเทวโลก.
               เมื่อเทพเหล่านั้นเสวยสมบัติในเทวดาและมนุษย์ตลอดพุทธันดรหนึ่ง องค์หนึ่งก็ไปเกิดในราชตระกูล กรุงตักกสิลา เป็นพระราชาพระนามว่าปุกกุสาติ บวชอุทิศพระผู้มีพระภาคเจ้า มาสู่กรุงราชคฤห์ ฟังพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่โรงช่างหม้อ บรรลุอนาคามิผล.
               องค์หนึ่งบังเกิดในเรือนสกุลใกล้ท่าเรือแห่งสุปารกะแห่งหนึ่ง ขึ้นเรือ เรืออับปาง นุ่งท่อนไม้แทนผ้า ถึงลาภสมบัติเกิดความคิดขึ้นว่า ข้าเป็นพระอรหันต์ ถูกเทวดาผู้หวังดีตักเตือนว่า ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ดอก ไปทูลถามปัญหากะพระศาสดาเถิด ได้กระทำเหมือนอย่างนั้น บรรลุอรหัตตผล.
               องค์หนึ่งเกิดในท้องของหญิงผู้มีสกุลคนหนึ่ง ในกรุงราชคฤห์. นางได้อ้อนวอนมารดาบิดา เมื่อไม่ได้บรรพชาก็แต่งงาน ไม่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์ อ้อนวอนสามี สามีอนุญาตก็บวชในสำนักภิกษุณี. ภิกษุณีทั้งหลายเห็นนางตั้งครรภ์จึงถามพระเทวทัตต์. พระเทวทัตต์ตอบว่า นางไม่เป็นสมณะแล้ว. เหล่าภิกษุณีจึงไปทูลถามพระทศพล.
               พระศาสดาโปรดให้พระอุบาลีรับเรื่องไว้พิจารณา พระเถระให้เชิญสกุลชาวพระนครสาวัตถีและนางวิสาขาอุบาสิกา ให้ช่วยกันชำระ (ได้ข้อเท็จจริงแล้ว) จึงกล่าวว่า นางมีครรภ์มาก่อน บรรพชาจึงไม่เสีย. พระศาสดาประทานสาธุการแก่พระเถระว่า อุบาลีวินิจฉัยอธิกรณ์ชอบแล้ว. ภิกษุณีนั้นคลอดบุตรมีประพิมประพายดังแท่งทอง. พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงรับเด็กนั้นมาชุบเลี้ยง ประทานนามเด็กนั้นว่า กัสสป. ต่อมาทรงเลี้ยงเจริญวัยแล้วนำไปยังสำนักพระศาสดา ให้บรรพชา. ดังนั้น คนทั้งหลายจึงหมายชื่อเด็กนั้นว่า กุมารกัสสป เพราะเป็นบุตรเลี้ยงของพระราชาแล.
               สมัยนั้น ท่านกุมารกัสสปก็บำเพ็ญเสกขปฏิปทาอยู่ที่อันธวันนั้น. เทพบุตรได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ผู้นี้อยู่ในระหว่างกามาวจรภูมิ ส่วนเราเป็นพรหมจารีตั้งแต่กาลนั้นในเวลานั้น. แม้สมณสัญญาของเทพบุตรนั้นยังปรากฏอยู่ เพราะฉะนั้น เทพบุตรนั้นจึงไม่ไหว้ เทพบุตรนั้นเป็นบุรพสหายของพระเถระ ตั้งแต่กาลแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามกัสสปะ.  บรรดาสหายทั้ง ๕ ที่มาในครั้งก่อน สหายนั้นใดที่ท่านกล่าวว่าพระอนุเถระได้เป็นพระอนาคามี ในวันที่ ๔ สหายนั้นก็คือผู้นี้. (ภิกษุ ๕ รูปผูกบันไดขึ้นภูเขากระทำสมณธรรม. พระสังฆเถระบรรลุพระอรหัตต์วันที่ ๓. พระอนุเถระเป็นพระอนาคามีวันที่ ๔. ฝ่ายพระเถระอีก ๓ รูปไม่อาจทำคุณวิเศษให้บังเกิด ก็ไปบังเกิดในเทวโลก.)

              พระอนุเถระนั้นครั้นดำรงอยู่ในชั้นสุทธาวาสแล้ว ตรวจดูสหายเหล่านั้น ก็เห็นว่า สหายผู้หนึ่งปรินิพพานในครั้งนั้นแล ผู้หนึ่งบรรลุอริยภูมิในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยไม่นาน ผู้หนึ่งอาศัยลาภสักการะเกิดความคิดขึ้นว่า เราเป็นพระอรหันต์ อยู่ที่ท่าเรือชื่อสุปปารกะนั่นแล แล้วเข้าไปหาเขา สั่งเขาไปด้วยกล่าวว่า ท่านไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ ยังปฏิบัติไม่ถึงพระอรหัตตมรรค จงไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าฟังธรรมเสีย. แม้สหายผู้นั้นทูลขอโอวาทกะพระผู้มีพระภาคเจ้าในละแวกบ้าน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงโอวาทโดยสังเขปว่า พาหิยะ เพราะฉะนั้นแล เธอพึงศึกษาในสิ่งที่ท่านเห็นแล้ว จงเป็นสักแต่ว่าเห็น ก็บรรลุอริยภูมิ.
               สหายผู้หนึ่งนอกจากนั้นมีอยู่ เขาตรวจดูว่าอยู่ที่ไหน ก็เห็นว่ากำลังบำเพ็ญเสกขปฏิปทาอยู่ในอันธวัน จึงคิดว่า เราจักไปยังสำนักของสหาย แต่เมื่อไปไม่ไปมือเปล่า ควรจะถือเครื่องบรรณาการบางอย่างไปด้วย แต่สหายของเราไม่มีอามิสอยู่บนยอดเขา แต่สหายนั้นจักไม่ฉันแม้บิณฑบาตที่เรายืนอยู่บนอากาศถวาย ได้กระทำสมณธรรม บัดนี้ท่านจักรับอามิสบรรณาการหรือจำเราจักถือธรรมบรรณาการไป แล้วดำรงในพรหมโลกนั่นแล จำแนกปัญหา ๑๕ ข้อเหมือนร้อยรัตนวลีพวงแก้วถือธรรมบรรณาการนั้นมา.

             ๑. คำว่า จอมปลวก นั้น เป็นชื่อของร่างกายนี้ ซึ่งประกอบด้วยมหาภูตรูปทั้ง ๔ มีมารดาบิดาเป็นแดนเกิด เติบโตด้วยข้าวสุกและขนมกุมมาส ไม่เที่ยง ต้องบริหาร ต้องนวดฟั้น จะต้องแตกสลาย และกระจัดกระจายไปเป็นธรรมดา (กายภายนอก ท่านเรียกว่าวัมมิกะ เพราะเหตุ ๔ อย่าง คือ จอมปลวกย่อมคาย ๑ ผู้คาย ๑ ผู้คายร่างที่ประชุมธาตุสี่ ๑ ผู้คายความสัมพันธ์ด้วยเสน่หา ๑. เพราะฉะนั้น กายนั้น ชื่อว่าวัมมิกะ กายอันตัวปลวกคายแล้ว เหตุนั้น จึงชื่อว่าวัมมิกะ. กายอันตัวปลวกก่อขึ้นด้วยผงฝุ่น ที่ตัวคายยกขึ้นด้วยจะงอยปากประมาณเพียงสะเอวบ้าง ชั่วบุรุษบ้าง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าวัมมิกะ. กายเมื่อฝนตก ๗ สัปดาห์อันตัวปลวกเกลี่ย เพราะเนื่องด้วยยางน้ำลายที่คายออก แม้ในฤดูแล้งมันก็คายเอาฝุ่นจากที่นั้น บีบที่นั้นให้เป็นกอง ยางเหนียวก็ออก แล้วก็ติดกันด้วยยางเหนียวที่คาย เหตุนั้นจึงชื่อว่าวัมมิกะ ฉันใดนั้นแล แม้กายนี้ก็ฉันนั้น ชื่อว่าวัมมิกะ เพราะคายของไม่สะอาด ของมีโทษและมลทินมีประการต่างๆ โดยนัยเป็นต้นว่าขี้ตาออกจากลูกตาเป็นต้น และชื่อว่าวัมมิกะ เพราะอันพระอริยเจ้าคายแล้ว เหตุพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธะและพระขีณาสพ ทิ้งอัตตภาพไป เพราะหมดความเยื่อใยในอัตตภาพนี้ ชื่อว่าวัมมิกะ เพราะคายหมดทั้งร่างที่ประชุมธาตุ ๔ เหตุที่พระอริยเจ้าคายร่างทั้งหมดที่กระดูก ๓๐๐ ท่อนยกขึ้นรัดด้วยเอ็น ฉาบด้วยเนื้อ ห่อด้วยหนังสด ย้อมผิว ลวงสัตว์ทั้งหลาย ชื่อว่าวัมมิกะ ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ คำว่า วัมมิกะ นี้เป็นชื่อของกายนี้ที่เกิดจากมหาภูตทั้ง ๔.)

           ๒. คำว่า อย่างไร ชื่อว่าการพ่นควันในเวลากลางคืน นั้น ได้แก่การที่บุคคลทำการงานในเวลากลางวัน แล้วตรึกตรองถึงในเวลากลางคืน นี้ชื่อว่าการพ่นควันในเวลากลางคืน (ท่านประสงค์เอาว่าเป็นไปในวิตก ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า นี่การหวนควันในกลางคืน.)

            ๓. คำว่า อย่างไร ชื่อว่าการลุกโพลงในเวลากลางวัน นั้น ได้แก่การที่บุคคลตรึกตรองถึงบ่อยๆ ในเวลากลางคืน แล้วประกอบการงานในเวลากลางวัน ด้วยกายและวาจา นี้ชื่อว่าการลุกโพลงในเวลากลางวัน (การงานที่จะพึงทำในกลางวัน.)

             ๔. คำว่า พราหมณ์ นั้น เป็นชื่อของตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า (พระตถาคตชื่อว่าพราหมณ์ เพราะทรงลอยธรรมทั้ง ๗ ได้แล้ว. ธรรมทั้ง ๗ คือ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ที่ภิกษุชื่อว่าพราหมณ์ เพราะลอยธรรมทั้ง ๗ เหล่านี้ได้แล้ว.)

             ๕. คำว่า สุเมธ นั้น เป็นชื่อของภิกษุผู้เป็นเสขะ (ผู้มีปัญญาดี.)

             ๖. คำว่า ศัสตรา นั้น เป็นชื่อแห่งปัญญาอันประเสริฐ (คำนี้เป็นชื่อของปัญญาที่เป็นโลกิยและโลกุตตระ ไม่ใช่เป็นชื่อของอาวุธและศาสตรา.)

             ๗. คำว่า จงขุด นั้น เป็นชื่อของการปรารภความเพียร (ได้แก่ ความเพียรทางกายและทางใจ. ความเพียรนั้น ย่อมเป็นคติแห่งปัญญาทีเดียว ความเพียรที่เป็นคติแห่งโลกิยปัญญาจัดเป็นโลกิยะ เป็นคติแห่งโลกุตตรปัญญาจัดเป็นโลกุตตระ.)

             ๘. คำว่า ลิ่มสลัก นั้น เป็นชื่อแห่งอวิชชา คำนั้นมีอธิบายว่า ‘สุเมธเธอจงใช้ศัสตรายกลิ่มสลักขึ้น คือ จงละอวิชชา จงขุดขึ้นมา’ (เมื่อปิดประตูพระนคร ใส่ลิ่มสลัก มหาชนก็ขาดการไป เหล่าชนที่อยู่ภายในพระนครก็คงอยู่ภายในนั้นเอง พวกที่อยู่ภายนอกพระนครก็อยู่ภายนอกฉันใด กลอนเหล็กคืออวิชชาตกไปในปากคือญาณของผู้ใด การไปคือญาณที่ให้ถึงพระนิพพานของผู้นั้นก็ขาด. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอวิชชาให้เป็นดังกลอนเหล็ก. การละอวิชชาด้วยอำนาจการเรียนและการสอบถามกัมมัฏฐาน.)

             ๙. คำว่า อึ่ง นั้น เป็นชื่อของความคับแค้นใจเนื่องมาจากความโกรธ คำนั้นมีอธิบายว่า ‘สุเมธ เธอจงใช้ศัสตรานำอึ่งขึ้นมา คือ จงละความคับแค้นใจเนื่องมาจากความโกรธ จงขุดขึ้นมา’ (อึ่งที่พองขึ้นไม่ใหญ่ประมาณเท่าหลังเล็บอยู่ในระหว่างใบไม้เก่าๆ ในระหว่างกอไม้ หรือระหว่างเถาวัลย์ มันถูกปลายไม้ปลายเถาวัลย์หรือละอองฝุ่นเสียดสีขยายออกมีปริมณฑลใหญ่ ขนาดเท่าแว่นมะตูม ๔ เท้าขวักไขว่ในอากาศขาดการไป (เดินไม่ได้) ตกอยู่ในอำนาจของศัตรู เป็นเหยื่อของกาและนกเค้าเป็นต้นฉันใด ความโกรธนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อเกิดขึ้นคราวแรกก็เป็นเพียงความขุ่นมัวแห่งจิตเท่านั้น ไม่ถูกข่มเสียในขณะนั้นก็ขยายให้ถึงการหน้านิ้วคิ้วขมวด ไม่ถูกข่มเสียในเวลานั้นก็ให้ถึงคางสั่น ไม่ถูกข่มเสียในเวลานั้นก็ให้ถึงการเปล่งวาจาหยาบ ไม่ถูกข่มเสียในเวลานั้น ก็ให้ถึงการมองไม่เห็นทิศ ไม่ถูกข่มเสียในเวลานั้น ให้ถึงการยื้อกันมายื้อกันไป ไม่ถูกข่มเสียในเวลานั้นก็ให้ถึงการจับมือ ก้อนดิน ท่อนไม้และศาสตรา ไม่ถูกข่มเสียในเวลานั้น ให้ถึงการประหารด้วยท่อนไม้ และศาสตรา ไม่ถูกข่มเสียในเวลานั้น ให้ถึงการฆ่าผู้อื่นบ้าง ฆ่าตัวเองบ้าง. ท่านกล่าวการละด้วยการพิจารณา)

             ๑๐. คำว่า ทางสองแพร่ง นั้น เป็นชื่อแห่งวิจิกิจฉา คำนั้นมีอธิบายว่า ‘สุเมธ เธอจงใช้ศัสตราถากทางสองแพร่ง คือ จงละวิจิกิจฉา จงขุดขึ้นมา’ (บุรุษผู้มีทรัพย์โภคะ เดินทางไกลอันกันดาร ถึงทาง ๒ แพร่ง ไม่อาจตัดสินใจว่า ควรไปทางนี้หรือไม่ควรไปทางนี้ หยุดอยู่ในที่นั้นนั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนั้น เหล่าโจรปรากฏตัวขึ้นมาก็จะทำผู้นั้นให้ถึงความย่อยยับฉันใด ภิกษุผู้นั่งกำหนดกัมมัฏฐานเบื้องต้นก็ฉันนั้นนั่นแล เมื่อเกิดความสงสัยในพระพุทธเจ้าเป็นต้นก็ไม่อาจเจริญกัมมัฏฐานได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ปวงมารมีกิเลสมารเป็นต้นย่อมทำภิกษุนั้นให้ถึงความย่อยยับ วิจิกิจฉาจึงเสมอด้วยทาง ๒ แพร่งด้วยประการฉะนี้. การละวิจิกิจฉาด้วยการเรียนและการสอบถามกัมมัฏฐาน.)

             ๑๑. คำว่า หม้อกรองน้ำด่าง นั้น เป็นชื่อแห่งนิวรณ์ ๕ ประการ คือ

                          กามฉันทนิวรณ์ (สิ่งที่กั้นจิตคือความพอใจในกาม)

                          พยาบาทนิวรณ์ (สิ่งที่กั้นจิตคือความขัดเคืองใจ)

                          ถีนมิทธนิวรณ์ (สิ่งที่กั้นจิตคือความหดหู่และเซื่องซึม)

                          อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ (สิ่งที่กั้นจิตคือความฟุ้งซ่านและร้อนใจ)

                          วิจิกิจฉานิวรณ์ (สิ่งที่กั้นจิตคือความลังเลสงสัย)

             คำนั้นมีอธิบายว่า ‘สุเมธ เธอจงใช้ศัสตรายกหม้อกรองน้ำด่างขึ้นมา คือจงละนิวรณ์ ๕ ประการ จงขุดขึ้นมา’ (เมื่อช่างย้อมใส่น้ำลงในหม้อกรองน้ำด่าง หม้อน้ำ ๑ หม้อ ๒ หม้อบ้าง ๑๐ หม้อบ้าง ๒๐ หม้อบ้าง ๑๐๐ หม้อบ้างก็ไหลออก น้ำแม้ฟายมือเดียวก็ไม่ขังอยู่ฉันใด กุศลธรรมภายในของบุคคลผู้ประกอบด้วยนีวรณ์ ย่อมไม่ตั้งอยู่ฉันนั้นเหมือนกัน. การละนีวรณ์ด้วยวิกขัมภนปหานและตทังคปหาน.)

             ๑๒. คำว่า เต่า นั้น เป็นชื่อแห่งอุปาทานขันธ์  ๕ ประการ คือ

                          รูปูปาทานขันธ์ (อุปาทานขันธ์คือรูป)

                          เวทนูปาทานขันธ์ (อุปาทานขันธ์คือเวทนา)

                          สัญญูปาทานขันธ์ (อุปาทานขันธ์คือสัญญา)

                          สังขารูปาทานขันธ์ (อุปาทานขันธ์คือสังขาร)

                          วิญญาณูปาทานขันธ์ (อุปาทานขันธ์คือวิญญาณ)

             คำนั้นมีอธิบายว่า ‘สุเมธ เธอจงใช้ศัสตรานำเต่าขึ้นมา คือ จงละอุปาทานขันธ์ ๕ ประการ จงขุดขึ้นมา’ (เต่ามีอวัยวะ ๕ คือ เท้า ๔ ศีรษะ ๑ ฉันใด สังขตธรรมทั้งหมด เมื่อรวบรัดก็มีขันธ์ ๕ เท่านั้นฉันนั้นเหมือนกัน. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ คำว่า เต่านี้เป็นชื่อของอุปาทานขันธ์ ๕. การละความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจในขันธ์ ๕.)

             ๑๓. คำว่า เขียงหั่นเนื้อ นั้น เป็นชื่อแห่งกามคุณ ๕ ประการ คือ

             รูปที่จะพึงรู้แจ้งทางตา ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ชวนให้รัก ชักให้ใคร่ พาใจให้กำหนัด

             เสียงที่จะพึงรู้แจ้งทางหู ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ชวนให้รัก ชักให้ใคร่ พาใจให้กำหนัด

             กลิ่นที่จะพึงรู้แจ้งทางจมูก ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ชวนให้รัก ชักให้ใคร่ พาใจให้กำหนัด

             รสที่จะพึงรู้แจ้งทางลิ้น ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ชวนให้รัก ชักให้ใคร่ พาใจให้กำหนัด

             โผฏฐัพพะที่จะพึงรู้แจ้งทางกาย ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ชวนให้รัก ชักให้ใคร่ พาใจให้กำหนัด

             คำนั้นมีอธิบายว่า ‘สุเมธ เธอจงใช้ศัสตรายกเขียงหั่นเนื้อขึ้นมา คือ จงละกามคุณ ๕ ประการ จงขุดขึ้นมา’ (เอาเนื้อวางบนเขียง เอามีดสับฉันใด สัตว์เหล่านี้ เมื่อถูกกามกิเลสกระทบ เพื่อประโยชน์แก่ทำไว้บนวัตถุกาม ถูกกิเลสกามตัดสับก็ฉันนั้น. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ คำว่า เขียงมีด นี้เป็นชื่อของกามคุณทั้ง ๕. การละความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจในกามคุณ ๕.)

             ๑๔. คำว่า ชิ้นเนื้อ นั้น เป็นชื่อแห่งนันทิราคะ(ความกำหนัดด้วยอำนาจ ความเพลิดเพลิน) คำนั้นมีอธิบายว่า ‘สุเมธ เธอจงใช้ศัสตราหยิบชิ้นเนื้อขึ้นมา คือ จงละนันทิราคะ จงขุดขึ้นมา’ (ขึ้นชื่อว่าชิ้นเนื้อนี้ คนเป็นอันมากปรารถนากันแล้ว ทั้งเหล่ามนุษย์มีกษัตริย์เป็นต้น ทั้งสัตว์ดิรัจฉานมีกาเป็นต้น ต่างปรารถนามัน สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยอวิชชา อาศัยความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน ต่างก็ปรารถนาวัฏฏะ ชิ้นเนื้อย่อมติดอยู่ในที่วางไว้ๆ ฉันใด สัตว์เหล่านี้ถูกความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิดเพลินผูกไว้ก็ติดอยู่ในวัฏฏะ แม้ประสบทุกข์ก็ไม่เบื่อฉันนั้น ความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิดเพลินย่อมเสมือนชิ้นเนื้อด้วยประการฉะนี้. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ คำว่า ชิ้นเนื้อ นี้เป็นชื่อของความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน. การละความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิดเพลินด้วยมรรคที่ ๔.)

             ๑๕. คำว่า นาค นั้น เป็นชื่อของภิกษุผู้เป็นขีณาสพ คำนั้นมีอธิบายว่า ‘นาคจงดำรงอยู่เถิด เธออย่าเบียดเบียนนาคเลย เธอจงทำความนอบน้อมนาค” (ดูก่อนภิกษุ คำว่า นาค นี้เป็นชื่อของพระขีณาสพนี้ พระขีณาสพท่านเรียกว่านาค ท่านจงกระทำการนอบน้อมพระพุทธนาคผู้พระขีณาสพว่า พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นตรัสรู้แล้ว ย่อมแสดงธรรมเพื่อความรู้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงฝึกแล้ว ทรงแสดงธรรมเพื่อฝึก พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นสงบแล้ว ทรงแสดงธรรมเพื่อสงบ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงข้ามแล้ว แสดงธรรมเพื่อข้าม พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นดับสนิทแล้ว แสดงธรรมเพื่อดับสนิท.)

พระสูตรนี้ได้เป็นกัมมัฏฐานของพระเถระด้วยประการฉะนี้ ฝ่ายพระเถระทำพระสูตรนี้แลให้เป็นกัมมัฏฐาน เจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตต์.
               พระผู้มีพระภาคเจ้า เหมือนทรงถือเอายอดมณีในกองรัตนะ ทรงจบเทศนาตามลำดับอนุสนธิด้วยประการฉะนี้แล.


               จบอรรถกถาวัมมิกสูตรที่ ๓               
               -----------------------------------------------------               

 



 

คำสำคัญ (Tags): #พระกุมารกัสสปะ
หมายเลขบันทึก: 712875เขียนเมื่อ 22 พฤษภาคม 2023 12:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 พฤษภาคม 2023 12:53 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท