ชีวิตที่พอเพียง 3671. ความเหลื่อมล้ำ
หนังสือ The Haves and the Have-Nots : A Brief and Idiosyncratic Historyof Global Inequality (2012) เขียนโดย BrankoMilanovic บอกว่าความเหลื่อมล้ำมี๓ แบบ คือ ความเหลื่อมล้ำระหว่างปัจเจกในประเทศเดียวกัน ความเหลื่อมล้ำระหว่างประเทศ และความเหลื่อมล้ำระดับโลก
ผู้ศึกษาเรื่องความเหลื่อมล้ำคนแรกคือนักเศรษฐศาสตร์อิตาเลียนWilfredoPareto ผู้คนพบ Pareto’s Principle หรือหลักการ 80 : 20 ว่า ร้อยละ ๘๐ ของผลผลิตเป็นผลงานของคนร้อยละ ๒๐ หรือในทางกลับกันคนร้อยละ ๘๐ ผลิตผลงานเพียงร้อยละ ๒๐ เป็นผลงานวิจัยเมื่อร้อยปีก่อน ที่บอกว่าความเหลื่อมล้ำไม่มีวันหมดไป เป็นกระบวนทัศน์หยุดนิ่ง (fixed mindset) ในเรื่องความเหลื่อมล้ำ หรือการกระจายความมั่งคั่ง
อีกครึ่งศตวรรษต่อมานักเศรษฐศาสตร์อเมริกันเชื้อสายรัสเซียSimonKuznet ออกมาคัดค้าน Pareto โดยบอกว่า ความเหลื่อมล้ำระหว่างบุคคลเปลี่ยนเมื่อสังคมเปลี่ยน โดยมีผลการวิจัยสนับสนุนว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงแรกส่งผลให้ความเหลื่อมล้ำสูงขึ้น แต่ต่อมาจะทำให้ความเหลื่อมล้ำลดลง โดยมีปัจจัยสำคัญคือมาตรการทางสังคมเพื่อกระจายความมั่งคั่ง
ในภาพใหญ่ความเหลื่อมล้ำในสังคมมีความเป็นพลวัต ตอนที่สังคม(ตะวันตก)เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรม คนในภาคอุตสาหกรรมมีรายได้สูงกว่าคนในภาคเกษตรมาก ความเหลื่อมล้ำเพิ่มสูงขึ้นมาก ต่อมาคนมีการศึกษามากขึ้นและมีมาตรการกระจายความมั่งคั่ง ที่เรียกว่า “ความเป็นธรรมทางเศรษญกิจ” (economic justice” โดยหลากหลายมาตรการของภาครัฐ ความเหลื่อมล้ำในสังคมก็ลดลง
ที่จริงความเหลื่อมล้ำมีทั้งข้อเสียและข้อดี หากความเหลื่อมล้ำเป็นแรงกระตุ้นให้คนขยันมุมานะ ก็เกิดผลดี แต่หากความเหลื่อมล้ำทำให้คนงอมืองอเท้าเพราะคิดว่าทำไปก็เท่านั้น ก็เป็นผลเสีย
ความเหลื่อมล้ำมันไม่ได้จำกัดที่โอกาสในการได้งานดีๆ แต่ยังโยงไปยังโอกาสได้รับการศึกษาคุณภาพสูง หากความเหลื่อมล้ำทำให้ลูกคนจนได้รับการศึกษาที่คุณภาพต่ำ ก็จะเกิดความเหลื่อมล้ำข้ามรุ่น (inter-generationinequity) ทางสังคมและเศรษฐกิจ อย่างที่กำลังเกิดในประเทศไทยเวลานี้ เป็นที่มาของการจัดตั้งกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
เครื่องมือวัดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปตัวหนึ่งคือ Gini coefficient ทำให้เปรียบเทียบความเหลื่อมล้ำระหว่างประเทศได้ ตัวเลขต่ำแสดงว่าความเหลื่อมล้ำน้อย ตัวเลขสูงสะท้อนความเหลื่อมล้ำมาก ประเทศไทยมี Gini index 0.365 ความเหลื่อมล้ำเป็นอันดับที่ ๘๗ของโลก (๑)
แต่มีวิธีวัดความเหลื่อมล้ำโดยดูว่าคนรวยครอบครองความมั่งคั่งร้อยละเท่าไรของความมั่งคั่งทั้งประเทศ อาจดูที่คนรวยที่สุดร้อยละ ๑๐ของประชากร หรือร้อยละ ๑ ของประชากร ตัวเลขในปี ๒๕๖๑ ของไทย คนรวยที่สุดร้อยละ ๑ครอบครองความมั่งคั่งคิดเป็นร้อยละ ๖๖.๙ สูงที่สุดในโลก (๒) หากถือตามตัวเลขนี้ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเป็นอันดับ ๑ ของโลก
World Inequality Report2018บอกว่าความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของโลกกำลังเพิ่มขึ้น รายงานนี้มีรายละเอียดมาก
กลับมาที่หนังสือ The Haves and the Have-Nots : A Brief and Idiosyncratic Historyof Global Inequality เขาบอกว่าปัจจุบัน ตัวการสำคัญที่สุดของความไม่เท่าเทียมของรายได้ขึ้นกับว่าเกิดที่ไหน หรือเกิดในประเทศไหน เพราะความแตกต่างของรายได้ระหว่างประเทศเด่นชัดที่สุด นี่คือภาพใหญ่ระดับโลกที่เรามักคิดไม่ถึง
ผมเขียนบันทึกเรื่องความเหลื่อมล้ำไว้มากมายที่(๓)
วิจารณ์ พานิช
๑๙ มี.ค. ๖๓
ไม่มีความเห็น