กักตัวอยู่กับบ้านตามสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ระบาด มีเวลาได้อ่านหนังสือหลายเล่ม
“ประวัติการศึกษาไทย” ของอาจารย์พงศ์อินทร์ ศุขขจร อดีตผู้อำนวยการวิทยาลัยครูจันทรเกษม เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมได้อ่าน ซึ่งท่านเขียนเล่าเรื่องการศึกษาของไทยไว้เมื่อ พ.ศ.2512 ทำให้เข้าใจเรื่องการศึกษาบ้านเราได้มากขึ้น ผมเกรงว่าหนังสือเล่มนี้จะสูญหายไป ก็เลยนำข้อเขียนของท่านมาแบ่งปันกันอ่าน โดยเลือกเฉพาะเหตุการณ์สำคัญๆมานำเสนอ และแบ่งเป็นตอนๆไปครับ
--------------------------
เมื่อตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นใหม่ๆ ในสมัยรัชกาลที่ 5 แบบเรียนที่ใช้ศึกษาแบบเป็นมาตรฐานคือหนังสือชุด 6 เล่ม ของพระยาศรีสุนทรโวหาร ซึ่งนักเรียนจะต้องใช้เวลาเรียนอย่างน้อย 3 ปี จึงจะเรียนจบทั้ง 6 เล่ม เป็นเหตุให้ต้องเสียเวลาเรียนมากเกินไป กรมศึกษาธิการจึงได้คิดเรียบเรียงแบบเรียนขึ้นใหม่เพื่อย่นเวลาให้น้อยเข้า ให้นักเรียนเรียนจบภายในหนึ่งปีหรือปีครึ่งเป็นอย่างช้า จะได้เอาเวลาไปศึกษาเล่าเรียนวิชาอื่นที่มีเพิ่มขึ้นใหม่ในหลักสูตร หนังสือที่แต่งขึ้นใหม่นี้ชื่อหนังสือแบบเรียนเร็ว มีแบ่งเป็น 3 เล่ม พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร(ต่อมาคือสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ)ทรงเรียบเรียงขึ้นในระหว่างที่ทรงผนวชและจำพรรษาอยู่ที่วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ บางปะอิน ได้ทรงหาวิธีให้นักเรียนจำตัวอักษรได้ง่ายขึ้น โดยใช้คำที่เด็กเคยได้รู้ได้เห็นเข้ามาประกอบเช่น ก ไก่ ข ไข่ ด เด็ก ต เต่า เป็นต้น
ส่วนหนังสือแบบเรียน เร็วนั้น เมื่อเรียนตัวอักษรและสระแล้วก็แต่งเรื่องโดยใช้อักษรและสระที่เรียนมาแล้ว ผูกเข้าเป็นเรื่องราวร้อยแก้วไม่ใช่กาพย์กลอนเหมือนหนังสือแบบเรียนเดิม เพราะเห็นว่าถ้าผูกเป็นคำร้อยกรองแล้วเด็กมักจะอ่านและจำกันเป็นแบบนกแก้วนกขุนทอง เพราะคำร้อยกรองจำง่าย เด็กมักจะอ่านคล่องปาก แต่จำตัวไม่ใคร่ได้ เมื่อจบแม่หนึ่งหนึ่งก็ผูกเป็นเรื่องราวให้เด็กอ่าน และโดยเหตุที่เด็กมักจะสนใจในเรื่องที่ตื่นเต้นสนุกสนาน ยิ่งตัวละครมีลักษณะที่น่าขบขันเด็กก็ยิ่งชอบ เพราะฉะนั้นองค์ผู้นิพนธ์ จึงผูกเรื่องสนุกๆและตัวละครมีบุคลิกลักษณะแปลๆเป็นเครื่องล่อใจให้เด็กอยากอ่าน เช่น “หนูหล่อพ่อเขาพาไปดูหมีที่นาตาหมอหลอ” คำว่าหลอทำให้เด็กหลับตานึกถึงภาพคนฟันหรอ หรือ “ตาหวังหลังโกงแกไปที่โรงหมู” หรือ “หนูแหวนแขนอ่อนบ้านอยู่บางเขน” ดังนี้เป็นต้น
เมื่อได้เปลี่ยนหนังสือแบบเรียนแล้ว หลักสูตรสำหรับการสอบไล่ก็ต้องแก้ไขด้วย เดิมมีการสอบไล่ปีละครั้ง เห็นว่าทำให้นักเรียนเสียเวลานานเกินไป จึงจัดให้มีการสอบปีละ 2 ครั้งตั้งแต่พ.ศ. 2434 เป็นต้นมา และเพิ่มวิชาความรู้ภาษาไทยให้สูงขึ้นอีก แทนที่จะเป็น 2 ประโยคให้เป็น 3 ประโยคเสีย เป็นประโยค 1 ประโยค 2 ประโยค 3 วิชาที่จะสอบไล่มี เขียน อ่าน คัด เรียงความ ย่อความ แต่งจดหมาย ไวยกรณ์ เลขลูกคิด และบัญชี ส่วนโรงเรียนภาษาอังกฤษนั้นมีโรงเรียนหลวงและโรงเรียนราษฎร์ของพวกสอนศาสนาเรียนเป็นภาษาอังกฤษล้วน มีแบ่งเป็น 6 ชั้นวิชาที่จะสอบไล่มี อ่าน เขียน คัด แปล ไวยากรณ์ เรียงความ ภูมิศาสตร์ และเลข สำหรับชั้น 6 ให้เรียนประวัติศาสตร์ต่างประเทศ ความรู้เกี่ยวกับพาณิชยการ ดาราศาสตร์ และสรีระศาสตร์
ผู้ใดสำเร็จการศึกษาเพียงชั้นประโยค 2 ของโรงเรียนภาษาไทยหรือสำเร็จชั้น 4 ของโรงเรียนภาษาอังกฤษ ผู้นั้นได้เป็นอิสระแก่ตัวพ้นจากหมวดหมู่สังกัดกรม ซึ่งจำเป็นต้องเข้ารับราชการตามกฎหมายเดิมทุกประการ
คำว่าโรงเรียนภาษาไทยหรือโรงเรียนภาษาอังกฤษนั้น หมายความว่าเรียนแต่ไทยหรืออังกฤษล้วนๆ มีโรงเรียนเดียวเท่านั้นที่เรียนทั้งไทยและอังกฤษคือ โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ ต่อมาภายหลังจึงได้ค่อยๆแทรกภาษาอังกฤษเข้าไปในโรงเรียนภาษาไทยทีละน้อยๆ
--------------------
เพิ่มเติม
ผมได้ไปสืบค้นเรื่องนี้เพิ่มเติม พบว่า
แบบเรียนเร็ว มี 3 เล่ม คือ
แบบเรียนเร็ว เล่ม ๑ เป็นหนังสือสอนอ่าน เริ่มตั้งแต่ตัวพยัญชนะ การประสมสระ การอ่านคำง่าย ๆ ตั้งแต่คำ ๆ เดียว คำหลายคำ จนถึงการอ่านประโยค
แบบเรียนเร็ว เล่ม ๒ เป็นหนังสือสอนอ่าน เขียน และการใช้คำ มีตัวอย่างคำที่ใช้ไม้ม้วน ไม้มลาย คำที่ใช้ตัว ฆ ญ ณ ธ คำการันต์ และคำพ้อง
แบบเรียนเร็วเล่ม ๓ แบ่งออกเป้ฯ ๓ ภาค คือ
ภาคที่ ๑ ว่าด้วยชนิดต่าง ๆ ของคำ แบ่งคำออกเป็น ๗ ชนิด คือ คำชื่อ คำกริยา คำคุณ คำวิเศษณ์ คำต่อ คำออกเสียง และคำแทนชื่อ ประโยคคือ การนำคำหลาย ๆ คำมารวมกันแล้วได้ความ แบ่งออกเป็น ๒ ส่วนบ้าง ๓ ส่วนบ้าง
ภาคที่ ๒ ว่าด้วยวิธีแต่งประโยค คำแต่งจะแต่งได้ทั้งส่วนชื่อผู้ทำ ส่วนกริยาและส่วนชื่อผู้ถูกทำ นอกจากจะนำคำมาแต่งได้แล้ว ยังผูกเป็นประโยคความรวมก็ได้
ภาคที่ ๓ เป็นภาคเก็บใจความ วิธีเก็บ คือ ลดคำที่นำมาแต่งออกเสียให้เหลือแต่ความสำคัญ
ต่อมา พ.ศ.2477 หลวงดรุณกิจวิทูร และนายฉันท์ ขำวิไล ได้แต่งหนังสือแบบเรียนเร็วใหม่ เล่ม 1 ซึ่งได้รับการยกย่องว่า เป็นแบบเรียน ที่แสดงถึงภูมิปัญญาการสอนอ่านภาษาไทย ทำให้เด็กสามารถอ่านหนังสือไทยได้แตกฉาน โดยใช้กระบวนการสอนอ่านจากส่วนย่อยไปหาส่วนรวม คือ เรียนรู้จากพยัญชนะ สระ การประสมอักษร การสะกดคำ แจกลูก ผันอักษร แล้วจึงฝึกอ่านเป็นคำ ข้อความ และเรื่องราว วิธีสอนนี้ช่วยให้เด็กอ่านออก เขียนได้ อย่างเข้าใจ และรวดเร็ว
หลายคนอาจยังจำข้อความต่อไปนี้ได้ เช่น
"ป้ากะปู่ กู้อีจู้" "อีกาตาดี"
ไม่มีความเห็น