ห่างเหินการปลูกผักแบบนี้มานานหลายปี แบบว่าปลูกทุกแปลงและปลูกหลายชนิด ผสมผสานกันไป การทิ้งระยะห่างแล้วกลับมาปลูก สร้างความตื่นเต้นเร้าใจมิใช่น้อย
ย้อนกลับไปก็เกือบ ๑๐ ปี ที่มหกรรมการปลูกผักได้เริ่มขึ้น อย่างจริงจังและตั้งใจ ถึงขนาดนำไปเขียนเป็นหนังสืออ่านเพิ่มเติมสำหรับนักเรียน ด้วยบทร้อยกรองที่ว่า...
“จับจ้องมองหนองผือ แท้จริงคือโรงเรียนเล็ก แน่นักรู้จักเด็ก รายบุคคลน่าสนใจ เมื่อรู้จึงเร่งรัด ที่ข้องขัดจัดแก้ไข อ่านเขียนเรียนรู้ไว คำนวณได้ฝักใฝ่ธรรม”
คือลงมือทำงานภาคปฏิบัติ ในแหล่งเรียนรู้ที่เหมาะสมกับวัย ความสนใจและความถนัดของผู้เรียน ในวิถีเดียวกับชุมชน ประจวบเหมาะกับที่โรงเรียนมีแหล่งน้ำที่สมบูรณ์เพียบพร้อม
“อาคารสะอาดเอี่ยม ห้องเรียนเยี่ยมสวยเลิศล้ำ ต้นไม้ได้หนุนนำ มองสระน้ำชื่นฉ่ำเย็น โคกสูงที่ริมสระ ไม่เลยละจับประเด็น คิดย้ำต้องทำเป็น จึงมุ่งเน้นเกษตรกรรม”
จากคำประพันธ์ตอนนั้น มีความสอดคล้องกับภาพในตอนนี้ เหมือนว่าได้ทบทวนหวนรำลึกกลับไป ตัดสินใจชวนครูและนักเรียนมาร่วมด้วยช่วยกันบริหารจัดการแปลงผักปลอดสารพิษให้ลงตัว เป็นระเบียบเรียบร้อยและสวยงาม
ข้ามขั้นตอนและกระบวนการเตรียมดินไปได้เลย เพราะได้ใส่มูลวัวคลุกเคล้าในแปลงจนทั่ว พร้อมกับได้ตากดินไว้นานแล้ว จึงทำให้มั่นใจในทุกเมล็ดพันธุ์ที่จะหว่านลงไป
เริ่มจากบวบประเดิมเป็นแปลงแรก ตามด้วยผักบุ้งจีน สลับกับผักกวางตุ้งและผักกาดขาว ส่วนแปลงเล็กๆ อีกหลายแปลง ที่อยู่ด้านหน้าติดกับถนน มีแสงแดดส่องรำไรพอประมาณ หว่านเมล็ดโหระพา มะเขือ และต้นหอม
คงเหลืออีก ๒ แปลงสุดท้าย ก็ต้องยกให้กับผักยอดฮิตติดเทรนด์ในเวลานี้ นั่นคือ “ผักชี..”ถ้างอกงามดีก็ถือว่าเอาไว้ต้อนรับแขกผู้มาเยี่ยมเยือน นี่ล่ะหนา อย่างที่เขาว่าไว้หรือเปล่า.....?
งานสำเร็จเป็นรูปเป็นร่าง รอแต่ผลผลิตที่จะเกิดขึ้นหลังเทศกาลปีใหม่ ขอขอบคุณ “หัวใจ”ทุกดวงที่รักการปลูกผัก..จากวันนั้นถึงวันนี้..ภาพที่เคยเห็น จึงยังเป็นอยู่ให้ภูมิใจ
“คุณครูคอยช่วยเหลือ เด็กไม่เบื่อไม่หมดแรง รู้เรียนเพียรขันแข็ง ครูจัดแบ่งแปลงเพียงพอ เกษตรเพื่อชีวิต ผลสัมฤทธิ์เร่งถักทอ พื้นฐานงานเกิดก่อ พอเพียงได้แต่วัยเยาว์
ชยันต์ เพชรศรีจันทร์
๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๔
ไม่มีความเห็น