อารยธรรมโรมัน
สมัยสาธารณรัฐ
พวกอิทรัสกันอพยพเข้าสู่แหลมอิตาลีได้นำเอาอารยธรรมและความเชื่อของกรีกได้เข้ามาปกครองแบบสาธารณรัฐ มีพระมหากษัตริย์มีประมุข
มีรัฐสภาในการปกครองเรียกว่าอิมพีเรียม (Imperium)
มีสภาซีเนตหรือสภาขุนนางเป็นที่ปรึกษาชนชั้นปกครองเป็นพวกพาทรีเซียน(patrician)
ประชาชนทั่วไปเรียกว่า เพลเบียน (plebeian)
สภาซีเนตหรือสภาขุนนาง
ต่อมาทั้งสองกลุ่มได้เกิดการขัดแย้งกันขึ้น จึงได้มีการออกกฏหมายที่เรียกว่า กฎหมายสิบสองโต๊ะ (Law of the Twelve Tables) เพื่อใช้บังคับกับชาวโรมันทุกคน(รวบกฎหมายเป็นหมวดหมู่และจารึกลงบนโต๊ะทองเหลือง)
กฎหมายสิบสองโต๊ะถือเป็นมรดกชิ้นสำคัญของโรมที่เป็นแม่แบบของกฎหมาย ของโลกตะวันตก
โต๊ะที่ 1 โต๊ะที่ 2 และ โต๊ะที่ 3 เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิธีพิจารณาความแพ่งและการบังคับคดี เช่น
ถ้าหากคู่ความฝ่ายใดไม่มาศาลก่อนเที่ยงวัน ก็ให้ศาลพิพากษาให้คู่ความฝ่ายที่มาศาลชนะคดี ถ้าหากคู่ความฝ่ายใดหาพยานไม่ได้ก็ให้ร้องตะโกนดังๆ ที่ประตูบ้านของตน เพื่อแสวงหาพยาน ในคดีที่จำเลยยอมรับใช้หนี้สินหรือในคดีที่ศาลได้พิพากษาให้จำเลยใช้เงิน ก็ให้จำเลยชำระเงินภายใน 30 วัน
โต๊ะที่ 4 เป็นเรื่องเกี่ยวกับอำนาจของหัวหน้าครอบครัว เช่น
บิดาระหว่างที่มีชีวิตมีอำนาจเด็ดขาดเหนือบุตรอันชอบด้วยกฎหมาย บิดาอาจกักขังบุตรหรือเฆี่ยนตีหรือล่ามโซ่ ให้ทำงานหรือมีเหตุไม่ชอบใจจะฆ่าบุตรเสียก็ได้ ตลอดจนจะเอาบุตรไปขายเสียก็ได้ทารกคลอดออกมารูปร่างผิดปกติมากจะเอาไปฆ่าเสียก็ได้
โต๊ะที่ 5 โต๊ะที่ 6และ โต๊ะที่ 7 เป็นเรื่องเกี่ยวกับมรดก และทรัพย์สิน เช่น
ชายผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวตายลงโดยมิได้ทำพินัยกรรมไว้ ให้ญาติฝ่ายชาย ที่ใกล้ชิดที่สุดเป็นผู้สืบทอดอำนาจต่อไป ถ้าชายอิสระตายลงโดยไม่มีผู้สืบสันดาน (ผู้สืบสันดาน คือ ลูก หลาน เหลน) ให้ทรัพย์สินของชายคนนั้นตกแก่ผู้อุปถัมภ์ผลไม้หล่นตกไปในบ้านของผู้อื่น เจ้าของต้นผลไม้ยังคงเป็นเจ้าของผลไม้นั้นอยู่
โต๊ะที่ 8 เป็นเรื่องเกี่ยวกับการลงโทษผู้กระทำความผิดทางอาญา เช่น
ผู้ใดทำการโฆษณาหมิ่นประมาทว่าเขาทำผิดทางอาญาหรือทางลามกอนาจาร ให้เอาผู้นั้นไปตีเสียให้ตาย
ผู้ใดลักทรัพย์เวลาค่ำคืน ให้เอาไปฆ่าเสีย ผู้ใดวางเพลิงบ้านเรือนเขาหรือกองข้าวสาลีของเขา ให้เอามาผูกแล้วเฆี่ยนและ
เผาเสียทั้งเป็น แต่ถ้าเกิดขึ้นด้วยความประมาท ให้เสียเงินค่าทำขวัญแล้วลงโทษพอควร สัตว์สี่เท้าของผู้ใดเข้าไปทำให้ที่ดินเขาเสียหาย เขาจับยึดตัวสัตว์นั้นไว้เป็นของ เขาได้ เว้นแต่เจ้าของสัตว์จะเสียเงินค่าไถ่ถอนกลับคืนมาตามราคาค่าเสียหาย
โต๊ะที่ 9 เป็นเรื่องเกี่ยวกับอำนาจของรัฐ เช่น
กฎหมายใดๆ จะก่อให้เป็นแต่ทางเสียหายอย่างเดียวแก่เอกชนนั้นห้ามไม่ให้มีผลบังคับใช้ รัฐสภาเท่านั้นที่มีอำนาจออกกฎหมายที่กระทบกระเทือนถึงสถานะของบุคคลได้
โต๊ะที่ 10 เป็นเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายของศาสนา เช่น
ห้ามไม่ให้ฝังหรือเผาศพในเขตพระนคร ห้ามมิให้หญิงขีดข่วนแก้ม ร้องไห้เกรียวกราวในงานศพ
โต๊ะที่ 11 และ โต๊ะที่ 12 เป็นเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายเพิ่มเติม เช่น
ห้ามมิให้บุคคลต่างชั้นวรรณะทำการสมรสกัน เมื่อทาสทำการลักทรัพย์ หรือทำให้เกิดความเสียหายแก่เขา
นายทาสต้องรับชดใช้ค่าเสียหายหรือส่งมอบตัวทาสให้เขาไป กฎหมายที่ออกมาภายหลังย่อมยกเลิกกฎหมายเดิมที่มี
ข้อความขัดแย้งกัน
สมัยจักรวรรดิ
ออกุสตุส(Augustus)ได้เปลี่ยนการปกครองจากระบอบสาธารณรัฐมาระบอบจักรวรรดิและตั้งตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิหรือซีซาร์(Caerar)พระองค์แรกของจักรวรรดิโรมัน
ในสมัยนี้โรมันเจริญถึงขีดสุดละได้ขยายอำนาจไปยังภูมิภาคต่างๆและเมื่อศาสนาคริสต์ได้แผ่ขยายมาถึงดินแดน ทางภาคตะวันตกของปาเลสไตน์
ในสมัยจักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราชพระองค์ (Constantine the Great) ทรงให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาทำให้ศาสนาคริสต์กลายเป็นศาสนาของจักรวรรดิในเวลาต่อมา
จักรวรรดิโรมันแบ่งออกเป็น 2 ส่วน
จักรดิวรรดิโรมันตะวันตกศูนย์กลางอยู่ที่กรุงโรม
จักรดิวรรดิโรมันตะวันออกศูนย์กลางอยู่ที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล (ปัจจุบันคือนครอิสตันบูลในประเทศตุรกี)
ต่อมาเรียกว่าจักรวรรดิโรมันตะวันออกหรือจักรวรรดิไบแซนไทน์(Byzantine)
ในปีค.ศ.476จักรวรรดิโรมันตะวันตกเผชิญปัญหาภายในทำให้ถูกพวกอนารยชนเผ่าเยอรมันหรือเผ่ากอธเข้าปล้นสะดมและขับไล่กษัตริย์ออกจากบัลลังก์ถือเป็นการสิ้นสุดของจักรวรรดิโรมันตะวันตกและประวัติศาสตร์สมัยโบราณ
มรดกของอารยธรรมโรมัน
สถาปัตยกรรม
เน้นความใหญ่โต แข็งแรงทนทาน โดยชาวโรมันได้พัฒนาเทคนิคการก่อสร้างของกรีกเป็นประตูโค้ง (arch)และเปลี่ยนหลังคาจากจั่วเป็นโดมและสร้างอาคารต่างๆเพื่อสนองความต้องการของรัฐและสาธาณชน เช่น โคลอเซียม สถานที่อาบน้ำสาธารณะ วิหารแพนธีออน (Pantheon)
วิหารแพนธีออน (Pantheon)
ประติมากรรม
สะท้อนบุคลิกภาพของมนุษย์อย่างสมจริงตามธรรมชาติ และมีสัดส่วนงดงามเหมือนกรีก แต่โรมันจะเน้นพัฒนาศิลปะด้านการแกะสลักรูปเหมือนบุคคลสำคัญๆ เช่น จักรพรรดิ นักการเมือง โดยเฉพาะในครึ่งท่อนบนจะสามารถแกะสลักได้อย่างสมบูรณ์
ซึ่งแสดงให้เห็นถึง ความมีชีวิตชีวา ชาวโรมันเชื่อว่าการแกะสลักรูปเหมือนจริงที่สุดจะช่วยรักษาวิญญาณของคนนั้น เมื่อตายไปแล้วไว้ได้ นอกจากนี้ยังมีการแกะสลักภาพนูนต่ำ เพื่อบันทึกเรื่องรามทางประวัติศาสตร์และสดุดีวีรกรรมของนักรบ
ภาษาและวรรณกรรม
ชาวโรมันพัฒนาภาษาละตินจากตัวพยัญชนะในภาษากรีกที่พวกอีทรัสกันนำมาใช้ จนใช้กันแพร่หลายในมหาวิทยาลัยของยุโรปสมัยกลาง และเป็นภาษาทางราชการของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก
ส่วนวรรณกรรมระยะแรกเป็นบันทึกพงศาวดาร กฎหมาย ตำราการทหาร และการเกษตร ต่อมามีการแต่งงานประพันธ์เป็นของตนเอง ได้แก่ เรื่อง อิเนียด ประพันธ์โดยเวอร์จิล งานประพันธ์ของซิเซโร เป็นต้น
วิศวกรรม
การสร้างถนนคอนกรีต โดยถนนทั้ง 2 ข้างจะมีท่อระบายน้ำ และมีหลักบอกระยะทาง นอกจากนี้ยังมีการสร้างสะพานส่งน้ำ (aqueduct) ขนาดสูงใหญ่จำนวนมากเพื่อนำน้ำวันละ 300 ล้านแกลลอนหรือประมาณ 8,505 ล้านลิตร จากภูเขาไปยังเมืองเพื่อให้ชาวเมืองได้ใช้
ปฏิทิน
ปฏิทินจูเลียน (แบบสุริยคติ) ปีหนึ่งมี 12 เดือน แต่ละปีมี 365 วัน และเพิ่มเดือนกุมภาพันธ์ให้ทุก ๆ 4 ปี มี 366 วัน
ต่อมาได้เปลี่ยนมาใช้เกรกอเรียน
ด้านการปกครอง
กฎหมายสิบสองโต๊ะ (Twelve Tables) ประมวลกฎหมายจัสติเนียน (Justinian Code) และทิ้งไว้เป็นมรดกล้ำค่าของโลกตะวันตก
การแพทย์
แพทย์โรมันสามารถผ่าตัดรักษาโรคได้หลายโรค โดยเฉพาะการผ่าตัดทำคลอดทารกทางหน้าท้องของมารดา ซึ่งเรียกว่า ศัลยกรรมซีซาร์ (Caesarean Operation) นอกจากนี้ยังมีการสร้างโรงพยาบาล ระบบบำบัดน้ำเสียและสิ่งปฏิกูล
ศัลยกรรมซีซาร์
ความเสื่อมของจักรวรรดิโรมัน
ตั้งแต่ ค.ศ. 180 จักรวรรดิโรมันเริ่มเสื่อมอำนาจลง เนื่องจากไม่สามรถปกครองจักรวรรดิที่มีขนาดกว้างใหญ่มากๆได้ บางช่วงต้องมีการแต่งตั้งจักรพรรดิร่วมเพื่อแยกกันปกครองจักรวรรดิ
ใน ค.ศ. 324 จักรพรรดิคอนสแตนติน (Constantine) ได้ปกครองจักรวรรดิโรมัน และเกิดเหตุการณ์สำคัญ 2 เหตุการณ์ คือ
เหตุการณ์แรก
ได้แก่การย้ายศูนย์กลางการปกครองจากกรุงโรมไปยังกรุงคอนสแตนติโนเปิล (Constantinople) เรียกว่าจักรวรรดิไบแซนไทน์ (Byzantine) เมื่อ ค.ศ. 330 ทำให้จักรวรรดิโรมันถูกแบ่งแยกเป็น 2 ส่วน คือ จักรวรรดิโรมันตะวันตก ซึ่งยังคงมีศูนย์กลางที่กรุงโรม และจักรวรรดิไบแซนไทน์หรือหรือจักรวรรดิโรมันตะวันออก มีศูนย์กลางที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล (ปัจจุบันคือนครอิสตันบูลในประเทศตุรกี) ส่งผลให้จักรวรรดิโรมันเสื่อมอำนาจลงและถูกรุกรานในเวลาต่อมา
เหตุการณ์ที่ 2 คือ
การที่จักรพรรดิคอนสแตนตินหันไปนับถือศาสนาคริสต์และทำให้คริสต์ศาสนา แพร่หลายในเขตจักรวรรดิโรมัน และกลายเป็นศาสนาหลักของโลกตะวันตกในเวลาต่อมาในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 5 จักรวรรดิโรมันถูกแบ่งแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง
จักวรรดิโรมันตะวันตกอ่อนแอลงตามลำดับเพราะถูกทำลายโดยพวกอารยชนสำคัญ 2 เผ่า คือ เผ่าเยอรมันซึ่งมาจากทางเหนือของแม่น้ำไรน์และแม่น้ำดานูบ
พวกฮัน (Huns) ซึ่งเป็นเชื้อสายเอเชียมาจากทางเหนือของทะเลดำ
พวกเยอรมันโจมตีกรุงโรมได้ใน ค.ศ. 410 และปล้นสะดมทุกสิ่งทุกอย่าง ทำให้เกิดความระส่ำระสายขึ้นในจักรวรรดิโรมันตะวันตก ในที่สุดจักรพรรดิองค์สุดท้ายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกก็ถูกโค่น
ใน ค.ศ. 476 ซึ่งนักประวัติศาสตร์ถือว่าเป็นปีที่จักรวรรดิโรมันล่มสลาย แม้ว่าจักรวรรดิไบแซนไทน์ยังดำรงอยู่ต่อไปก็ตาม
ไม่มีความเห็น