บันทึกย้อนหลังเรื่อง ฟรีเมสัน อิลลูมินาติ และปัญหาทฤษฎีสมคบคิดในสังคมไทย


(บันทึกในเฟสบุ๊คส่วนตัวเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2563)

ในช่วงที่ผมเดินทางไปในโครงการ The International Visitor Leadership Program (IVLP) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาเมื่อสองปีก่อน ผมได้พบสัญลักษณ์ขององค์กรภราดรภาพฟรีเมสันปรากฎอยู่ที่ตึกหลังหนึ่งในนิวออร์ลีนส์ ดังในภาพถ่ายที่ผมถ่ายเองด้านล่าง ซึ่งอยู่ในขณะที่ผมและคณะ IVLP กำลังเดินทางบนรถบัสเพื่อไปทัศนศึกษากองกำลังรักษาดินแดนแห่งชาติประจำมลรัฐหลุยเซียนา (The Louisiana Army National Guard) ที่ค่ายแจ็คสัน (Jackson Barracks)

วิหารเมสันพรินซ์ฮอลล์ (Prince Hall Mesonic Temple) ที่นิวออลลีนส์
วิหารเมสันพรินซ์ฮอลล์ (Prince Hall Mesonic Temple) ที่นิวออลลีนส์

เมื่อผมมาค้นข้อมูลในภายหลังจึงได้ทราบว่าอาคารดังกล่าวเป็นที่ตั้งของ วิหารเมสันพรินซ์ฮอลล์ (Prince Hall Mesonic Temple) ลอด์จ (ทำเนียบหรือสำนักงาน) แห่งนี้มีที่ตั้งอยู่ที่ 1614 Orleans Ave อย่างไรก็ตาม ผมไม่พบรายชื่อลอด์จแห่งนี้อยู่ในฐานข้อมูลของ สำนักงานใหญ่ฟรีเมสันแห่งมลรัฐหลุยเซียน่า (The Grand Lodge of the state of Louisianna) โปรดดูข้อมูลนี้เพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://la-mason.com/

ภาพพจน์และข้อมูลของฟรีเมสันที่รับทราบกันในสังคมไทยคือ องค์กรภราดรภาพแห่งนี้มีลักษณะเป็นสมาคมลับ มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังรัฐบาลสหรัฐอเมริกาคอยครอบงำและชักใยเพื่อสถาปนายุคใหม่ ดังที่แสดงให้เห็นเป็นภาษาละตินด้านหลังธนบัตรหนึ่งดอลลาร์ที่ว่า “Novus ordo seclorum” ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า “New order of the ages” หรือระเบียบใหม่แห่งยุคสมัย ข้อความภาษาละตินนี้ปรากฎอยู่คู่กับเนตรแห่งพรหมลิขิตหรือพระผู้เป็นเจ้า (Eye of Providence) ซึ่งลอยอยู่เหนือรูปปิรามิดที่ยังถูกสร้างไม่เสร็จ ยังมีข้อความภาษาละตินอีกหนึ่งข้อความประกอบกันอยู่ในภาพนี้ ซึ่งนั่นก็คือข้อความที่ว่า “Annuit cœptis” ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า “[providence] has favored our undertakings” หรือ สิ่งที่พรหมลิขิตได้เห็นชอบด้วยกับภารกิจของเรา ภาพสัญลักษณ์เหล่านี้ปรากฎอยู่ด้านหลังของตรา “มหาลัญจกรของสหรัฐอเมริกา” (Great Seal of the United States) ในขณะที่ด้านหน้าของตรามหาลัญจกรดังกล่าวเป็นสัญลักษณ์รูปนกอินทรีย์หัวขาว ซึ่งเป็นสัตว์ท้องถิ่นในทวีปอเมริกาเหนือ กรงเล็บด้านหนึ่งกุมกิ่งโอ๊ค ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพหรือชัยชนะ ในขณะที่กรงเล็บอีกด้านกุมสิบสามศร ซึ่งสื่อความหมายถึงสิบสามมลรัฐแรกของสหรัฐอเมริกา ด้านหน้าตรามหาลัญจกรนี้ยังประดับด้วยอักษรละตินที่ว่า “E pluribus unum” ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า "Out of Many, One" หรือ “จากหลากหลาย รวมเป็นหนึ่งเดียว” ซึ่งแสดงถึงการสถาปนาความเป็นรัฎฐาธิปัตย์หนึ่งเดียวจากสิบสามมลรัฐอิสระเริ่มแรกแห่งนั้น (โปรดดูคำอธิบายอย่างยอดเยี่ยมได้ที่บทความ https://tif.ssrc.org/2009/05/12/out-of-many-one/)

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ภาพพจน์ที่ผิด ๆ ของฟรีเมสันดังกล่าว ด้านหนึ่งเป็นเพราะอิทธิพลของหนังฮอลลีวู้ด แต่อีกด้านหนึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ที่มักมีผู้นิยมใช้เรื่องของฟรีเมสันมาสร้างเป็นทฤษฎีสมคบคิดเพื่อใส่ร้ายทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นจากฝ่ายผู้ต่อต้านผู้กุมอำนาจรัฐ ก็ใส่ร้ายผู้กุมอำนาจรัฐว่าเป็นพวกฟรีเมสัน หรือผู้กุมอำนาจรัฐเองก็ใส่ร้ายฝ่ายต่อต้านว่าเป็นพวกฟรีเมสันเช่นกัน

ตัวอย่างของการใส่ร้ายโดยการเหวี่ยงแหทฤษฎีสมคบคิดนี้ ก็เช่นใช้คำอุปมาอุปมัยว่า “Deep State” หรือรัฐที่ฝังตัวในระดับลึก ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นหนึ่งในผู้ที่ใช้คำว่า “รัฐที่ฝังตัวในระดับลึก” นี้ ใส่ร้ายฝ่ายตรงข้ามบ่อยครั้งที่สุด (โปรดดูบทความของฮัฟฟิงตันโพสต์ที่ได้รวบรวมข้อมูลที่ทรัมป์ทวีตเกี่ยวกับ “รัฐที่ฝังตัวในระดับลึก” ได้ที่ https://www.huffpost.com/entry...)

อย่างไรก็ตามพึงพิจารณาว่า การที่ไอเดียเรื่อง “รัฐที่ฝังตัวในระดับลึก” ที่ทรัมป์มักใช้อ้างเพื่อปกป้องตนเองจากการถูกตรวจสอบตามกลไกของรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ จนกระทั่งสภาผู้แทนราษฎรในคองเกรสผ่านร่างกฎหมายให้มีการถอดถอนประธานาธิบดีไปแล้วนั้น (ขณะนี้กฎหมายฉบับนี้ยังค้างคาไม่ผ่านขึ้นไปยังวุฒิสภา) ดูฟังขึ้นจากคนส่วนใหญ่ ด้านหนึ่งเป็นเพราะธรรมชาติของลักษณะปิดตนเองจากความรับรู้ความเข้าใจต่อสาธารณะของฟรีเมสัน ด้วยการตระหนักถึงปัญหาทฤษฎีสมคบคิดนี้ ต่อมาสหภาพสำนักงานใหญ่ฟรีเมสันแห่งอังกฤษ (United Grand Lodge of England หรือ UGLE) สหภาพสำนักงานใหญ่แห่งนี้ซึ่งมีสมาชิกอยู่รวมกันถึง 200,000 คน และมีสำนักงานหรือลอด์จถึง 6,800 แห่ง ได้เริ่มเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะอย่างข้า ๆ นับตั้งแต่กลางทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 2017 ที่ผ่านมาถึงกับมีการถ่ายทอดสดพิธีกรรมของฟรีเมสันที่ฉลองครบรอบ 300 ปี ที่ครั้งหนึ่งเคยต้องปฏิบัติอยู่ในสถานที่ปิดลับต่อสาธารณะเป็นครั้งแรก

ตัวอย่างพิธีกรรมลับของพวกฟรีเมสันนี้ก็เช่น เริ่มตั้งแต่การสมัครเข้าสู่ฟรีเมสัน ก็ต้องมองหาและตีความรหัสที่ว่า “2b1 ask1” โดยมากรหัสนี้จะนำไปสู่ทางเข้าที่เป็นลอด์จที่อยู่ใกล้ที่พักอาศัยของผู้สมัคร และต้องการผู้รับรองที่เป็นสมาชิกในสังกัดลอด์จนั้นอย่างน้อยสองคน (อย่างไรก็ตามในปัจจุบันกรรมวิธีการสมัครเข้าฟรีเมสันเรียบง่ายกว่าเดิมมาก) เมื่อเข้ากลุ่มไปแล้วน้องใหม่ฟรีเมสันผู้นั้นถูกกำหนดตัวพี่เลี้ยงเพื่อคอยให้คำแนะนำเกี่ยวกับความรู้และพิธีกรรมต่าง ๆ ของพวกฟรีเมสัน การกำหนดตัวพี่เลี้ยงนี้มีที่มาจากความสัมพันธ์ฉันท์นายช่างผู้เชี่ยวชาญและเด็กฝึกงาน (apprenticeship) ในสมาคมพ่อค้าและช่างฝีมือ (guild) ในยุคกลาง อันที่จริงความสัมพันธ์ระหว่างนักศึกษาและอาจารย์ที่ปรึกษาในการเรียนในชั้นปริญญาเอกก็ยังธำรงสัมพันธภาพเช่นนี้สืบมาอยู่ และเป็นที่น่าสังเกตว่าคำว่าฟรีเมสัน ก็มาจากคำว่า Free Masonry หรือกลุ่มช่างก่อสร้างอิสระที่มีที่มาสืบทอดย้อนกลับไปในสมัยอาณาจักรไอยคุปต์โบราณ ในที่สุดน้องใหม่ฟรีเมสันรายนี้จะทราบว่าลำดับขั้นในฟรีเมสันจะมีอยู่ 33 ขั้น นี่เป็นการจัดชั้นองค์กรตามแบบพวกสาขาสก็อตแลนด์ซึ่งถือเป็นหนึ่งในแกรนด์ลอด์จที่เก่าแก่ที่สุดและเป็นหนึ่งในสามแกรด์ลอด์จสำคัญของ UGLE ซึ่งลำดับขั้นที่ 32 จะเรียกว่า “เจ้าแห่งความลับชั้นเลิศผู้สูงส่ง” (Sublime Prince of the Royal Secret) ส่วนลำดับขั้นที่ 33 จะเป็นผู้นำสูงสุดที่ทรงเกียรติยศ (a supreme honour)

แผ่นป้ายปริศนาหรือ tracing board สำหรับการสอบผ่านด่านแรก
แผ่นป้ายปริศนาหรือ tracing board สำหรับการสอบผ่านด่านแรก


ในแต่ละลำดับขั้นจะยึดกุมความรู้ของฟรีเมสันและพิธีกรรมลับต่าง ๆ อาทิเช่น ผู้สมัครฟรีเมสันน้องใหม่ในขั้นที่ 1 จะได้รับชื่อตำแหน่ง “ข่างฝึกหัด” (Apprentice) การจะผ่านขั้นนี้ไปสู่ขั้นที่สองในตำแหน่ง “สมาชิกข่างฝีมือ” (The Fellow-Craft) ได้นั้นจะต้องตีความแผ่นป้ายปริศนา (Tracing board) ซึ่งในขั้นนี้จะเป็นภาพเสาแบบโรมันสามเสา บนพื้นตารางหมากรุก ภาพบันไดที่ทอดไปสู่ดวงดาว บนท้องฟ้านั้นประดับด้วยดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์พร้อมทั้งดวงดารา เสาโรมันทั้งสามนั้นแท้จริงก็คือความหมายของ ระเบียบสถาปัตยกรรมสามประเภทคือ ภาพเสาต้นที่ใกล้ที่สุดแทนระเบียบแบบดอริคเป็นตัวแทนของ “ความเข้มแข็ง” ภาพเสาต้นถัดไปแทนโครินเธียน เป็นตัวแทนของ “ความงาม” ส่วนภาพเสาต้นสุดท้ายแสดงระเบียบแบบไอโอนิค ซึ่งเป็นตัวแทนของ ”ภูมิปัญญา” การทำความเข้าใจสัญลักษณ์เหล่านี้เป็นพื้นฐานของการทำความเข้าใจ สถาปัตยกรรมและการเลือกลักษณะที่คล้อยหรือมีท่วงทำนองไปในแบบเดียวกัน (ระเบียบหรือ order) ของสถาปัตยกรรมทั้งสามประเภท ที่ช่างฝีมือก่อสร้างในสมัยโบราณในขณะที่ก็แฝงความรู้ทางปรัชญาที่ลึกซึ้งตามไปด้วย

เสาคอลัมน์แสดงสถาปัตยกรรมโรมันทั้งสามชนิด
เสาคอลัมน์แสดงสถาปัตยกรรมโรมันทั้งสามชนิด


ในขณะที่ขั้นที่สองจะสามารถไต่ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่ง “สมาชิกข่างฝีมือ” (The Fellow-Craft) และขั้นที่สามในตำแหน่ง “ผู้เชี่ยวชาญ” (The Master) สมาชิกฟรีเมสันในแต่ละชั้นจะต้องตีความปริศนาบนแผ่นป้ายที่ซับซ้อนขึ้นไปอีก ทั้งบันไดของยาคอป และหลุมฝังศพของฮิราม-อาบิฟ เป็นต้น ผู้ที่ผ่านขั้นตอนทางพิธีกรรมทั้งสามขั้นจะได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในขั้นที่สี่ในตำแหน่ง “ผู้เชี่ยวชาญด้านความลับ” (Secret Master)

นอกจากความลับของฟรีเมสันในลำดับขั้นสูง ๆ ที่มักยึดกุมความรู้เกี่ยวกับพิธีกรรม สมาชิกและลักษณะการจัดองค์กร ตลอดจนความสัมพันธ์กันเองในระหว่างบรรดาสมาชิกและเครือข่ายอำนาจและธุรกิจนอกเหนือฟรีเมสันที่ยิ่งอยู่ในระดับสูงขึ้นก็มักจะยิ่งมีความซับซ้อนมากขึ้นแล้ว ก็มักมีความเกี่ยวข้องกับ “อักขระอาคมของยิว” (Hermetic Qabalah/Kabbalah) อีกด้วย ความรู้ในทำนองนี้เอง ทำให้โดยส่วนใหญ่ยิ่งไปตอกย้ำทฤษฎีสมคบคิดที่ว่าพวกชนชั้นนำยิวหรือไซออนิสต์นั้นอยู่เบื้องหลัง “รัฐที่ฝังตัวในระดับลึก” ของสหรัฐอเมริกาที่ดำรงตนเป็นอำนาจนำของโลกมากยิ่งขึ้นไปอีก

ภาพวาดที่แสดงพิธีวางเสาหลักเมืองแบบฟรีเมสันโดยจอร์จ วอชิงตัน
ภาพวาดที่แสดงพิธีวางเสาหลักเมืองแบบฟรีเมสันโดยจอร์จ วอชิงตัน


ในขณะที่ความรู้ที่ว่า สมาชิกผู้ก่อตั้งสหรัฐอเมริกา (The Founding Father) แทบทั้งหมด เป็นฟรีเมสัน ก็ไม่ใช่ความลับอะไรเหมือนในสมัยก่อน ภาพวาด ยอร์ช วอชิงตัน ทำพิธีของพวกฟรีเมสัน เพื่อวางหลักศิลาของเมืองหลวงสหรัฐอเมริกา ก็แทบไม่ต่างกับพิธีกรรมการวางหลักเมืองของกรุงเทพมหานครเช่นเดียวกัน สถาปัตยกรรมในวอชิงตันแทบทั้งหมดก็ดูราวกับลอกมาจากกรุงโรมกระนั้น นี่เป็นการสะท้อนอิทธิพลของพวกฟรีเมสันอย่างแท้จริง

ปัญหาคือ เหตุใดฟรีเมสันที่ถือกำเนิดขึ้นในอังกฤษและแผ่ขยายไปทั่วอาณานิคมของอังกฤษในช่วงจักรวรรดิอังกฤษกำลังแผ่ขยายอำนาจไปทั้งในทวีปอเมริกาและเอเชียนั้น กลับกลายมาเป็นแหล่งกำเนิดของขบวนการปฏิวัติต่อสู้กับจักรวรรดิอังกฤษที่เป็นแผ่นดินแม่เพื่อก่อตั้งสหรัฐอเมริกา

หนังสือ Freemasonry and British Imperialism และเครือข่ายฟรีเมสัน
หนังสือ Freemasonry and British Imperialism และเครือข่ายฟรีเมสัน


ต่อคำถามนี้ มีงานวิจัยของ Jessica L. Harland-Jacobs ในหนังสือ “Builders of Empire: Freemasonry and British Imperialism, 1717 - 1927” แสดงให้เห็นว่า แท้จริงแล้วฟรีเมสันได้วิวัฒน์จากสมาคมลับกึ่งศาสนา แปรเปลี่ยนมาเป็น “กระดูกสันหลัง” ของจักรวรรดิอังกฤษ ผู้นำชั้นสูง (ซึ่งหมายถึงว่ามักจะดำรงตำแหน่งในขั้นสูงของฟรีเมสันตามไปด้วย) มักจะถูกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในระบบราชการของจักรวรรดิอังกฤษที่สำคัญ หรือแม้กระทั่งมีความใกล้ชิดกับราชวงศ์อังกฤษ และบางครั้งก็เป็นสมาชิกระดับสูงของราชวงศ์อังกฤษเสียด้วยซ้ำไป ลอร์ด โรเบิร์ต คลิฟ ผู้นำทัพอังกฤษในสังกัดบริษัทอินเดียตะวันออกเข้าทำสงครามตัดสินกับจักรวรรดิโมกุลที่ได้รับการหนุนหลังจากฝรั่งเศส ที่ยุทธการปลาศี (Battle of Plassey) จนกระทั่งขับไล่อิทธิพลฝรั่งเศสและนำไปสู่การยึดครองอนุทวีปอินเดียได้ทั้งหมด ก็สังกัดสมาชิกของฟรีเมสัน ที่หน้าปกหนังสือของ Jessica ก็เป็นรูปของ The Duke of Connaught, English Grand Master, leading a Masonic procession, Bulawayo, Rhodesia, 1910

แกนนำของฟรีเมสัน ล้วนเชื่อมโยงไปถึงสมาชิกระดับสูงของราชวงศ์อังกฤษทั้งสิ้น
แกนนำของฟรีเมสัน ล้วนเชื่อมโยงไปถึงสมาชิกระดับสูงของราชวงศ์อังกฤษทั้งสิ้น


อภิสิทธิ์และความสำคัญของสมาชิกระดับสูงในฟรีเมสัน ไม่เพียงแต่จะมีองค์ความรู้และความลับเกี่ยวกับเรื่องเครือข่ายระดับสูง ก็มีเรื่องอื่นอาทิเช่นสิทธิที่จะได้ใช้พื้นที่ของลอด์จในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เช่นการประชุม การแลกเปลี่ยนความรู้ ตลอดจนการเข้าพักในลอด์จต่าง ๆ ทั่วทั้งจักรวรรดิอังกฤษ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หรือเสียค่าใช้จ่ายบ้างเพียงเล็กน้อย ไม่แปลกที่เมื่อมีการขยายตัวของลอด์จต่าง ๆ ของฟรีเมสันออกไปตามการขยายตัวของจักรวรรดิอังกฤษ ในไม่ช้าก็มีการรับพวกคนขาวที่ถือกำเนิดในประเทศอาณานิคมเข้ามาในลอด์จของฟรีเมสันเพื่อช่วยการบริหารกิจการในอาณานิคมตามไปด้วย แต่เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างอาณานิคมในสิบสามมลรัฐสหรัฐอเมริกา และจักรวรรดิอังกฤษ พวกฟรีเมสันในอเมริกาก็ใช้ลอด์จของฟรีเมสันนั้นแหละเป็นพื้นที่ในการระดมเครือข่ายและปลุกระดมคนเพื่อต่อสู้กับจักรวรรดิอังกฤษเสียเอง

หลังการปฏิรูปโปรแตสแตนท์ในปี ค.ศ. 1517 จนกระทั่งเกิดสงครามศาสนา (ค.ศ. 1522 - 1651/1712) ต่อเนื่องมาถึงสงครามสามสิบปี (ค.ศ. 1618 - 1648) จนกระทั่งบรรลุสนธิสัญญาเวสต์ฟาเลียในปี ค.ศ. 1648 ทำให้เกิดหลักการเรื่องเสรีภาพในการนับถือศาสนา ราชินีอลิซาเบธ (ครองราชย์ ค.ศ. 1558 - 1603) โดยความช่วยเหลือของ เซอร์ ฟรานซิส วอลซิงแฮม ซึ่งในเวลานั้นดำรงตำแหน่ง “เสนาบดีใหญ่ในสมเด็จพระราชินี ฝ่ายราชการต่างประเทศ” (Her Majesty's Principal Secretary of State for Foreign) ซึ่งตำแหน่งนี้ได้มีการพัฒนาต่อมาเป็นหนึ่งในสี่ตำแหน่งสำคัญของ “อำมาตย์นายกสหราชอาณาจักร” (Great Offices of State) ในปัจจุบัน โดยเซอร์ วอลซิงแฮม ได้เป็นหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับ เพื่อคอยปกป้องราชินีอลิซาเบธจากการโค่นอำนาจของสันตปาปาในกรุงโรมเนื่องจากปัญหาความขัดแย้งระหว่าง คาธอลิค และ โปรแตสแตนท์อีกด้วย แทนที่จะเลือกเข้าข้างคาธอลิค หรือโปรแตสแตนท์ อังกฤษกลับเลือกแยกนิกายเป็นของตนเองขึ้นมา คือคริสตจักรแห่งอังกฤษ แต่กระนั้นความแตกต่างรวมไปถึงความบาดหมางระหว่างศาสนาโดยเฉพาะคริสตศาสนานิกายต่าง ๆ ก็ยังมีอยู่ ยิ่งจักรวรรดิขยายตัวออกไปบนผืนโลกมากเท่าใดก็ยิ่งมีความแตกต่างระหว่างศาสนามากเท่านั้น ดังนั้นการ “หลอมรวม” ความแตกต่างระหว่างศาสนาเหล่านี้ให้อยู่ใต้ร่มธงอัตลักษณ์ของจักรวรรดิอังกฤษเดียวกันจึงมีความจำเป็น

ตำแหน่งวิหารของฟรีเมสันในยุคล่าอาณานิคม ภายหลังได้วิวัฒน์มาเป็นกระดูกสันหลังของจักรวรรดิอังกฤษ
ตำแหน่งวิหารของฟรีเมสันในยุคล่าอาณานิคม ภายหลังได้วิวัฒน์มาเป็นกระดูกสันหลังของจักรวรรดิอังกฤษ


หน้าที่หนึ่งของแกรนด์ลอด์จฟรีเมสัน จึงต้องลงลึกไปกว่ารากของศาสนาเท่าที่รู้จักกันทั้งปวง ไม่ว่าจะเป้นคริสตศาสนานิกายต่าง ๆ อิสลามนิกายต่าง ๆ ตลอดจนยูดายที่ถือเป็นรากของทั้งสองศาสนาหลักนั้น ฟรีเมสันที่สืบทอดย้อนกลับไปไกลถึงยุคสมัยไอยคุปต์จึงตอบโจทย์การเมืองด้านนี้ของจักรวรรดิอังกฤษ ดังนั้นการรับสมัครเข้าเป็นสมาชิกของฟรีเมสันจึงมีเพียงคำถามเดียวคือ ผู้เข้าสมัครนั้นมีความเชื่อในเรื่อง พระผู้เป็นเจ้าในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็น God, Supreme Being หรือ Great Architect of the Universe ก็ตาม

ด้วยการประสบความสำเร็จของฟรีเมสันในจักรวรรดิอังกฤษ ทำให้ในระยะหลังมีการก่อตั้งฟรีเมสันขึ้นในประเทศต่าง ๆ โดยเป็นอิสระและไม่เกี่ยวข้องกับแกรนด์ลอด์จในอังกฤษ อาทิเช่น ในประเทศฝรั่งเศส ในประเทศเยอรมนี เป็นต้น ในประเทศเยอรมนีเอง ในภายหลังก็ได้มีการแตกแขนงเป็น บาวาเรียน อิลลูมินาติ ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดย Adam Weishaupt ในปี ค.ศ. 1776 องค์กรแห่งนี้พัฒนาแยกตัวออกมาจาก United Grand Lodges of Germany และ Grand National Mother Lodge, "The Three Globes" ในภายหลัง

โปรดพิจารณาว่า ความสัมพันธ์ การเกิดขึ้น การดำรงอยู่ และการแยกตัวของ แกรนด์ลอด์จ ต่าง ๆ ของพวกฟรีเมสันในประวัติศาสตร์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นพลวัต ในสมัยสงครามเย็นก็มีความพยายามใช้ประโยชน์โครงสร้างสมาคมของฟรีเมสันเหล่านี้ (ในปัจจุบันไม่ถือว่าพวกฟรีเมสันมีความสำคัญกับอำนาจในระดับโลกอีกต่อไป) ตัวอย่างเช่นความเชื่อมโยงระหว่าง Propaganda Due (P2 lodge) กับวาติกัน และความสัมพันธ์ในปฏิบัติการ Gladio อันเป็นปฏิบัติการแทรกซึมแนวหลังของพวกคอมมิวนิสต์ในสมัยสงครามเย็น โดยมีกำหนดให้มีปฏิบัติการลุกฮือโค่นล้มรัฐบาลคอมมิวนิสต์ บนภาคพื้นทวีปยุโรป ในกรณีที่สหภาพโซเวียตยึดครองยุโรปได้

ผมได้วาดภาพความสัมพันธ์ระหว่างพวกฟรีเมสันในยุคกลาง ตลอดจนหน่วยงานปฏิบัติการลับ (clandestine) สมัยใหม่เอาไว้ที่

https://kumu.io/sikkha/masonic... ทั้งนี้เพื่อความกระจ่างต่อการศึกษาพวกฟรีเมสัน และความเข้าใจผิดในเรื่องทฤษฎีสมคบคิดต่าง ๆ

หมายเลขบันทึก: 688417เขียนเมื่อ 17 มกราคม 2021 15:16 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 มกราคม 2021 15:16 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท