ที่ผมเขียนซื่อบันทึกวันนี้โดยใช้คำ Strategy สองครั้งในความหมาย “ยุทธศาสตร์ กับ กลยุทธ์” ในภาษาไทยนั้น ไม่ใช่ความผิดพลาด หรือเข้าใจผิดใด ๆ เพียงแต่ในวงวิชาการของไทยนั้นเราจะพบว่าทั้งสองคนี้ (ยุทธศาสตร์ หรือ กลยุทธ์) นี้เราแปลว่ามาจากคำภาษาอังกฤษคำเดียวกันคือ Strategy ครับ และมีความพยายามจะอธิบายความแตกต่างของคำว่ายุทธศาสตร์และกลยุทธ์ไว้สองแบบคือ แบบที่อธิบายว่า “ยุทธศาสตร์” ใช้กับองค์การทั่วไปและราชการ ส่วน “กลยุทธ์” เป็นองค์การทางธุรกิจ และแบบสองอธิบายว่า “ยุทธศาสตร์” เป็น Strategy หลัก ส่วน “กลยุทธ์” เป็น “Strategy ในระดับรองลงไป ประเมาณนี้ครับ ซึ่งผู้สนใจสมารถศึกษาเพิ่มเติมได้ แต่ผมใช้สองคำนี้ในความหมายเดียวกันครับ ความแตกต่างอยู่ที่ความเข้าใจและขอบเขตการนำใช้คำว่า ”ยุทธ์ศาสตร์/กลยุทธ์ (Strategy)" ในการบริหาร หรือดำเนินงานเท่านั้น
คำว่า “ยุทธ์ศาสตร์ (Strategy)” เป็นศัพท์ที่ใช้กันในภารรบของทหารมานานก่อนที่มีการนำใช้ในวงการธุรกิจ แต่ได้กลายพันธ์ไปมากครับ กล่าวคือคำว่ายุทธ์ศาสตร์ในทางการทหารนั้นจะหมายถึงยุทธการรบหลักที่ออกแบบไว้ในการรบครั้งนั้น ๆ เพื่อเอาขนะข้าศึกครับ แต่ในองค์การธุรกิจ หรือองค์การทางการศึกษานั้นมีความแตกต่างกันไป คงบอกไม่ได้ว่าแนวคิดไหนถูก แนวคิดไหนผิด หรือดีกว่ากัน ฐานคิดของผมคือ “ยุทธศาสตร์ที่ดีคือยุทธศาสตร์ที่ใช้ได้” ในทำนองเดียวกันถ้าหลักคิดใดเกี่ยวกับยุทธ์ศาสตร์นำไปสู่การได้ยุทธศาสตร์ที่ดีแล้ว ท่านก็เลือกใช้แนวคิดนั้นครับ ส่วนผมนั้นมีความเข้าใจและความเห็นดังนี้
Michael E. Porter ผู้นำแนวคิดเกี่ยวก้บยุทธศาสตร์ยุคต้น ๆ และค่าตัวแพงที่สุดคนหนึ่งบรรยายและเขียนไว้ในงานเขียนของเขาหลายเล่ม รวมทั้งบทความ “What Is Strategy?” ในรวมบทความ HBR's 10 Must Read on Strategy…" (Porter, 2011) กล่าวถึงความแตกต่างระหว่าง “ การปฏิบัติที่มีประสิทธิผล (Operational Effectiveness) กับ ยุทธศาตร์ (Strategy)” ว่าการปฏิบัติที่มีประสิทธิผลเป็นวิธีการดำเนินงานในสิ่งที่ทำอยู่แล้วให้ดีขึ้นกว่าเดิม ส่วนยุทธศาสตร์เป็นจุดยืนในการดำกิจการของบริษัทของเราที่แตกต่างจากบริษัทอื่น หรือวิธีการดำเนินงานของบริษัทของเราที่แตกต่างไปจากบริษัทอื่นที่ทำกิจการแบบเดียวกัน สำหรับการนำใช้คำว่า “ยุทธศาสตร์หรือกลยุทธ์” ในประเทศไทยนั้นส่วนใหญ่จะอยู่ในลักษณะที่ Porter เรียกว่า “Operational Effectiveness” ครับ ซึ่งเขาไม่ถือว่าสิ่งนี้คือยุทธศาตร์ แต่อย่างไรก็ตามผมเคยวิเคราะห์และเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้หลายครั้งว่า “ทั้งสองแบบนี้น่าจะเป็นยุทธศาสตร์ เพียงแต่สิ่งที่ Porter เรียกว่า Operational Effectiveness นั้นเป็นยุทธศาตร์ปฏิบัติการ ส่วน ”Strategy" เป็นยุทธศาสตร์องค์การ ซึ่งเป็นจุดยืนและจุดแข่งจุดขายขององค์การเพื่อเบียดแทรก หรือเป็นผู้นำในกิจการนั้น ๆ ครับ
สำหรับวิธีการสร้างหรือพัฒนายุทธศาตร์นั้นมีแนวคิดและวิธีการที่นำเสนอไว้หลากหลายวิธี แต่เทคนิดที่คุ้นเคยและนิยมนำมาใช้ในการสร้างหรือพัฒนายุทธศาสตร์มากที่สุดแนวหนึ่งคือการวิเคราะห์สภาวะองค์การที่รู้กันในนาม SWOT Analysis ซึ่งผู้สนใจสามารถศึกษาได้โดยทั่วไป แต่ที่อยากบอกคือในการสร้างหรือพัฒนายุทธศาสตร์นั้นไม่จำเป็นต้องใช้ SWOT Analysis ก็ได้ และกระบวนการสร้างหรือพัฒนายุทธศาสตร์นั้นก็มีได้หลายวิธี แต่โดยทั่วไปเป็นดังนี้
ส่วนการนำวิธีการวิจัยมาใช้ในการสร้างหรือพัฒนายุทธศาตร์นั้นเป็นการนำใช้วิธีการวิจัยเป็นเครื่องมือเพื่อสร้างหรือพัฒนายุทธศาสตร์ ตามแบบที่ผู้สร้างหรือพัฒนาองค์การกำหนดไว้ เช่น ถ้าจะใช้กระบวนการพัฒนายุทธศาสตร์ตามที่ผมเสนอไว้ข้างต้น ผู้สร้างหรือพัฒนายุทธศาสตร์ก็เลือกใช้วิธีการวิจัยเพื่อกำหนดจุดยืนในกิจการที่องค์การจะใช้เป็นจุดแข่งจุดขายขององค์การ เพื่อกำหนดแนวทาง และอื่น ๆ ทั้งห้าขั้นตอนที่กล่าวมาข้างต้น โดยรูกก็คือ ผู้วิจัยต้องกำหนดให้ได้ก่อนว่าในการสร้างหรือพัฒนายุทธศาสร์ก่อน ค่อยออกแบบวิธีการวิจัยเพื่อนำข้อมูลมาใช้ในแต่ละขั้นตอนที่ตนเองเลือกใช้ครับ
สมาน อัศวภูมิ
26 มิถุนายน 2565
กระบวนการสร้างยุทธศาสตร์4ข้อของอาจารย์ กรณีการสร้างยุทธศาสตร์จาการวิจัย ที่มีการทำSWOT และ TOWs ผมเข้าใจแบบนี้ถูกไหมครับ1. การกำหนดจุดยืนในกิจการ คือ ตัวแปรหลักในการวิจัย 2. แนวทางที่จะดำเนินการตามจุดยืน คือ ตัวแปรย่อยของการวิจัย 3.ศึกษาสภาวะการขององค์การภายใต้บริษทที่เป็นอยู่ คือ การศึกษาข้อมูลโดยวิธีการต่างๆ แล้วซิเคราะห์ SWOT4.กำหนดยุทธศาสตร์และตัวบ่งชี้ความสำเร็จ คือ กลยุทธ์ ที่เกิดจากTOWS และตัวบ่งชี้ คือ จำนวนหรือคุณภาพของสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งผมไม่เข้าใจว่าผู้วิจัยกำหนดขึ้นมาเองเลยหรือจะเอาอะไรมาเป็นฐานกำหนดตัวบ่งชี้ครับ
สวัสดีครับคุณ Suchart ก่อนอื่นผมขอเรียนก่อนว่า เมื่อเราพูดถึงยุทธศาสตร์ เราหมายถึงอย่างน้อย 3 อย่าง คือ Strategic Policy (ยุทธศาสตร์เชิงนโยบาย: ยุคแรก) Strategic Planning หรือ Plan ( แผนยุทศาสตร์: ยุคต่อมา และประเทศไทยเมื่อพูดถึงยุทธศาสตร์ ส่วนใหญ่จะหมายถึง แผนยุทธศาสตร์ จึงเขียนออกมาแบบมี vision, mission, goal, strategy, indicator/measurement ประมาณนี้
ประการที่สอง แนวทางการวางแผนยุทธศาสตร์มีหลายแนวคิด และที่ผมนำเสนอในบทเขียนข้างต้นขอขยายความาเข้าใจตามที่คุณ Suchart ถามเป็นดังนี้
องค์การประกาศจุดยืนใหม่นี้โดยไม่ SWOT ได้ไหม คำตอบคือ ได้ถ้าคุณเป็นเจ้าของกิจการ หรือผู้บริหารที่เจ้าของกิจการมอบหมาย เช่น กรณี Job กับยุทธศาสตร์พลิกโฉมของ Apple เป็นต้น หรือเจ้าของกิจการ/ผู้บริหบารที่รับผิดชออาจจะ SWOT แต่ไม่บอกเราก็ได้
แนวทางที่จะดำเนินการตามจุดยืน ในแผนยุทธศาสตร์ ก็คือ Mission หลังจากเราได้ Vision แล้วเราก็กำหนด Mission เพื่อให้เป็นไปตาม Vision โดยใช้ข้อมูลจากการวิเคราะห์ข้างต้น หรือข้อมูลอื่น หรือระดมสมอง ก็ได้
ผมเชื่อว่าถ้าดำเนินการทั้ง 4 ขั้นตอนข้างต้น น่าจะได้แผนยุทธศาสตร์ หรือยุทธศาสตร์ที่ดีครับ ส่วนการนำเสนอ หรือการจัดทำเอกสารแผนยุทธศาสตร์นั้น ก็แล้วแต่องค์การหรือฝ่ายบริหารจะเลือกครับ แต่โดยทั่วไปจะมีองค์ประกอบประมาณนี้ครับ 1. ภูมิหลังและความเป็นมา เป็นข้อมูลที่มีอิทธิพลอและความจำเป็นที่ต้องมีการวางแผนยุทธศาสตร์ครั้งนั้น แต่งานวิจัยไม่จำเป็นต้องรายงานส่วนนี้ เพราะมีอยู่ในบทที่ 1 แล้ว แต่ในคู่มือการนำแผนยุทธศาสตร์ไปใช้ควรมีส่วนนี้่เป็นบทนำ แต่ไม่ใช่ลอกบทที่ 1 มาเลยนะครับ 2. วิสัยทัศน์ ต้องเขียนออกมาห้เห็นภาพอนาคตว่าองค์การ มีจุดยืนที่ต้องการจะบรรลุคืออะไร ที่สำคัญคือต้องสื่อภาพอนาคตให้ชัดกับบุคลากรในองค์การ และผู้เกี่ยวข้อง เช่น วิสัยท้ศน์กรุงเทพมหานครองผู้ว่าช้ชชาติ และคณะคือ ‘กรุงเทพฯ เป็นเมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน’ (ท่านและคณะไม่เรียกว่าวิสัยทัศน์ แต่ในฐานะนักวิชาการเห็นว่านี่คือ วิสัยท้ศน์ ที่ดีที่สุดของกรุงเทพฯ เท่าท่ีผมศึกษามา) 3. พันธกิจ เป็นการกำหนดสิ่งหลัก ๆ ที่องค์ต้อง/ควรดำเนินการถ้าจะให้บรรลุวิสัยทัศน์ที่กำหนด ซึ่งผมยังไม่เห็นกลุ่มพันธกิจหลักของกรุงเทพฯ ซึ่งท่านอาจจะมีอยู่แล้วไม่ทราบ แต่ประเด็นยุทธศาสตร์มีครับ4. วัตถุประสงค์ ซึ่งเป็นตัวกำหนดว่าองค์การจะมียุทธศาสร์ระยะสั้น ระยะยาวอย่างไร อะไรก่อนหน้าหลัง เพื่อเป็นตัวกำหนดเบื้องต้นว่าองค์การควรมียุทธศาสตร์หลัก และยุทธศาสตร์ย่อยที่จะดำเนินอะไรบ้าง ในส่วนนี้ผมก็ไม่เห็นผู้ว่ากรุงเทพฯ และคณะกำไว้หรือไม่ แต่วัตถุประสงค์ในการดำนำใช้ยุทธศาสตร์ในการดำนเนินงานกรุงเทพฯ มหานคร มีความช้ดช้ดที่นโยบาย 214 นโยบาย และกลุ่มนโยบายที่ผู้ว่าฯ แลคณะกำหนดไว้5. ยุทธศาสตร์หลัก/ยุทธศาสตร์ย่อย เป็นการกำหนดยุทธศาสตร์ที่เชื่อว่าจะนำไปสู่การบรรลุวัตถุประสงค์ ตามพันธกิจ และวิส้ยที่กำหนดไว้่ ประเด็นนี้กรุงเทพมหานครปัจจุบันชัดมากคือ 9 กลุ่มนโยบาย (ยุทธศาสตร์หลัก) และ 214 นโยบาย (ยุทธศาสตร์ย่อย) แต่อย่าลืมว่าท่านผู้ว่าชัชชาติ และคณะไม่ได้ระบุว่านี่คือยุทธศาสตร์นะคร้บ แต่เช่น เดิมในฐานะน้กวิชาการเห็นว่าเป็นยุทธศาสตร์หลัก และยุทธศาสตร์ย่อยที่ดีมาก ๆ ถ้ากรุงเทพมหานคร ข้าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคน หรือส่วนใหญ่ร่วมือก้นดำเนินการได้ตามนี้ กรุงเทพฯ จะเป็นเมืองน่าอยู่ขั้นอีกเยอะเลยครับ 6. ตัวบ่งชี้ว่าการดำเนินงานเป็นไปตามยุทธ์ศาสตร์ ซึ่งจะกำหนดเฉพาะยุทธศาสตร์หลัก หรือทั้งยุทธศาสตร์หลัก และยุทธศาสตร์ก็ได้ และอีกอย่างในการนำเสนอแผนยุทธศาสตร์นั้น อาจจะนำรายการที่ 6 ไปไว้ในกรอบเดียวก้นกับยุทธศาสตฺ์หลัก/ยุทธศาสตร์/ ยุทธศาสตร์ย่อยก็ได้ 7. แนวทางในการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ ซึ่งจำเป็นสำหรับองค์การขนาดใหม่ หรือราชการ เพราะแผนยุทธศาสตร์จะเกี่ยวาข้องก้บคนจำนวนมาก หากไม่มีข้อมูลในส่วนนี้ไว้่อาจจะทำให้ความเข้าใจและการนำใช้แผนยุทูศาสตร์มีปัญหา แต่ไม่ถึงกับต้องเป็นการบริหารยุทธศาสตร์ครับ
สำหร้บงานวิจัยของคุณ Suchart ไม่จำเป็นต้องมีการรายงานในส่วนนี้ก็ได้คร้บ
หวังว่าคงมีความกระจ่างชัดมากขึ้น สมาน อัศวภูมิ19 กันยายน 2565