องค์กรสีขาว...
องค์กรคุณธรรม
บทเรียนที่ได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ “การปลอมแปลงเอกสารกู้เงิน” จากเงินที่มาจากการเรี่ยไรเงินบุคลากรในวิชาชีพ ทุกๆ ปี แล้วนำเงินนี้มาให้กู้ แล้วให้การเงินของหน่วยงานหักจากบัญชีเงินเดือน(1)
เมื่อมีผู้เสียหายสงสัยว่า ทำไมเงินเดือนถูกหักจึงได้ไปสอบถามจึงได้ทราบความจริง แล้วผู้นำทางวิชาชีพก็เรียกผู้เสียหายไปล็อบบี้พูดคุยไม่ให้เอาเรื่องไปแจ้งความเจ้าหน้าที่ที่ทำเรื่องนี้ ...แต่ก็จะไม่ลงโทษเจ้าหน้าที่คนนี้ (2)
แล้วก็มีการนำเงินมาให้เจ้าทุกข์
พร้อมเอกสารมาให้เซ็นต์เป็นการกู้ยืม
ได้เรียนรู้อะไร
ได้เห็นอะไร...
เห็นการแก้ไขปัญหาที่เป็นแบบรอมชอมไม่ให้เอาเรื่อง แต่แปลกใจว่า “ทำไมไม่มีการไต่สวน และเรียกทุกคนมาพูดคุย แต่ใช้การล็อบบี้เป็นรายบุคคลไม่ให้เอาเรื่อง”
คนทำผิดได้รับการโอบอุ้มปกป้องช่วยเหลือและเรียกสิ่งนี้ว่า “เมตตาธรรม”
เจ้าทุกข์...กลายเป็นผู้มีปัญหาที่จะสร้างความเสียหายแก่องค์กรถ้าไปแจ้งความเอาผิด กลับกลายเป็นคนไม่รู้จักประนีประนอม ไม่เห็นอกเห็นใจคนทำผิด
ภาพลักษณ์ขององค์กรที่มีกิจกรรมการทำบุญสุนทาน อยู่เนืองนิจ ภาพถ่ายมากมาย การประเมินองค์กรมีเอกสารที่เขียนถึงคุณธรรมมากมายที่ได้ทำ
แต่...
ในสถานการณ์จริง
โจทย์ปัญหาระดับคุณธรรมเกิดขึ้นจริง
การแก้ไขปัญหากลับย้อนแย้ง...
เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก
ของการขับเคลื่อนองค์กรของรัฐตามการประกาศเรื่องการทุจริตและคอรัปชั่น รวมถึงไอเดียของการสร้างองค์กรให้เป็นองค์กรที่มีคุณธรรม
ตราบเท่ายังมีเรื่องผิดจริยธรรมอยู่มากหลายเรื่อง...แม้บางครั้งจนสะท้อนคิดว่า ระดับกฎหมายอาจจะแก้ไขปัญหานี้ไม่ได้ เพราะระดับพลังคุณธรรมของคนในองค์กรมีไม่มากพอ...กฏต่างๆ จึงไม่สามารถทำอะไรได้
นอกจากรอเวลาให้กฏแห่งกรรมทำงาน
#SelfReflection
(1) ถ้าแจ้งความเอาผิดเป็นคดีอาญา
(2) ร้องเรียนเอาผิดตามมาตรา 157
ในทุกองค์กร มีแบบนี้ หากส่งเรื่องขึ้นไปเพราะผบห หากไม่สอบสวนไม่ส่งให้ตำรวจ ก็ถือว่าผิดด้วย ผบห ส่วนใหญ่จึงไม่ชอบให้เราดำเนินการ การชดใช้เงินให้ผู้เสียหายเป็นการตัดวงจรความยุ่งยากของตนเอง แต่ลืมไปว่า คนทำผิดจะไม่สำนึก ก็จะหาวิธีทำผิดอีก หรือเรื่องนี้อาจมีหลายคนมีเอี่ยวกัน เลยไม่อยากให้สอบสวนก็เป็นได้ บางครั้งก็รอให้กรรมทำงาน แต่อาจนานหน่อย พี่เชื่อว่า กรรมเวรมีจริงค่ะ