โควิดในประเทศ: ไทย ความล้มเหลวและการพยากรณ์ที่มุทะลุ


ประเทศไทยเคยถูกขู่ว่าจะถูกจมลงใต้ผืนน้ำภายในทศวรรษ บางทีอาจเป็นปี 2011 คนที่ทำนายถึงวันสิ้นโลกพยากรณ์ว่ามวลชนจะตายด้วยโรคฉี่หนู ซึ่งเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียโดยมากจะเจอในน้ำที่มีเชื้อโรค และอื่นๆอีกมากมาย เช่นท่อประปาในกรุงเทพฯไม่สามารถดื่มได้ และการรแทรกแซงทางอำนาจจะทำให้บริการที่จำเป็นเป็นสิ่งที่ใช้ไม่ได้

แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีโรคฉี่หนู และผู้เชี่ยวชาญทางยุโรปยืนอยู่ท่ามกลางน้ำท่วมแค่ต้นขา มีการเปิดท่อประปาทั่วเมือง และพบว่าน้ำมีความปลอดภัยจะที่จะดื่มได้ แสงไฟยังคงส่องแสง จริงๆแล้วมีคนโชคร้ายที่โดยไฟดูดแบบหน้าเศร้า

การพยากรณ์ที่ไม่จริงเหล่านี้อาจจะไม่ใช่เรื่องเสียเวลา คำพยากรณ์พวกนี้อาจกระตุ้นเตือนให้เจ้าหน้าที่การสาธารณสุข และเจ้าหน้าที่ด้านไฟฟ้าและประปาเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงหายนะภัย

สิ่งที่เหมือนกันอาจเชื่อมโยงกับโควิด 19 บางทีการพยากรณ์ในเดือนมกราคมเรื่องโรคระบาดในอู่ฮั่นที่จะมาถึงประเทศไทยอาจกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเกิดความตื่นตัว การพยากรณ์ยังกระตุ้นให้ชาวกรุงเทพฯใส่หน้ากากกันมากที่สุด

ในวันที่ 11 เดือนพฤษภาคม ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อ 3,009 คน ซึ่งเป็นการติดเชื้อโควิดที่ต่ำที่สุดในบรรดาเพื่อนบ้าน 5 ประเทศของอาเ.ซียน ได้แก่ มาเลเซีย มี 6,656, ฟิลิปปินส์ มี 10,794 อินโดนีเซีย มี 14,032 และสิงคโปร์มี 23,336 คน

อัตราที่ต่ำที่ประเทศไทยมีน่าจะมาจากการเตรียมตัวรับโรคระบาด ในการประเมินเมื่อตุลาคม ปี 2019 ของ 195 ประเทศของมหาวิทยาลัย John Hopkins ประเทศไทยได้อันดับที่ 6 ในโลก และเป็นอันดับแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจ

ความสำเร็จของประเทศไทยในการควบคุมโควิด 19 อาจมีคำอธิบายอื่นๆอีก คนไทยไม่เคยสัมผัสมือและจูบซึ่งกันและกัน การไหว้ของไทยมีลักษณะพิเศษคือเป็นการถอยห่างทางสังคมในสายตาของชาวโลก

คนไทยล้างมือและอาบน้ำบ่อยๆ และต่างจากเพื่อนบ้าน คือคนไทยไม่เคยถ่มน้ำลายในที่สาธารณะ ถึงแม้ว่ากรุงเทพฯจะสับสนและมีมลพิษ แต่คนไทยเรียบร้อยและทำความสะอาด

ถึงแม้ว่านักระบาดวิทยาจะไม่รู้ว่าทำไม แต่คนที่อยู่ในเขตแม่น้ำโขงจะมีการติดเชื้อน้อยลง คนที่ติดเชื้อน้อยอาจมีการทดสอบเชื้อจำนวนน้อย แต่อากาศในแม่โขงอาจเป็นปัจจัยหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์ยังไม่รู้เลยว่าทำไม

แต่สถานการณ์ที่ดูเหมือนแย่ยังคงคลอบคลุมโควิด 19 และในปัจจุบันการทำตัวของนายกฯ คณะรัฐมนตรี และรัฐมนตรีสาธารณสุขยังคงยุ่งเหยิง

พวกเขาไม่ห้ามนักท่องเที่ยวจากจีน แถมยังให้วีซาแบบฟรีๆเข้าไปอีก ดีที่ประเทศจีนห้ามพลเมืองของตนเดินทาง พวกเขายังคงยืนยันว่าคนไทยหากกลับบ้านต้องหาใบรับรองแพทย์ว่าไม่มีไวรัสเสียก่อนถึงเข้าประเทศไทยได้ พวกเขาเปิดการกักตัวในประเทศไทย ต่อมาปิด และไม่นานก็เปิดใหม่

พวกเขาไม่ได้สนใจในเรื่องโควิด 19 ในขณะที่นายพลฯเป็นสปอนเซอร์ให้มีการแข่งขันมวยไทย ที่กลายมาเป็นตัวแพร่เชื้อไวรัส พวกเขายังสนุกกับการตัดงบประมาณโครงการสวัสดิการถ้วนหน้า และการรอเรื่องการซื้ออาวุธให้กองทัพเนื่องจากมีคนด่ากันขรม ข่าวสารที่ไม่อยู่กับร่องกับรอยเรื่องการหาซื้อได้ของหน้ากากนำไปสู่การซื้อแบบบ้าคลั่ง ต่อมาการช่วยเหลือจากกระทรวงพบว่าหน้ากากที่ส่งไปให้เมืองจีน

ต่อมาพวกเขาตอบสนองเชิงกรุณากับคนไทยที่บ่นว่าเงิน 5,000 ต่อเดือนไม่เพียงพอ (เงิน 5,000 เป็นส่วนหนึ่งของการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ) ครั้งหนึ่งนายกฯประยุทธ์ จันทโอชาบอกว่าแค่เดือนเดียว ต่อมาก็กลับคำ

สิ่งเดียวกันทำให้การทำนโยบายสับสนไปหมด แต่อย่างที่เรารู้กัน เจ้าหน้าที่รัฐบาลกำลังทำงานโดยการให้ความหายนะกลายเป็นหายนะแต่น้อยลงไปอีก และในที่ชุมชน คนไทยตอบสนองโดยไม่บ่น และให้ชุมชนช่วยเหลือกันเอง

ดังนั้นคนไทยเอาชนะน้ำท่วม และบางทีจะชนะโควิด 19 ด้วย

แต่ในไม่ช้าสถานการณ์โควิดคงจะสิ้นสุดลง แต่คนไทยไม่อาจคาดหวังให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และการปฏิบัติในชุมชนทำให้คนไทยเอาชนะสามสิ่งนี้ได้ สามสิ่งได้แก่ การทำให้ฟื้นคืน, การเติมพลัง, และการทำให้เศรษฐกิจเป็นอันดับสองในภูมิภาค ความเป็นผู้นำทางการเมืองที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้

ความเป็นผู้นำทางการเมืองเป็นเรื่องที่สำคัญมากในประเทศไทย เพราะโควิด 19 ทำให้เศรษฐกิจไทยอยุ่ในภาวะเฉื่อยๆเนือยๆ ก่อนที่ไวรัสจะกระโดดจากค้างคาวสู่มนุษย์ เศรษฐกิจของประเทศไทยโตในระดับ 2.4 % เทียบกับความเติบโตของเพื่อนบ้านอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย 5.0% ฟิลิปปินส์ 5.9% มาเลเซีย 4.3% และสิงคโปร์ 0.7% การเปรียบเทียบระหว่างประเทศที่อยู่ติดกันก็ห่างกันอย่างไม่เห็นฝุ่น กัมพูชา 7.1% ลาว 5.0% พม่า 6.8% เวียดนาม 7.0% และบรูไน 3.9%

โดยสรุป โรงงานในประเทศไทย ที่นำ 35% ของ GDP ได้รับความทุกข์จากอุปสงค์ระดับโลกที่สั่งมาจำนวนน้อย, ของชุมชนที่แพงเกินไป, และเงินบาทแข็ง ภาคเกษตรที่เป็นระดับเก่า ที่ให้ค่ากับ GDP น้อยกว่า 10% แต่มีกำลังแรงงานมากกว่า 30% ถูกโจมตีโดยความแห้งแล้ง และราคาที่ต่ำลง เมื่อเร็วๆนี้ธนาคารโลกได้รายงานว่า ระหว่างปี 2015 และ 2018 ภายใต้การนำของประยุทธ์ และก่อนการมาของโควิด 19 จำนวนคนไทยที่มีความยากจนเพิ่มขึ้นถึง 1.85 ล้านคน

แนวโน้มที่แจ่มใสอยู่ที่การท่องเที่ยว ที่ทำให้ค่า GDP สูงกว่า 18% และมีแรงงานมากกว่า 20% ที่มีการเข้ามาถึง 40 ล้านครั้งในปี 2019 ที่ 11 ล้านคนมาจากประเทศจีน เมื่อเปรียบเทียบกับการเข้ามาแค่ 14 ล้านครั้งในปี 2009 และน้อยกว่า 800,000 คนจากจีน

ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดหมายว่าเศรษฐกิจไทยจะตกในระดับ 5.3% ในปี 2020 แต่ตอนนี้ลดลงเหลือ 2.8% จากการเติบโตทางเศรษฐกิจในเดือนธันวาคม ปี 2019 การคาดการณ์ของ IMF ในปี 2020 จะอยู่ในทางลบ โดยลบที่ 6.7% อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวดูจะโหดร้ายอยู่มาก ในเดือนมีนาคม ปี 2020 การเข้ามาเพียงแค่ 76% ที่มาจากจีนถึง 94%

ในสภาวะเศรษฐกิจของโลกที่ถดถอยเช่นนี้ ทำให้เมืองไทยประสบกับทุกข์หนักมาก เพราะพึ่งพิงการค้ากับต่างแดน, การลงทุน, และการท่องเที่ยว การแก้ไขนั้นต้องอาศัยวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์แบบใหม่

แต่การจากปฏิบัติการยึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งปี 2014 แต่การพยากรณ์ที่บ้าบิ่นว่าระบอบการนำที่นำโดยประยุทธ์จะหาจินตนาการ, ความกล้าหาญ, ความเอาใจเขามาใส่ใจเรา ที่จำเป็นต่อการสร้างเศรษฐกิจใหม่ และเอาชนะความเชื่อของสาธารณชนที่เริ่มไม่เชื่อและท้อแท้สับสนสิ้นหวังคงเป็นไปไม่ได้

หลังจากที่มาตรการถอยห่างทางสังคมเริ่มผ่อนคลาย นักศึกษาเริ่มมีการประท้วงเพื่อประชาธิปไตย และการแทรกแซงทางสื่อสังคมออนไลน์เริ่มต่อสู้ และรัฐบาลประยุทธ์ได้สร้างความผิดหวัง เพราะมีแค่ 40% ของไทยในการสนับสนุนพรรคที่สนับสนุนทหารในการเลือกตั้งที่อิสระแต่ไม่ยุติธรรมเมื่อปีที่แล้ว

สัญชาตญาณของประยุทธ์คือทำให้คนเห็นต่างเงียบเสียง และไม่ฟังพวกเขา ผู้สนับสนุนที่เป็นทหารในรัฐธรรมนูญปี 2017 จะไม่ใช่เป็นวาล์วที่ปลอดภัย และไม่ได้เป็นตัวไกล่เกลี่ยอุณหภูมิทางการเมืองได้

หากมองในแง่นาๆชาติ ประเทศไทยจะพึ่งพิงทั้งสหรัฐกับจีน ในระดับที่โรคระบาดโควิด 19 เกิดขึ้นจากจีน ซึ่งจีนเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งในเมืองไทย และเป็นแหล่งด้านการลงทุนและอาวุธ จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนแน่นแฟ้นขึ้น

ก่อนหน้านี้ สหรัฐยังเป็นเหมือนเพื่อน แต่ตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินปี 1997-1998 เจ้าหน้าที่ไทยตั้งคำถามกับความคงที่ของมิตรภาพสหรัฐ และในประชาธิปไตยแบบไทยๆ ประชาธิปไตยของสหรัฐจะไม่เป็นโมเดลที่ดึงดูดของไทยอีกต่อไป ความเป็นประธานาธิบดีของทรัมป์ทำให้ไม่เป็นที่ดึงดูดใจของไทยก่อนการเข้ามาของโควิด 19  

แปลและเรียบเรียงจาก

James Wise. COVID in Thailand: Failed and Foolhardy Predictions.

https://www.bangkokpost.com/opinion/opinion/1918480/failed-and-foolhardy-predictions

หมายเลขบันทึก: 680568เขียนเมื่อ 16 สิงหาคม 2020 11:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 สิงหาคม 2020 11:48 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท